แค้นนัก...รักหมดใจยัยครูสาว
เขาคือชายหนุ่มมหาเศรษฐีจอมเย็นชาผู้เป็นอัจฉริยะไอคิว 170 ที่รู้สึกเบื่อชีวิต อยากกลับไปเรียนมัธยมแก้เซ็งอีกครั้ง แต่ติดปัญหาอยู่ที่สองขาพิการจากอุบัติเหตุในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาได้พบกับ “เธอ” คุณตรูสาวคนซื่อจอมซุ่มซ่ามที่กำลังว่างงาน ภารกิจพิชิตใจ Home Teacher จึงอุบัติขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...ท่ามกลางอันตรายที่ตามติดมาอย่างไม่มีใครคาดคิด!


Tags: โรแมนติก ความรัก คุณครู ตำรวจ นักต้มตุ๋น

ตอน: บทที่ 6 – เกลือเป็นหนอน

ธนัชวิชญ์ปรากฏตัวที่โต๊ะอาหารเช้าวันต่อมาด้วยใบหน้าอิดโรยคล้ายคนอดหลับอดนอน เด็กรับใช้ทุกคนที่พบเห็นต่างพากันลงความเห็นว่าเมื่อคืนเขาคงผ่าน 'สงคราม' บนเตียงกับคุณครูสาวส่วนตัวอย่างหนัก ทั้งที่ในความจริงแล้ว ธนัชวิชญ์คือคนเดียวที่ไม่ได้นอน ส่วนฝ่ายพิสชานั้นหลับรวดเดียวถึงตอนเช้า

และคนที่หลับรวดเดียวถึงเช้านั่นแหละเป็นเหตุให้เขานอนไม่หลับ

พิสชามีนิสัยบางอย่างเหมือนกับฟานปิง อาจจะเป็นความใสซื่อบริสุทธิ์ที่เชื่อใจคนง่ายๆ และไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ธนัชวิชญ์ไม่อยากจะคิดอีกต่อไปถึงความรู้สึกที่เมื่อคืนกว่าเธอจะนอนหลับได้ ก็ต้องขอร้องให้เขาหลับทีหลังเพราะเธอกลัวผี อีกทั้งกว่าจะหลับได้ พิสชาก็ยึดถือเขาเป็นพี่หมีน้อยเพื่อชวนคุยเรื่องราวต่างๆ บางช่วงก็ขอให้เขาเล่าชีวิตส่วนตัวหลังจากประสบอุบัติเหตุ ซึ่งธนัชวิชญ์เริ่มต้นเล่าได้เพียงหน่อยเดียว พิสชาก็ผล็อยหลับไปแล้ว

เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้หันนอนตะแคงมาทางเขาและคว้าแขนเขาไปกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตลอดคืน

ธนัชวิชญ์ยังจำได้ดีว่าตัวเองถึงกับนอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวด้วยกลัวเธอจะตื่น ความอบอุ่นใจบางอย่างแผ่ขยายจากมือที่กอดกุมท่อนแขนของเขากระจายไปทั่วร่าง ความโดดเดี่ยวที่ธนัชวิชญ์ต้องเผชิญนับแต่วันที่ไร้ฟานปิง ความเหน็บหนาวอ้างว้างเหล่านั้น พลันถูกขับไล่ออกไปอย่างประหลาด

ธนัชวิชญ์ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร แต่เขาบอกได้คำเดียวว่ารู้สึกดีที่มีพิสชาอยู่เคียงข้างเมื่อคืนนี้

ดังนั้น ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแลดูอิดโรย แต่หัวใจกลับสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างยิ่ง

เช้านี้ชายหนุ่มรีบให้ลุงคนขับรถพาพิสชาไปที่บ้านพักของเธอเพื่อเก็บข้าวของส่วนตัวที่จำเป็นกลับมาที่นี่ก่อนซาแมนต้าจะตื่น ตอนนี้เธอคงอยู่ระหว่างการเดินทางกลับ ธนัชวิชญ์รับประทานอาหารเช้าซึ่งประกอบด้วยไข่ดาวและเบค่อนทอดกับนมสดหนึ่งแก้วพร้อมกับแองจี้ ที่ไม่ซักถามสักคำว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่หล่อนกับซาแมนต้าออกมาจากห้องนอนของเขา

หล่อนถามเพียงแต่ว่า

“คุณวิชญ์จะจัดการยัยฝรั่งนั่นต่อไปยังไงหรอคะ?”

