บังลังค์รักภูผา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน:
ยิ้มหวานเป็นทับหน้า เพราะผิดพลาด ชื่อนางเอก ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ
ตอน 2
พรานขอมคนนำทางของไอ้เหิม ขนแขนลุกไปทั้งตัว เพราะกิตติศักดิ์ความน่ากลัวที่ได้ยินมา แล้วรีบสลัดชื่อนี้ออกไปจากความคิด ตั้งสติหาทางออก หาร่องรอยสัญลักษณ์ที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็ไม่มีให้มันชื่นใจเลย จึงต้องสุ่มเดา ก่อนจะหันกลับมาบอกไอ้เหิมว่า
“ให้คนของนายช่วยถางทางด้านนั้นแล้วเราจะได้เดินทางต่อ”
“ได้” ไอ้เหิมรับปากแล้วสั่งลูกน้องให้ไปจัดการ “เร่งมือกันหน่อยโว้ย”
ทุกคนต่างช่วยกันไม่เว้นมันที่เข้าไปช่วยด้วย ขณะที่ขวัญชนกที่ฟังพวกมันพูดกัน ก็คิดว่า ถ้าพวกมันหลงทางจริงๆ เธอจะทำยังไง ยังจะหาทางหนีอีกหรือเปล่า และถ้าหนีไปได้ เธอจะออกจากป่านี้ไปได้ยังไง และถ้าออกไปไม่ได้ คงต้องตายอยู่ในป่า หรือจะยอมตามพวกมันไปเพื่อให้พ้นจากป่านี้ก่อน แล้วค่อยหนี เธอครุ่นคิดอย่างหนัก และต้องหยุดความคิด เมื่อพวกมันเดินมาดึงให้เธอลุกขึ้น และเดินไปตามทางที่ได้ถากไว้
ทุกคนเดินตามกันไปเรื่อยๆแต่ผ่านมาเป็นชั่วโมง ก็ยังไม่หลุดออกจากป่ามาสู่ที่โล่ง ซึ่งเป็นที่นัดหมาย ไอ้เหิมโกรธถึงกับเดินมากระชากไหล่พรานขอม ชี้ให้ดูรอบๆป่า ที่ยังมืดมิดพลางถามเสียงกร้าว
“หมายความว่าไง ทำไมถึงยังไม่เจอทางออก”
พรานขอมมีสีหน้าอึดอัด แต่ยังไม่ได้ให้คำตอบ ดวงไฟนับสิบดวงก็สว่างขึ้น ทุกคนหันไปมองอย่างเลิ่กลั่กและสงสัยว่ามันมาจากไหน เช่นเดียวกับไอ้เหิมขยับปืนในมือเพิ่มความระวังให้ตัวเอง แล้วหันไปมองพรานขอม ซึ่งหน้าซีด ใจสั่น เพราะรู้ว่ากำลังเจอกับอะไร แต่ยังไม่ทันได้บอกให้ทุกคนระวัง ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักฉึกที่หน้าอกไอ้คนที่ยืนหน้าสุด
“อ้ากก”
มันมีโอกาสร้องแค่นั้นก็ล้มลงนอนหมดลมหายใจ คนที่เหลือต่างหันมามองหน้ากันอย่างตกใจ และก่อนจะมีใครพูดอะไรออกมาอีก ธนูอีกดอกก็ปักฉึกเข้าที่ขาอีกคน คราวนี้ทุกคนกระโดดหาที่หลบ เพราะได้กลิ่นความตาย ขวัญชนกถูกไอ้เหิมดึงไปหลบอยู่ข้างๆ มันกระชับปืนในมือไว้อย่างสุดแค้นที่ถูกลอบกัดและเสียลูกน้องไปสองคน จึงรัวกระสุนใส่แสงไฟที่เห็นอยู่ ลูกน้องที่เหลือก็ทำตาม
เสียงสาดกระสุนก็ดังขึ้นสนั่นป่า ประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างวาบ วาบ ก่อนจะจางหายและเงียบลงเพราะกระสุนหมด แต่แสงไฟยังอยู่ ทุกคนตื่นตระหนกที่ไม่อาจทำให้แสงนั้นดับไป และก่อนที่ใครจะคิดอะไรธนูอีกหลายดอกก็แหวกอากาศมาปักฉึก ฉึก ฉึก ฉึก
ไอ้เหิมเบิกตากว้างมองลูกน้องที่หมดลมหายใจไปเหมือนใบไม้ร่วง ลูกน้องที่เหลือก็ไม่ต่างกันและถามออกมาอย่างหวาดกลัว “เอาไงพี่”
“สู้ซิว่ะ”
“แต่กระสุนเราหมดแล้ว”
ไอ้เหิมขบฟันเมื่อตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำไง ลูกน้องที่เหลือเห็นท่าไม่ดีจึงไม่รอเพราะกลัวตาย พากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง “ระยำ” ไอ้เหิมสบถออกมาอย่างเจ็บใจและโกรธแค้นไอ้พวกลอบกัดมัน จึงหยิบปืนสั้นที่เหน็บไว้ที่ข้อเท้าออกมายิงไปที่แสงไฟไม่ยั้ง พรานขอมมองกระสุนที่หายไปอย่างไร้ค่าก็ขยับมาจับมือที่ลั่นไก ให้หยุด
“เลิกยิงแล้วหนีกันเถอะ ไม่งั้นได้ตายโหงอยู่ในป่านี้แน่ เราสู้พวกภูผาดำไม่ได้หรอก”
“ภูผาดำ” ไอ้เหิมทวนชื่ออย่างสงสัย “พวกมันเป็นใคร”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ รีบหนีก่อนเถอะ”
ไอ้เหิมไม่ขยับจะปักหลักสู้ แต่พรานขอมไม่สู้แล้ว “ไปเถอะ” ว่าแล้วก็หันหลังวิ่งเข้าป่าด้านหลัง ขณะที่ไอ้เหิมยังรีรอเหมือนไม่ยอม สุดท้ายก็หันไปกระชากแขนขวัญชนกให้ลุกขึ้นวิ่งตามพรานขอมไป แต่ธนูดอกหนึ่งแหวกอากาศมาปักฉึกเข้าที่ขามัน
“โอย” มันร้องขณะซวนเซจนล้มลงและเผลอปล่อยมือขวัญชนก ซึ่งกระเถิบถอยหลังหนีมันทันที แต่ถอยได้นิดเดียว ไอ้เหิมก็กัดฟันข่มความเจ็บขยับตามแต่พอจะคว้าตัวเธอ ธนูอีกดอกก็แหวกอากาศมาเฉียดแก้มมันไปปักต้นไม้ เลือดไหลซึมออกมาเปื้อนแก้มเป็นสัญญาณว่าความตายอยู่ตรงหน้า มันจึงตัดสินใจทิ้งเธอแล้ววิ่งกระเสือกกระสนตามพรานขอมไป
ขวัญชนกนั่งหน้าซีดตัวสั่นอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นหรือจะเดินหนีอีกแล้วเธอกระเถิบไปแอบใต้ต้นไม้ กลอกตามองซ้ายขวาพร้อมยกมือขึ้นกอดอกเพื่อข่มความกลัว แล้วหัวใจก็แทบจะหยุดเต้นเมื่อคนหลายคนโผล่ออกมาจากความมืด มายืนล้อมรอบตัวเธอ ก่อนจะถอยห่างไปเดินรอบๆ และกลับมาพร้อมคนที่หนีไม่รอด ลากมาผลักให้ล้มลงข้างเธอ... ขวัญชนกกำแขนจนเล็บจิกเนื้อเพื่อข่มความกลัว แล้วเงยหน้าขึ้นมองพวกที่ยืนล้อมเธออยู่ แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากดวงตาที่โผล่พ้นหน้าที่ผ้าปิดไว้
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาให้ได้ยิน นอกจากสายตาเยือกยะเย็นหลายคู่ที่มองมาจนขวัญชนกรู้สึกถึงความน่ากลัว เสียงรีดหริ่งเรไรจากไพรป่าที่ดังอยู่ ถูกกลบไปด้วยสายตาเหล่านี้ แล้วผงะไปข้างหลังเมื่อเจ้าของดวงตาคู่หนึ่งยื่นมือมาดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นแล้วลากให้เดินตามไป ... ขวัญชนกพยายามขืนตัวไว้ แต่ที่ทำก็เหมือนไม่ได้ทำเพราะแม้แต่แรงจะเดินเธอก็แทบจะไม่มี ได้แต่ปล่อยตัวให้ถูกลากไป และพยายามเหลียวมองซ้ายมองขวา เพื่อหาทางหนี แต่ดูจะเป็นทางตัน เพราะถูกรายล้อมไปด้วยความมืดและกลุ่มคนที่ปกปิดใบหน้าไว้หลังผ้าสีดำ
เมื่อไม่มีทางไป เธอก็หันมามองคนที่ลากเธออยู่ เขาสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ท่าทางทระนง ช่วงก้าวช่างราวมั่นคงราวหินผาที่ตระหง่านอยู่บนภูสูง มือหนาที่จับแขนเธอไว้แข็งแกร่งจนรู้สึกว่าถ้าเพียงแต่ขัดขืนนิดเดียวข้อมือเธอคงหัก ความหนาวเหน็บคืบคลานเข้ามาสู้ใจเธอยิ่งขึ้น เมื่อทางที่เดินไปคงไม่มีทางจะดีกว่าที่ผ่าน ... เธอไม่รู้ว่าเดินตามเขามานานแค่ไหน จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งมีม้าหลายตัวยืนอยู่ พวกมันมองมาก่อนจะพ่นลมออกมาจากจมูกอย่างรู้ว่าเจ้าของมันมาแล้ว และก่อนที่ขวัญชนกจะได้มองอะไรมากกว่านั้น ใจก็หายวาบ เพราะตัวถูกยกขึ้นไปนั่งบนหลังมัน
เธอกำผมที่ต้นคอมันไว้แน่นและข่มใจให้นิ่งเมื่อคนที่ลากเธอมาเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งซ้อนหลังเธอ สอดมือเข้าที่ข้างเอว จับเชือกที่อยู่บนคอม้าไว้ แล้วใช้เข่ากระแทกสีข้างมันให้เดิน อีกห้าคนที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน ตลอดเวลาการเดินทางนั้น ขวัญชนกพยายามทรงตัวไว้ไม่ให้เอนไปข้างหลัง แต่เพียงไม่นานความเหนื่อยล้าทำให้ตัวเธอเอนไปซบอกแกร่งอย่างไม่รู้ตัว และไม่รู้เลยว่าคนที่เธอพิงอกนั้นหรี่ตามองใบหน้านวลที่เห็นเพียงรางเลือน แล้วเลื่อนไปมองฝ่าความมืด เพื่อนำพาทุกคนไปสู่จุดหมาย
*********
ท่ามกลางความมืดมิดของป่า มีเพียงแสงของไฟฉายที่สว่างวาบๆเป็นบางครั้ง กลุ่มของพันโทอัศวินและลูกน้องที่เหลือสองคน ต่างยืนหอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังจากคิดว่าพวกมันไม่ตามมาล่าวิญญาณแล้ว มือของพันโทอัศวินกำแน่นก่อนจะชกต้นไม้ไม่ยั้ง แม้จะเจ็บเลือดจะไหล แต่ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในหัวใจ ที่มีทั้งความเสียใจ ความเกลียดชังตัวเอง เกลียดจนไม่รู้จะบรรยายยังไงที่ไม่สามารถช่วยลูกได้ และยังเห็นแก่ตัวทิ้งลูกมาอีก น้ำตาชายชาติทหารไหลลงอย่างไม่อาย เขามองปืนที่อยู่ในมือแล้วค่อยๆยกขึ้นจ่อที่ขมับ ลูกน้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่ก็ขยับเข้ามาห้ามทันที
“อย่าครับผู้พัน” หนึ่งในสองยึดมือผู้พันอัศวินอย่างตกใจ แววตามองเจ้านายอย่างสงสารและคาดไม่ถึงว่าผู้พันจะคิดสั้น แล้วดึงปืนที่พร้อมจะปลิดชีวิตเจ้านายมาถือไว้ “อย่าทำยังนี้เลยครับท่าน ชีวิตของท่านมีค่ากับคุณหนูมาก ท่านอย่าทำร้ายตัวเองและทำลายความหวังของคุณหนูเลยครับ”
“ใช่ครับ คุณหนูรอท่านอยู่นะครับ รอให้ท่านไปช่วย ถ้าท่านเป็นอะไรไป แล้วใครจะช่วยคุณหนูครับ”
น้ำคำของลูกน้องสองคนที่พูดให้สติ ทำให้พันโทอัศวินเริ่มรู้สึกตัว เขามองหน้าลูกน้องทั้งสองคนอย่างเสียใจที่อ่อนแอ แล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงต้นไม้อย่างหมดแรง นัยน์ตาแดงก่ำเพราะสะกั้นความเสียใจ และยังไม่รู้ว่าถ้ากลับบ้านไปโดยไม่มีลูกไปด้วย เขาจะบอกแม่ของลูกว่ายังไง
ลูกน้องทั้งสองคนเข้าใจความรู้สึกของผู้พันดีว่าคนที่เป็นทหาร ปกป้องอธิปไตย ปกป้องคนอื่นมามากมาย แต่กับเลือดในอกที่รักสุดหัวใจกลับปกป้องไม่ได้ มันรู้สึกเจ็บและปวดร้าวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ท่านครับ ผมวอบอกคนที่ฐาน ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางมาสมทบกับเราแล้วครับ อีกเดี๋ยวคงมาถึง”
