บังลังค์รักภูผา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 3
ขอโทษที่หายไปนานค่ะ
ไปซุ่มเขียน ภูผาจนจบแล้วค่ะ
ตอนนี้กำลังทำเป็นหนังสือค่ะ
ตอน 3
...แต่สุดท้ายเธอก็เดินหนีจากไป...
สองมือปัดกิ่งไม้ต้นหญ้าที่พันเกี่ยวเลื้อยระอยู่ตรงหน้าให้พ้นตัว สองขาก้าวรีบเร่งไปให้เร็วที่สุด สองตามองทางที่เดินไปอย่างระวัง แต่หลังม่านตาภาพของคนที่นอนเลือดอาบหน้ายังแจ่มชัด จนต้องหลับตาลงเพื่อให้ภาพนั้นหายไป แต่พอลืมตาขึ้นมาภาพนั้นก็ยังอยู่ มิหนำซ้ำเสียงจากจิตสำนึกที่ถูกปลูกฝังมาให้รู้จักคุณคน และแก่นแท้ของจิตใจที่ดีงามทำให้เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าช้าลง ก่อนจะเร็วขึ้นเพราะอยากสลัดเสียงนั้นให้หายไป แต่ก็ยังรบกวนจนกระทั่งเห็นบางสิ่งที่ทำให้ในวินาทีสุดท้าย ปลายเท้าก็หันกลับไปที่เดิม
ขวัญชนกมองร่างสูงที่นอนนิ่งอย่างลังเล ก่อนจะเดินไปหยุดยืนมองอยู่เพียงอึดใจ ก็ย่อตัวนั่งลงข้างๆ หลุบตามองใบไม้ที่รูดติดมือมา ใบสาบเสือที่เธอเรียนรู้มาว่าช่วยห้ามเลือดและรักษาบาดแผลได้ ฉีกขยี้ขย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนละเอียด ก็เอาไปพอกไว้บนบาดแผล นั่งรอดูผลแต่เมื่อร่างสูงไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ก็กวาดตามองไปรอบป่าที่นั่งอยู่ แล้วลุกขึ้นออกเดินสำรวจ ทั้งที่อยากจะหนีไปตายเอาดาบหน้า แต่บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ เมื่อเขาช่วยเธอเธอก็ต้องช่วยเขา แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า แต่คิดว่าการมีเขาอยู่ น่าจะทำให้เธอมีรอดชีวิตกลับไปหาพ่อแม่ มากกว่าการบุกป่าฝ่าดงที่ไม่รู้ทิศทางไปคนเดียว
เธอหักกิ่งไม้ทิ้งไว้เป็นสัญลักษณ์ขณะเดินลึกเข้าไปในป่า แต่ไม่เจออะไรเลย นอกจากต้นไม้ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันรกทึบ กับดอกไม้ป่าเป็นกาฝากอยู่ประปราย ก็เดินกลับมาที่เดิม มานั่งข้างร่างสูง มองแผลที่เลือดหยุดไหลแล้ว ก็เอาใบไม้ที่เหลือมาขยี้เพื่อพอกให้เขาใหม่ แต่เพียงแค่ยื่นมือไปแตะที่แผล ร่างสูงที่นอนนิ่งก็ขยับยกมือจับมือเธอ พร้อมลืมตาขึ้นมามอง หญิงสาวตกใจรีบดึงมือกลับแต่ไม่ขยับสักนิด เพราะถูกบีบไว้แน่น แววตาเธอโกรธขึงขึ้นมา เมื่อสิ่งที่ได้จากช่วยคือการทำคุณบูชาโทษ
ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นนั่งเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พร้อมดึงมือที่จับไว้มาดู สิ่งที่เห็นแม้จะรู้ว่าเป็นการช่วย แต่ไม่ได้ทำให้รัศมีความน่ากลัวจากตัวเขาเปลี่ยนไป เพราะเขาจะไม่ตายด้วยบาดแผลแค่นี้เด็ดขาด ขนาดตกลงมาจากหน้าผาเขายังรอด แล้วแผลแค่นี้จะทำอะไรเขาได้ แต่ที่ต้องสลบเพราะการตกกระแทกนั้นทำให้เขาจุกและช้ำไปพอสมควร โชคดีที่หน้าผาไม่สูงมากและยังมีต้นไม้หน้าทึบรอรับ จึงช่วยได้มาก แต่คนที่ทำร้ายเขา...ดวงตาคมตวัดขึ้นมองดวงหน้างาม ความกลัวไม่มีมีแต่ความถือดี หยิ่งทระนงในตัวเท่านั้นที่เห็น
“ปล่อย” เสียงที่ควรจะสวยเหมือนหน้าตากลับกระด้างด้วยความโกรธ เชิดหน้าขึ้นทั้งที่ใจเต็มไปด้วยความกลัว “ฉันช่วยนาย แต่จะตอบแทนกันด้วยวิธีนี้เหรอ”
“มันยังน้อยไปกว่าที่เธอตอบแทนฉันมากนัก” น้ำเสียงกร้าวต่ำน่ากลัว จนฟังแทบจะสะดุ้ง “หรือคิดว่าที่รอดมานั่งทวงบุญคุณ เพราะโชคช่วยไม่ใช่ฉัน”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากไว้แน่นเมื่อมันคือความจริง ถ้าเขาไม่ช่วยป่านนี้เธอคงเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ควรจะมีท่าทีจะกินเลือดกินเนื้อเธอแบบนี้ แม้จะคิดอย่างนั้นแต่เธอก็ต้องข่มความรู้สึกกรุ่นโกรธไว้ ต้องระลึกไว้ว่าเธอไม่ควรทำให้เขาโกรธไปมากกว่านี้ และไม่ควรจะแข็งขืนกับคนที่มีความน่ากลัวมากกว่าป่าที่รอยล้อมอยู่รอบตัว ควรนิ่งสงบสยบทุกอย่างไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดจะดีกว่า
“เธอเป็นใคร”
“ปล่อยก่อนซิ”
“ตอบ” เสียงห้าวต่ำลึกลงเตือนให้รู้ว่าเธอไม่มีสิทธิต่อรองอะไรทั้งนั้น เรียวปากอิ่มเม้มแน่นอีกนิดก็คลายออกมาตอบด้วยเสียงที่ยังกระด้าง
“เชลย ฉันถูกจับตัวมา”
“ใคร”
“ฉันไม่รู้ และไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ต้องการอะไร”
เธอบอกโดยไม่รู้ว่าถูกพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้างามเด่นชัด แม้จะมีรอยสกปรกเปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ่งเยิง แต่แทบจะปิดบังความงามที่มีอยู่ไม่ได้เลย รูปร่างอรชรอ้อนแอ่น ผิวพรรณนวลลออเนียนนุ่ม ซึ่งรับรู้ได้จากมือที่จับอยู่ บอกให้รู้ว่าเธอคงเป็นลูกผู้ดีมีราคาแน่นอนถึงได้ถูกจับตัวมา และเสียงที่บอกก็บอกให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้โกหก เหตุการณ์ที่เขาได้ตัวเธอมาย้อนกลับมาให้สงสัย ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในกลุ่มของพวกบุกรุกภูเขาดำ แล้วมีดที่แหวกความมืดมาสังหารเขาอีก มาจากไหน ใครเป็นคนทำ
เขาปล่อยมือเธอ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตวัดสายตามองไปรอบๆบริเวณป่าไม้ที่หนาทึบ ก็ออกเดิน โดยไม่สนใจหญิงสาวที่จับผลัดจับผลูให้ต้องมาอยู่ในมือ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปกป้องคุ้มครองหรือดูแล แค่เขาปล่อยไม่ลากตัวไปรับโทษที่ลานผาคำก็ถือว่าตอบแทนที่ช่วยเขาแล้ว
หญิงสาวมองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไป หัวใจโหวงวูบที่ถูกทิ้งและสมน้ำหน้าตัวเอง ที่คาดหวังกับน้ำใจคน ที่นับวันยิ่งหายากขึ้นทุกที และเมื่อเขาไม่มีให้เธอก็จะไม่อ้อนวอนขอร้องใดๆเด็ดขาด เชิดหน้าลุกขึ้นยืนอย่างทระนงในสายเลือดที่มีอยู่ ลูกสาวชายชาติทหารต้องเข้มแข็ง อดทน ถึงต้องผจญกับภัยใดๆก็อย่าได้หวั่น แล้วก้าวไปอีกทาง สองตามอง สองเท้าก้าวเดินไปอย่างไม่รู้จุดหมาย ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าทางออกอยู่ตรงไหน ทางไหนคือทางรอด ทุกทางคือทางตันหรืออาจจะเป็นทางตายก็ไม่อาจจะรู้ได้ แค่มีเสียงอะไรดังขึ้นมานิดเดียว ความกลัวก็จู่โจมเข้ามาในหัวใจ จนต้องยกมือขึ้นกอดตัว ปลอบใจตัวเองว่าอย่ากลัว ไม่มีอะไร
เธอย่ำเท้าก้าวเดินตามแสงตะวันแล้วต้องหยุดยืนนิ่ง ลดมือลงข้างตัว เมื่อคนที่มีผ้าคาดหน้าโผล่ออกมายืนขวางหน้า ไม่มีความกลัวเพราะจำได้ว่าคือคนที่ทิ้งเธอไป ความแปลกใจสงสัยเกิดขึ้นมาแต่แค่แวบเดียวก็กลายเป็นความตกใจ เมื่อร่างสูงปราดเข้ามาหา ยกมือปิดปากพร้อมเสียงข่มขู่ที่ดังออกมา
“เงียบ”
เธอยกมือขึ้นแกะมือหนาออก แต่แล้วกลับถูกผลักกระเด็นไปชนกับต้นไม้ ร่างสูงก็เบี่ยงตัวหลบมีดที่ขว้างแหวกอากาศมาหวังปักบนตัวเขา แต่กลับไปปักบนต้นไม้ดัง “ฉึก” ดวงตาคมตวัดหาเจ้าของมันทันที แทบจะไม่ต้องสอดส่าย ก็มีคนแสดงตัวออกมา เสียแต่ว่าใบหน้านั้นถูกปิดบังไว้ด้วยหมวกไหมพรม รูปร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากเขา แต่ที่ต่างซึ่งเห็นได้ชัดจากแววตาของมันก็คือสัญชาติญาณของนักฆ่า ... มันเป็นใคร
คำถามนี้ดังขึ้น ขณะสบสายตาที่โหดเหี้ยม แต่ในแววตาเขาไม่มีความกลัว นอกจากความนิ่งลึก ลึกจนทั่วบริเวณเงียบสนิท แม้แต่ลมหายใจหรือเสียงสัตว์เล็กๆก็แทบจะไม่ได้ยิน เพียงไม่กี่ก้าวที่เขาเดินห่างออกไป สัญชาติญาณในตัวบอกว่ามีบางอย่างผิดปรกติ ตัวเขาเองไม่มีปัญหา แต่...