“เดี๋ยวคงต้องคิดดูก่อน”

นั่นเป็นคำตอบของเขา

ธนัชวิชญ์ยังปวดหัวกับปํญหาข้อนี้ไม่หาย ยิ่งหลังจากคุยโทรศัพท์กับปาป้าแจ็คสันด้วยแล้ว ความเครียดก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพราะพ่อบุญธรรมของเขาคะยั้นคะยอเหลือเกินที่จะให้เขาลืมความรักในอดีตกับฟานปิงและเริ่มต้นรักใหม่กับใครสักคนให้ได้

ซึ่งใครสักคนที่ปาป้าแจ็คสันหมายถึง ก็คือซาแมนต้า ลูคัสผู้เป็นหลานสาวนี่เอง

“ถ้าแกไม่อยากให้แซมมี่ไปวุ่นวาย ก็หาผู้หญิงมายืนยันสักคนหน่อยสิว่าเป็นคนรักของแกจริงๆ ถ้าหากแกสามารถหาได้ ฉันจะรีบห้ามไม่ให้ยัยแซมมี่ไปยุ่งกับแกอีกทันที” ปาป้าแจ็คสันประกาศิต “เอาแต่จมอยู่กับอดีตที่ล่วงเลยน่ะไม่เคยเป็นผลดีกับใครหรอกนะไอ้หนู”

ธนัชวิชญ์ทราบดีว่าการหาผู้หญิงมายืนยันในความหมายของปาป้าแจ็คสันหมายถึงการแต่งงานและจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฏหมาย นั่นแปลว่าหากเขาแต่งงานอย่างขอไปทีเพื่อวางแผนหย่าในภายหลัง เขาก็ต้องแบ่งทรัพย์สินให้ผู้หญิงที่แต่งงานด้วยครึ่งหนึ่ง ซึ่งเพียงครึ่งเดียวก็เป็นจำนวนเงินมหาศาลแล้ว

ดังนั้น เรื่องนี้เขาจะทำเล่นๆ ไม่ได้

นับว่าปาป้าแจ็คสันฉลาดยิ่งในการหาวิธีป้องกันไม่ให้บุตรบุญธรรมไปจ้างผู้หญิงมาแกล้งหลอกว่าเป็นคนรักอย่างที่กำลังทำกับซาแมนต้า ธนัชวิชญ์จึงต้องคิดหนักว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อแก้ปัญหาทุกอย่างออกมาให้ได้ในรูปแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น

หรือเขาจะขอพิสชาแต่งงานดีนะ?

ธนัชวิชญ์เผลอยิ้มออกมาด้วยประหลาดใจความคิดของตัวเอง

ไม่หรอก เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ดวงวิญญาณของฟานปิงคงรู้ดี...



++++++



“ทายสิใครเอ่ย?” เสียงแหลมปรี๊ดพอๆ กับจมูกของคนพูดดังขึ้นด้านหลังของธนัชวิชญ์อย่างไม่ทันให้ตั้งตัวเมื่อฝ่ามือสองข้างนั้นเอื้อมมาปิดตาเขาขณะกำลังวางแก้วนมสดลงบนโต๊ะอาหาร

“เลิกเล่นเป็นเด็กได้แล้ว แซมมี่ ผมไม่ชอบ” ชายหนุ่มถอนหายใจประกอบคำพูด

“แหม วิชชี่นี่ ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย” สาวอเมริกันทำเสียงออดอ้อน “ทีเมื่อก่อนล่ะ เรียกหาแซมมี่ไม่ได้หยุด”

ซาแมนต้าพูดประโยคนั้นด้วยเสียงอันดังพอที่ได้ยินไปถึงหูแองจี้ซึ่งนั่งอยู่ด้านตรงข้ามขณะหล่อนถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างวีลแชร์ของธนัชวิชญ์

“ผมไม่เคยเรียกหาคุณนะ เท่าที่ผมจำได้” ชายหนุ่มหันไปพูดกับหล่อนเสียงขรึม

“แซมมี่ก็แค่พูดเล่นน่ะค่ะ ทำไมคะ เดี๋ยวนี้แซมมี่พูดอะไรไม่ได้เลยหรือไง?”