พันโทอัศวินรับฟังและนั่งเงียบ ลูกน้องสองคนจึงพลอยเงียบไปด้วย ทั้งสามปล่อยให้เสียงของป่าขับกล่อมความทุกข์ร้อนในใจ ไม่นานคนที่ฐานประมาณเกือบสิบคนก็มาถึง พันโทอัศวินเงยหน้าขึ้น สบตาทุกคนที่เดินทางมาเพื่อเขา แล้วปัดความรู้สึกแสนเศร้าที่กัดกินใจออกไป ยืดตัวขึ้น นึกถึงลูก นึกถึงความเสียสละของลูก และความหวังของลูก เขาจะต้องไปช่วยลูกให้ได้ ร่างสูงยืนขึ้นอย่างทระนง ดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวของทหารกลับมา
ทั้งหมดทำความเคารพผู้บังคับบัญชาและยืนรอฟังคำสั่ง เมื่อรู้เหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ทุกคนก็เดินกลับไปที่ปะทะกับไอ้พวกชุดดำ แต่เมื่อไปถึง ไม่มีพวกมันอยู่แล้วรวมทั้งลูกเขาด้วย แม้จะค้นหารอบบริเวณก็ไม่มีร่องรอยปรากฏให้เห็น ...พันโทอัศวินชกต้นไม้ด้วยความเจ็บใจ แล้วสั่งให้ลูกน้องบางส่วนให้นำเพื่อนผู้เสียสละที่นอนหมดลมหายใจอยู่กลับฐาน ส่วนตัวเขาและคนที่เหลือจะแกะรอยพวกมันต่อ ทุกอย่างทำอย่างรีบเร่ง ด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มและห่วงใยลูกเป็นที่สุด
แต่เมื่อแกะรอยมาจนมาเจอพวกมันที่นอนเป็นผีเฝ้าป่า ทุกคนก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความรู้สึกถึงอันตรายที่อยู่รอบด้าน บรรยากาศโดยรอบเย็นจัด วังเวงวิเวกโหวงเหวงในอก เสียงนกร้องดังแหวกอากาศมาทำให้หลายคนขนแขนลุกชันกับความมืดที่น่าสะพรึงกลัวของป่า กลิ่นคาวเลือดยังไม่จากไปจากสายลมที่พัดหวีดหวิวในยามดึก กิ่งไม้และใบไม้ที่ต้องลมเสียดสีดังขึ้นเบาๆท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาลทำให้น่ากลัวมากขึ้นอีก
ไฟฉายหลายกระบอกส่องไปทั่วบริเวณ แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าที่เงียบงันและความมืดที่แสงจันทร์ถูกเมฆก้อนใหญ่บดบัง นายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้บัญชาการ หลังจากตรวจดูรอบบริเวณจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกมันมีชีวิตอยู่แถวนี้แล้ว
“ท่านครับ อันตรายเกินกว่าที่เราจะฝ่าเข้าไปอีก ถอยเพื่อรักษาชีวิต แล้วคอยกลับมาใหม่ดีกว่าครับท่าน
พันโทอัศวินกวาดตามองไปรอบบริเวณให้แน่ใจอีกครั้ง แม้ใจจะห่วงลูกมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีหน้าที่ที่สำคัญ อย่างหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องรักษาชีวิตลูกน้องไว้เพื่อรักษาแผ่นดินที่บรรพบุรุษสร้างมาเหมือนกัน เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวเอาชีวิตลูกน้องมาเพื่อเรื่องส่วนตัว และป่าด้านหน้าก็รกชัฏ อันตรายเกินกว่าจะฝ่าเข้าไปอย่างที่ลูกน้องเขาบอก และที่สำคัญมันมีอุปสรรคใหญ่คือความมืด
“ท่านครับ” พลทหารนายหนึ่งเรียกขึ้น เมื่อเห็นคนเป็นนายยืนนิ่ง พันโทอัศวินยกมือขึ้นห้ามไม่ให้พูดอะไรอีก แล้วบอกว่า
“ทุกคนกลับไปเถอะ ส่วนผมจะไปต่อ”
“ถ้าท่านไปก็เท่ากับท่านเอาชีวิตไปทิ้งนะครับ ท่านก็รู้ดีพอๆกับพวกเรา ว่าป่าลึกตรงหน้านั้นมันอันตรายแค่ไหน”
ใช่เขารู้ดีว่าป่าแทบนี้เป็นเขตของพวกภูผาดำ ถ้าใครล่วงล้ำเข้าไป ถ้าไม่ตายเป็นผี ก็พิกลพิการไปตลอดชีวิต ศพไอ้พวกที่นอนอยู่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกมันได้ล่วงล้ำเข้าไปในเขตห่วงห้ามนี้แล้ว แต่ถึงแม้เขาจะรู้ ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะความเป็นความตายของลูกอยู่ที่เขา และตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าลูกยังอยู่หรือจากไปแล้ว อกของคนเป็นพ่อเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งใจ จนกระบอกตาร้อนผ่าว ม่านน้ำตาเอ่อขึ้นมากลบดวงตาเขาอีกครั้ง แต่ต้องสกัดกลั้นมันไม่ให้ไหลออกมา
“แต่...”
“เชื่อพวกเราเถอะครับท่าน และอีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าใคร ฝ่ายไหน เป็นคนเอาตัวลูกสาวท่านไป ถ้าไม่ใช่พวกเขา แล้วเราบุกรุกเข้าไป ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ ไว้พรุ่งนี้เราจะมาแกะรอยต่อ เราจะไม่ทิ้งท่าน ทิ้งคุณหนูเด็ดขาด แต่ตอนนี้ท่านต้องรักษาชีวิตไว้นะครับ เพราะท่านเป็นความหวังเดียวของคุณหนู”
จริงซินะ เขาคือความหวังเดียวของลูก พันโทอัศวินมองไปในความมืดข้างหน้า แม้จะห่วงลูกสุดหัวใจ แต่เขาก็ยอมถอย เพื่อรักษาชีวิตไว้ ชีวิตที่เป็นความหวังเดียวของลูก ทุกคนถอยห่างกลับไปโดยไม่รู้ว่าในความมืดยังมีดวงตาอีกหลายคู่จ้องมองอยู่
********
ท่ามกลางความมืด ม้าหลายตัวยังคงทำหน้าที่พาคนเป็นนายไปยังจุดหมาย พวกมันเดินไต่ขึ้นไปตามทางคดเคี้ยวและสูงชั้นของภูเขา ทางเล็กๆที่เต็มไปด้วยก้อนหินและบางช่วงก็เลียบหน้าผา ทั้งๆที่มืดแต่ก็ไม่เป็นปัญหาทั้งม้าและคน เพราะความคุ้นเคยบวกความชำนาญในพื้นที่ การเดินทางที่ลำบากจึงไม่ลำบาก ขวัญชนกที่หลับพิงอกแกร่งไปเมื่อไหร่ไม่รู้เริ่มรู้สึกตัว ความอ่อนเพลียยังทำให้เธออ่อนแอ แต่ยังนิ่งเงียบเพราะต้องเก็บแรงไว้เพื่อบางอย่างที่รอคอย ไม่นานม้าทั้งหมดก็เดินขึ้นมาถึงยอดเขา ม้าสีดำตัวใหญ่ที่เดินนำหน้าตัวอื่นๆ หยุดอยู่ตรงลานกว้าง แสงจันทร์สีนวลที่เพิ่งโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ ส่องแสงลงมาให้เห็นเงาสูงใหญ่ของทุกคนอย่างรางเลือน
ชายสี่คนลงจากหลังม้ามายืนอยู่กลางลานหินพร้อมเชลยที่ลากมา ยกเว้นคนที่นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่สุดที่ยังไม่ลงมา ทุกคนยืนเงียบ ลูบจมูกม้า ตบต้นคอ และลูบหลังมันเบาๆ แต่ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ลงมายืนที่พื้น แล้วดึงร่างบางที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่บนหลังม้ามายืนพิงอก ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“จะทำไงกับไอ้คนนี้” เสียงหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น
“ขัง”
“พื้นพสุธาหรือวารี”
“พสุธา”
เสียงห้าวกระด้างบอกแล้วผลักร่างบางที่ยืนพิงอกไปให้อีกคน แต่จังหวะนั้นหญิงสาวที่อ่อนแอมาตลอดทาง กลับหมุนตัวแล้ววิ่งหนีหายไปในราตรี ชายห้าคนมองตามไปสลับกับหันมามองร่างสูงที่ยังยืนนิ่ง แล้วหนึ่งในสี่ก็จะขยับตาม แต่..
“ไม่ต้อง จัดการทางนี้ให้เรียบร้อยแล้วกลับไปพักได้”
พูดจบร่างสูงใหญ่ก็ออกเดินไปตามทางที่เชลยวิ่งหนีไป ห้าคนที่เหลือจึงมองตามไปจนกระทั่งร่างสูงหายไปในความมืด ก็ตวัดสายตากลับมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครพูดความคิดใดออกมา ต่างเก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น แล้วหนึ่งในสี่ก็จัดการทำตามคำสั่ง กระชากคอเชลยอีกคนไปขังไว้บนพื้นพสุธา ที่ไม่ใช่พื้นดินโล่งเตียน แต่เป็นพื้นที่มีกรงไม้หนามแหลม ไร้ทางหนี
ขวัญชนกวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างไร้ทิศทาง บางครั้งสะดุดรากไม้จนล้มลุกคลุกคลาน ก็ยังยันตัวลุกขึ้นวิ่งต่อไป ในสมองเธอมีแต่คำว่าหนี และต้องหนีให้รอด จนกระทั่งสะดุดรากไม้จนล้มคะมำ เธอก็ยังกัดฟันลุกขึ้นหนีต่อไปจนหมดแรงแทบก้าวขาไม่ออก ก็พาตัวเองไปนั่งพักพิงต้นไม้พลางมองความมืดที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวอย่างหวาดกลัว และผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงที่แปลกแตกต่างไปจากเสียงแมลงที่ร้องระงมอยู่รอบตัว
สายลมยามดึกหนาวจนต้องยกมือขึ้นมากอดอก ขวัญชนกชันเข่าแนบตัวแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าหาดาวที่พอจะนำทางพาเธอไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่แทบจะไม่เห็นเพราะความรกทึบของต้นไม้ ไม่ว่าจะพยายามมองยังไงก็ไม่เห็น น้ำตาจึงไหลออกมาอย่างหวาดกลัว
“พ่อขา”
ริมฝีปากอิ่มเรียกหาพ่อ พลางส่ายสายตามองหา น้ำตาก็ยิ่งไหลแล้วยกมือขึ้นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา ขอให้ช่วยดลบันดาลให้พ่อตามมาช่วยเธอ ขอให้เธอมีชีวิตรอดปลอดภัย กลับไปหาพ่อกับแม่ แล้วปาดน้ำตา กัดริมฝีปากข่มความคิดถึงที่จับจิตอยู่ให้ลึกสุดใจ บอกตัวเองให้เข้มแข็ง ยืดตัวขึ้นข่มความเสียใจพร้อมกับบอกตัวเองว่า เธอต้องหาทางออกจากป่านี้เพื่อไปหาท่านทั้งสองให้ได้
เมื่อความเข้มแข็งกลับมา ขวัญชนกก็ควานหากิ่งไม้มาถือไว้เพื่อไล่สัตว์ร้ายที่อาจจะคลานมาเจอ แล้วกัดเธอเข้า ขณะที่อีกมือก็คลำข้อเท้าตัวเองที่เจ็บจากการล้มลงเมื่อกี้ ไม่มีบาดแผล ทำให้เธอเบาใจขึ้นมา แล้วลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า แม้จะไม่รู้ทิศทาง แต่เธอก็ไม่อาจจะนั่งรอให้พวกที่จับตัวเธอมาเจอ แล้วลากเธอกลับไปได้ แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ยืนตัวแข็ง ใจแวบหายเพราะเงาดำที่โผล่มาขวางทาง
ขวัญชนกกำไม้ที่ถืออยู่ไว้แน่น เรียกใจให้กลับมาและบอกตัวเองว่าอย่างกลัว ไม่ว่าตรงหน้าจะเป็นผีหรือคน ภาวนาขออย่างเดียวอย่าให้เงาตรงหน้าเป็นคนที่พาตัวมาก็พอ แต่ไม่มีใครที่จะสมหวังไปเสียทุกอย่าง เมื่อเงานั่นก้าวออกมา แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ความรู้สึกบอกว่าคือคนที่เธอกำลังหนี ขวัญชนกไม่รออะไรอีกแล้ว เธอลืมความเหนื่อยความเจ็บ ออกวิ่งฝ่าความมืดไปทันที