ปลายนิ้วแกร่งยกขึ้นแตะหน้าผาก แล้วตัวก็หมุนกลับมาที่เดิม ไม่มีเธออยู่ เขาก็ออกตามหาทันที ซึ่งก็ไม่ยากสำหรับคนที่มีความชำนาญเรื่องป่า หางตาคมมองไปที่หญิงสาว ที่ยืนเกาะต้นไม้มองมาอย่างสนใจ ไอ้คนที่จ้องจึงคิดว่านี้คือโอกาส มันขยับตัวไปหาเธอทันที แต่แค่ก้าวเดียวร่างสูงก็ขยับเข้ามาขวาง มันตอบโต้ด้วยหมัดตามด้วยเท้าฟาดเฉียดใบหน้าคมที่เบี่ยงหลบได้อย่างฉิวเฉียว แค่นั้นยังไม่พอมันยังดึงมีดออกมาเป็นอาวุธสังหาร พุ่งเข้าใส่
ท่าทางนั้นบอกว่ามืออาชีพ ดวงตาคมจึงจับจ้องพลางหักหลบได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และหาจังหวะโต้กลับ จับมือที่เสือกมีดเข้ามาหา บิดไปข้างหลังหวังให้มีดหล่นแต่มันแข็งแรงงัดกลับมาได้ แต่โดนเข่าตามด้วยหมัดจนเซถลาไปข้างหลังเลือดอุ่นๆซึมออกมาที่มุมปาก มันยกมือขึ้นแตะแล้วเหยียดริมฝีปากออกหยัน ให้รู้ว่าไม่ระคายสักนิด ขณะแววตาไม่มีความเกรงกลัวซ้ำยังกระดิกนิ้วท้าทายไอ้คนที่เรียกเลือดออกมาจากตัวมัน
“เข้ามา”
เสียงมันกร้าว แต่คนได้ยินนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน ยืนปักหลักตั้งมั่นจ้องหน้ามัน ความนิ่งนั้นทำให้มันแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ เพราะที่ได้ประมือกันไปเมื่อกี้นั้นบอกให้มันรู้ว่าคนๆนี้ไม่ใช่หมู แต่คือเสือที่ท้าทายฝีมือมันว่าจะสยบได้หรือไม่ มีดในมือถูกกำเข้าหากัน แล้วปรี่เข้าหาหวังจะปลิดลมหายใจ คมมีดตวัดฉับเหวี่ยงจะเชือดเฉือนเนื้อให้เห็นเลือด แต่แหวกได้แค่อากาศเท่านั้น เพราะร่างสูงพลิ้วหลบได้หมด มันจึงงัดฝีมือกับแรงถาโถมเข้าใส่ จนหมัดมันได้ตันหน้าและเท้าก็ได้ฟาดเข้าที่ลำตัว
ร่างสูงถึงกับเซ มันก็รีบถลาเข้าไปหาเสือกมีดเข้าที่ตัวเพื่อแทงให้ดับดิ้น แต่มือหนาจับไว้มั่นแล้วกระชากตัวมันเข้ามารับเข่ากับหมัดที่ฟาดเข้าที่หน้ามันอย่างแรง พลิกตัวบิดมือมันหวังให้มีดปลิดชีวิตมันเอง แต่มันก็งัดกลับมาได้ ตอบโต้เขาด้วยความเร็วและแรง ต้องตั้งรับแล้วรุกด้วยฝีมือที่ฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญ สองเท้าสองมือกลายเป็นอาวุธที่คมกริบ มือนำขาตามตามด้วยเท้าประเคนลงบนหน้าและลำตัวมันจนต้องถอยไปตั้งหลัก
ใบหน้าใต้หมวกไหมพรมบิดเบ้ด้วยความแค้น แววตากระด้างบอกให้รู้ถึงความเหี้ยมโหด มันเดินเข้าหา มีดมือเท้าประสานกันเพื่อฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ แต่ไม่โดนเลย ซ้ำถูกสวนกลับ ปลายเท้าฟาดเข้าที่ปลายคาง จนเซไปชนกับต้นไม้ ร่างสูงไม่เปิดโอกาสให้มันตั้งตัว ปรี่เข้าไปตะปบมีดในมือมัน บิดจนร่วงมาอยู่ในมือตัวเอง ก็ยกขึ้นจ่อคอมัน เค้นหาคำตอบ
“แกเป็นใคร”
“แม้แต่วิญญาณกูก็บอกมึงไม่ได้”
ว่าแล้วมันก็ยกมือจับมือที่ถือมีดจ่อคอมัน ปลายมีดแฉลบกรีดคอเป็นทางยาว เลือดไหลซึม แต่มันไม่รู้สึกรู้สา ฮึดแรงทั้งหมดดันมืออีกฝ่ายให้ปลายมีดห่างออกจากคอ แล้วเบี่ยงตัวหลบจนปลายมีดปักต้นไม้ ก็แตะเข้าที่ด้านหลังหวังจะอัดให้ติดต้นไม้ แต่อีกฝ่ายเบี่ยงหลบ จับขามันไว้ได้แล้วดึงมีดออกมา
“อ้าก!!!” เสียงมันร้องออกมาสุดเสียง เมื่อปลายมีดปักลงบนหน้าขา แล้วดึงออกหวังจะปักที่อกด้านซ้ายปลิดลมหายใจมัน เพราะไม่มีประโยชน์จะเก็บไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามคอยตามฆ่าหรือกลับไปหาคนบงการ แต่มันหักหลบได้ แล้วหมุนตัวไปหาหญิงสาวที่ยืนมองอยู่ไม่ห่างอย่างรวดเร็ว มันล็อกคอพร้อมกับดึงมัจจุราชสีดำที่เหน็บไว้ที่เอวด้านหลังมาจ่อเข้าที่ขมับเธอ
หัวใจสาววาบไปด้วยความกลัว ตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่กระดิกนิ้ว ร่างสูงก็หยุดชะงัก ส่วนมันแสยะยิ้มอย่างสะใจไม่มีความเกรงกลัวสายตาที่จ้องมาอย่างเย็นเฉียบ แล้วปลดล็อกมัจจุราช... “ปัง ปัง ปัง” มันยิงใส่ร่างสูง ซึ่งกระโดดหลบได้อย่างฉิวเฉียด แววตามันแค้น พลางส่ายสายตาหาตัวที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้
“ออกมา” เสียงมันกร้าว “ไม่งั้นกูจะระเบิดหัวอีนังนี้เสีย”
“เขาไม่เกี่ยว แกอยากได้ชีวิตฉันไม่ใช่เหรอ ก็เอาไปซิ” หญิงสาวเอ่ยออกมาทั้งที่กลัว แต่หัวใจเธอยามนี้มันสุดจะทนกับชะตาชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะเธออีกแล้ว
“ใครบอกว่ามันไม่เกี่ยว”
“หมายความว่าไง” เธอถามแล้วต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก “หรือว่า...”
“หึๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะมันดังรอดไรฟันออกมา ตอกย้ำความคิดของเธอ ที่ไม่ว่าจะคิดว่าไง คำตอบก็คือใช่ “เธอมันก็แค่นกต่อ ที่ล่อมันออกมา จากนั้น...”
“แกจะฆ่าเขา” ไม่มีคำปฏิเสธ แต่ความเงียบที่เกิดขึ้นคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากคำว่า...ใช่ “หนีไป” เธอตะโกนออกมา ปลายกระบอกมัจจุราชจึงกระแทกขมับ พร้อมเสียงเหี้ยมๆ
“เงียบ”
มันสั่งแต่เธอไม่ทำตาม ยังพูดออกมาว่า “เขาไม่มีทางที่จะออกมา เพราะฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ หรือมีความสำคัญพอ ที่เขาจะเอาชีวิตตัวเองมาแลก แกคิดผิดแล้ว”
“ใครบอก เพราะความจริงฉันกำลังจะยิงปืนนัดเดียว แต่ได้นกสองตัวต่างหาก”
สิ้นเสียงมันร่างสูงก็เดินออกมา ยืนจ้องหน้ามันอยู่ไม่ห่าง มันยิ้มอย่างพอใจแต่หละหลวมในการควบคุมตัวหญิงสาว เธอจึงกัดแขนมันจนเสียหลัก ร่างสูงก็ปรี่เข้ามาตวัดปลายเท้าฟาดมือที่จับปืน มันเซ เธอก็ดิ้นหลุดออกมา มันสุดแสนจะแค้น ตวัดมัจจุราชไปที่ร่างสูงพร้อมๆกับที่หญิงสาวหันมาเห็น
“ระวัง” เธอตะโกนออกมาพร้อมกับกระโจนเข้าไปหาเขา
“ปัง”
“โอย”
เสียงดังขึ้นพร้อมๆกัน ทั้งสามคนยืนนิ่งจนไม่แน่ใจว่าเสียงร้องนั้นเป็นของใคร ไม่กี่อึดใจไอ้โม่งก็ค่อยๆยกมือขึ้นจับที่หน้าท้องเพราะรู้สึกเจ็บแปลบ เลือดติดมือออกมา แล้วทรุดลงเมื่อความเจ็บกระจายไปทั่วตัว มันขบกรามข่มไว้แล้วลุกขึ้นกระเสือกกระสนหนีมัจจุราชในมืออีกฝ่าย ทั้งๆที่อยากจะสู้ต่อแต่บาดแผลทั้งที่ท้องและที่ขา บอกมันว่าถ้ายังสู้ ชีวิตต้องดับดิ้นอยู่ที่นี่แน่นอน
ร่างสูงมองตามแล้วจะก้าวตามเพื่อจัดการให้สิ้นซาก แต่ร่างอรชรที่กระโจนมาหา และเขารับไว้พร้อมกับดึงปืนออกมายิงไอ้โม่งทรุดฮวบลงตรงหน้า ทำให้ต้องปล่อยมันไป ดวงตาคมกริบกวาดหาบาดแผล แล้วก็ได้เห็นเลือดที่ซึมเสื้อตรงหัวไหล่
เขามองใบหน้างามที่ซีดลงเพราะความเจ็บ แต่ไม่มีเสียงร้องโอดโอย ใจเสาะออกมาให้น่ารำคาญ มีแต่เม้มริมฝีปากข่มความเจ็บไว้ พลางคิดว่าถ้าเธอไม่กระโจนมาหา กระสุนนัดนี้อาจจะเจาะเข้าที่ตัวเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกอยากจะขอบใจเธอที่ช่วยกลับรู้สึกไม่พอใจเพราะมันกลายเป็นภาระ เป็นหนี้บุญคุณที่เขาถือเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ปลายนิ้วแกร่งจึงยกขึ้นจับคอเสื้อเชิ้ตที่บนตัว จะกระชากเพื่อดูบาดแผล แต่มือนุ่มยกขึ้นมายึดมือเขาไว้เสียก่อนๆจะถามออกมาอย่างตื่นตกใจ
“จะทำอะไร”
“อยากจะรอดหรืออยากจะตายล่ะ”
เธอเข้าใจคำพูดเขา แต่...“ฉัน ไม่เป็นไรอะไร” เธอบอกทั้งที่เจ็บปวดไปทั้งแขน แต่เธออายเกินกว่าจะให้เขาถอดเสื้อออกไปจากตัว ดวงตาคมนิ่งเหมือนจะยอมรับฟัง แต่...
“แควก”
“ว้าย” หญิงสาวร้องอย่างตกใจ ใบหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ลืมความเจ็บ ผลักตัวเขาออกแล้วรีบรวบคอเสื้อไว้ แต่มือหนากลับปัดออกอย่างไม่สนใจ และไม่ได้ใส่ใจเนินอกอิ่มผิวขาวนวลลออที่พ้นเสื้อชั้นในสีชมพูออกมา แต่กลับจดจำได้หมดแม้จะเห็นแค่แวบเดียว สายตาจดจ้องอยู่มองแค่บาดแผล ตรวจดู และแตะอย่างเบาที่สุด แต่ก็ยังได้ยินเสียงร้องออกมาจากเรียวปากอิ่ม “โอย”
“แค่เฉียด” เขาบอก มองเผลที่เต็มไปด้วยเลือดอีกเพียงอึดใจ ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเดินไปโดยไม่บอกอะไรกับหญิงสาวเลย ซึ่งเธอก็คิดเป็นอื่นไปไม่ได้อีกเช่นเคยนอกจาก ...ถูกทิ้ง
ความเจ็บความเศร้าอัดแน่นอัดเต็มหัวใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมเส้นชะตาชีวิตของเธอถึงได้เลวร้ายนัก ต้องพลัดพรากจากพ่อ ซึ่งป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านจะเป็นยังไงบ้าง แล้วต้องมาเจอคนโหดร้ายป่าเถื่อน มาเจ็บตัว มาถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่กลางป่า และอาจจะต้องตายอยู่ตรงนี้ แต่เธอจะไม่ยอมแพ้โชคชะตา ไม่ว่าจะขีดเส้นชีวิตเธอไว้ยังไง เมื่อยังมีลมหายใจ เธอก็จะต้องหยัดยืนขึ้นมาให้ได้ ...คิดแล้วก็ข่มใจข่มอารมณ์ต่างๆไว้ ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่ซึมออกมาเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเจ็บ หน้าบิดเบ้แต่ก็กัดฟันข่มไว้ ยันตัวลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปตายเอาดาบหน้า แต่...