สาวผมบรอนด์สะบัดผมพลางสอดส่ายสายตาคล้ายมองหาใครสักคน

“แล้วนี่แม่คนงามของคุณยังไม่ตื่นอีกรึคะ?”

“ตื่นแล้ว แต่ออกไปข้างนอก” ธนัชวิชญ์ตอบ หวังว่าพิสชาคงไม่ลืมแวะซื้อของที่เขาจดรายการให้เพื่อป้องกันไม่ให้ซาแมนต้าสงสัยว่าเธอไปไหน

“ออกไปข้างนอกแต่เช้าแบบนี้เนี่ยนะคะ?” ซาแมนต้าเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“ไปซื้อของให้ผมน่ะ” เขาตอบ ก็พอดีกับเสียงรถยนต์ดังขึ้นแว่วๆ ทุกคนได้ยินเสียงประตูรถเปิดแล้วปิด ไม่กี่อึดใจต่อมา พิสชาในชุดกระโปรงสีเหลืองกับเสื้อซาตินสีขาวก็เดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร

นอกจากเธอจะสะพายกระเป๋าใบใหญ่แล้ว ยังหนีบตุ๊กตาหมีสภาพยับเยินตัวหนึ่งมาอีกด้วย

“คุณวิชญ์คะ นี่ไง พี่หมีน้อยที่พิสเล่าให้ฟัง” คุณครูสาวหยุดยืนข้างธนัชวิชญ์และยื่นตุ๊กตาหมีมาตรงหน้าเขา “ทักทายกันหน่อยสิคะ?”

ธนัชวิชญ์ไม่รู้ว่าถ้อยคำที่เธอมักเรียกแทนตัวเองว่า 'ฉัน' กลายมาเป็น 'พิส' ที่สนิทสนมได้อย่างไร เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีกเพราะเธอยื่นพี่หมีน้อยเข้ามาจนจะชิดหน้าเขาอยู่แล้ว

“สะ...สวัสดี” ชายหนุ่มตะกุกตะกักด้วยไม่เคยทักทายตุ๊กตามาก่อน

“ซาหวัดดีฮับ” พิสชาดัดเสียง ขยับหัวตุ๊กตาส่ายไปมาก่อนจะหัวเราะเสียงใสชวนให้คนได้ยินร่าเริงตามไปด้วย

“เชอะ ดัดจริต” ซาแมนต้าพูดไม่เบา ถึงแม้จะฟังที่พิสชากล่าวไม่รู้เรื่อง แต่กิริยาท่าทางของคนที่ธนัชวิชญ์บอกว่าเป็นคนรักช่างขัดหูขัดตาหล่อนเหลือเกิน

“งั้นพิสขอพาพี่หมีไปไว้ที่ห้องก่อนนะคะ” พิสชาพูดต่อไปราวกับไม่ได้ยินที่ซาแมนต้าพูด ซึ่งพิสชาก็ไม่ได้ยินจริงๆ นั่นแหละ เพราะกำลังดีใจที่ได้พาพี่หมีน้อยมาที่บ้านของคุณวิชญ์จนไม่สนใจอะไรรอบกายอีก ตอนนี้ต่อให้มีคนรู้จักมาทักเธอ พิสชาก็คงไม่ได้ยินเช่นกัน

“อื้อ ไปเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้า แต่ก็นึกขึ้นได้ “เดี๋ยวก่อน แล้วของที่ผมสั่งไปล่ะ คุณลืมหรือเปล่า?”