ดวงตาคมมองตามไป ก่อนจะเร้นหายไปในความมืด ขวัญชนกไม่รู้ว่าวิ่งหนีมาไกลแค่ไหน ตัวเธอเริ่มหมดแรงเหนื่อยหอบจนแทบขาดใจ แม้สมองยังจะสั่งให้ร่างกายวิ่งต่อไป แต่ขาเธอไม่ไปตามคำสั่ง มันล้าและก้าวไปไม่ไหว เธอจึงหันไปมองข้างหลังอย่างหวาดกลัว แต่พอหันมาด้านหน้าก็ชนกับอกคนที่วิ่งหนีมา
“กรี๊ด” ขวัญชนกร้องออกมาสุดเสียงและผงะไปทั้งตัว ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปทางอื่น แต่ไปได้เพียงสองก้าวก็โดนกระชากตัวกลับมา เธอกระชากแขนกลับสุดแรงแต่ไม่หลุด เพราะคนจับจับไว้แน่น จึงเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้า แต่ไม่โดนแถมยังโดนบีบแขนจนร้อง “โอย” ออกมา แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ไม่รอโชคชะตาหรือความใจดีจากคนที่จับตัวเธอไว้เด็ดขาด เธอทำทุกอย่างเท่าที่แรงจะมี ทั้ง ดิ้น ชก แตะ ต่อย คนที่จับตัวไว้
แขนแข็งแรงปัดป้องมือบาง ขณะที่ดวงตาคมหรี่มองทักษะมวยงูๆปลาๆที่หญิงสาวใช้อย่างแปลกใจ แต่เพียงแวบเดียวก็หายไปดังลมพัดผ่านแล้วปล่อยมือจากร่างบาง “กรี๊ด”
ขวัญชนกร้องออกมาสุดเสียง เมื่อตัวเธอหงายไปข้างหลัง พลางไขว้คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว แต่คว้าได้แค่อากาศ ตัวเธอจึงร่วงลงไปข้างล่าง ทุกอย่างจบสิ้น เธอต้องจบชีวิต น้ำตาหยาดสุดท้ายร่วงรินเพราะสำนึกสุดท้ายของลมหายใจที่เหลือ คือพ่อแม่ แต่แล้วเพียงเสี้ยวคาบเกี่ยวความตายก็มีมือมาจับเธอไว้สุดปลายแขน ขวัญชนกรู้สึกถึงแรงดึงจึงแหงนหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยให้เธอรอดตายอย่างหวุดหวิด
“ถ้าดิ้นเพียงนิด ก้นเหวลึกข้างล่างจะกลายเป็นที่ฝั่งศพเธอ”
เสียงห้าวแฝงความเหี้ยมที่ดังขึ้น ทำให้กลไกในร่างกายของขวัญชนกหยุดนิ่ง ทั้งที่ใจเต้นระทึกด้วยความกลัวจนต้องกัดริมฝีปากไว้แน่น แต่อย่าหวังว่าจะมีคำอ้อนวอนขอให้ช่วย เธอพร้อมจะตาย
แววตาของคนจับหรี่ลงพร้อมค่อยๆปล่อยมือ เพื่อดูความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวแต่สุดท้ายสุดปลายข้อมือ แขนแข็งแกร่งก็ดึงตัวหญิงสาวขึ้นมา ขวัญชนกปล่อยลมหายใจที่เก็บเอาไว้ออกมาเฮือกใหญ่ ขณะสายลมพัดพาความเย็นยะเยือกขึ้นมาให้เธอรู้ถึงความล้ำลึกของหุบเหวที่เกือบจะกลายเป็นที่ฝังร่างเธอ แต่หุบเหวที่น่ากลัวคงไม่โหดร้ายเท่ากับนายร่างสูงคนนี้
“ลุกขึ้นมา”
เสียงกระด้างสั่งพลางเดินห่างจากหุบเหว ขวัญชนกกัดฟันยันตัวที่สั่นๆเพราะยังไม่หายกลัวขึ้นมา ก่อนจะเซไปข้างหลังเล็กน้อยเพราะความอ่อนแอ แล้วก้าวตามร่างสูงที่เดินนำไป แต่สมองและสองตาเธอไม่ได้อ่อนแอตามร่างกาย มันกำลังคิดพร้อมมองหาทางหนีอีกครั้ง ตราบใดที่เธอยังไม่สิ้นลมหายใจ คำว่าหนีก็จะไม่หายไปจากความคิดเธอ
“ถ้าอยากลงไปนอนอยู่ก้นเหวก็ลองทำดู”
เสียงเย็นยะเยือกที่ดังขึ้นทำให้ขวัญชนกขนลุกเพราะเขาพูดยังกับคนมีตาหลังและอ่านใจเธอออก ความคิดเธอหยุดชะงักไปนิด แล้วคิดต่อ ประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกายต่างเร่งทำงาน ตาดู หูฟัง สมองคิดเพื่อหาทางหนีอีกครั้ง และสิ่งที่เธอทำอยู่นี่เอง ทำให้เห็นแสงบางอย่างที่แวบออกมา แต่ยังไม่ทันได้คิดสงสัยอะไร ร่างสูงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็กระโจนมาคว้าตัวเธอพาล้มกลิ้งไปด้วยกัน และไม่ใช่แค่นั้นแสงนั้นยังแหวกความมืดมาใกล้ ให้กลิ้งหลบอีกหลายตลบ จนกระทั่ง พื้นดินที่รองรับตัวเธอกลายเป็นอากาศ ร่างกายร่วงลงสู่ความว่างเปล่า เสียงกรี๊ดร้องก็ดังขึ้น แล้วค่อยๆหายไปเหลือเพียงความเงียบ สายลม และความมืด
********
แสงสีทองเรืองรองขึ้นเหนือขอบฟ้า นกกาส่งเสียงร้องและโผผินบินขึ้นสู่เวหา หลังสันเขามหึมา ความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้นก็ขยับ ต้นไม้ใบหญ้าแกว่งไกวไปตามกระแสลมที่พัดมา รวมถึงสัตว์ทั้งหลายที่เริงร่าส่งเสียงรับแสงตะวันที่โผล่ขึ้นมาแทนแสงจันทรา... ท่ามกลางความซับซ้อนของภูเขาสูงใหญ่ ที่เรียกว่าภูผาดำ ควันไฟสีขาวลอยเอื่อยขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบทสวด ซึ่งดังขึ้นมาจากหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา เพื่อต้อนรับเช้าวันใหม่ มันเป็นบทสวดที่เหมือนคำอวยพร ให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในภูเขาแห่งนี้ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีแรงใจในการทำมาหากิน และสั่งสอนให้ทุกคนสมัครสมานสามัคคี ยกย่องและเชิดชูนายที่ปกครองภูผาดำ...
หลังจากบทสวดจบลง เสียงเกราะก็สั่นระรัว ดังไปทั่วหุบเขา ไม่นานม้าสีดำเกือบสิบตัวก็ควบออกมาจากหุบผาที่ซ่อนอยู่ในภูผาดำ เพื่อมุ่งสู่ยอดเขา ถิ่นพำนักของผู้ปกครองภูผาแห่งนี้ ถ้ามองจากยอดเขาใหญ่ก็จะเห็นว่า หุบผาที่ม้าทั้งหมดควบออกมานั้นตั้งเป็นแนวสามเหลี่ยมและไปบรรจบพบกันที่ลานผาคำ ที่ประชุมของนายแห่งหุบผาทุกคน
นายแห่งหุบผาคนแรกคือพยัค ฆโรราช ผู้ดูแลหุบผาแดง ใบหน้าคม รูปร่างสูงใหญ่ ควบม้าคู่กายสีดำข้อเท้าสีขาว มุ่งทะยานไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตามอีกสองคน คือสิงห์กับเสือ ที่ถือธงสัญลักษณ์สีเขียวมีหัวเสือคำรามตรงกลาง...พยัคนั้น ไร้คู่ เพราะภรรยาได้ตายจากไปสิบกว่าปีแล้ว ทิ้งลูกชายไว้ให้เขาดูต่างหน้าเพียงคนเดียว
นายแห่งหุบผาคนที่สองคือเมฆา ฆโรยา ผู้ดูแลหุบผาเหลือง หน้ามีรอยบากที่ขมับขวา ท่าทางแข็งกร้าว รูปร่างไม่สูงแต่หนา เขานั่งอยู่บนม้าสีนิลที่วิ่งไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตาม นายเมฆ ลูกชาย และไอ้หมอกลูกบุญธรรม ถือธงสัญลักษณ์สีฟ้ามีสายฟ้าฟาดอยู่ตรงกลาง ... เมฆานั้น มีเมียสองคน และมีลูกสาวที่เกิดจากเมียใหม่อีกคน ชื่อสร้อยฟ้า
นายแห่งหุบผาคนที่สามคือวิหค ฆโรดม ผู้ดูและหุบผาเขียว รูปร่างสูงโปร่ง ดูบอบบางแต่แววตาเจ้าเล่ห์ เขานั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว ที่ควบไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตาม นายเวหาลูกชายเขา และมือขวาคนสนิท พิชิต ที่ถือธงสีขาวมีรูปนกอินทรีอยู่ตรงกลาง... เวหานั้น มากรักหลายเมีย แต่มีเพียงคนเดียวที่เขายกย่องคือ นารี แม่ของเวหาและเวธิกาลูกสาวเขาอีกคน
นายแห่งหุบผาทั้งสามคนอยู่ในวัยกลางคน ขณะที่ลูกชายนั่นอยู่ในวัยฉกรรจ์ ส่วนผู้ติดตามนั้นนอกจากจะเป็นมือขวาแล้วยังเป็นคือกุนซือคู่คิดอีกด้วย ว่ากันว่านายแต่ละหุบเขา นั้นมีความลึกลับ น้อยคนที่จะพบเห็น
ม้าทั้งหมดวิ่งมาบรรจบกันตรงเส้นทางที่จะมุ่งไปสู่ลานผาคำ นายแต่ละหุบผาตวัดตามองหน้ากันแวบเดียว ก็หวดแส้ลงบนสะโพกของม้า เพื่อเพิ่มความเร็วให้ไปถึงยอดเขา
“ย้ากส์”
ม้าทุกตัวเหยียดฝีเท้าห้อไปตามแรงกระตุ้น ก่อนจะค่อยๆชะลอลงเมื่อถึงทางคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหน้าผาที่สูงชั้น ก่อนจะควบให้เร็วขึ้นแล้วมาสิ้นสุดลงตรงแนวป่า ทุกคนดึงเชือกบังคับม้าให้มันวิ่งเหยาะย่างไปเรื่อยๆ จนมาถึงผาคำ ลานหินกว้าง มีแนวไม้หนาล้อมอยู่โดยรอบ
สายตาทุกคู่มองตรงไปที่ลานหินกว้าง ที่มีเพิงอยู่สี่หลัง แต่ละหลังมุงด้วยหญ้าคา มีเก้าอีกไม้วางอยู่กลางเพิง และแคร่เล็กๆ ที่มีโถสีเงินและแก้วสองใบวางเคียงกัน ทั้งหมดเตรียมไว้สำหรับผู้นำของแต่ละหุบผา แต่มีหลังหนึ่งมีผ้าขนสัตว์ปูไว้ เพื่อผู้ปกครองภูผาดำ และแต่ละเพิงก็จะมีหญิงสาวหน้าตาหมดจดนั่งคุกเข่าเตรียมรับใช้อยู่ข้างแคร่ นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว กลางลานกว้างยังมีเชลยที่ถูกขังอยู่ในกรงไม้ด้วย
นายแห่งหุบผามองมันอย่างสนใจ แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่ถูกจับมาขังไว้กลางลานผาคำนี้ ถ้าไม่ใช่พวกเชลยก็เป็นคนที่คิดไม่ดีกับภูผาดำ เพื่อรอให้ผู้ปกครองของภูผามาพิจารณาโทษ ซึ่งตอนนี้ท่านยังไม่มา ลูกน้องคนสนิทของแต่ละหุบผา จึงกระแทกเข่าข้างตัวม้าให้เดินไปที่เพิง เอาธงประจำเขาปักไว้บนหลังคา แล้วก็ลงจากหลังม้ามายืนประสานมือกันไว้ข้างหน้า รอนายของตัวเองเดินมาถึง ก็จับขนที่คอม้าให้มันยืนนิ่ง จนนายของมันลงมาก็เอาม้าไปเก็บ เสร็จแล้วก็รีบมายืนอยู่ข้างๆเพื่ออารักขา
นายแต่ละหุบผาเดินเข้าไปนั่งในเพิง พร้อมผู้ติดตาม นั่งเยื้องมาข้างหลัง หญิงสาวที่คุกเข่ารออยู่ รีบรินน้ำสีขาวขุ่นจากโถสีเงินใส่แก้ว ยื่นให้อย่างนอบน้อม ทุกคนดื่มน้ำหมัก ดีกรีบาดคอเรียกเลือดลมให้อุ่นขึ้น คนละแก้วสองแก้ว แล้วก็หันหน้าไปพูดคุยกัน
“สบายดีเหรอท่านวิหค”
“ข้าสบายดี แต่คงไม่เท่าท่าน ที่เพิ่งค้นพบแร่ทองในพื้นที่ด้วยเองใช่ไหม ท่านเมฆา”
“ฮะๆๆๆ” เจ้าของชื่อหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วบอกว่า “สายตาท่านนี่กว้างสมชื่อวิหคที่เหินอยู่บนฟ้าจริงๆ แค่แร่ทองเล็กๆของข้าท่านยังมองเห็นอีก ... แล้วท่านละท่านพยัค สบายดีไหม?”