คนที่ทิ้งเธอไปกลับเดินมาหาเธออีกครั้ง สบตาคมกริบที่มองนิ่งมา กระทั่งเดินมายืนอยู่ตรงหน้า เสียงห้าวห้วนก็เอ่ยออกมา “นั่งลง ฉันจะทำแผลให้”
เธอมองใบไม้ที่รู้ว่าคือใบสาบเสือในมือเขา แต่ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างช่างใจ เพราะถ้ายอมให้เขารักษาแผล นั้นหมายความว่าเธอจะต้องถอดเสื้อออกหรือไม่ก็ดึงเสื้อลงมาให้เห็นแผล และเห็นเนื้อตัวเธอด้วย ความเขินอายก่อเกิดขึ้นในใจ แต่เวลานี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับการมีชีวิตรอดอีกแล้ว ความรู้สึกต่างๆจึงถูกกลบไว้ด้วยความเจ็บ ค่อยๆดึงเสื้อที่เขากระชากกระดุมหลุดหายไป ลงมา สายตาตวัดมองดอกหญ้าเล็กๆแทนที่จะมองเขา
ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ สายตาจดจ่ออยู่ที่แผลเหมือนไม่สนใจอะไรเลย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เนินอกอิ่ม ผิวขาวนวลลออกลายเป็นความทรงจำของเขาโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วแกร่งขยี้ใบไม้ในมือจนละเอียดแล้วโปะลงบนแผล ร่างอรชรสะดุ้งเพราะเจ็บแต่ก็ทนได้ จากนั้นเขาก็ฉีกแขนเสื้อเธอมาพันแผลให้ เรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน หลุบตามองร่างอรชรที่รีบดึงเสื้อขึ้นปิดเนื้อตัวเอง
“ข้างหน้าคือชีวิต ข้างหลังคือความตาย เลือกมาว่าจะเอาอย่างไหน”
มือเรียวที่จับคอเสื้อไว้ชะงักไปนิด ก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าใต้ผ้าสีดำ แล้วลุกขึ้นยืน สบตาคมกริบที่มองอยู่แล้วเอ่ยถามออกมา “คุณจะช่วยฉันเหรอ”
“ฉันไม่ชอบติดค้างใคร”
“ฉันก็ไม่ได้ทำเพื่อจะให้เป็นบุญคุณใคร”
“นางฟ้าว่างั้น”
น้ำเสียงยังห้วนห้าวเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมมาให้เธอรู้สึกคือการเยาะหยัน แต่เธอไม่สนและยังพูดเสียงด้วยเสียงนิ่งๆดุจเดิม “เปล่า แค่ไม่อยากเห็นใครต้องมาเป็นอะไรเพราะตัวฉันอีกแล้ว” ปลายเสียงติดจะเศร้า แต่คนฟังมีแต่ความเฉยชาให้เท่านั้น
“แล้วจะเลือกหรือเปล่า”
“เลือก” เธอบอกโดยไม่ต้องคิด เพราะอาจจะเป็นทางรอดทางเดียวที่เธอต้องรีบคว้าไว้ แม้ยังไม่รู้ว่าจะเลือกผิดหรือถูก แต่ก็ต้องเลือกไว้ก่อน “แต่ฉันขอเสนอเป็นการแลกเปลี่ยนได้ไหม” ถามไปแล้ว ก็ไม่มีคำตอบจากร่างสูง เธอก็คิดว่าเขารับฟัง จึงพูดต่อว่า “ฉันขอแลกการติดค้างเป็นพาฉันออกไปจากที่นี่ ป่านี้ได้ไหม”
“แผลแค่นี้ กับภาระที่ยิ่งใหญ่ ไม่มากไปเหรอ หรือคิดว่าป่าแห่งนี้คือสวนสาธารณะที่จะเข้ามาเดินเล่น แล้วเดินออกไปได้อย่างสบายๆ”
“งั้นคุณต้องการอะไรเพิ่มก็บอกมาเลย ฉันยินดี”
“ชีวิต”
หญิงสาวอึ้งไปกับคำตอบ แม้ไม่มีความชัดเจนว่าชีวิตที่ว่าครอบคลุมไปถึงไหน แต่ถ้าเธอตกลงชีวิตของเธอก็อยู่ในกำมือของเขาทันที จะไม่มีสิทธิในตัวเองอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับการที่จะมีชีวิตอยู่ เมื่อไม่รู้ว่าได้อยู่ต่อแล้วจะได้เจอพ่อกับแม่หรือไม่ และอย่าหวังว่าจะได้รับความอ่อนโยนความเห็นอกเห็นใจ จากคนที่เธอสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมเย็นชา
“นานแค่ไหน” เสียงเธอดังแผ่วออกมา แม้จะคิดไปในทางที่ร้ายๆ แต่เมื่อชีวิตยังไม่สิ้นเธอก็จะดิ้นให้ถึงที่สุด เพราะสุดท้ายที่ปลายอุโมงค์อาจจะมีแสงสว่างให้เธอได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ ที่ถวิลหาอยู่ทุกลมหายใจ
“ไม่มีการต่อรอง”
“ฉันไม่ได้ต่อรองแต่ขอคำตอบ”
“ตลอดไป”
คำที่เธอได้ยินเหมือนมีดประหารที่บันคอเธอ ความหวังที่คิดว่าอาจจะมีน้อยนิด มืดสนิทลงทันที ความเศร้าถาโถมหัวใจที่เข้มแข็งให้อ่อนแอลงมา จนไม่อาจจะข่มฝืนกล้ำกลืนไว้ได้อีกแล้ว น้ำตาเอ่อขึ้นมากลบตาจนต้องเบือนหน้าหนีดวงตาคมกริบ แต่ก็ไม่พ้น...เขาเห็น
ไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา ไม่มีการรอคอยคำตอบ ร่างสูงออกเดินเป็นการบีบบังคับให้เธอต้องตัดสินใจเลือก แต่ร่างอรชรยังยืนอยู่กับที่ อยู่กับความคิดที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหน จะเดินหน้าหรือถอยหลัง จะโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่กลางพนาหรือ...สองเท้าของเธอออกก้าวเดินเป็นคำตอบในหนทางที่เลือก...คือยอมมอบชีวิตให้เขา
**************
เรือนไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่ที่ปลูกสร้างขึ้นด้วยไม้เนื้อดี โปร่งโล่งสบาย สวยงามอยู่บนพื้นดิน แม้จะผ่านกาลเวลา แสงแดด ลมฝนมาหลายอายุคน ก็ยังคงทนอยู่กลางแมกไม้ ตัวเรือนแบ่งเป็นห้องต่างๆตามที่จะใช้สอย ตรงด้านหน้ามีบันไดห้าขั้นก้าวผ่านขึ้นไปก็เป็นระเบียง เป็นโถงกว้าง วางเก้าอี้ไม้ชุดใหญ่ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน บนผนังด้านหลังเก้าอี้ตัวใหญ่เป็นธงผืนใหญ่ของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ...เรือนหลังนี้ไม่ได้ตั้งโดดเดี่ยวอยู่หลังเดียว แต่มีเรือนหลังเล็กของผู้พิทักษ์อีกหลายหลังรายล้อมอยู่ไม่ห่างกันมากนัก และยังมีเรือนของผู้ดูแลเรือนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดอยู่อีกหลัง
ม้าหลายตัววิ่งมาหยุดไม่ห่างจากเรือนหลังใหญ่ ผู้เฒ่าโพธิ์พร้อมผู้พิทักษ์ลงมาจากหลังมันแล้วพากันเดินไปที่เรือน ส่วนผู้ติดตามก็หอบหิ้วสมบัติตามมาวางไว้บนระเบียงแล้วก็แยกย้ายไป พ่อบ้านที่ดูแลเรือน นามว่า ‘จ้าว’ รีบเดินออกมาต้อนรับท่านผู้เฒ่ากับผู้พิทักษ์ ซึ่งพากันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโถงกว้าง เด็กรับใช้รีบยกขันน้ำฝนลอยดอกมะลิหอมกรุ่นพร้อมถ้วยไม้มันวาว มาวางให้ตรงหน้า แล้วถอยออกไปเงียบๆ
“ภูผาละ” ผู้เฒ่าโพธิ์หันมาถามพ่อบ้านจ้าว ที่เดินตามมายืนประสานมืออยู่ข้างเก้าอี้
“ยังไม่กลับมาขอรับ”
ความแปลกใจเกิดขึ้นในแววตาที่สงบนิ่ง แล้วปรายตาไปมองสองผู้พิทักษ์ ที่ได้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้รู้แล้ว แต่ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับมา “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากทั้งคู่ แต่คำถามนี้ตรงกับความคิดของพ่อบ้านจ้าว เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่ถูกถามถึง ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ฝีมืออันดับหนึ่งของภูเขาดำจะไม่มีทางอยู่ห่างจากผู้ครองบัลลังก์ที่แห่งนี้เด็ดขาด แต่นี้หายไปตั้งแต่เมื่อคืน “น่าห่วงนะขอรับ” ว่าแล้วก็โน้มตัวมารินน้ำฝนใส่ถ้วย ยกให้ท่านผู้เฒ่า ซึ่งก็ยื่นมือมารับน้ำไปดื่ม พอส่งถ้วยคืน พ่อบ้านจ้าวก็ถามออกมาอีกว่า “จะให้ใครออกติดตามไหมขอรับ”
“ไม่ต้อง แค่เชลยผู้หญิงคนเดียว ภูผาคงจัดการได้ อีกอย่างป่าก็เหมือนบ้าน เดี๋ยวก็กลับมา” พูดจบผู้เฒ่าโพธิ์ก็ตวัดสายตาไปมองสองผู้พิทักษ์ แล้วสั่ง “จัดการของส่วนรวมพวกนั้นให้เรียบร้อย แล้วเจ้าสองคนก็กลับไปพักได้”
“ขอรับ” ทั้งสองคนก้มหน้าให้ แล้วถอยหลังออกมาก่อนจะเดินไปที่ของส่วนรวม ซึ่งก็คือสมบัติเพื่อนำไปเก็บยังที่ๆปลอดภัย
พ่อบ้านจ้าวรอจนทั้งสองคนเดินลับหายไป ก็หันมาสบตากับผู้เฒ่าโพธิ์แล้วเอ่ยคำที่อยากจะพูดออกมา แต่เมื่อกี้ต้องนิ่งไว้เพราะไม่อยากเอ่ยคำใดออกมาให้ผู้พิทักษ์ได้ยิน “แล้วถ้าภูผาไม่กลับมาละขอรับ”
“ไม่เชื่อฝีมือกันหรือไง”
“เชื่อขอรับ แต่ป่าไม่เหมือนบ้านนะขอรับ มันมีความลึกลับ ซ่อนความน่ากลัวไว้มากมาย และที่น่าสงสัยก็คือ เชลยหญิงสาวผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงโผล่เข้ามาที่ภูเขาดำ ยิ่งไปกว่านั้น จากคำพูดของผู้พิทักษ์เธอไม่ได้หลงเข้ามา แต่ถูกชิงตัวมาจากคนที่บุกรุกภูเขาดำ คนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมถึงข้ามเขตเข้ามาทั้งๆที่รู้ว่าอันตราย จะมีอุปสงค์อะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า ท่านผู้เฒ่าได้สอบสวนเชลยที่เหลืออยู่หรือยังขอรับ”
ผู้เฒ่าโพธิ์นิ่งไปกับคำวิเคราะห์ของพ่อบ้านจ้าว ผู้ที่เปรียบเหมือนอาวุธลับข้างตัวท่าน เพราะไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็มักจะคาดคะเนได้อย่างมีเหตุผลและถูกต้องเสมอ...ถ้าภูผาคือฝ่ายบู้ พ่อบ้านจ้าวก็คือฝ่ายบุ๋น ที่ทำให้ใครต่อใครเกรงอำนาจที่มีอยู่มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าท่านขาดคนใดคนหนึ่งไป นั่นคือโอกาสของใครต่อใครเหมือนกัน
“ข้ารอภูผา”
“ท่านใจเย็นเกินไป ใจมนุษย์นั่นยากจะหยั่งถึงยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็รู้ การปล่อยเชลยไว้อย่างนั้นอาจจะสายเกินไป”
“ไม่สายหรอก เพราะการที่เสียสิ่งหนึ่งไปอาจจะทำให้เราได้สิ่งหนึ่งกลับมา ทุกอย่างมันต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ”
“แล้วถ้ามันได้ไม่คุ้มเสียละขอรับ”