“ไม่ลืมค่ะ” พิสชายิงฟันยิ้มตอบ

“ดี คืนนี้ผมจะสอนให้คุณใช้มัน” ธนัชวิชญ์พูด

“แต่พิสไม่เคยใช้มันมาก่อนนะคะ?” หญิงสาวทำท่าตกใจ

เขาหัวเราะในลำคอ “บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวผมสอนคุณเอง”

ธนัชวิชญ์รับรู้ได้ว่าแองจี้กำลังจ้องมองเขาด้วยความสงสัยว่าเขาให้พิสชาซื้ออะไรมา มันเป็นความตั้งใจของธนัชวิชญ์ที่จะพูดออกไปให้ความหมายกำกวมอย่างนั้นเอง ทั้งที่ความจริงแล้ว ของที่เขาสั่งซื้อเป็นเพียงกล้องส่องทางไกลเลนส์ขยายพิเศษสำหรับดูดาวตอนกลางคืนเท่านั้น

“คุณสั่งหล่อนซื้ออะไรคะ?” ซาแมนต้าที่ฟังบทสนทนาระหว่างเขากับพิสชาไม่ออกโพล่งถามขึ้นเหมือนรู้ใจแองจี้

“ความลับ” ชายหนุ่มตอบ

“บอกหน่อยไม่ได้หรือคะ?” หล่อนพยายามตื๊อ

ธนัชวิชญ์เจตนายิ้มแบบมีลับลมคมใน “ถ้าบอกมันจะเป็นความลับมั้ยล่ะ?”

“โอเค ไม่บอกก็ไม่บอก เดี๋ยวแซมมี่เค้นถามจากยัยหน้าจืดนั่นเองก็ได้” สาวอเมริกันพึมพำพร้อมรอยยิ้ม

“อย่ายุ่งกับพิสชาเชียวนะ” ธนัชวิชญ์โพล่งออกมาโดยอัตโนมัติจนกระทั่งตัวเองยังอดประหลาดใจไม่ได้ “ถ้าคุณกวนใจภรรยาผมแม้แต่นิดเดียวล่ะก็...”

“คุณจะทำไมคะ?” ซาแมนต้าเชิดหน้าใส่เขาอย่างท้าทาย “จะไล่แซมมี่กลับอเมริกางั้นหรือ? คุณกล้าหรือคะ?”

หล่อนทราบดีว่าเขาไม่กล้า จะอย่างไร เขามีความเกรงใจปาป้าแจ็คสันจนไม่กล้ากำราบเธออย่างเข้มงวดจริงจังนัก ข้อนี้ซาแมนต้ายึดเป็นข้อได้เปรียบเหนือหญิงสาวคนอื่นมาตลอด

“ผมมีวิธีที่จะทำให้ปาป้าเรียกคุณกลับอเมริกาก็แล้วกัน”

“คุณจะทำยังไงล่ะคะ?”

“ผมจะแต่งงาน...เร็วๆ นี้” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย

“แค่แต่งงาน หยุดแซมมี่ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงซะสักวันหนึ่งแซมมี่จะทำให้วิชชี่หันมารักแซมมี่เพียงคนเดียวให้ได้” ซาแมนต้าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหล่อนไม่ขอยอมแพ้ง่ายๆ แน่

“คุณคงไม่รู้สิว่าผมกับปาป้ามีข้อตกลงพิเศษบางอย่างร่วมกันอยู่” ธนัชวิชญ์เผยไพ่ตายออกมาในที่สุด

“ข้อตกลงอะไรคะ?” สาวอเมริกันถามกลับทันที

“ถ้าผมนำทะเบียนสมรสและเจ้าสาวไปให้ปาป้าเห็นหน้าได้เมื่อไหร่ ท่านจะสั่งไม่ให้คุณมายุ่งกับผมอีก” เขายิ้มเยือกเย็น “และอีกไม่นาน ผมจะพาพิสชาไปอเมริกาเพื่อพบปาป้าพร้อมทะเบียนสมรสของพวกเรา ถ้าคุณไม่เชื่อ ลองโทรไปถามปาป้าดูเองก็ได้ว่าที่ผมพูดไป มันคือความจริงหรือเปล่า”

สาวผมบรอนด์อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน ธนัชวิชญ์ลอบหัวเราะในใจ คิดว่าขู่เพียงเท่านี้เดี๋ยวซาแมนต้าก็คงถอดใจกลับบ้านเกิด แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้ว่า ความสามารถด้านคาดการณ์ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นของเขา นำมาใช้ไม่ได้กับการดาดเดาจิตใจสตรี

โดยเฉพาะสตรีที่อยากได้อะไรต้องได้อย่างซาแมนต้า!