“ข้าก็เหมือนพวกท่าน สบายดี แล้วพวกเจ้าล่ะ เวหา เมฆ สบายดีใช่ไหม”
“สบายดีครับท่านพยัค” ทั้งสองหนุ่มตอบออกมาอย่างนอบน้อม
“แล้วลูกชายท่านละ วันนี้ไม่มาด้วยเหรอ”
“เขามีงานต้องทำพวกท่านก็รู้ จึงมาไม่ได้ แล้วสร้อยฟ้า ลูกสาวท่านละเมฆา วันนี้นางไม่มาด้วยเหรอ”
“นางก็อยากจะมาร่วมสังสรรค์ในวันนี้ แต่ติดที่ต้องตามแม่ไปดูแลคนป่วยเท่านั้นเอง น่าเสียดาย ถ้านางมา คงได้เป็นเพื่อนคุยกับลูกชายพวกท่าน”
ทุกคนทักทายกันด้วยน้ำใสไมตรี แต่เบื้องล่างน้ำใสนั้นมักจะมีตะกอนขุ่นๆ ที่ใครๆต่างก็ปกปิดไว้ แล้วนั่งรอผู้ปกครองแห่งภูผาดำ ซึ่งเพียงแสงตะวันลอยขึ้นถึงหลังคาเพิง ธงสีดำผืนใหญ่ มีดวงตาลึกลับอยู่ตรงกลาง สัญลักษณ์ของผู้ปกครองภูผาดำ ก็โผล่มาให้เห็น ... ม้าสีดำทมิฬ นำพาเขามาพร้อมผู้ติดตามอีกสี่คน เมื่อมาถึง นายแต่ละหุบผาก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับ พอผู้ปกครองภูผาดำลงจากม้าเดินเข้ามายืนอยู่ในเพิง ทุกคนก็ก้มหน้าแสดงความเคารพ และรอจนนายนั่งลง ทุกคนจึงนั่งตาม
ผู้เฒ่าโพธิ์ ฆโรราช ผู้ปกครองภูผาดำ ผู้นำนายแห่งหุบผา ผู้หยั่งรู้ชะตาฟ้าลิขิต เป็นชายชราวัยเจ็ดสิบ หนวดเครารุงรังและขาวโผลน มีหน้าที่ดูแลคลังสมบัติของทุกคนคือป่าไม้และแร่ธาตุมากมายที่อยู่บนภูผาแห่งนี้ ผู้เฒ่าโพธิ์ยกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นชูพร้อมกับเอ่ยต้อนรับนายแห่งหุบผาทุกคน
“ดีใจที่ได้พบพวกท่านในวันนี้ พวกท่านสบายดีใช่ไหม”
“พวกข้าสบายดี ท่านผู้เฒ่า”
พยัคตอบแทนทุกคน แล้วดึงมีดจากเอวมาปาไปปักกลางลานผาคำ เป็นสัญลักษณ์ให้คนของนายแห่งหุบผา นำเงินทองที่ได้มาจากการขายทรัพย์ในดินคือแร่ธาตุและป่าไม้ ในหุบผาของตน มาให้ผู้ปกครองภูผาดำครึ่งหนึ่ง เพื่อเก็บไว้เป็นคลังสมบัติที่หล่อเลี้ยงทุกคนที่อยู่ใต้ภูผาดำ ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
“หุบผาของข้าได้ทองมาสิบกิโล” พยัคเอ่ยออกมาเป็นคนแรก เมฆาจึงเอ่ยเป็นคนต่อมา
“ของข้าได้มาเก้ากิโล และเงินอีกหนึ่งล้าน”
“ของข้าก็เหมือนของท่านเมฆา” เวหาเป็นคนพูดสุดท้าย
เงินทองที่กองอยู่กลางลาน สะท้อนเป็นเงาอยู่ในตาของทุกคน ซึ่งต่างก็ซ่อนความคิดต่างๆไว้ในแววตาที่ว่างเปล่า ผู้เฒ่าโพธิ์มองเข้าไปในแววตาของทุกคน แม้จะไม่สามารถหยั่งลึกไปถึงจิตใจที่ซ่อนลึกอยู่ในอกด้านซ้าย แต่ใช่ว่าจะไม่รู้เสียเลยว่าคนในปกครองนั้นเป็นอย่างไร
“เสียงเกราะที่ระรัวขึ้นเมื่อเช้า นอกจากเรื่องที่เราต้องมาประชุมกันเป็นประจำแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมาบอกเล่าพวกเจ้าด้วย” ผู้เฒ่าโพธิ์บอกพลางมองไปที่กรงไม้กลางลานหิน “มันเป็นหนึ่งในคนที่บุกรุกเข้ามาในภูผาดำของเรา ผู้พิทักษ์ของเรา จับตัวมันมาได้ ข้าจึงเชิญพวกเจ้ามาสอบมันด้วยกัน ว่ามันเป็นใครมาจากไหน และมาโผล่ในภูผาของเราได้ยังไง”
นายแห่งหุบผาทั้งสามคนจ้องไปที่ไอ้คนที่อยู่ในกรง พิจารณาลักษณะท่าทางของมันอย่างถี่ถ้วน ชุดทหารที่ใส่ทำให้ทั้งสามคนสงสัยว่ามันเป็นจริงหรือแอบอ้างมา ถ้าเป็นจริงก็ต้องปิดตาก่อนจะปล่อยมันไป เพราะไม่อยากมีปัญหากับพวกทหาร แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จัดการไม่ให้มันมีปากไปบอกใครได้อีก และท่าทางของมันคงจะเป็นพวกกระจอกมากกว่าจะเป็นนาย
“ข้าจะขอสอบมันเองท่านผู้เฒ่า” เมฆาขันอาสาออกมา “แต่ถ้ามันไม่พูด ไม่บอกอะไร ข้าจะปลิดลมหายใจมันได้ไหมท่าน”
“จะไม่รีบจัดการมันไปหน่อยหรือท่านเมฆา” พยัคทักท้วงออกมา
“นั่นนะซิ ยังไม่ทันได้ถามสักคำ ก็คิดไปถึงจะฆ่ามันแล้ว มีอะไรหรือเปล่าท่าน”
คำถามเหมือนเย้าแหย่ของเวหานั้น ทำให้เมฆาเบือนหน้าไปตอบ “ไม่มีหรอกท่าน แต่พวกท่านนะซิรีบทักท้วงข้า มีอะไรหรือเปล่า”
พยัคกับเวหาปรายตามองหากัน แล้วหัวเราะออกมาเหมือนหยอกเย้ากันเล่น แต่ในใจที่ไม่มีใครเห็นนั้นต่างก็คิดไปคนละอย่าง
ผู้เฒ่าโพธิ์ที่นั่งฟังอยู่อย่างสงบ จึงบอกว่า “ข้าจะให้ผู้พิทักษ์จัดการ” พูดจบผู้เฒ่าก็ลุกขึ้น เดินไปขึ้นม้ากลับที่พัก นายแห่งหุบผาทั้งสามคุกเข่าคำนับ พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจากไป ก็ลุกขึ้นยืน ปรายตามองหน้ากันแต่ต่างเก็บงำความรู้สึกต่างๆไว้ แล้วลุกขึ้นเดินไปขึ้นม้ากลับหุบผาของตัวเอง
*********
สายลมที่พัดแผ่วซอกซอนไปทั่วพนาไพร หยาดน้ำค้างปนน้ำฝนที่ยังค้างอยู่บนใบไม้ตั้งแต่เมื่อคืน ค่อยๆไหลมาร่วมกันแล้วหยดย้อยลงสู่พื้นดิน ที่มีใบไม้หลากหลายสีปกคลุมเสมือนพรมที่ถูกวาดไว้อย่างสวยงาม และยังรองรับร่างของสองคนไว้ด้วย ทั้งคู่นอนนิ่งเหมือนไม่มีชีวิต มีแต่เพียงหัวใจใต้อกซ้ายที่สะท้อนให้เห็นว่ายังมีลมหายใจอยู่ สายลมที่พัดมาทำให้น้ำค้างปนน้ำฝนที่ค้างอยู่บนใบไม้ลอยลิ่วลงมาโดนทั้งคู่ด้วย
ดวงตาคู่หนึ่งของหนึ่งในสอง กะพริบขึ้นสองสามครั้ง ก็ลืมขึ้น ม่านตาขยับปรับภาพที่เห็นสีเขียวของใบไม้สะท้อนเข้ามาในดวงตาก่อนจะแจ่มชัดรับรู้ภาพทุกอย่างที่เห็น ป่าไม้เขียวครึ้มมีแสงแดดทอแสงลอดลงมาเหมือนสายรุ่งพาดผ่านพื้นดิน เสียงนกหลายชนิดกับแมลงนับร้อยที่อาศัยอยู่ในป่านี้ส่งเสียงร้องขับขานลำเนาไพรออกมาให้คนที่รู้สึกตัวได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่
ขวัญชนกยันตัวลุกขึ้นนั่ง ด้วยสีหน้าเจ็บปวดเพราะเจ็บร้าวไปทั้งตัว แล้วกลอกสายตามองซ้ายขวา ก่อนจะหยุดนิ่งที่คนที่นอนนิ่งอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่ รูปร่างที่เห็นเรียกความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนสติจะดับไป ... เสียงกรีดร้องดังลั่นเหมือนมีใครมาพรากวิญญาณให้ชีวิตดับสูญ ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว แล้วทำไมเธอถึงยังไม่ตาย หญิงสาวถามตัวเอง และได้คำตอบว่า คงเป็นเพราะผู้ชายคนนี้ เธอจ้องที่ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าสีดำ และสงสัยว่าเขาตายหรือยัง แต่เธอจะสนใจทำไม ตอนนี้ที่ต้องทำคือ...หนี
คิดแล้วขวัญชนกก็มองไปรอบตัวเพื่อมองหาทางหนี แต่เมื่อละสายตากลับมาเพื่อยันตัวลุกขึ้น ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นดวงตาที่ปิดสนิทลืมขึ้นจ้องเธอ เธอถอยร่นทันที แล้วกรี๊ดลั่นเมื่อมือหนายื่นมาจับข้อเท้าไว้ ขาอีกข้างก็ถีบมือที่จับขา ขณะที่สองมือก็ไขว้คว้าหาที่ยึด จนจับท่อนไม้ได้ เธอคว้ามามาฟาดใส่ร่างสูงดัง “โปก”
ขวัญชนกไม่สนใจว่าจะถูกส่วนไหน ขอแค่หลุดออกมาจากพันธนาการก็พอ เขาปล่อยมือเธอก็ลุกขึ้นวิ่ง แต่ “โอ๊ะ”ร่างบางถลาเหมือนนกปีกหักเพราะถูกรวบตัวจนล้มกลิ้งไปสองสามตลบ ร่างสูงใหญ่กดทับร่างบางไว้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมจำนน ขวัญชนกดิ้นอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้หลุดพ้น ทั้งขาทั้งมือประสานกันประเคนลงบนร่างสูง
“ปล่อย ไอ้คนเลว ปล๊อย ไอ้คนชั่ว” เธอกรีดเสียงด่าออกมาลั่นป่า และเสียงก็หายไป เมื่อลมหายใจเริ่มติดขัด เพราะมือหนาที่กดอยู่บนลำคอ เนื้อตัวเหมือนจะเป็นอัมพาต แต่สายตาจ้องหน้าใต้ผ้าดำอย่างเกลียดชัง และอย่าคิดว่าเธอจะกลัวตาย สองมือกำเข้าหากันเพื่อสร้างแรงฮึดให้ตัวเอง ดวงตาคมปรายตามอง ก่อนจะเตือนด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“ถ้าขยับนิดเดียว ฉันจะหักคอเธอ”
ขวัญชนกเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่กลัว สายตาจ้องตอบอย่างห้าวหาญ แล้วต้องกะพริบตาเมื่อมีบางอย่างหยดลงโดนแก้ม ความอุ่นวาบทำให้เธอเปิดตาขึ้นมอง เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากขมับหยดลงมาที่แก้มพร้อมๆกับร่างสูงที่ค่อยๆล้มลงบนตัวเธอ ขวัญชนกนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะผลักร่างสูงออกจากตัว แล้วยันตัวขึ้นยืน หมุนตัวจะก้าวหนี แต่...อะไรบางอย่างทำให้ใบหน้างามหันมามองร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง พร้อมกับถามตัวเองว่าเธอจะใจดำหนีไปหรือปล่อยให้เขาตายดี
********
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ตอน 2
พรานขอมคนนำทางของไอ้เหิม ขนแขนลุกไปทั้งตัว เพราะกิตติศักดิ์ความน่ากลัวที่ได้ยินมา แล้วรีบสลัดชื่อนี้ออกไปจากความคิด ตั้งสติหาทางออก หาร่องรอยสัญลักษณ์ที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็ไม่มีให้มันชื่นใจเลย จึงต้องสุ่มเดา ก่อนจะหันกลับมาบอกไอ้เหิมว่า
“ให้คนของนายช่วยถางทางด้านนั้นแล้วเราจะได้เดินทางต่อ”
“ได้” ไอ้เหิมรับปากแล้วสั่งลูกน้องให้ไปจัดการ “เร่งมือกันหน่อยโว้ย”
ทุกคนต่างช่วยกันไม่เว้นมันที่เข้าไปช่วยด้วย ขณะที่ขวัญชนกที่ฟังพวกมันพูดกัน ก็คิดว่า ถ้าพวกมันหลงทางจริงๆ เธอจะทำยังไง ยังจะหาทางหนีอีกหรือเปล่า และถ้าหนีไปได้ เธอจะออกจากป่านี้ไปได้ยังไง และถ้าออกไปไม่ได้ คงต้องตายอยู่ในป่า หรือจะยอมตามพวกมันไปเพื่อให้พ้นจากป่านี้ก่อน แล้วค่อยหนี เธอครุ่นคิดอย่างหนัก และต้องหยุดความคิด เมื่อพวกมันเดินมาดึงให้เธอลุกขึ้น และเดินไปตามทางที่ได้ถากไว้
ทุกคนเดินตามกันไปเรื่อยๆแต่ผ่านมาเป็นชั่วโมง ก็ยังไม่หลุดออกจากป่ามาสู่ที่โล่ง ซึ่งเป็นที่นัดหมาย ไอ้เหิมโกรธถึงกับเดินมากระชากไหล่พรานขอม ชี้ให้ดูรอบๆป่า ที่ยังมืดมิดพลางถามเสียงกร้าว
“หมายความว่าไง ทำไมถึงยังไม่เจอทางออก”
พรานขอมมีสีหน้าอึดอัด แต่ยังไม่ได้ให้คำตอบ ดวงไฟนับสิบดวงก็สว่างขึ้น ทุกคนหันไปมองอย่างเลิ่กลั่กและสงสัยว่ามันมาจากไหน เช่นเดียวกับไอ้เหิมขยับปืนในมือเพิ่มความระวังให้ตัวเอง แล้วหันไปมองพรานขอม ซึ่งหน้าซีด ใจสั่น เพราะรู้ว่ากำลังเจอกับอะไร แต่ยังไม่ทันได้บอกให้ทุกคนระวัง ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักฉึกที่หน้าอกไอ้คนที่ยืนหน้าสุด
“อ้ากก”
มันมีโอกาสร้องแค่นั้นก็ล้มลงนอนหมดลมหายใจ คนที่เหลือต่างหันมามองหน้ากันอย่างตกใจ และก่อนจะมีใครพูดอะไรออกมาอีก ธนูอีกดอกก็ปักฉึกเข้าที่ขาอีกคน คราวนี้ทุกคนกระโดดหาที่หลบ เพราะได้กลิ่นความตาย ขวัญชนกถูกไอ้เหิมดึงไปหลบอยู่ข้างๆ มันกระชับปืนในมือไว้อย่างสุดแค้นที่ถูกลอบกัดและเสียลูกน้องไปสองคน จึงรัวกระสุนใส่แสงไฟที่เห็นอยู่ ลูกน้องที่เหลือก็ทำตาม