“คุ้มซิ มันต้องคุ้ม”
พ่อบ้านจ้าวนิ่งไปกับน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่สีหน้ามีความกังวลใจให้คนที่มองอยู่เห็น “เจ้าอยู่กับข้ามานาน เป็นพ่อบ้านอยู่บนเรือนนี้ ถึงจะไม่เคยออกจากเรือนไปไหน แต่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่เหรอ”
“ขอรับ แต่ทุกอย่างดูประจวบเหมาะจนน่าคิดว่ามันเกิดขึ้นเอง หรือเป็นฝีมือใคร ที่สำคัญถ้ามีใครสักคนจุดไฟขึ้นมา ให้ไหม้ป่า จะทำไงขอรับ”
“ไม่ทำไง เพราะข้ารู้ว่าตอนนี้ไม่มีใครจุดไฟให้ไหม้ป่าแน่นอน”
“แสดงว่าต่อไปไม่แน่ ท่านรู้ใช่ไหมขอรับ”
“ข้าไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ทุกเรื่องหรอก แต่ที่พูดเพราะมันเป็นสัจธรรม ที่มีมาให้เห็นตั้งแต่กาลเก่า แม้ระยะหลังภูเขาดำจะไม่มีเรื่องแย่งชิงอำนาจ แต่ก็ใช่ว่าต่อไปจะไม่มี เพราะอำนาจมันไม่เข้าใครออกใคร และน้อยคนนักที่จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่”
“แล้วเชลยสาวคนนั้นจะเป็นสาเหตุหรือเปล่าขอรับ”
“ใจคนต่างหากที่เป็น”
พูดจบผู้เฒ่าโพธิ์ก็ลุกขึ้นเดินไปด้านหลังโถงกว้าง ซึ่งมีทางเดินไปยังห้องพักผ่อน แต่พ่อบ้านจ้าวยังยืนอยู่ที่เดิม เพราะเห็นจริงกับคำพูดของผู้เฒ่าโพธิ์ ความหนักใจที่ควรจะคลายลงจึงเพิ่มขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนการส่งสัญญาณอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้ภูเขาดำไม่สงบสุขเหมือนดั่งกาลเก่าอีกแล้ว
อีกอย่างการหายไปของผู้พิทักษ์มือหนึ่งในวันนี้ จะต้องเป็นที่จับตามองของผู้นำหุบผาแน่นอน ซึ่งนี้เป็นความน่ากลัวอีกอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ เพราะ... พ่อบ้านจ้าวไม่อยากคิดถึงสาเหตุ แต่ไม่นานคงได้รู้กัน
*******
ลำแสงดวงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านใบไม้ลงมากระทบหลังคาเรือนปูนหลังใหญ่ในหุบผาเหลือง เมฆาผู้นำหุบผาเดินนำหน้าเมฆลูกชายกับหมอกลูกบุญธรรมมาที่ศาลากลางบึงบัว สายลมพัดพากลิ่นหอมจากดอกบัวที่บานสะพรั่งอยู่เต็มบึงมาให้ชื่นใจ ทั้งสามคนรับรู้แต่ไม่ได้สนใจที่จะชื่นชม พากันนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่วางไว้รอบโต๊ะไม้กลม แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูดคำใดออกมา สายตาของทั้งสามคนก็เห็นใครคนหนึ่งเดินอย่างเร่งรีบมาหา ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร เป็นกองสอดแนมคอยส่งสารให้ผู้นำหุบผานั่นเอง
ร่างผอมสูงเดินมาหยุดยืนตรงหน้านายทั้งสามคน ก้มหน้าให้ความเคารพแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้นำหุบผา ก้าวเข้าไปชิดอีกนิดก็กระซิบบอกบางอย่าง ก็ถอยออกมายืนที่เดิม แต่สีหน้าของคนที่ได้รับสารนั้นเคร่งขรึมขึ้น แล้วถามว่า
“แน่ใจเหรอ”
“ขอรับ”
คำยืนยันนั้นทำให้เลือดในอกกับนอกอกของผู้นำ ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยว่าเรื่องที่กระซิบกันเมื่อกี้คงสำคัญไม่น้อย และคนที่มีนิสัยใจร้อน ค่อนข้างวู่วามก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “มีอะไรครับพ่อ” เมฆสบตาคนเป็นพ่อรอฟังคำตอบ ซึ่งก็บอกว่า
“ที่เราไม่เห็นไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง เพราะมันหายออกไปจากเรือนผู้ครองบัลลังก์”
พอได้คำตอบ ความแปลกใจก็หายไปจากสีหน้าของเมฆ ยิ้มหยันที่มุมปากเล็กน้อยก็บอกว่า “ปรกตินี่ครับ ไม่เห็นจะต้องทำเหมือนมันสำคัญอะไรหนักหนา เพราะมันทำตัวเหมือนผีที่หายไปโน้นมานี่อยู่แล้ว”
“แต่คราวนี้ไม่น่าจะปรกติครับ นายเมฆ” หมอกเอ่ยออกมา เขาเรียกเลือดในอกของคนที่ชุบเลี้ยงมาอย่างให้เกียรติ และพูดต่อด้วยเสียงนิ่งๆตามบุคลิกของตัวเอง “การประชุมของวันนี้สำคัญมาก เพราะมีสมบัติมากมายเข้ามาเกี่ยว ซึ่งเขาจะต้องคุ้มครองไปเก็บ ทุกครั้งที่ผ่านมาภูผาไม่เคยขาด จะต้องอยู่เคียงข้างผู้ครองบัลลังก์ตลอด แต่วันนี้เขาหายไป มันต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่แน่ๆ” พูดจบเขาก็มองคนที่มาส่งสาร “มีอะไรมากกว่าที่บอกมาอีกไหม”
“ไม่ครับ”
“งั้นก็ไปสืบมา” เมฆสั่งออกมาทันทีตามประสาคนใจร้อน และอยากให้คนเป็นพ่อเห็นว่าเขามีความเป็นผู้นำพอที่จะสืบทอดอำนาจต่อได้แล้ว อีกอย่างก็อยากให้ไอ้กาฝากเห็นว่ายังไงเสียเลือดก็ต้องข้นกว่าน้ำ ไม่ว่ามันจะพยายามทำตัวให้เด่นให้เก่งกว่าเขาแค่ไหนก็ตาม
“แต่ผมว่าอย่าแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนจะดีกว่านะครับนายเมฆ เพราะถ้าเราไปสืบ แล้วผู้เฒ่าโพธิ์เกิดรู้ขึ้นมา เราจะถูกเพ่งเล็ง ดีไม่ดีจะเข้าทางใครบางคน ที่อยากจะหาแพะรับบาปเรื่องนี้อยู่แล้วก็ได้”
“ก็อย่าโง่ให้พวกมันจับได้ซิ”
“ต่อให้เราฉลาด เราก็อาจจะพลาดได้ เพราะเรายังไม่รู้ว่าที่นายภูผาหายไปนั้น เป็นการหายไปเพราะมีอันตราย หรือหายไปเพราะไปสืบเรื่องอะไรอยู่ ถ้าเราไปสะกิดเข้าเพียงนิดเดียว ความโง่ก็จะมาเยือนเราทันที อีกอย่างอย่าลืมว่าเขามีฉายาว่าผี ดีไม่ดีจะถูกเขาหลอกเขาง่ายๆนะครับ”
“จะกลัว...”
“พ่อเห็นด้วยกับหมอก” เสียงเมฆาดังขึ้นขัดคำพูดเลือดในอก ที่มักจะใจร้อน ไม่รอบคอบให้เห็นอยู่เป็นประจำ “ยืนดูอยู่ที่หุบผาเหลืองให้แน่ใจแล้วค่อยมาว่ากันอีกที บางทีเราอาจจะรู้อะไรบางอย่างมากกว่าการบุ่มบ่ามไปก็ได้”
“แต่ผมกลัวว่าเราจะช้า จนกลายเป็นควายให้อีกสองหุบผาหัวเราะเยาะเอา เพราะป่านนี้คงรู้เรื่องที่เรารู้แล้วเช่นกัน และอาจจะฉวยโอกาสให้เกิดโอกาสกับตัวเองก็ได้”
“โอกาสอะไร”
“ก็โอกาสที่จะเป็นตัวตายตัวแทนของคนที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตอนนี้ไงครับ”
“เมฆ” เสียงเมฆากร้าวขึ้นมาหน้าตาก็ดุดัน เมื่อพอจะรู้ว่าลูกหมายถึงผู้ครองบัลลังก์ที่ควรให้ความเคารพสูงสุด “ระวังปากแกหน่อย แล้วอย่าพูดอะไรพล่อยๆแบบนี้ให้ฉันได้ยินอีก เพราะยังไม่มีอะไรชัดเจน”
“แล้วพ่อจะรอถึงเมื่อไร”
“แกไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น และถ้าอยู่แล้วใจร้อนนัก ก็กลับไปพักได้แล้ว”
เมฆอยากจะเถียงออกมาแต่จำต้องเก็บคำพูด เก็บความไม่พอใจคนเป็นพ่อที่หักหน้าเขาต่อหน้าไอ้ลูกกาฝากไว้ ขณะที่เมฆาก็หน่ายใจกับนิสัยที่มุทะลุของลูกที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน แล้วหันไปพยักหน้าให้คนส่งสารกลับไปพักได้ ซึ่งก็ก้มหน้าคำนับแล้วก็เดินจากไปเงียบๆ เพียงร่างผอมสูงลับสายตาไป เมฆก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากศาลาทันทีเช่นกัน
เมฆามองตามไปแต่ไม่ได้สนใจมากไปกว่านั้น แล้วหันมามองลึกเข้าไปในนัยน์ตานิ่งๆของลูกบุญธรรม ก็เอ่ยออกมา “รู้ใช่ไหมว่าเมฆพูดถึงใคร”
“ครับ” คำรับนิ่งเฉกเช่นเดียวกับแววตาที่ยังนิ่ง และบอกว่าพร้อมที่จะรับฟังทุกอย่าง
“แล้วคิดว่าไง”
“รู้เขารู้เรา รบกี่ครั้งก็ชนะครับ”
“ดี ตอนนี้ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งหายไป จะทำอะไรก็รีบทำเข้า ก่อนที่วันสำคัญที่เรารอคอยจะมาถึง”
“ครับ”
ได้ยินคำรับปากแล้ว ท่านผู้นำก็สบายใจ ลุกขึ้นตบไหล่ลูกบุญธรรมพร้อมบอกว่า “ฝากด้วยก็แล้วกัน”
พูดจบก็เดินออกไปจากศาลาทันที หมอกมองตามผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเขามา แม้จะเป็นลูกบุญธรรม เขาก็ไม่เคยเรียกท่านว่าพ่อเลย เรียกแค่ท่านเท่านั้นเอง กระทั่งท่านเดินไปไกลจนลับตา ก็ตวัดสายตากลับมามองโต๊ะตรงหน้า เสมือนว่าตัวเขามีพื้นที่ที่ให้มองอยู่แค่นั้นเอง
เด็กชายที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน พอจำความได้ก็รู้ว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่ หน้าตาเคร่งขรึมคนนี้เป็นพ่อ และผู้หญิงสวยๆที่อยู่เคียงข้างท่านเป็นแม่ แต่สิ่งที่ต้องจดจำไว้อีกอย่างก็คือทั้งคู่ไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆเป็นพ่อแม่บุญธรรม ที่ต้องเคารพรัก เชื่อฟัง และทำทุกอย่างตามคำสั่ง ซึ่งเด็กชายก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี ชีวิตน่าจะมีความสุข ถ้าเพียงแต่ทั้งคู่จะไม่มีลูก ลูกชายที่ไม่ชอบหน้าเขา
หมอกถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วลุกขึ้นยืน ตัดความคิดคำนึงออกไป เพื่อจะไปทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณคนที่เลี้ยงเขามา ที่แม้จะทำดีแค่ไหน เขาก็ยังเป็นคนนอกสายตา ของท่านอยู่ดี ซึ่งเขาก็ไม่ได้น้อยใจ เพราะไม่เคยมีพ่อคนไหนจะเห็นคนอื่นดีไปกว่าลูกตัวเอง ที่แสดงออกมาว่าไม่พอใจในหลายอย่างที่ทำลงไป แต่ลึกลงไปเลือดในอกก็ต้องเข้มกว่าเลือดนอกอกกว่าเขาอยู่ดี
*******
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
ไปซุ่มเขียน ภูผาจนจบแล้วค่ะ
ตอนนี้กำลังทำเป็นหนังสือค่ะ
ตอน 3
...แต่สุดท้ายเธอก็เดินหนีจากไป...