หล่อนใช้เวลาเพียงน้อยนิดสลัดความตะลึงงันออกไปและเรียกความมั่นใจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

“ถ้าอย่างนั้น แซมมี่ก็จะเปลี่ยนใจคุณให้ได้ก่อนที่คุณจะจรดปากกาเซ็นทะเบียนสมรสกับยัยหน้าจืดคนนั้น” หล่อนบอกกับเขาอย่างไม่ยี่หระ

ธนัชวิชญ์ยกมือนวดขมับและเหหน้ามองประตูทางเข้าอย่างเหนื่อยใจ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลุงคนขับรถเดินหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเข้ามาพร้อมกับจิดาที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกันนัก

“อะไรกันเยอะแยะน่ะครับลุงไกร?” เขาถาม

“ก็ของที่คุณครูแวะซื้อที่ห้างในตัวเมืองน่ะสิครับ อะไรมั่งก็ไม่รู้เนี่ย” ลุงคนขับตอบ

“อ๋อ พวกวัตถุดิบทำขนมเค้กน่ะค่ะ” เสียงของพิสชาดังขึ้น ธนัชวิชญ์หันขวับไปมอง คุณครูประจำตัวผู้กลายเป็นภรรยาเฉพาะกิจของเขาเดินลงบันไดกลับจากห้องนอนมาพอดี

ใบหน้าสดใสนั้นฉีกยิ้มร่าขณะวิ่งเข้ามาช่วยลุงคนขับรถและเด็กรับใช้ถือถุงข้าวของ แต่เด็กรับใช้คนอื่นๆ ก็รีบเข้าไปช่วยถือแทนเธอด้วยว่าต้องการเอาใจธนัชวิชญ์

“ขนมเค้กเหรอ?” ชายหนุ่มทำหน้างง “ผมไม่ได้สั่งนี่”

“ไม่ได้สั่งค่ะ แต่ว่าพิสอยากทำให้คุณวิชญ์ทาน ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เมื่อคืนนี้คุณวิชญ์ให้พิสนอนบนเตียงด้วยไงคะ”

พิสชาพูด ไม่ได้คิดอะไรเป็นอื่นไกล ทว่าใครๆ ที่ได้ฟังก็ล้วนแต่คิดถลำลึกไปไม่น้อยแล้ว

“ก็คุณวิชญ์บอกว่าถ้าฉันอยากได้อะไรก็ให้ซื้อมา นี่แหละค่ะสิ่งที่ฉันอยากได้ ฉันอยากทำขนมเค้กอร่อยๆ ให้ทุกคนได้ทานกัน”

พูดจบพิสชาก็โปรยยิ้มให้ทุกคนด้วยความจริงใจ

“ผมไม่ชอบทานขนมพวกนั้น ไม่ต้องทำหรอก” ธนัชวิชญ์พูด แต่มันไม่ใช่ความจริง เขาเป็นคนชอบทานขนมเค้กรวมถึงขนมต่างๆ เช่นคุ้กกี้หรือพายผลไม้อะไรพวกนั้น เพียงแต่ว่าขนมที่เขาเคยทานล้วนแต่เป็นฝีมือของฟานปิงผู้ชื่นชอบการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ...

ยิ่งค้นพบว่าพิสชากับคนรักเก่าของเขามีความคล้ายคลึงกันมากเท่าไหร่ ธนัชวิชญ์ก็เริ่มหวั่นไหวหัวใจของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

“ทำไมล่ะคะ” ดวงตาที่เป็นประกายสดใสของพิสชาพลันหม่นหมองลงด้วยความเสียใจทันที

“ผมแค่ไม่ชอบ ก็เท่านั้น”

ธนัชวิชญ์ตอบเย็นชา แต่ก็ต้องตกใจเมื่อหันไปพบว่าพิสชากำลังยืนน้ำตาซึม

“เดี๋ยวสิคุณ จะร้องไห้ทำไมน่ะ?”