เสียงสาดกระสุนก็ดังขึ้นสนั่นป่า ประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างวาบ วาบ ก่อนจะจางหายและเงียบลงเพราะกระสุนหมด แต่แสงไฟยังอยู่ ทุกคนตื่นตระหนกที่ไม่อาจทำให้แสงนั้นดับไป และก่อนที่ใครจะคิดอะไรธนูอีกหลายดอกก็แหวกอากาศมาปักฉึก ฉึก ฉึก ฉึก
ไอ้เหิมเบิกตากว้างมองลูกน้องที่หมดลมหายใจไปเหมือนใบไม้ร่วง ลูกน้องที่เหลือก็ไม่ต่างกันและถามออกมาอย่างหวาดกลัว “เอาไงพี่”
“สู้ซิว่ะ”
“แต่กระสุนเราหมดแล้ว”
ไอ้เหิมขบฟันเมื่อตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำไง ลูกน้องที่เหลือเห็นท่าไม่ดีจึงไม่รอเพราะกลัวตาย พากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง “ระยำ” ไอ้เหิมสบถออกมาอย่างเจ็บใจและโกรธแค้นไอ้พวกลอบกัดมัน จึงหยิบปืนสั้นที่เหน็บไว้ที่ข้อเท้าออกมายิงไปที่แสงไฟไม่ยั้ง พรานขอมมองกระสุนที่หายไปอย่างไร้ค่าก็ขยับมาจับมือที่ลั่นไก ให้หยุด
“เลิกยิงแล้วหนีกันเถอะ ไม่งั้นได้ตายโหงอยู่ในป่านี้แน่ เราสู้พวกภูผาดำไม่ได้หรอก”
“ภูผาดำ” ไอ้เหิมทวนชื่ออย่างสงสัย “พวกมันเป็นใคร”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ รีบหนีก่อนเถอะ”
ไอ้เหิมไม่ขยับจะปักหลักสู้ แต่พรานขอมไม่สู้แล้ว “ไปเถอะ” ว่าแล้วก็หันหลังวิ่งเข้าป่าด้านหลัง ขณะที่ไอ้เหิมยังรีรอเหมือนไม่ยอม สุดท้ายก็หันไปกระชากแขนขวัญชนกให้ลุกขึ้นวิ่งตามพรานขอมไป แต่ธนูดอกหนึ่งแหวกอากาศมาปักฉึกเข้าที่ขามัน
“โอย” มันร้องขณะซวนเซจนล้มลงและเผลอปล่อยมือขวัญชนก ซึ่งกระเถิบถอยหลังหนีมันทันที แต่ถอยได้นิดเดียว ไอ้เหิมก็กัดฟันข่มความเจ็บขยับตามแต่พอจะคว้าตัวเธอ ธนูอีกดอกก็แหวกอากาศมาเฉียดแก้มมันไปปักต้นไม้ เลือดไหลซึมออกมาเปื้อนแก้มเป็นสัญญาณว่าความตายอยู่ตรงหน้า มันจึงตัดสินใจทิ้งเธอแล้ววิ่งกระเสือกกระสนตามพรานขอมไป
ขวัญชนกนั่งหน้าซีดตัวสั่นอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นหรือจะเดินหนีอีกแล้วเธอกระเถิบไปแอบใต้ต้นไม้ กลอกตามองซ้ายขวาพร้อมยกมือขึ้นกอดอกเพื่อข่มความกลัว แล้วหัวใจก็แทบจะหยุดเต้นเมื่อคนหลายคนโผล่ออกมาจากความมืด มายืนล้อมรอบตัวเธอ ก่อนจะถอยห่างไปเดินรอบๆ และกลับมาพร้อมคนที่หนีไม่รอด ลากมาผลักให้ล้มลงข้างเธอ... ขวัญชนกกำแขนจนเล็บจิกเนื้อเพื่อข่มความกลัว แล้วเงยหน้าขึ้นมองพวกที่ยืนล้อมเธออยู่ แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากดวงตาที่โผล่พ้นหน้าที่ผ้าปิดไว้
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาให้ได้ยิน นอกจากสายตาเยือกยะเย็นหลายคู่ที่มองมาจนขวัญชนกรู้สึกถึงความน่ากลัว เสียงรีดหริ่งเรไรจากไพรป่าที่ดังอยู่ ถูกกลบไปด้วยสายตาเหล่านี้ แล้วผงะไปข้างหลังเมื่อเจ้าของดวงตาคู่หนึ่งยื่นมือมาดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นแล้วลากให้เดินตามไป ... ขวัญชนกพยายามขืนตัวไว้ แต่ที่ทำก็เหมือนไม่ได้ทำเพราะแม้แต่แรงจะเดินเธอก็แทบจะไม่มี ได้แต่ปล่อยตัวให้ถูกลากไป และพยายามเหลียวมองซ้ายมองขวา เพื่อหาทางหนี แต่ดูจะเป็นทางตัน เพราะถูกรายล้อมไปด้วยความมืดและกลุ่มคนที่ปกปิดใบหน้าไว้หลังผ้าสีดำ
เมื่อไม่มีทางไป เธอก็หันมามองคนที่ลากเธออยู่ เขาสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ท่าทางทระนง ช่วงก้าวช่างราวมั่นคงราวหินผาที่ตระหง่านอยู่บนภูสูง มือหนาที่จับแขนเธอไว้แข็งแกร่งจนรู้สึกว่าถ้าเพียงแต่ขัดขืนนิดเดียวข้อมือเธอคงหัก ความหนาวเหน็บคืบคลานเข้ามาสู้ใจเธอยิ่งขึ้น เมื่อทางที่เดินไปคงไม่มีทางจะดีกว่าที่ผ่าน ... เธอไม่รู้ว่าเดินตามเขามานานแค่ไหน จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งมีม้าหลายตัวยืนอยู่ พวกมันมองมาก่อนจะพ่นลมออกมาจากจมูกอย่างรู้ว่าเจ้าของมันมาแล้ว และก่อนที่ขวัญชนกจะได้มองอะไรมากกว่านั้น ใจก็หายวาบ เพราะตัวถูกยกขึ้นไปนั่งบนหลังมัน
เธอกำผมที่ต้นคอมันไว้แน่นและข่มใจให้นิ่งเมื่อคนที่ลากเธอมาเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งซ้อนหลังเธอ สอดมือเข้าที่ข้างเอว จับเชือกที่อยู่บนคอม้าไว้ แล้วใช้เข่ากระแทกสีข้างมันให้เดิน อีกห้าคนที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน ตลอดเวลาการเดินทางนั้น ขวัญชนกพยายามทรงตัวไว้ไม่ให้เอนไปข้างหลัง แต่เพียงไม่นานความเหนื่อยล้าทำให้ตัวเธอเอนไปซบอกแกร่งอย่างไม่รู้ตัว และไม่รู้เลยว่าคนที่เธอพิงอกนั้นหรี่ตามองใบหน้านวลที่เห็นเพียงรางเลือน แล้วเลื่อนไปมองฝ่าความมืด เพื่อนำพาทุกคนไปสู่จุดหมาย
*********
ท่ามกลางความมืดมิดของป่า มีเพียงแสงของไฟฉายที่สว่างวาบๆเป็นบางครั้ง กลุ่มของพันโทอัศวินและลูกน้องที่เหลือสองคน ต่างยืนหอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังจากคิดว่าพวกมันไม่ตามมาล่าวิญญาณแล้ว มือของพันโทอัศวินกำแน่นก่อนจะชกต้นไม้ไม่ยั้ง แม้จะเจ็บเลือดจะไหล แต่ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในหัวใจ ที่มีทั้งความเสียใจ ความเกลียดชังตัวเอง เกลียดจนไม่รู้จะบรรยายยังไงที่ไม่สามารถช่วยลูกได้ และยังเห็นแก่ตัวทิ้งลูกมาอีก น้ำตาชายชาติทหารไหลลงอย่างไม่อาย เขามองปืนที่อยู่ในมือแล้วค่อยๆยกขึ้นจ่อที่ขมับ ลูกน้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่ก็ขยับเข้ามาห้ามทันที
“อย่าครับผู้พัน” หนึ่งในสองยึดมือผู้พันอัศวินอย่างตกใจ แววตามองเจ้านายอย่างสงสารและคาดไม่ถึงว่าผู้พันจะคิดสั้น แล้วดึงปืนที่พร้อมจะปลิดชีวิตเจ้านายมาถือไว้ “อย่าทำยังนี้เลยครับท่าน ชีวิตของท่านมีค่ากับคุณหนูมาก ท่านอย่าทำร้ายตัวเองและทำลายความหวังของคุณหนูเลยครับ”
“ใช่ครับ คุณหนูรอท่านอยู่นะครับ รอให้ท่านไปช่วย ถ้าท่านเป็นอะไรไป แล้วใครจะช่วยคุณหนูครับ”
น้ำคำของลูกน้องสองคนที่พูดให้สติ ทำให้พันโทอัศวินเริ่มรู้สึกตัว เขามองหน้าลูกน้องทั้งสองคนอย่างเสียใจที่อ่อนแอ แล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงต้นไม้อย่างหมดแรง นัยน์ตาแดงก่ำเพราะสะกั้นความเสียใจ และยังไม่รู้ว่าถ้ากลับบ้านไปโดยไม่มีลูกไปด้วย เขาจะบอกแม่ของลูกว่ายังไง
ลูกน้องทั้งสองคนเข้าใจความรู้สึกของผู้พันดีว่าคนที่เป็นทหาร ปกป้องอธิปไตย ปกป้องคนอื่นมามากมาย แต่กับเลือดในอกที่รักสุดหัวใจกลับปกป้องไม่ได้ มันรู้สึกเจ็บและปวดร้าวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ท่านครับ ผมวอบอกคนที่ฐาน ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางมาสมทบกับเราแล้วครับ อีกเดี๋ยวคงมาถึง”
พันโทอัศวินรับฟังและนั่งเงียบ ลูกน้องสองคนจึงพลอยเงียบไปด้วย ทั้งสามปล่อยให้เสียงของป่าขับกล่อมความทุกข์ร้อนในใจ ไม่นานคนที่ฐานประมาณเกือบสิบคนก็มาถึง พันโทอัศวินเงยหน้าขึ้น สบตาทุกคนที่เดินทางมาเพื่อเขา แล้วปัดความรู้สึกแสนเศร้าที่กัดกินใจออกไป ยืดตัวขึ้น นึกถึงลูก นึกถึงความเสียสละของลูก และความหวังของลูก เขาจะต้องไปช่วยลูกให้ได้ ร่างสูงยืนขึ้นอย่างทระนง ดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวของทหารกลับมา
ทั้งหมดทำความเคารพผู้บังคับบัญชาและยืนรอฟังคำสั่ง เมื่อรู้เหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ทุกคนก็เดินกลับไปที่ปะทะกับไอ้พวกชุดดำ แต่เมื่อไปถึง ไม่มีพวกมันอยู่แล้วรวมทั้งลูกเขาด้วย แม้จะค้นหารอบบริเวณก็ไม่มีร่องรอยปรากฏให้เห็น ...พันโทอัศวินชกต้นไม้ด้วยความเจ็บใจ แล้วสั่งให้ลูกน้องบางส่วนให้นำเพื่อนผู้เสียสละที่นอนหมดลมหายใจอยู่กลับฐาน ส่วนตัวเขาและคนที่เหลือจะแกะรอยพวกมันต่อ ทุกอย่างทำอย่างรีบเร่ง ด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มและห่วงใยลูกเป็นที่สุด
แต่เมื่อแกะรอยมาจนมาเจอพวกมันที่นอนเป็นผีเฝ้าป่า ทุกคนก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความรู้สึกถึงอันตรายที่อยู่รอบด้าน บรรยากาศโดยรอบเย็นจัด วังเวงวิเวกโหวงเหวงในอก เสียงนกร้องดังแหวกอากาศมาทำให้หลายคนขนแขนลุกชันกับความมืดที่น่าสะพรึงกลัวของป่า กลิ่นคาวเลือดยังไม่จากไปจากสายลมที่พัดหวีดหวิวในยามดึก กิ่งไม้และใบไม้ที่ต้องลมเสียดสีดังขึ้นเบาๆท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาลทำให้น่ากลัวมากขึ้นอีก
ไฟฉายหลายกระบอกส่องไปทั่วบริเวณ แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าที่เงียบงันและความมืดที่แสงจันทร์ถูกเมฆก้อนใหญ่บดบัง นายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้บัญชาการ หลังจากตรวจดูรอบบริเวณจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกมันมีชีวิตอยู่แถวนี้แล้ว
“ท่านครับ อันตรายเกินกว่าที่เราจะฝ่าเข้าไปอีก ถอยเพื่อรักษาชีวิต แล้วคอยกลับมาใหม่ดีกว่าครับท่าน
พันโทอัศวินกวาดตามองไปรอบบริเวณให้แน่ใจอีกครั้ง แม้ใจจะห่วงลูกมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีหน้าที่ที่สำคัญ อย่างหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องรักษาชีวิตลูกน้องไว้เพื่อรักษาแผ่นดินที่บรรพบุรุษสร้างมาเหมือนกัน เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวเอาชีวิตลูกน้องมาเพื่อเรื่องส่วนตัว และป่าด้านหน้าก็รกชัฏ อันตรายเกินกว่าจะฝ่าเข้าไปอย่างที่ลูกน้องเขาบอก และที่สำคัญมันมีอุปสรรคใหญ่คือความมืด
“ท่านครับ” พลทหารนายหนึ่งเรียกขึ้น เมื่อเห็นคนเป็นนายยืนนิ่ง พันโทอัศวินยกมือขึ้นห้ามไม่ให้พูดอะไรอีก แล้วบอกว่า
“ทุกคนกลับไปเถอะ ส่วนผมจะไปต่อ”
“ถ้าท่านไปก็เท่ากับท่านเอาชีวิตไปทิ้งนะครับ ท่านก็รู้ดีพอๆกับพวกเรา ว่าป่าลึกตรงหน้านั้นมันอันตรายแค่ไหน”
ใช่เขารู้ดีว่าป่าแทบนี้เป็นเขตของพวกภูผาดำ ถ้าใครล่วงล้ำเข้าไป ถ้าไม่ตายเป็นผี ก็พิกลพิการไปตลอดชีวิต ศพไอ้พวกที่นอนอยู่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกมันได้ล่วงล้ำเข้าไปในเขตห่วงห้ามนี้แล้ว แต่ถึงแม้เขาจะรู้ ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะความเป็นความตายของลูกอยู่ที่เขา และตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าลูกยังอยู่หรือจากไปแล้ว อกของคนเป็นพ่อเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งใจ จนกระบอกตาร้อนผ่าว ม่านน้ำตาเอ่อขึ้นมากลบดวงตาเขาอีกครั้ง แต่ต้องสกัดกลั้นมันไม่ให้ไหลออกมา
“แต่...”