สองมือปัดกิ่งไม้ต้นหญ้าที่พันเกี่ยวเลื้อยระอยู่ตรงหน้าให้พ้นตัว สองขาก้าวรีบเร่งไปให้เร็วที่สุด สองตามองทางที่เดินไปอย่างระวัง แต่หลังม่านตาภาพของคนที่นอนเลือดอาบหน้ายังแจ่มชัด จนต้องหลับตาลงเพื่อให้ภาพนั้นหายไป แต่พอลืมตาขึ้นมาภาพนั้นก็ยังอยู่ มิหนำซ้ำเสียงจากจิตสำนึกที่ถูกปลูกฝังมาให้รู้จักคุณคน และแก่นแท้ของจิตใจที่ดีงามทำให้เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าช้าลง ก่อนจะเร็วขึ้นเพราะอยากสลัดเสียงนั้นให้หายไป แต่ก็ยังรบกวนจนกระทั่งเห็นบางสิ่งที่ทำให้ในวินาทีสุดท้าย ปลายเท้าก็หันกลับไปที่เดิม
ขวัญชนกมองร่างสูงที่นอนนิ่งอย่างลังเล ก่อนจะเดินไปหยุดยืนมองอยู่เพียงอึดใจ ก็ย่อตัวนั่งลงข้างๆ หลุบตามองใบไม้ที่รูดติดมือมา ใบสาบเสือที่เธอเรียนรู้มาว่าช่วยห้ามเลือดและรักษาบาดแผลได้ ฉีกขยี้ขย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนละเอียด ก็เอาไปพอกไว้บนบาดแผล นั่งรอดูผลแต่เมื่อร่างสูงไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ก็กวาดตามองไปรอบป่าที่นั่งอยู่ แล้วลุกขึ้นออกเดินสำรวจ ทั้งที่อยากจะหนีไปตายเอาดาบหน้า แต่บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ เมื่อเขาช่วยเธอเธอก็ต้องช่วยเขา แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า แต่คิดว่าการมีเขาอยู่ น่าจะทำให้เธอมีรอดชีวิตกลับไปหาพ่อแม่ มากกว่าการบุกป่าฝ่าดงที่ไม่รู้ทิศทางไปคนเดียว
เธอหักกิ่งไม้ทิ้งไว้เป็นสัญลักษณ์ขณะเดินลึกเข้าไปในป่า แต่ไม่เจออะไรเลย นอกจากต้นไม้ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันรกทึบ กับดอกไม้ป่าเป็นกาฝากอยู่ประปราย ก็เดินกลับมาที่เดิม มานั่งข้างร่างสูง มองแผลที่เลือดหยุดไหลแล้ว ก็เอาใบไม้ที่เหลือมาขยี้เพื่อพอกให้เขาใหม่ แต่เพียงแค่ยื่นมือไปแตะที่แผล ร่างสูงที่นอนนิ่งก็ขยับยกมือจับมือเธอ พร้อมลืมตาขึ้นมามอง หญิงสาวตกใจรีบดึงมือกลับแต่ไม่ขยับสักนิด เพราะถูกบีบไว้แน่น แววตาเธอโกรธขึงขึ้นมา เมื่อสิ่งที่ได้จากช่วยคือการทำคุณบูชาโทษ
ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นนั่งเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พร้อมดึงมือที่จับไว้มาดู สิ่งที่เห็นแม้จะรู้ว่าเป็นการช่วย แต่ไม่ได้ทำให้รัศมีความน่ากลัวจากตัวเขาเปลี่ยนไป เพราะเขาจะไม่ตายด้วยบาดแผลแค่นี้เด็ดขาด ขนาดตกลงมาจากหน้าผาเขายังรอด แล้วแผลแค่นี้จะทำอะไรเขาได้ แต่ที่ต้องสลบเพราะการตกกระแทกนั้นทำให้เขาจุกและช้ำไปพอสมควร โชคดีที่หน้าผาไม่สูงมากและยังมีต้นไม้หน้าทึบรอรับ จึงช่วยได้มาก แต่คนที่ทำร้ายเขา...ดวงตาคมตวัดขึ้นมองดวงหน้างาม ความกลัวไม่มีมีแต่ความถือดี หยิ่งทระนงในตัวเท่านั้นที่เห็น
“ปล่อย” เสียงที่ควรจะสวยเหมือนหน้าตากลับกระด้างด้วยความโกรธ เชิดหน้าขึ้นทั้งที่ใจเต็มไปด้วยความกลัว “ฉันช่วยนาย แต่จะตอบแทนกันด้วยวิธีนี้เหรอ”
“มันยังน้อยไปกว่าที่เธอตอบแทนฉันมากนัก” น้ำเสียงกร้าวต่ำน่ากลัว จนฟังแทบจะสะดุ้ง “หรือคิดว่าที่รอดมานั่งทวงบุญคุณ เพราะโชคช่วยไม่ใช่ฉัน”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากไว้แน่นเมื่อมันคือความจริง ถ้าเขาไม่ช่วยป่านนี้เธอคงเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ควรจะมีท่าทีจะกินเลือดกินเนื้อเธอแบบนี้ แม้จะคิดอย่างนั้นแต่เธอก็ต้องข่มความรู้สึกกรุ่นโกรธไว้ ต้องระลึกไว้ว่าเธอไม่ควรทำให้เขาโกรธไปมากกว่านี้ และไม่ควรจะแข็งขืนกับคนที่มีความน่ากลัวมากกว่าป่าที่รอยล้อมอยู่รอบตัว ควรนิ่งสงบสยบทุกอย่างไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดจะดีกว่า
“เธอเป็นใคร”
“ปล่อยก่อนซิ”
“ตอบ” เสียงห้าวต่ำลึกลงเตือนให้รู้ว่าเธอไม่มีสิทธิต่อรองอะไรทั้งนั้น เรียวปากอิ่มเม้มแน่นอีกนิดก็คลายออกมาตอบด้วยเสียงที่ยังกระด้าง
“เชลย ฉันถูกจับตัวมา”
“ใคร”
“ฉันไม่รู้ และไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ต้องการอะไร”
เธอบอกโดยไม่รู้ว่าถูกพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้างามเด่นชัด แม้จะมีรอยสกปรกเปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ่งเยิง แต่แทบจะปิดบังความงามที่มีอยู่ไม่ได้เลย รูปร่างอรชรอ้อนแอ่น ผิวพรรณนวลลออเนียนนุ่ม ซึ่งรับรู้ได้จากมือที่จับอยู่ บอกให้รู้ว่าเธอคงเป็นลูกผู้ดีมีราคาแน่นอนถึงได้ถูกจับตัวมา และเสียงที่บอกก็บอกให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้โกหก เหตุการณ์ที่เขาได้ตัวเธอมาย้อนกลับมาให้สงสัย ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในกลุ่มของพวกบุกรุกภูเขาดำ แล้วมีดที่แหวกความมืดมาสังหารเขาอีก มาจากไหน ใครเป็นคนทำ
เขาปล่อยมือเธอ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตวัดสายตามองไปรอบๆบริเวณป่าไม้ที่หนาทึบ ก็ออกเดิน โดยไม่สนใจหญิงสาวที่จับผลัดจับผลูให้ต้องมาอยู่ในมือ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปกป้องคุ้มครองหรือดูแล แค่เขาปล่อยไม่ลากตัวไปรับโทษที่ลานผาคำก็ถือว่าตอบแทนที่ช่วยเขาแล้ว
หญิงสาวมองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไป หัวใจโหวงวูบที่ถูกทิ้งและสมน้ำหน้าตัวเอง ที่คาดหวังกับน้ำใจคน ที่นับวันยิ่งหายากขึ้นทุกที และเมื่อเขาไม่มีให้เธอก็จะไม่อ้อนวอนขอร้องใดๆเด็ดขาด เชิดหน้าลุกขึ้นยืนอย่างทระนงในสายเลือดที่มีอยู่ ลูกสาวชายชาติทหารต้องเข้มแข็ง อดทน ถึงต้องผจญกับภัยใดๆก็อย่าได้หวั่น แล้วก้าวไปอีกทาง สองตามอง สองเท้าก้าวเดินไปอย่างไม่รู้จุดหมาย ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าทางออกอยู่ตรงไหน ทางไหนคือทางรอด ทุกทางคือทางตันหรืออาจจะเป็นทางตายก็ไม่อาจจะรู้ได้ แค่มีเสียงอะไรดังขึ้นมานิดเดียว ความกลัวก็จู่โจมเข้ามาในหัวใจ จนต้องยกมือขึ้นกอดตัว ปลอบใจตัวเองว่าอย่ากลัว ไม่มีอะไร
เธอย่ำเท้าก้าวเดินตามแสงตะวันแล้วต้องหยุดยืนนิ่ง ลดมือลงข้างตัว เมื่อคนที่มีผ้าคาดหน้าโผล่ออกมายืนขวางหน้า ไม่มีความกลัวเพราะจำได้ว่าคือคนที่ทิ้งเธอไป ความแปลกใจสงสัยเกิดขึ้นมาแต่แค่แวบเดียวก็กลายเป็นความตกใจ เมื่อร่างสูงปราดเข้ามาหา ยกมือปิดปากพร้อมเสียงข่มขู่ที่ดังออกมา
“เงียบ”
เธอยกมือขึ้นแกะมือหนาออก แต่แล้วกลับถูกผลักกระเด็นไปชนกับต้นไม้ ร่างสูงก็เบี่ยงตัวหลบมีดที่ขว้างแหวกอากาศมาหวังปักบนตัวเขา แต่กลับไปปักบนต้นไม้ดัง “ฉึก” ดวงตาคมตวัดหาเจ้าของมันทันที แทบจะไม่ต้องสอดส่าย ก็มีคนแสดงตัวออกมา เสียแต่ว่าใบหน้านั้นถูกปิดบังไว้ด้วยหมวกไหมพรม รูปร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากเขา แต่ที่ต่างซึ่งเห็นได้ชัดจากแววตาของมันก็คือสัญชาติญาณของนักฆ่า ... มันเป็นใคร
คำถามนี้ดังขึ้น ขณะสบสายตาที่โหดเหี้ยม แต่ในแววตาเขาไม่มีความกลัว นอกจากความนิ่งลึก ลึกจนทั่วบริเวณเงียบสนิท แม้แต่ลมหายใจหรือเสียงสัตว์เล็กๆก็แทบจะไม่ได้ยิน เพียงไม่กี่ก้าวที่เขาเดินห่างออกไป สัญชาติญาณในตัวบอกว่ามีบางอย่างผิดปรกติ ตัวเขาเองไม่มีปัญหา แต่...