ชายหนุ่มถามอย่างงุนงง

“พิสอยากทำขนมให้คุณวิชญ์ทานจริงๆ นะคะ” หญิงสาวตอบเสียงเครือ ก่อนสูดหายใจลึกเพื่อกลั้นน้ำตา ในความรู้สึกของเธอแล้ว การที่คุณวิชญ์ปฏิเสธขนมเค้กที่เธอกำลังจะทำ ก็ไม่ต่างกับการที่เธอเตรียมของขวัญไว้เซอร์ไพรซ์ใครสักคน แล้วผลปรากฏว่าใครคนนั้นไม่ชอบของขวัญของเธอเลยสักนิด และยังแสดงท่าทีรังเกียจอีกด้วย

“ก็ไม่เห็นต้องร้องไห้เลยนี่นา” ธนัชวิชญ์เสียงอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว

“พิสอยากให้คุณวิชญ์ได้ทานขนมอร่อยๆ เพราะขนมอร่อยๆ พวกนั้น สามารถทำให้คนทานรู้สึกมีความสุข” พิสชาสะอื้นฮัก “พิสไม่อยากเห็นคุณวิชญ์เศร้า”

“เอ้าๆ เลิกร้องเถอะ ผมอนุญาตให้คุณทำแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ” ชายหนุ่มเอ่ยปากยอมอย่างเสียมิได้ “แล้วรู้ไว้ด้วยนะว่าผมไม่ได้เศร้าอะไรสักอย่าง คุณอย่าคิดมากไปหน่อยเลย”

“คุณวิชญ์อนุญาตให้ฉันทำขนมแล้วจริงๆ หรอคะ?” พิสชาป้ายน้ำตาด้วยความดีใจ

“อื้อ” ธนัชวิชญ์ผงกศีระ มองพิสชายิ้มกว้าง ก่อนที่เธอจะค้อมศีรษะขอบคุณเขาและพาลุงคนขับรภกับบรรดาเด็กรับใช้ไปที่ห้องครัวเพื่อนำวัตถุดิบสำหรับทำขนมเค้กไปเก็บในตู้เย็นขนาดใหญ่

“คุณวิชญ์ไม่น่าตามใจเธอขนาดนั้นนะคะ” แองจี้กล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่มีซาแมนต้านั่งร่วมโต๊ะ

ธนัชวิชญ์ทำเป็นนิ่งเฉยคล้ายไม่ได้ยิน ตระหนักดีว่าแองจี้ฉลาดกว่าซาแมนต้าและคงไม่สามารถหลอกได้ง่ายๆ ดังนั้นแล้ว ให้หล่อนรู้เรื่องราวการวางแผนในอนาคตของเขาน้อยที่สุดจะดีกว่า หรือหากจะให้ดีที่สุด ก็ทำให้หล่อนเข้าใจไปด้วยว่าเขากำลังจะแต่งงานกับพิสชาจริงๆ แองจี้จะได้เลิกทอดสะพานให้เขาเสียที

แต่ถึงกระนั้น อีกใจหนึ่งของชายหนุ่มก็คัดค้านว่าเขาไม่ควรทำเฉยชากับแองจี้อีกต่อไป เพราะอย่างไรเสีย หล่อนก็เป็นเพื่อนเก่าของเขา เป็นคนที่ยอมทนเบื่ออยู่กับเด็กชายขาพิการคนหนึ่ง ธนัชวิชญ์คิดว่าเขาควรบอกหล่อนไปเลยไม่ดีกว่าหรือว่าระหว่างเขากับหล่อน มันไม่มีทางเป็นอะไรได้มากกว่าความเป็นเพื่อน แองจี้จะได้ไม่ต้องเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องราวของเขากับพิสชาอีก

ทันใดนั้น ห้วงคิดของธนัชวิชญ์สะดุดลง

“คุณวิชญ์ขา โทรษัพท์ค่ะ” เด็กรับใช้นามพดด้วงเดินนอบน้อมเข้ามายื่นโทรศํพท์บ้านชนิดไร้สายให้เขา

“ใครกัน?”