“เชื่อพวกเราเถอะครับท่าน และอีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าใคร ฝ่ายไหน เป็นคนเอาตัวลูกสาวท่านไป ถ้าไม่ใช่พวกเขา แล้วเราบุกรุกเข้าไป ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ ไว้พรุ่งนี้เราจะมาแกะรอยต่อ เราจะไม่ทิ้งท่าน ทิ้งคุณหนูเด็ดขาด แต่ตอนนี้ท่านต้องรักษาชีวิตไว้นะครับ เพราะท่านเป็นความหวังเดียวของคุณหนู”
จริงซินะ เขาคือความหวังเดียวของลูก พันโทอัศวินมองไปในความมืดข้างหน้า แม้จะห่วงลูกสุดหัวใจ แต่เขาก็ยอมถอย เพื่อรักษาชีวิตไว้ ชีวิตที่เป็นความหวังเดียวของลูก ทุกคนถอยห่างกลับไปโดยไม่รู้ว่าในความมืดยังมีดวงตาอีกหลายคู่จ้องมองอยู่
********
ท่ามกลางความมืด ม้าหลายตัวยังคงทำหน้าที่พาคนเป็นนายไปยังจุดหมาย พวกมันเดินไต่ขึ้นไปตามทางคดเคี้ยวและสูงชั้นของภูเขา ทางเล็กๆที่เต็มไปด้วยก้อนหินและบางช่วงก็เลียบหน้าผา ทั้งๆที่มืดแต่ก็ไม่เป็นปัญหาทั้งม้าและคน เพราะความคุ้นเคยบวกความชำนาญในพื้นที่ การเดินทางที่ลำบากจึงไม่ลำบาก ขวัญชนกที่หลับพิงอกแกร่งไปเมื่อไหร่ไม่รู้เริ่มรู้สึกตัว ความอ่อนเพลียยังทำให้เธออ่อนแอ แต่ยังนิ่งเงียบเพราะต้องเก็บแรงไว้เพื่อบางอย่างที่รอคอย ไม่นานม้าทั้งหมดก็เดินขึ้นมาถึงยอดเขา ม้าสีดำตัวใหญ่ที่เดินนำหน้าตัวอื่นๆ หยุดอยู่ตรงลานกว้าง แสงจันทร์สีนวลที่เพิ่งโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ ส่องแสงลงมาให้เห็นเงาสูงใหญ่ของทุกคนอย่างรางเลือน
ชายสี่คนลงจากหลังม้ามายืนอยู่กลางลานหินพร้อมเชลยที่ลากมา ยกเว้นคนที่นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่สุดที่ยังไม่ลงมา ทุกคนยืนเงียบ ลูบจมูกม้า ตบต้นคอ และลูบหลังมันเบาๆ แต่ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ลงมายืนที่พื้น แล้วดึงร่างบางที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่บนหลังม้ามายืนพิงอก ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“จะทำไงกับไอ้คนนี้” เสียงหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น
“ขัง”
“พื้นพสุธาหรือวารี”
“พสุธา”
เสียงห้าวกระด้างบอกแล้วผลักร่างบางที่ยืนพิงอกไปให้อีกคน แต่จังหวะนั้นหญิงสาวที่อ่อนแอมาตลอดทาง กลับหมุนตัวแล้ววิ่งหนีหายไปในราตรี ชายห้าคนมองตามไปสลับกับหันมามองร่างสูงที่ยังยืนนิ่ง แล้วหนึ่งในสี่ก็จะขยับตาม แต่..
“ไม่ต้อง จัดการทางนี้ให้เรียบร้อยแล้วกลับไปพักได้”
พูดจบร่างสูงใหญ่ก็ออกเดินไปตามทางที่เชลยวิ่งหนีไป ห้าคนที่เหลือจึงมองตามไปจนกระทั่งร่างสูงหายไปในความมืด ก็ตวัดสายตากลับมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครพูดความคิดใดออกมา ต่างเก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น แล้วหนึ่งในสี่ก็จัดการทำตามคำสั่ง กระชากคอเชลยอีกคนไปขังไว้บนพื้นพสุธา ที่ไม่ใช่พื้นดินโล่งเตียน แต่เป็นพื้นที่มีกรงไม้หนามแหลม ไร้ทางหนี
ขวัญชนกวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างไร้ทิศทาง บางครั้งสะดุดรากไม้จนล้มลุกคลุกคลาน ก็ยังยันตัวลุกขึ้นวิ่งต่อไป ในสมองเธอมีแต่คำว่าหนี และต้องหนีให้รอด จนกระทั่งสะดุดรากไม้จนล้มคะมำ เธอก็ยังกัดฟันลุกขึ้นหนีต่อไปจนหมดแรงแทบก้าวขาไม่ออก ก็พาตัวเองไปนั่งพักพิงต้นไม้พลางมองความมืดที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวอย่างหวาดกลัว และผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงที่แปลกแตกต่างไปจากเสียงแมลงที่ร้องระงมอยู่รอบตัว
สายลมยามดึกหนาวจนต้องยกมือขึ้นมากอดอก ขวัญชนกชันเข่าแนบตัวแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าหาดาวที่พอจะนำทางพาเธอไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่แทบจะไม่เห็นเพราะความรกทึบของต้นไม้ ไม่ว่าจะพยายามมองยังไงก็ไม่เห็น น้ำตาจึงไหลออกมาอย่างหวาดกลัว
“พ่อขา”
ริมฝีปากอิ่มเรียกหาพ่อ พลางส่ายสายตามองหา น้ำตาก็ยิ่งไหลแล้วยกมือขึ้นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา ขอให้ช่วยดลบันดาลให้พ่อตามมาช่วยเธอ ขอให้เธอมีชีวิตรอดปลอดภัย กลับไปหาพ่อกับแม่ แล้วปาดน้ำตา กัดริมฝีปากข่มความคิดถึงที่จับจิตอยู่ให้ลึกสุดใจ บอกตัวเองให้เข้มแข็ง ยืดตัวขึ้นข่มความเสียใจพร้อมกับบอกตัวเองว่า เธอต้องหาทางออกจากป่านี้เพื่อไปหาท่านทั้งสองให้ได้
เมื่อความเข้มแข็งกลับมา ขวัญชนกก็ควานหากิ่งไม้มาถือไว้เพื่อไล่สัตว์ร้ายที่อาจจะคลานมาเจอ แล้วกัดเธอเข้า ขณะที่อีกมือก็คลำข้อเท้าตัวเองที่เจ็บจากการล้มลงเมื่อกี้ ไม่มีบาดแผล ทำให้เธอเบาใจขึ้นมา แล้วลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า แม้จะไม่รู้ทิศทาง แต่เธอก็ไม่อาจจะนั่งรอให้พวกที่จับตัวเธอมาเจอ แล้วลากเธอกลับไปได้ แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ยืนตัวแข็ง ใจแวบหายเพราะเงาดำที่โผล่มาขวางทาง
ขวัญชนกกำไม้ที่ถืออยู่ไว้แน่น เรียกใจให้กลับมาและบอกตัวเองว่าอย่างกลัว ไม่ว่าตรงหน้าจะเป็นผีหรือคน ภาวนาขออย่างเดียวอย่าให้เงาตรงหน้าเป็นคนที่พาตัวมาก็พอ แต่ไม่มีใครที่จะสมหวังไปเสียทุกอย่าง เมื่อเงานั่นก้าวออกมา แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ความรู้สึกบอกว่าคือคนที่เธอกำลังหนี ขวัญชนกไม่รออะไรอีกแล้ว เธอลืมความเหนื่อยความเจ็บ ออกวิ่งฝ่าความมืดไปทันที
ดวงตาคมมองตามไป ก่อนจะเร้นหายไปในความมืด ขวัญชนกไม่รู้ว่าวิ่งหนีมาไกลแค่ไหน ตัวเธอเริ่มหมดแรงเหนื่อยหอบจนแทบขาดใจ แม้สมองยังจะสั่งให้ร่างกายวิ่งต่อไป แต่ขาเธอไม่ไปตามคำสั่ง มันล้าและก้าวไปไม่ไหว เธอจึงหันไปมองข้างหลังอย่างหวาดกลัว แต่พอหันมาด้านหน้าก็ชนกับอกคนที่วิ่งหนีมา
“กรี๊ด” ขวัญชนกร้องออกมาสุดเสียงและผงะไปทั้งตัว ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปทางอื่น แต่ไปได้เพียงสองก้าวก็โดนกระชากตัวกลับมา เธอกระชากแขนกลับสุดแรงแต่ไม่หลุด เพราะคนจับจับไว้แน่น จึงเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้า แต่ไม่โดนแถมยังโดนบีบแขนจนร้อง “โอย” ออกมา แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ไม่รอโชคชะตาหรือความใจดีจากคนที่จับตัวเธอไว้เด็ดขาด เธอทำทุกอย่างเท่าที่แรงจะมี ทั้ง ดิ้น ชก แตะ ต่อย คนที่จับตัวไว้
แขนแข็งแรงปัดป้องมือบาง ขณะที่ดวงตาคมหรี่มองทักษะมวยงูๆปลาๆที่หญิงสาวใช้อย่างแปลกใจ แต่เพียงแวบเดียวก็หายไปดังลมพัดผ่านแล้วปล่อยมือจากร่างบาง “กรี๊ด”
ขวัญชนกร้องออกมาสุดเสียง เมื่อตัวเธอหงายไปข้างหลัง พลางไขว้คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว แต่คว้าได้แค่อากาศ ตัวเธอจึงร่วงลงไปข้างล่าง ทุกอย่างจบสิ้น เธอต้องจบชีวิต น้ำตาหยาดสุดท้ายร่วงรินเพราะสำนึกสุดท้ายของลมหายใจที่เหลือ คือพ่อแม่ แต่แล้วเพียงเสี้ยวคาบเกี่ยวความตายก็มีมือมาจับเธอไว้สุดปลายแขน ขวัญชนกรู้สึกถึงแรงดึงจึงแหงนหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยให้เธอรอดตายอย่างหวุดหวิด
“ถ้าดิ้นเพียงนิด ก้นเหวลึกข้างล่างจะกลายเป็นที่ฝั่งศพเธอ”