ปลายนิ้วแกร่งยกขึ้นแตะหน้าผาก แล้วตัวก็หมุนกลับมาที่เดิม ไม่มีเธออยู่ เขาก็ออกตามหาทันที ซึ่งก็ไม่ยากสำหรับคนที่มีความชำนาญเรื่องป่า หางตาคมมองไปที่หญิงสาว ที่ยืนเกาะต้นไม้มองมาอย่างสนใจ ไอ้คนที่จ้องจึงคิดว่านี้คือโอกาส มันขยับตัวไปหาเธอทันที แต่แค่ก้าวเดียวร่างสูงก็ขยับเข้ามาขวาง มันตอบโต้ด้วยหมัดตามด้วยเท้าฟาดเฉียดใบหน้าคมที่เบี่ยงหลบได้อย่างฉิวเฉียว แค่นั้นยังไม่พอมันยังดึงมีดออกมาเป็นอาวุธสังหาร พุ่งเข้าใส่
ท่าทางนั้นบอกว่ามืออาชีพ ดวงตาคมจึงจับจ้องพลางหักหลบได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และหาจังหวะโต้กลับ จับมือที่เสือกมีดเข้ามาหา บิดไปข้างหลังหวังให้มีดหล่นแต่มันแข็งแรงงัดกลับมาได้ แต่โดนเข่าตามด้วยหมัดจนเซถลาไปข้างหลังเลือดอุ่นๆซึมออกมาที่มุมปาก มันยกมือขึ้นแตะแล้วเหยียดริมฝีปากออกหยัน ให้รู้ว่าไม่ระคายสักนิด ขณะแววตาไม่มีความเกรงกลัวซ้ำยังกระดิกนิ้วท้าทายไอ้คนที่เรียกเลือดออกมาจากตัวมัน
“เข้ามา”
เสียงมันกร้าว แต่คนได้ยินนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน ยืนปักหลักตั้งมั่นจ้องหน้ามัน ความนิ่งนั้นทำให้มันแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ เพราะที่ได้ประมือกันไปเมื่อกี้นั้นบอกให้มันรู้ว่าคนๆนี้ไม่ใช่หมู แต่คือเสือที่ท้าทายฝีมือมันว่าจะสยบได้หรือไม่ มีดในมือถูกกำเข้าหากัน แล้วปรี่เข้าหาหวังจะปลิดลมหายใจ คมมีดตวัดฉับเหวี่ยงจะเชือดเฉือนเนื้อให้เห็นเลือด แต่แหวกได้แค่อากาศเท่านั้น เพราะร่างสูงพลิ้วหลบได้หมด มันจึงงัดฝีมือกับแรงถาโถมเข้าใส่ จนหมัดมันได้ตันหน้าและเท้าก็ได้ฟาดเข้าที่ลำตัว
ร่างสูงถึงกับเซ มันก็รีบถลาเข้าไปหาเสือกมีดเข้าที่ตัวเพื่อแทงให้ดับดิ้น แต่มือหนาจับไว้มั่นแล้วกระชากตัวมันเข้ามารับเข่ากับหมัดที่ฟาดเข้าที่หน้ามันอย่างแรง พลิกตัวบิดมือมันหวังให้มีดปลิดชีวิตมันเอง แต่มันก็งัดกลับมาได้ ตอบโต้เขาด้วยความเร็วและแรง ต้องตั้งรับแล้วรุกด้วยฝีมือที่ฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญ สองเท้าสองมือกลายเป็นอาวุธที่คมกริบ มือนำขาตามตามด้วยเท้าประเคนลงบนหน้าและลำตัวมันจนต้องถอยไปตั้งหลัก
ใบหน้าใต้หมวกไหมพรมบิดเบ้ด้วยความแค้น แววตากระด้างบอกให้รู้ถึงความเหี้ยมโหด มันเดินเข้าหา มีดมือเท้าประสานกันเพื่อฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ แต่ไม่โดนเลย ซ้ำถูกสวนกลับ ปลายเท้าฟาดเข้าที่ปลายคาง จนเซไปชนกับต้นไม้ ร่างสูงไม่เปิดโอกาสให้มันตั้งตัว ปรี่เข้าไปตะปบมีดในมือมัน บิดจนร่วงมาอยู่ในมือตัวเอง ก็ยกขึ้นจ่อคอมัน เค้นหาคำตอบ
“แกเป็นใคร”
“แม้แต่วิญญาณกูก็บอกมึงไม่ได้”
ว่าแล้วมันก็ยกมือจับมือที่ถือมีดจ่อคอมัน ปลายมีดแฉลบกรีดคอเป็นทางยาว เลือดไหลซึม แต่มันไม่รู้สึกรู้สา ฮึดแรงทั้งหมดดันมืออีกฝ่ายให้ปลายมีดห่างออกจากคอ แล้วเบี่ยงตัวหลบจนปลายมีดปักต้นไม้ ก็แตะเข้าที่ด้านหลังหวังจะอัดให้ติดต้นไม้ แต่อีกฝ่ายเบี่ยงหลบ จับขามันไว้ได้แล้วดึงมีดออกมา
“อ้าก!!!” เสียงมันร้องออกมาสุดเสียง เมื่อปลายมีดปักลงบนหน้าขา แล้วดึงออกหวังจะปักที่อกด้านซ้ายปลิดลมหายใจมัน เพราะไม่มีประโยชน์จะเก็บไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามคอยตามฆ่าหรือกลับไปหาคนบงการ แต่มันหักหลบได้ แล้วหมุนตัวไปหาหญิงสาวที่ยืนมองอยู่ไม่ห่างอย่างรวดเร็ว มันล็อกคอพร้อมกับดึงมัจจุราชสีดำที่เหน็บไว้ที่เอวด้านหลังมาจ่อเข้าที่ขมับเธอ
หัวใจสาววาบไปด้วยความกลัว ตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่กระดิกนิ้ว ร่างสูงก็หยุดชะงัก ส่วนมันแสยะยิ้มอย่างสะใจไม่มีความเกรงกลัวสายตาที่จ้องมาอย่างเย็นเฉียบ แล้วปลดล็อกมัจจุราช... “ปัง ปัง ปัง” มันยิงใส่ร่างสูง ซึ่งกระโดดหลบได้อย่างฉิวเฉียด แววตามันแค้น พลางส่ายสายตาหาตัวที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้
“ออกมา” เสียงมันกร้าว “ไม่งั้นกูจะระเบิดหัวอีนังนี้เสีย”
“เขาไม่เกี่ยว แกอยากได้ชีวิตฉันไม่ใช่เหรอ ก็เอาไปซิ” หญิงสาวเอ่ยออกมาทั้งที่กลัว แต่หัวใจเธอยามนี้มันสุดจะทนกับชะตาชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะเธออีกแล้ว
“ใครบอกว่ามันไม่เกี่ยว”
“หมายความว่าไง” เธอถามแล้วต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก “หรือว่า...”
“หึๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะมันดังรอดไรฟันออกมา ตอกย้ำความคิดของเธอ ที่ไม่ว่าจะคิดว่าไง คำตอบก็คือใช่ “เธอมันก็แค่นกต่อ ที่ล่อมันออกมา จากนั้น...”
“แกจะฆ่าเขา” ไม่มีคำปฏิเสธ แต่ความเงียบที่เกิดขึ้นคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากคำว่า...ใช่ “หนีไป” เธอตะโกนออกมา ปลายกระบอกมัจจุราชจึงกระแทกขมับ พร้อมเสียงเหี้ยมๆ
“เงียบ”
มันสั่งแต่เธอไม่ทำตาม ยังพูดออกมาว่า “เขาไม่มีทางที่จะออกมา เพราะฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ หรือมีความสำคัญพอ ที่เขาจะเอาชีวิตตัวเองมาแลก แกคิดผิดแล้ว”
“ใครบอก เพราะความจริงฉันกำลังจะยิงปืนนัดเดียว แต่ได้นกสองตัวต่างหาก”
สิ้นเสียงมันร่างสูงก็เดินออกมา ยืนจ้องหน้ามันอยู่ไม่ห่าง มันยิ้มอย่างพอใจแต่หละหลวมในการควบคุมตัวหญิงสาว เธอจึงกัดแขนมันจนเสียหลัก ร่างสูงก็ปรี่เข้ามาตวัดปลายเท้าฟาดมือที่จับปืน มันเซ เธอก็ดิ้นหลุดออกมา มันสุดแสนจะแค้น ตวัดมัจจุราชไปที่ร่างสูงพร้อมๆกับที่หญิงสาวหันมาเห็น
“ระวัง” เธอตะโกนออกมาพร้อมกับกระโจนเข้าไปหาเขา
“ปัง”
“โอย”
เสียงดังขึ้นพร้อมๆกัน ทั้งสามคนยืนนิ่งจนไม่แน่ใจว่าเสียงร้องนั้นเป็นของใคร ไม่กี่อึดใจไอ้โม่งก็ค่อยๆยกมือขึ้นจับที่หน้าท้องเพราะรู้สึกเจ็บแปลบ เลือดติดมือออกมา แล้วทรุดลงเมื่อความเจ็บกระจายไปทั่วตัว มันขบกรามข่มไว้แล้วลุกขึ้นกระเสือกกระสนหนีมัจจุราชในมืออีกฝ่าย ทั้งๆที่อยากจะสู้ต่อแต่บาดแผลทั้งที่ท้องและที่ขา บอกมันว่าถ้ายังสู้ ชีวิตต้องดับดิ้นอยู่ที่นี่แน่นอน
ร่างสูงมองตามแล้วจะก้าวตามเพื่อจัดการให้สิ้นซาก แต่ร่างอรชรที่กระโจนมาหา และเขารับไว้พร้อมกับดึงปืนออกมายิงไอ้โม่งทรุดฮวบลงตรงหน้า ทำให้ต้องปล่อยมันไป ดวงตาคมกริบกวาดหาบาดแผล แล้วก็ได้เห็นเลือดที่ซึมเสื้อตรงหัวไหล่
เขามองใบหน้างามที่ซีดลงเพราะความเจ็บ แต่ไม่มีเสียงร้องโอดโอย ใจเสาะออกมาให้น่ารำคาญ มีแต่เม้มริมฝีปากข่มความเจ็บไว้ พลางคิดว่าถ้าเธอไม่กระโจนมาหา กระสุนนัดนี้อาจจะเจาะเข้าที่ตัวเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกอยากจะขอบใจเธอที่ช่วยกลับรู้สึกไม่พอใจเพราะมันกลายเป็นภาระ เป็นหนี้บุญคุณที่เขาถือเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ปลายนิ้วแกร่งจึงยกขึ้นจับคอเสื้อเชิ้ตที่บนตัว จะกระชากเพื่อดูบาดแผล แต่มือนุ่มยกขึ้นมายึดมือเขาไว้เสียก่อนๆจะถามออกมาอย่างตื่นตกใจ
“จะทำอะไร”
“อยากจะรอดหรืออยากจะตายล่ะ”
เธอเข้าใจคำพูดเขา แต่...“ฉัน ไม่เป็นไรอะไร” เธอบอกทั้งที่เจ็บปวดไปทั้งแขน แต่เธออายเกินกว่าจะให้เขาถอดเสื้อออกไปจากตัว ดวงตาคมนิ่งเหมือนจะยอมรับฟัง แต่...
“แควก”
“ว้าย” หญิงสาวร้องอย่างตกใจ ใบหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ลืมความเจ็บ ผลักตัวเขาออกแล้วรีบรวบคอเสื้อไว้ แต่มือหนากลับปัดออกอย่างไม่สนใจ และไม่ได้ใส่ใจเนินอกอิ่มผิวขาวนวลลออที่พ้นเสื้อชั้นในสีชมพูออกมา แต่กลับจดจำได้หมดแม้จะเห็นแค่แวบเดียว สายตาจดจ้องอยู่มองแค่บาดแผล ตรวจดู และแตะอย่างเบาที่สุด แต่ก็ยังได้ยินเสียงร้องออกมาจากเรียวปากอิ่ม “โอย”
“แค่เฉียด” เขาบอก มองเผลที่เต็มไปด้วยเลือดอีกเพียงอึดใจ ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเดินไปโดยไม่บอกอะไรกับหญิงสาวเลย ซึ่งเธอก็คิดเป็นอื่นไปไม่ได้อีกเช่นเคยนอกจาก ...ถูกทิ้ง
ความเจ็บความเศร้าอัดแน่นอัดเต็มหัวใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมเส้นชะตาชีวิตของเธอถึงได้เลวร้ายนัก ต้องพลัดพรากจากพ่อ ซึ่งป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านจะเป็นยังไงบ้าง แล้วต้องมาเจอคนโหดร้ายป่าเถื่อน มาเจ็บตัว มาถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่กลางป่า และอาจจะต้องตายอยู่ตรงนี้ แต่เธอจะไม่ยอมแพ้โชคชะตา ไม่ว่าจะขีดเส้นชีวิตเธอไว้ยังไง เมื่อยังมีลมหายใจ เธอก็จะต้องหยัดยืนขึ้นมาให้ได้ ...คิดแล้วก็ข่มใจข่มอารมณ์ต่างๆไว้ ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่ซึมออกมาเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเจ็บ หน้าบิดเบ้แต่ก็กัดฟันข่มไว้ ยันตัวลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปตายเอาดาบหน้า แต่...