ธนัชวิชญ์หรี่ตา ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีคนรู้จักติดต่อเขาทางเบอร์โทรศัพท์ของคฤหาสน์มาก่อน

พดด้วงก้มหน้าและเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวด้วยจำได้ว่าธนัชวิชญ์มีสีหน้าอย่างไรเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลผู้นี้ตอนที่มีตำรวจมาขอเข้าพบเมื่อวันก่อน

“เขาให้เรียนว่าเสี่ยวินัยต้องการคุยสายกับคุณวิชญ์ค่ะ”

“เสี่ยวินัย...” ชายหนุ่มสบถ กระชากโทรศัพท์มาจากมือของเด็กรับใช้และยกแนบหูทันที“แก...”

“สวัสดี เจ้าวิชญ์ จำลุงได้ไหม?” เสียงคนต้นสายดังขึ้นอย่างเยือกเย็น

“แกต้องการอะไร?!” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปอย่างฉุนโกรธ

“จุ๊ๆ หัดสุภาพกับอดีตเพื่อนเก่าของพ่อแกหน่อยซี่” เสี่ยวินัยหัวเราะในลำคอ “ก็แค่อยากโทรมาดูหน่อยเท่านั้นว่าแกสบายดีหรือเปล่า”

“ผมสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วง” ธนัชวิชญ์กระแทกเสียงอย่างประชดประชัน “ถ้าไม่มีอะไร ผมคงต้องวาง”

“เดี๋ยวซี่ ไอ้หลานชาย แกไม่แปลกใจบ้างหรอไงว่าลุงรู้เบอร์โทรศัพท์คฤหาสน์วังค้างคาวของแกได้ยังไง?”

ธนัชวิชญ์เบิกตาโต จริงสิ เสี่ยวินัยรู้เบอร์โทรศัพท์นี้ได้อย่างไรทั้งที่ข้อมูลทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับอย่างดีเพื่อไม่ให้ระแคะระคายถึงหูคนภายนอก แถมเสี่ยวินัยยังทราบอีกด้วยว่าสถานที่ๆ เขาอยู่ มีความใหญ่โตเป็นคฤหาสน์...

“นั่นก็เพราะว่า มีสายลับของลุงคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ข้างๆ ตัวแกไง”

เสี่ยวินัยระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

ธนัชวิชญ์กัดฟันกรอด ใบหน้าร้อนผ่าว

คนต้นสายกล่าวต่ออย่างสนุกสนาน “ลองมองดูรอบตัวให้ดีสิ สายลับของลุง เป็นคนที่แกต้องคาดไม่ถึงแน่ๆ”

ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบกาย พวกของพิสชา ลุงคนขับรถและบรรดาเด็กรับใช้เดินกลับมาจากห้องครัว ทุกคนต่างรับรู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของธนัชวิชญ์ รวมถึงแองจี้กับซาแมนต้าที่แม้จะฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก

ธนัชวิชญ์มองทุกคนและฉีกยิ้มเย็นเยือกให้กับชายผู้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์

“ฉันไม่เชื่อที่แกพูดหรอก เสี่ยวินัย อย่าเสียเวลาปั่นหัวฉันซะให้ยาก”

“คิดอยู่แล้วว่าแกต้องไม่เชื่อ” เสี่ยวินัยกล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอีกครั้ง “แต่เดี๋ยวอีกหน่อยแกจะต้องเชื่อ ลุงสาบานกับตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ติดคุกว่า ใครก็ตามที่มันกล้าหักหลังลุง ลุงจะฆ่ามันให้หมดทั้งตระกูล ระวังตัวให้ดีเถอะ เพราะตอนนี้...เสี่ยวินัยที่น่าหวาดกลัวกว่าเดิม...กลับมาแล้ว!”




วารีติกาล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มิ.ย. 2556, 09:59:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 มิ.ย. 2556, 09:59:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1384





<< บทที่ 5 – ราตรีอลวน   บทที่ 7 – ทะเลเฮฮา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account