เสียงห้าวแฝงความเหี้ยมที่ดังขึ้น ทำให้กลไกในร่างกายของขวัญชนกหยุดนิ่ง ทั้งที่ใจเต้นระทึกด้วยความกลัวจนต้องกัดริมฝีปากไว้แน่น แต่อย่าหวังว่าจะมีคำอ้อนวอนขอให้ช่วย เธอพร้อมจะตาย
แววตาของคนจับหรี่ลงพร้อมค่อยๆปล่อยมือ เพื่อดูความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวแต่สุดท้ายสุดปลายข้อมือ แขนแข็งแกร่งก็ดึงตัวหญิงสาวขึ้นมา ขวัญชนกปล่อยลมหายใจที่เก็บเอาไว้ออกมาเฮือกใหญ่ ขณะสายลมพัดพาความเย็นยะเยือกขึ้นมาให้เธอรู้ถึงความล้ำลึกของหุบเหวที่เกือบจะกลายเป็นที่ฝังร่างเธอ แต่หุบเหวที่น่ากลัวคงไม่โหดร้ายเท่ากับนายร่างสูงคนนี้
“ลุกขึ้นมา”
เสียงกระด้างสั่งพลางเดินห่างจากหุบเหว ขวัญชนกกัดฟันยันตัวที่สั่นๆเพราะยังไม่หายกลัวขึ้นมา ก่อนจะเซไปข้างหลังเล็กน้อยเพราะความอ่อนแอ แล้วก้าวตามร่างสูงที่เดินนำไป แต่สมองและสองตาเธอไม่ได้อ่อนแอตามร่างกาย มันกำลังคิดพร้อมมองหาทางหนีอีกครั้ง ตราบใดที่เธอยังไม่สิ้นลมหายใจ คำว่าหนีก็จะไม่หายไปจากความคิดเธอ
“ถ้าอยากลงไปนอนอยู่ก้นเหวก็ลองทำดู”
เสียงเย็นยะเยือกที่ดังขึ้นทำให้ขวัญชนกขนลุกเพราะเขาพูดยังกับคนมีตาหลังและอ่านใจเธอออก ความคิดเธอหยุดชะงักไปนิด แล้วคิดต่อ ประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกายต่างเร่งทำงาน ตาดู หูฟัง สมองคิดเพื่อหาทางหนีอีกครั้ง และสิ่งที่เธอทำอยู่นี่เอง ทำให้เห็นแสงบางอย่างที่แวบออกมา แต่ยังไม่ทันได้คิดสงสัยอะไร ร่างสูงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็กระโจนมาคว้าตัวเธอพาล้มกลิ้งไปด้วยกัน และไม่ใช่แค่นั้นแสงนั้นยังแหวกความมืดมาใกล้ ให้กลิ้งหลบอีกหลายตลบ จนกระทั่ง พื้นดินที่รองรับตัวเธอกลายเป็นอากาศ ร่างกายร่วงลงสู่ความว่างเปล่า เสียงกรี๊ดร้องก็ดังขึ้น แล้วค่อยๆหายไปเหลือเพียงความเงียบ สายลม และความมืด
********
แสงสีทองเรืองรองขึ้นเหนือขอบฟ้า นกกาส่งเสียงร้องและโผผินบินขึ้นสู่เวหา หลังสันเขามหึมา ความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้นก็ขยับ ต้นไม้ใบหญ้าแกว่งไกวไปตามกระแสลมที่พัดมา รวมถึงสัตว์ทั้งหลายที่เริงร่าส่งเสียงรับแสงตะวันที่โผล่ขึ้นมาแทนแสงจันทรา... ท่ามกลางความซับซ้อนของภูเขาสูงใหญ่ ที่เรียกว่าภูผาดำ ควันไฟสีขาวลอยเอื่อยขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบทสวด ซึ่งดังขึ้นมาจากหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา เพื่อต้อนรับเช้าวันใหม่ มันเป็นบทสวดที่เหมือนคำอวยพร ให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในภูเขาแห่งนี้ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีแรงใจในการทำมาหากิน และสั่งสอนให้ทุกคนสมัครสมานสามัคคี ยกย่องและเชิดชูนายที่ปกครองภูผาดำ...
หลังจากบทสวดจบลง เสียงเกราะก็สั่นระรัว ดังไปทั่วหุบเขา ไม่นานม้าสีดำเกือบสิบตัวก็ควบออกมาจากหุบผาที่ซ่อนอยู่ในภูผาดำ เพื่อมุ่งสู่ยอดเขา ถิ่นพำนักของผู้ปกครองภูผาแห่งนี้ ถ้ามองจากยอดเขาใหญ่ก็จะเห็นว่า หุบผาที่ม้าทั้งหมดควบออกมานั้นตั้งเป็นแนวสามเหลี่ยมและไปบรรจบพบกันที่ลานผาคำ ที่ประชุมของนายแห่งหุบผาทุกคน
นายแห่งหุบผาคนแรกคือพยัค ฆโรราช ผู้ดูแลหุบผาแดง ใบหน้าคม รูปร่างสูงใหญ่ ควบม้าคู่กายสีดำข้อเท้าสีขาว มุ่งทะยานไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตามอีกสองคน คือสิงห์กับเสือ ที่ถือธงสัญลักษณ์สีเขียวมีหัวเสือคำรามตรงกลาง...พยัคนั้น ไร้คู่ เพราะภรรยาได้ตายจากไปสิบกว่าปีแล้ว ทิ้งลูกชายไว้ให้เขาดูต่างหน้าเพียงคนเดียว
นายแห่งหุบผาคนที่สองคือเมฆา ฆโรยา ผู้ดูแลหุบผาเหลือง หน้ามีรอยบากที่ขมับขวา ท่าทางแข็งกร้าว รูปร่างไม่สูงแต่หนา เขานั่งอยู่บนม้าสีนิลที่วิ่งไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตาม นายเมฆ ลูกชาย และไอ้หมอกลูกบุญธรรม ถือธงสัญลักษณ์สีฟ้ามีสายฟ้าฟาดอยู่ตรงกลาง ... เมฆานั้น มีเมียสองคน และมีลูกสาวที่เกิดจากเมียใหม่อีกคน ชื่อสร้อยฟ้า
นายแห่งหุบผาคนที่สามคือวิหค ฆโรดม ผู้ดูและหุบผาเขียว รูปร่างสูงโปร่ง ดูบอบบางแต่แววตาเจ้าเล่ห์ เขานั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว ที่ควบไปข้างหน้า พร้อมผู้ติดตาม นายเวหาลูกชายเขา และมือขวาคนสนิท พิชิต ที่ถือธงสีขาวมีรูปนกอินทรีอยู่ตรงกลาง... เวหานั้น มากรักหลายเมีย แต่มีเพียงคนเดียวที่เขายกย่องคือ นารี แม่ของเวหาและเวธิกาลูกสาวเขาอีกคน
นายแห่งหุบผาทั้งสามคนอยู่ในวัยกลางคน ขณะที่ลูกชายนั่นอยู่ในวัยฉกรรจ์ ส่วนผู้ติดตามนั้นนอกจากจะเป็นมือขวาแล้วยังเป็นคือกุนซือคู่คิดอีกด้วย ว่ากันว่านายแต่ละหุบเขา นั้นมีความลึกลับ น้อยคนที่จะพบเห็น
ม้าทั้งหมดวิ่งมาบรรจบกันตรงเส้นทางที่จะมุ่งไปสู่ลานผาคำ นายแต่ละหุบผาตวัดตามองหน้ากันแวบเดียว ก็หวดแส้ลงบนสะโพกของม้า เพื่อเพิ่มความเร็วให้ไปถึงยอดเขา
“ย้ากส์”
ม้าทุกตัวเหยียดฝีเท้าห้อไปตามแรงกระตุ้น ก่อนจะค่อยๆชะลอลงเมื่อถึงทางคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหน้าผาที่สูงชั้น ก่อนจะควบให้เร็วขึ้นแล้วมาสิ้นสุดลงตรงแนวป่า ทุกคนดึงเชือกบังคับม้าให้มันวิ่งเหยาะย่างไปเรื่อยๆ จนมาถึงผาคำ ลานหินกว้าง มีแนวไม้หนาล้อมอยู่โดยรอบ
สายตาทุกคู่มองตรงไปที่ลานหินกว้าง ที่มีเพิงอยู่สี่หลัง แต่ละหลังมุงด้วยหญ้าคา มีเก้าอีกไม้วางอยู่กลางเพิง และแคร่เล็กๆ ที่มีโถสีเงินและแก้วสองใบวางเคียงกัน ทั้งหมดเตรียมไว้สำหรับผู้นำของแต่ละหุบผา แต่มีหลังหนึ่งมีผ้าขนสัตว์ปูไว้ เพื่อผู้ปกครองภูผาดำ และแต่ละเพิงก็จะมีหญิงสาวหน้าตาหมดจดนั่งคุกเข่าเตรียมรับใช้อยู่ข้างแคร่ นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว กลางลานกว้างยังมีเชลยที่ถูกขังอยู่ในกรงไม้ด้วย
นายแห่งหุบผามองมันอย่างสนใจ แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่ถูกจับมาขังไว้กลางลานผาคำนี้ ถ้าไม่ใช่พวกเชลยก็เป็นคนที่คิดไม่ดีกับภูผาดำ เพื่อรอให้ผู้ปกครองของภูผามาพิจารณาโทษ ซึ่งตอนนี้ท่านยังไม่มา ลูกน้องคนสนิทของแต่ละหุบผา จึงกระแทกเข่าข้างตัวม้าให้เดินไปที่เพิง เอาธงประจำเขาปักไว้บนหลังคา แล้วก็ลงจากหลังม้ามายืนประสานมือกันไว้ข้างหน้า รอนายของตัวเองเดินมาถึง ก็จับขนที่คอม้าให้มันยืนนิ่ง จนนายของมันลงมาก็เอาม้าไปเก็บ เสร็จแล้วก็รีบมายืนอยู่ข้างๆเพื่ออารักขา
นายแต่ละหุบผาเดินเข้าไปนั่งในเพิง พร้อมผู้ติดตาม นั่งเยื้องมาข้างหลัง หญิงสาวที่คุกเข่ารออยู่ รีบรินน้ำสีขาวขุ่นจากโถสีเงินใส่แก้ว ยื่นให้อย่างนอบน้อม ทุกคนดื่มน้ำหมัก ดีกรีบาดคอเรียกเลือดลมให้อุ่นขึ้น คนละแก้วสองแก้ว แล้วก็หันหน้าไปพูดคุยกัน
“สบายดีเหรอท่านวิหค”
“ข้าสบายดี แต่คงไม่เท่าท่าน ที่เพิ่งค้นพบแร่ทองในพื้นที่ด้วยเองใช่ไหม ท่านเมฆา”
“ฮะๆๆๆ” เจ้าของชื่อหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วบอกว่า “สายตาท่านนี่กว้างสมชื่อวิหคที่เหินอยู่บนฟ้าจริงๆ แค่แร่ทองเล็กๆของข้าท่านยังมองเห็นอีก ... แล้วท่านละท่านพยัค สบายดีไหม?”