คนที่ทิ้งเธอไปกลับเดินมาหาเธออีกครั้ง สบตาคมกริบที่มองนิ่งมา กระทั่งเดินมายืนอยู่ตรงหน้า เสียงห้าวห้วนก็เอ่ยออกมา “นั่งลง ฉันจะทำแผลให้”
เธอมองใบไม้ที่รู้ว่าคือใบสาบเสือในมือเขา แต่ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างช่างใจ เพราะถ้ายอมให้เขารักษาแผล นั้นหมายความว่าเธอจะต้องถอดเสื้อออกหรือไม่ก็ดึงเสื้อลงมาให้เห็นแผล และเห็นเนื้อตัวเธอด้วย ความเขินอายก่อเกิดขึ้นในใจ แต่เวลานี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับการมีชีวิตรอดอีกแล้ว ความรู้สึกต่างๆจึงถูกกลบไว้ด้วยความเจ็บ ค่อยๆดึงเสื้อที่เขากระชากกระดุมหลุดหายไป ลงมา สายตาตวัดมองดอกหญ้าเล็กๆแทนที่จะมองเขา
ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ สายตาจดจ่ออยู่ที่แผลเหมือนไม่สนใจอะไรเลย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เนินอกอิ่ม ผิวขาวนวลลออกลายเป็นความทรงจำของเขาโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วแกร่งขยี้ใบไม้ในมือจนละเอียดแล้วโปะลงบนแผล ร่างอรชรสะดุ้งเพราะเจ็บแต่ก็ทนได้ จากนั้นเขาก็ฉีกแขนเสื้อเธอมาพันแผลให้ เรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน หลุบตามองร่างอรชรที่รีบดึงเสื้อขึ้นปิดเนื้อตัวเอง
“ข้างหน้าคือชีวิต ข้างหลังคือความตาย เลือกมาว่าจะเอาอย่างไหน”
มือเรียวที่จับคอเสื้อไว้ชะงักไปนิด ก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าใต้ผ้าสีดำ แล้วลุกขึ้นยืน สบตาคมกริบที่มองอยู่แล้วเอ่ยถามออกมา “คุณจะช่วยฉันเหรอ”
“ฉันไม่ชอบติดค้างใคร”
“ฉันก็ไม่ได้ทำเพื่อจะให้เป็นบุญคุณใคร”
“นางฟ้าว่างั้น”
น้ำเสียงยังห้วนห้าวเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมมาให้เธอรู้สึกคือการเยาะหยัน แต่เธอไม่สนและยังพูดเสียงด้วยเสียงนิ่งๆดุจเดิม “เปล่า แค่ไม่อยากเห็นใครต้องมาเป็นอะไรเพราะตัวฉันอีกแล้ว” ปลายเสียงติดจะเศร้า แต่คนฟังมีแต่ความเฉยชาให้เท่านั้น
“แล้วจะเลือกหรือเปล่า”
“เลือก” เธอบอกโดยไม่ต้องคิด เพราะอาจจะเป็นทางรอดทางเดียวที่เธอต้องรีบคว้าไว้ แม้ยังไม่รู้ว่าจะเลือกผิดหรือถูก แต่ก็ต้องเลือกไว้ก่อน “แต่ฉันขอเสนอเป็นการแลกเปลี่ยนได้ไหม” ถามไปแล้ว ก็ไม่มีคำตอบจากร่างสูง เธอก็คิดว่าเขารับฟัง จึงพูดต่อว่า “ฉันขอแลกการติดค้างเป็นพาฉันออกไปจากที่นี่ ป่านี้ได้ไหม”
“แผลแค่นี้ กับภาระที่ยิ่งใหญ่ ไม่มากไปเหรอ หรือคิดว่าป่าแห่งนี้คือสวนสาธารณะที่จะเข้ามาเดินเล่น แล้วเดินออกไปได้อย่างสบายๆ”
“งั้นคุณต้องการอะไรเพิ่มก็บอกมาเลย ฉันยินดี”
“ชีวิต”
หญิงสาวอึ้งไปกับคำตอบ แม้ไม่มีความชัดเจนว่าชีวิตที่ว่าครอบคลุมไปถึงไหน แต่ถ้าเธอตกลงชีวิตของเธอก็อยู่ในกำมือของเขาทันที จะไม่มีสิทธิในตัวเองอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับการที่จะมีชีวิตอยู่ เมื่อไม่รู้ว่าได้อยู่ต่อแล้วจะได้เจอพ่อกับแม่หรือไม่ และอย่าหวังว่าจะได้รับความอ่อนโยนความเห็นอกเห็นใจ จากคนที่เธอสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมเย็นชา
“นานแค่ไหน” เสียงเธอดังแผ่วออกมา แม้จะคิดไปในทางที่ร้ายๆ แต่เมื่อชีวิตยังไม่สิ้นเธอก็จะดิ้นให้ถึงที่สุด เพราะสุดท้ายที่ปลายอุโมงค์อาจจะมีแสงสว่างให้เธอได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ ที่ถวิลหาอยู่ทุกลมหายใจ
“ไม่มีการต่อรอง”
“ฉันไม่ได้ต่อรองแต่ขอคำตอบ”
“ตลอดไป”
คำที่เธอได้ยินเหมือนมีดประหารที่บันคอเธอ ความหวังที่คิดว่าอาจจะมีน้อยนิด มืดสนิทลงทันที ความเศร้าถาโถมหัวใจที่เข้มแข็งให้อ่อนแอลงมา จนไม่อาจจะข่มฝืนกล้ำกลืนไว้ได้อีกแล้ว น้ำตาเอ่อขึ้นมากลบตาจนต้องเบือนหน้าหนีดวงตาคมกริบ แต่ก็ไม่พ้น...เขาเห็น
ไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา ไม่มีการรอคอยคำตอบ ร่างสูงออกเดินเป็นการบีบบังคับให้เธอต้องตัดสินใจเลือก แต่ร่างอรชรยังยืนอยู่กับที่ อยู่กับความคิดที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหน จะเดินหน้าหรือถอยหลัง จะโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่กลางพนาหรือ...สองเท้าของเธอออกก้าวเดินเป็นคำตอบในหนทางที่เลือก...คือยอมมอบชีวิตให้เขา
**************
เรือนไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่ที่ปลูกสร้างขึ้นด้วยไม้เนื้อดี โปร่งโล่งสบาย สวยงามอยู่บนพื้นดิน แม้จะผ่านกาลเวลา แสงแดด ลมฝนมาหลายอายุคน ก็ยังคงทนอยู่กลางแมกไม้ ตัวเรือนแบ่งเป็นห้องต่างๆตามที่จะใช้สอย ตรงด้านหน้ามีบันไดห้าขั้นก้าวผ่านขึ้นไปก็เป็นระเบียง เป็นโถงกว้าง วางเก้าอี้ไม้ชุดใหญ่ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน บนผนังด้านหลังเก้าอี้ตัวใหญ่เป็นธงผืนใหญ่ของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ...เรือนหลังนี้ไม่ได้ตั้งโดดเดี่ยวอยู่หลังเดียว แต่มีเรือนหลังเล็กของผู้พิทักษ์อีกหลายหลังรายล้อมอยู่ไม่ห่างกันมากนัก และยังมีเรือนของผู้ดูแลเรือนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดอยู่อีกหลัง
ม้าหลายตัววิ่งมาหยุดไม่ห่างจากเรือนหลังใหญ่ ผู้เฒ่าโพธิ์พร้อมผู้พิทักษ์ลงมาจากหลังมันแล้วพากันเดินไปที่เรือน ส่วนผู้ติดตามก็หอบหิ้วสมบัติตามมาวางไว้บนระเบียงแล้วก็แยกย้ายไป พ่อบ้านที่ดูแลเรือน นามว่า ‘จ้าว’ รีบเดินออกมาต้อนรับท่านผู้เฒ่ากับผู้พิทักษ์ ซึ่งพากันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโถงกว้าง เด็กรับใช้รีบยกขันน้ำฝนลอยดอกมะลิหอมกรุ่นพร้อมถ้วยไม้มันวาว มาวางให้ตรงหน้า แล้วถอยออกไปเงียบๆ
“ภูผาละ” ผู้เฒ่าโพธิ์หันมาถามพ่อบ้านจ้าว ที่เดินตามมายืนประสานมืออยู่ข้างเก้าอี้
“ยังไม่กลับมาขอรับ”
ความแปลกใจเกิดขึ้นในแววตาที่สงบนิ่ง แล้วปรายตาไปมองสองผู้พิทักษ์ ที่ได้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้รู้แล้ว แต่ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับมา “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากทั้งคู่ แต่คำถามนี้ตรงกับความคิดของพ่อบ้านจ้าว เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่ถูกถามถึง ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ฝีมืออันดับหนึ่งของภูเขาดำจะไม่มีทางอยู่ห่างจากผู้ครองบัลลังก์ที่แห่งนี้เด็ดขาด แต่นี้หายไปตั้งแต่เมื่อคืน “น่าห่วงนะขอรับ” ว่าแล้วก็โน้มตัวมารินน้ำฝนใส่ถ้วย ยกให้ท่านผู้เฒ่า ซึ่งก็ยื่นมือมารับน้ำไปดื่ม พอส่งถ้วยคืน พ่อบ้านจ้าวก็ถามออกมาอีกว่า “จะให้ใครออกติดตามไหมขอรับ”
“ไม่ต้อง แค่เชลยผู้หญิงคนเดียว ภูผาคงจัดการได้ อีกอย่างป่าก็เหมือนบ้าน เดี๋ยวก็กลับมา” พูดจบผู้เฒ่าโพธิ์ก็ตวัดสายตาไปมองสองผู้พิทักษ์ แล้วสั่ง “จัดการของส่วนรวมพวกนั้นให้เรียบร้อย แล้วเจ้าสองคนก็กลับไปพักได้”
“ขอรับ” ทั้งสองคนก้มหน้าให้ แล้วถอยหลังออกมาก่อนจะเดินไปที่ของส่วนรวม ซึ่งก็คือสมบัติเพื่อนำไปเก็บยังที่ๆปลอดภัย
พ่อบ้านจ้าวรอจนทั้งสองคนเดินลับหายไป ก็หันมาสบตากับผู้เฒ่าโพธิ์แล้วเอ่ยคำที่อยากจะพูดออกมา แต่เมื่อกี้ต้องนิ่งไว้เพราะไม่อยากเอ่ยคำใดออกมาให้ผู้พิทักษ์ได้ยิน “แล้วถ้าภูผาไม่กลับมาละขอรับ”
“ไม่เชื่อฝีมือกันหรือไง”
“เชื่อขอรับ แต่ป่าไม่เหมือนบ้านนะขอรับ มันมีความลึกลับ ซ่อนความน่ากลัวไว้มากมาย และที่น่าสงสัยก็คือ เชลยหญิงสาวผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงโผล่เข้ามาที่ภูเขาดำ ยิ่งไปกว่านั้น จากคำพูดของผู้พิทักษ์เธอไม่ได้หลงเข้ามา แต่ถูกชิงตัวมาจากคนที่บุกรุกภูเขาดำ คนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมถึงข้ามเขตเข้ามาทั้งๆที่รู้ว่าอันตราย จะมีอุปสงค์อะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า ท่านผู้เฒ่าได้สอบสวนเชลยที่เหลืออยู่หรือยังขอรับ”
ผู้เฒ่าโพธิ์นิ่งไปกับคำวิเคราะห์ของพ่อบ้านจ้าว ผู้ที่เปรียบเหมือนอาวุธลับข้างตัวท่าน เพราะไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็มักจะคาดคะเนได้อย่างมีเหตุผลและถูกต้องเสมอ...ถ้าภูผาคือฝ่ายบู้ พ่อบ้านจ้าวก็คือฝ่ายบุ๋น ที่ทำให้ใครต่อใครเกรงอำนาจที่มีอยู่มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าท่านขาดคนใดคนหนึ่งไป นั่นคือโอกาสของใครต่อใครเหมือนกัน
“ข้ารอภูผา”
“ท่านใจเย็นเกินไป ใจมนุษย์นั่นยากจะหยั่งถึงยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็รู้ การปล่อยเชลยไว้อย่างนั้นอาจจะสายเกินไป”
“ไม่สายหรอก เพราะการที่เสียสิ่งหนึ่งไปอาจจะทำให้เราได้สิ่งหนึ่งกลับมา ทุกอย่างมันต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ”
“แล้วถ้ามันได้ไม่คุ้มเสียละขอรับ”
“คุ้มซิ มันต้องคุ้ม”