“ข้าก็เหมือนพวกท่าน สบายดี แล้วพวกเจ้าล่ะ เวหา เมฆ สบายดีใช่ไหม”
“สบายดีครับท่านพยัค” ทั้งสองหนุ่มตอบออกมาอย่างนอบน้อม
“แล้วลูกชายท่านละ วันนี้ไม่มาด้วยเหรอ”
“เขามีงานต้องทำพวกท่านก็รู้ จึงมาไม่ได้ แล้วสร้อยฟ้า ลูกสาวท่านละเมฆา วันนี้นางไม่มาด้วยเหรอ”
“นางก็อยากจะมาร่วมสังสรรค์ในวันนี้ แต่ติดที่ต้องตามแม่ไปดูแลคนป่วยเท่านั้นเอง น่าเสียดาย ถ้านางมา คงได้เป็นเพื่อนคุยกับลูกชายพวกท่าน”
ทุกคนทักทายกันด้วยน้ำใสไมตรี แต่เบื้องล่างน้ำใสนั้นมักจะมีตะกอนขุ่นๆ ที่ใครๆต่างก็ปกปิดไว้ แล้วนั่งรอผู้ปกครองแห่งภูผาดำ ซึ่งเพียงแสงตะวันลอยขึ้นถึงหลังคาเพิง ธงสีดำผืนใหญ่ มีดวงตาลึกลับอยู่ตรงกลาง สัญลักษณ์ของผู้ปกครองภูผาดำ ก็โผล่มาให้เห็น ... ม้าสีดำทมิฬ นำพาเขามาพร้อมผู้ติดตามอีกสี่คน เมื่อมาถึง นายแต่ละหุบผาก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับ พอผู้ปกครองภูผาดำลงจากม้าเดินเข้ามายืนอยู่ในเพิง ทุกคนก็ก้มหน้าแสดงความเคารพ และรอจนนายนั่งลง ทุกคนจึงนั่งตาม
ผู้เฒ่าโพธิ์ ฆโรราช ผู้ปกครองภูผาดำ ผู้นำนายแห่งหุบผา ผู้หยั่งรู้ชะตาฟ้าลิขิต เป็นชายชราวัยเจ็ดสิบ หนวดเครารุงรังและขาวโผลน มีหน้าที่ดูแลคลังสมบัติของทุกคนคือป่าไม้และแร่ธาตุมากมายที่อยู่บนภูผาแห่งนี้ ผู้เฒ่าโพธิ์ยกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นชูพร้อมกับเอ่ยต้อนรับนายแห่งหุบผาทุกคน
“ดีใจที่ได้พบพวกท่านในวันนี้ พวกท่านสบายดีใช่ไหม”
“พวกข้าสบายดี ท่านผู้เฒ่า”
พยัคตอบแทนทุกคน แล้วดึงมีดจากเอวมาปาไปปักกลางลานผาคำ เป็นสัญลักษณ์ให้คนของนายแห่งหุบผา นำเงินทองที่ได้มาจากการขายทรัพย์ในดินคือแร่ธาตุและป่าไม้ ในหุบผาของตน มาให้ผู้ปกครองภูผาดำครึ่งหนึ่ง เพื่อเก็บไว้เป็นคลังสมบัติที่หล่อเลี้ยงทุกคนที่อยู่ใต้ภูผาดำ ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
“หุบผาของข้าได้ทองมาสิบกิโล” พยัคเอ่ยออกมาเป็นคนแรก เมฆาจึงเอ่ยเป็นคนต่อมา
“ของข้าได้มาเก้ากิโล และเงินอีกหนึ่งล้าน”
“ของข้าก็เหมือนของท่านเมฆา” เวหาเป็นคนพูดสุดท้าย
เงินทองที่กองอยู่กลางลาน สะท้อนเป็นเงาอยู่ในตาของทุกคน ซึ่งต่างก็ซ่อนความคิดต่างๆไว้ในแววตาที่ว่างเปล่า ผู้เฒ่าโพธิ์มองเข้าไปในแววตาของทุกคน แม้จะไม่สามารถหยั่งลึกไปถึงจิตใจที่ซ่อนลึกอยู่ในอกด้านซ้าย แต่ใช่ว่าจะไม่รู้เสียเลยว่าคนในปกครองนั้นเป็นอย่างไร
“เสียงเกราะที่ระรัวขึ้นเมื่อเช้า นอกจากเรื่องที่เราต้องมาประชุมกันเป็นประจำแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมาบอกเล่าพวกเจ้าด้วย” ผู้เฒ่าโพธิ์บอกพลางมองไปที่กรงไม้กลางลานหิน “มันเป็นหนึ่งในคนที่บุกรุกเข้ามาในภูผาดำของเรา ผู้พิทักษ์ของเรา จับตัวมันมาได้ ข้าจึงเชิญพวกเจ้ามาสอบมันด้วยกัน ว่ามันเป็นใครมาจากไหน และมาโผล่ในภูผาของเราได้ยังไง”
นายแห่งหุบผาทั้งสามคนจ้องไปที่ไอ้คนที่อยู่ในกรง พิจารณาลักษณะท่าทางของมันอย่างถี่ถ้วน ชุดทหารที่ใส่ทำให้ทั้งสามคนสงสัยว่ามันเป็นจริงหรือแอบอ้างมา ถ้าเป็นจริงก็ต้องปิดตาก่อนจะปล่อยมันไป เพราะไม่อยากมีปัญหากับพวกทหาร แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จัดการไม่ให้มันมีปากไปบอกใครได้อีก และท่าทางของมันคงจะเป็นพวกกระจอกมากกว่าจะเป็นนาย
“ข้าจะขอสอบมันเองท่านผู้เฒ่า” เมฆาขันอาสาออกมา “แต่ถ้ามันไม่พูด ไม่บอกอะไร ข้าจะปลิดลมหายใจมันได้ไหมท่าน”
“จะไม่รีบจัดการมันไปหน่อยหรือท่านเมฆา” พยัคทักท้วงออกมา
“นั่นนะซิ ยังไม่ทันได้ถามสักคำ ก็คิดไปถึงจะฆ่ามันแล้ว มีอะไรหรือเปล่าท่าน”
คำถามเหมือนเย้าแหย่ของเวหานั้น ทำให้เมฆาเบือนหน้าไปตอบ “ไม่มีหรอกท่าน แต่พวกท่านนะซิรีบทักท้วงข้า มีอะไรหรือเปล่า”
พยัคกับเวหาปรายตามองหากัน แล้วหัวเราะออกมาเหมือนหยอกเย้ากันเล่น แต่ในใจที่ไม่มีใครเห็นนั้นต่างก็คิดไปคนละอย่าง
ผู้เฒ่าโพธิ์ที่นั่งฟังอยู่อย่างสงบ จึงบอกว่า “ข้าจะให้ผู้พิทักษ์จัดการ” พูดจบผู้เฒ่าก็ลุกขึ้น เดินไปขึ้นม้ากลับที่พัก นายแห่งหุบผาทั้งสามคุกเข่าคำนับ พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจากไป ก็ลุกขึ้นยืน ปรายตามองหน้ากันแต่ต่างเก็บงำความรู้สึกต่างๆไว้ แล้วลุกขึ้นเดินไปขึ้นม้ากลับหุบผาของตัวเอง
*********
สายลมที่พัดแผ่วซอกซอนไปทั่วพนาไพร หยาดน้ำค้างปนน้ำฝนที่ยังค้างอยู่บนใบไม้ตั้งแต่เมื่อคืน ค่อยๆไหลมาร่วมกันแล้วหยดย้อยลงสู่พื้นดิน ที่มีใบไม้หลากหลายสีปกคลุมเสมือนพรมที่ถูกวาดไว้อย่างสวยงาม และยังรองรับร่างของสองคนไว้ด้วย ทั้งคู่นอนนิ่งเหมือนไม่มีชีวิต มีแต่เพียงหัวใจใต้อกซ้ายที่สะท้อนให้เห็นว่ายังมีลมหายใจอยู่ สายลมที่พัดมาทำให้น้ำค้างปนน้ำฝนที่ค้างอยู่บนใบไม้ลอยลิ่วลงมาโดนทั้งคู่ด้วย
ดวงตาคู่หนึ่งของหนึ่งในสอง กะพริบขึ้นสองสามครั้ง ก็ลืมขึ้น ม่านตาขยับปรับภาพที่เห็นสีเขียวของใบไม้สะท้อนเข้ามาในดวงตาก่อนจะแจ่มชัดรับรู้ภาพทุกอย่างที่เห็น ป่าไม้เขียวครึ้มมีแสงแดดทอแสงลอดลงมาเหมือนสายรุ่งพาดผ่านพื้นดิน เสียงนกหลายชนิดกับแมลงนับร้อยที่อาศัยอยู่ในป่านี้ส่งเสียงร้องขับขานลำเนาไพรออกมาให้คนที่รู้สึกตัวได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่
ขวัญชนกยันตัวลุกขึ้นนั่ง ด้วยสีหน้าเจ็บปวดเพราะเจ็บร้าวไปทั้งตัว แล้วกลอกสายตามองซ้ายขวา ก่อนจะหยุดนิ่งที่คนที่นอนนิ่งอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่ รูปร่างที่เห็นเรียกความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนสติจะดับไป ... เสียงกรีดร้องดังลั่นเหมือนมีใครมาพรากวิญญาณให้ชีวิตดับสูญ ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว แล้วทำไมเธอถึงยังไม่ตาย หญิงสาวถามตัวเอง และได้คำตอบว่า คงเป็นเพราะผู้ชายคนนี้ เธอจ้องที่ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าสีดำ และสงสัยว่าเขาตายหรือยัง แต่เธอจะสนใจทำไม ตอนนี้ที่ต้องทำคือ...หนี
คิดแล้วขวัญชนกก็มองไปรอบตัวเพื่อมองหาทางหนี แต่เมื่อละสายตากลับมาเพื่อยันตัวลุกขึ้น ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นดวงตาที่ปิดสนิทลืมขึ้นจ้องเธอ เธอถอยร่นทันที แล้วกรี๊ดลั่นเมื่อมือหนายื่นมาจับข้อเท้าไว้ ขาอีกข้างก็ถีบมือที่จับขา ขณะที่สองมือก็ไขว้คว้าหาที่ยึด จนจับท่อนไม้ได้ เธอคว้ามามาฟาดใส่ร่างสูงดัง “โปก”
ขวัญชนกไม่สนใจว่าจะถูกส่วนไหน ขอแค่หลุดออกมาจากพันธนาการก็พอ เขาปล่อยมือเธอก็ลุกขึ้นวิ่ง แต่ “โอ๊ะ”ร่างบางถลาเหมือนนกปีกหักเพราะถูกรวบตัวจนล้มกลิ้งไปสองสามตลบ ร่างสูงใหญ่กดทับร่างบางไว้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมจำนน ขวัญชนกดิ้นอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้หลุดพ้น ทั้งขาทั้งมือประสานกันประเคนลงบนร่างสูง
“ปล่อย ไอ้คนเลว ปล๊อย ไอ้คนชั่ว” เธอกรีดเสียงด่าออกมาลั่นป่า และเสียงก็หายไป เมื่อลมหายใจเริ่มติดขัด เพราะมือหนาที่กดอยู่บนลำคอ เนื้อตัวเหมือนจะเป็นอัมพาต แต่สายตาจ้องหน้าใต้ผ้าดำอย่างเกลียดชัง และอย่าคิดว่าเธอจะกลัวตาย สองมือกำเข้าหากันเพื่อสร้างแรงฮึดให้ตัวเอง ดวงตาคมปรายตามอง ก่อนจะเตือนด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“ถ้าขยับนิดเดียว ฉันจะหักคอเธอ”
ขวัญชนกเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่กลัว สายตาจ้องตอบอย่างห้าวหาญ แล้วต้องกะพริบตาเมื่อมีบางอย่างหยดลงโดนแก้ม ความอุ่นวาบทำให้เธอเปิดตาขึ้นมอง เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากขมับหยดลงมาที่แก้มพร้อมๆกับร่างสูงที่ค่อยๆล้มลงบนตัวเธอ ขวัญชนกนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะผลักร่างสูงออกจากตัว แล้วยันตัวขึ้นยืน หมุนตัวจะก้าวหนี แต่...อะไรบางอย่างทำให้ใบหน้างามหันมามองร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง พร้อมกับถามตัวเองว่าเธอจะใจดำหนีไปหรือปล่อยให้เขาตายดี
********
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ค. 2556, 17:20:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ค. 2556, 17:20:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 3939
<< ตอน 1 | ตอน 3 >> |
หนอนฮับ 1 ก.ค. 2556, 18:20:39 น.
ง่ะ..รีบมาต่อนะคร่าาาาาาา
ง่ะ..รีบมาต่อนะคร่าาาาาาา
konhin 1 ก.ค. 2556, 19:45:22 น.
เอาไงดี
เอาไงดี
Bff 1 ก.ค. 2556, 19:55:29 น.
แอร๊ย ๆ ! เจอกันเเล้วว เย้ ๆ ;-)
แอร๊ย ๆ ! เจอกันเเล้วว เย้ ๆ ;-)
mhengjhy 1 ก.ค. 2556, 20:48:37 น.
มาแล้วววว
มาแล้วววว
นกขมิ้น 1 ก.ค. 2556, 21:30:40 น.
ช่วยเขาเถอะ ยังไงซะจะหนีก็ช่วยเขาก่อนนะ
ช่วยเขาเถอะ ยังไงซะจะหนีก็ช่วยเขาก่อนนะ
ปิศาจสัญจร 1 ก.ค. 2556, 21:53:27 น.
ใจอ่อน
ใจอ่อน
Zephyr 1 ก.ค. 2556, 23:35:34 น.
เจอกันได้โหดมากค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
ช่วยเถอะนะ เดี๋ยวนางจะไม่มีคู้น้า
คนนี้ป่าวพระเอก พูดน้อย ต่อยหนักจังเลย
เจอกันได้โหดมากค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
ช่วยเถอะนะ เดี๋ยวนางจะไม่มีคู้น้า
คนนี้ป่าวพระเอก พูดน้อย ต่อยหนักจังเลย
แว่นใส 2 ก.ค. 2556, 16:43:43 น.
พระเอกเราเป็นลูกของพยัคแน่เลย
พระเอกเราเป็นลูกของพยัคแน่เลย
tutas 3 ก.ค. 2556, 09:44:00 น.
รอตอต่อไปอย่างใจจดจ่อ
รอตอต่อไปอย่างใจจดจ่อ
ฝนปราย 8 ส.ค. 2556, 14:10:02 น.
ไม่อัพต่อแล้วหรือคะ
ไม่อัพต่อแล้วหรือคะ
นกขมิ้น 12 ส.ค. 2556, 19:34:48 น.
คิดถึงจังหู้
คิดถึงจังหู้