พ่อบ้านจ้าวนิ่งไปกับน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่สีหน้ามีความกังวลใจให้คนที่มองอยู่เห็น “เจ้าอยู่กับข้ามานาน เป็นพ่อบ้านอยู่บนเรือนนี้ ถึงจะไม่เคยออกจากเรือนไปไหน แต่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่เหรอ”
“ขอรับ แต่ทุกอย่างดูประจวบเหมาะจนน่าคิดว่ามันเกิดขึ้นเอง หรือเป็นฝีมือใคร ที่สำคัญถ้ามีใครสักคนจุดไฟขึ้นมา ให้ไหม้ป่า จะทำไงขอรับ”
“ไม่ทำไง เพราะข้ารู้ว่าตอนนี้ไม่มีใครจุดไฟให้ไหม้ป่าแน่นอน”
“แสดงว่าต่อไปไม่แน่ ท่านรู้ใช่ไหมขอรับ”
“ข้าไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ทุกเรื่องหรอก แต่ที่พูดเพราะมันเป็นสัจธรรม ที่มีมาให้เห็นตั้งแต่กาลเก่า แม้ระยะหลังภูเขาดำจะไม่มีเรื่องแย่งชิงอำนาจ แต่ก็ใช่ว่าต่อไปจะไม่มี เพราะอำนาจมันไม่เข้าใครออกใคร และน้อยคนนักที่จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่”
“แล้วเชลยสาวคนนั้นจะเป็นสาเหตุหรือเปล่าขอรับ”
“ใจคนต่างหากที่เป็น”
พูดจบผู้เฒ่าโพธิ์ก็ลุกขึ้นเดินไปด้านหลังโถงกว้าง ซึ่งมีทางเดินไปยังห้องพักผ่อน แต่พ่อบ้านจ้าวยังยืนอยู่ที่เดิม เพราะเห็นจริงกับคำพูดของผู้เฒ่าโพธิ์ ความหนักใจที่ควรจะคลายลงจึงเพิ่มขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนการส่งสัญญาณอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้ภูเขาดำไม่สงบสุขเหมือนดั่งกาลเก่าอีกแล้ว
อีกอย่างการหายไปของผู้พิทักษ์มือหนึ่งในวันนี้ จะต้องเป็นที่จับตามองของผู้นำหุบผาแน่นอน ซึ่งนี้เป็นความน่ากลัวอีกอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ เพราะ... พ่อบ้านจ้าวไม่อยากคิดถึงสาเหตุ แต่ไม่นานคงได้รู้กัน
*******
ลำแสงดวงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านใบไม้ลงมากระทบหลังคาเรือนปูนหลังใหญ่ในหุบผาเหลือง เมฆาผู้นำหุบผาเดินนำหน้าเมฆลูกชายกับหมอกลูกบุญธรรมมาที่ศาลากลางบึงบัว สายลมพัดพากลิ่นหอมจากดอกบัวที่บานสะพรั่งอยู่เต็มบึงมาให้ชื่นใจ ทั้งสามคนรับรู้แต่ไม่ได้สนใจที่จะชื่นชม พากันนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่วางไว้รอบโต๊ะไม้กลม แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูดคำใดออกมา สายตาของทั้งสามคนก็เห็นใครคนหนึ่งเดินอย่างเร่งรีบมาหา ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร เป็นกองสอดแนมคอยส่งสารให้ผู้นำหุบผานั่นเอง
ร่างผอมสูงเดินมาหยุดยืนตรงหน้านายทั้งสามคน ก้มหน้าให้ความเคารพแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้นำหุบผา ก้าวเข้าไปชิดอีกนิดก็กระซิบบอกบางอย่าง ก็ถอยออกมายืนที่เดิม แต่สีหน้าของคนที่ได้รับสารนั้นเคร่งขรึมขึ้น แล้วถามว่า
“แน่ใจเหรอ”
“ขอรับ”
คำยืนยันนั้นทำให้เลือดในอกกับนอกอกของผู้นำ ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยว่าเรื่องที่กระซิบกันเมื่อกี้คงสำคัญไม่น้อย และคนที่มีนิสัยใจร้อน ค่อนข้างวู่วามก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “มีอะไรครับพ่อ” เมฆสบตาคนเป็นพ่อรอฟังคำตอบ ซึ่งก็บอกว่า
“ที่เราไม่เห็นไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง เพราะมันหายออกไปจากเรือนผู้ครองบัลลังก์”
พอได้คำตอบ ความแปลกใจก็หายไปจากสีหน้าของเมฆ ยิ้มหยันที่มุมปากเล็กน้อยก็บอกว่า “ปรกตินี่ครับ ไม่เห็นจะต้องทำเหมือนมันสำคัญอะไรหนักหนา เพราะมันทำตัวเหมือนผีที่หายไปโน้นมานี่อยู่แล้ว”
“แต่คราวนี้ไม่น่าจะปรกติครับ นายเมฆ” หมอกเอ่ยออกมา เขาเรียกเลือดในอกของคนที่ชุบเลี้ยงมาอย่างให้เกียรติ และพูดต่อด้วยเสียงนิ่งๆตามบุคลิกของตัวเอง “การประชุมของวันนี้สำคัญมาก เพราะมีสมบัติมากมายเข้ามาเกี่ยว ซึ่งเขาจะต้องคุ้มครองไปเก็บ ทุกครั้งที่ผ่านมาภูผาไม่เคยขาด จะต้องอยู่เคียงข้างผู้ครองบัลลังก์ตลอด แต่วันนี้เขาหายไป มันต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่แน่ๆ” พูดจบเขาก็มองคนที่มาส่งสาร “มีอะไรมากกว่าที่บอกมาอีกไหม”
“ไม่ครับ”
“งั้นก็ไปสืบมา” เมฆสั่งออกมาทันทีตามประสาคนใจร้อน และอยากให้คนเป็นพ่อเห็นว่าเขามีความเป็นผู้นำพอที่จะสืบทอดอำนาจต่อได้แล้ว อีกอย่างก็อยากให้ไอ้กาฝากเห็นว่ายังไงเสียเลือดก็ต้องข้นกว่าน้ำ ไม่ว่ามันจะพยายามทำตัวให้เด่นให้เก่งกว่าเขาแค่ไหนก็ตาม
“แต่ผมว่าอย่าแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนจะดีกว่านะครับนายเมฆ เพราะถ้าเราไปสืบ แล้วผู้เฒ่าโพธิ์เกิดรู้ขึ้นมา เราจะถูกเพ่งเล็ง ดีไม่ดีจะเข้าทางใครบางคน ที่อยากจะหาแพะรับบาปเรื่องนี้อยู่แล้วก็ได้”
“ก็อย่าโง่ให้พวกมันจับได้ซิ”
“ต่อให้เราฉลาด เราก็อาจจะพลาดได้ เพราะเรายังไม่รู้ว่าที่นายภูผาหายไปนั้น เป็นการหายไปเพราะมีอันตราย หรือหายไปเพราะไปสืบเรื่องอะไรอยู่ ถ้าเราไปสะกิดเข้าเพียงนิดเดียว ความโง่ก็จะมาเยือนเราทันที อีกอย่างอย่าลืมว่าเขามีฉายาว่าผี ดีไม่ดีจะถูกเขาหลอกเขาง่ายๆนะครับ”
“จะกลัว...”
“พ่อเห็นด้วยกับหมอก” เสียงเมฆาดังขึ้นขัดคำพูดเลือดในอก ที่มักจะใจร้อน ไม่รอบคอบให้เห็นอยู่เป็นประจำ “ยืนดูอยู่ที่หุบผาเหลืองให้แน่ใจแล้วค่อยมาว่ากันอีกที บางทีเราอาจจะรู้อะไรบางอย่างมากกว่าการบุ่มบ่ามไปก็ได้”
“แต่ผมกลัวว่าเราจะช้า จนกลายเป็นควายให้อีกสองหุบผาหัวเราะเยาะเอา เพราะป่านนี้คงรู้เรื่องที่เรารู้แล้วเช่นกัน และอาจจะฉวยโอกาสให้เกิดโอกาสกับตัวเองก็ได้”
“โอกาสอะไร”
“ก็โอกาสที่จะเป็นตัวตายตัวแทนของคนที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตอนนี้ไงครับ”
“เมฆ” เสียงเมฆากร้าวขึ้นมาหน้าตาก็ดุดัน เมื่อพอจะรู้ว่าลูกหมายถึงผู้ครองบัลลังก์ที่ควรให้ความเคารพสูงสุด “ระวังปากแกหน่อย แล้วอย่าพูดอะไรพล่อยๆแบบนี้ให้ฉันได้ยินอีก เพราะยังไม่มีอะไรชัดเจน”
“แล้วพ่อจะรอถึงเมื่อไร”
“แกไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น และถ้าอยู่แล้วใจร้อนนัก ก็กลับไปพักได้แล้ว”
เมฆอยากจะเถียงออกมาแต่จำต้องเก็บคำพูด เก็บความไม่พอใจคนเป็นพ่อที่หักหน้าเขาต่อหน้าไอ้ลูกกาฝากไว้ ขณะที่เมฆาก็หน่ายใจกับนิสัยที่มุทะลุของลูกที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน แล้วหันไปพยักหน้าให้คนส่งสารกลับไปพักได้ ซึ่งก็ก้มหน้าคำนับแล้วก็เดินจากไปเงียบๆ เพียงร่างผอมสูงลับสายตาไป เมฆก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากศาลาทันทีเช่นกัน
เมฆามองตามไปแต่ไม่ได้สนใจมากไปกว่านั้น แล้วหันมามองลึกเข้าไปในนัยน์ตานิ่งๆของลูกบุญธรรม ก็เอ่ยออกมา “รู้ใช่ไหมว่าเมฆพูดถึงใคร”
“ครับ” คำรับนิ่งเฉกเช่นเดียวกับแววตาที่ยังนิ่ง และบอกว่าพร้อมที่จะรับฟังทุกอย่าง
“แล้วคิดว่าไง”
“รู้เขารู้เรา รบกี่ครั้งก็ชนะครับ”
“ดี ตอนนี้ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งหายไป จะทำอะไรก็รีบทำเข้า ก่อนที่วันสำคัญที่เรารอคอยจะมาถึง”
“ครับ”
ได้ยินคำรับปากแล้ว ท่านผู้นำก็สบายใจ ลุกขึ้นตบไหล่ลูกบุญธรรมพร้อมบอกว่า “ฝากด้วยก็แล้วกัน”
พูดจบก็เดินออกไปจากศาลาทันที หมอกมองตามผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเขามา แม้จะเป็นลูกบุญธรรม เขาก็ไม่เคยเรียกท่านว่าพ่อเลย เรียกแค่ท่านเท่านั้นเอง กระทั่งท่านเดินไปไกลจนลับตา ก็ตวัดสายตากลับมามองโต๊ะตรงหน้า เสมือนว่าตัวเขามีพื้นที่ที่ให้มองอยู่แค่นั้นเอง
เด็กชายที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน พอจำความได้ก็รู้ว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่ หน้าตาเคร่งขรึมคนนี้เป็นพ่อ และผู้หญิงสวยๆที่อยู่เคียงข้างท่านเป็นแม่ แต่สิ่งที่ต้องจดจำไว้อีกอย่างก็คือทั้งคู่ไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆเป็นพ่อแม่บุญธรรม ที่ต้องเคารพรัก เชื่อฟัง และทำทุกอย่างตามคำสั่ง ซึ่งเด็กชายก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี ชีวิตน่าจะมีความสุข ถ้าเพียงแต่ทั้งคู่จะไม่มีลูก ลูกชายที่ไม่ชอบหน้าเขา
หมอกถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วลุกขึ้นยืน ตัดความคิดคำนึงออกไป เพื่อจะไปทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณคนที่เลี้ยงเขามา ที่แม้จะทำดีแค่ไหน เขาก็ยังเป็นคนนอกสายตา ของท่านอยู่ดี ซึ่งเขาก็ไม่ได้น้อยใจ เพราะไม่เคยมีพ่อคนไหนจะเห็นคนอื่นดีไปกว่าลูกตัวเอง ที่แสดงออกมาว่าไม่พอใจในหลายอย่างที่ทำลงไป แต่ลึกลงไปเลือดในอกก็ต้องเข้มกว่าเลือดนอกอกกว่าเขาอยู่ดี
*******
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ย. 2559, 15:28:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2559, 15:28:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 1797
<< | ตอน 4 >> |
แว่นใส 7 ก.ย. 2559, 21:33:03 น.
มิตรเป็นศัตรูนี่น่ากลัวนะ
มิตรเป็นศัตรูนี่น่ากลัวนะ
Zephyr 8 ก.ย. 2559, 19:31:11 น.
คนใกล้ตัวอันตรายกว่าคนไหลจริงๆ
คนใกล้ตัวอันตรายกว่าคนไหลจริงๆ