ไฟสิเหน่หา
อัคนี : เขาแอบหลงรักเธอ ตั้งแต่แรกเจอ แต่เพราะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นทำให้เขาต้องแต่งงาน และพยายามลืมเธอ แต่เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และได้รับรู้ว่าเธอมีคนรู้ใจแล้ว ในใจของเขาก็เหมือนมีกองเพลิงลุกโชน จนไม่อาจทานทนได้ เขาจึงทำทุกวิถีทางให้ได้ตัวเธอมา แม้มันจะเป็นทางเลือกที่ผิดก็ตาม
นิชนันท์ : สาวน้อยบองบางที่หลงพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกองเพลิงโดยไม่รู้ตัว เธอจะทำเช่นไร เมื่อต้องถูกตราหน้าว่าเป็น 'เมียน้อย' ทั้งที่เธอไม่ได้ตั้งใจ
*****************************
นิชนันท์ : สาวน้อยบองบางที่หลงพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกองเพลิงโดยไม่รู้ตัว เธอจะทำเช่นไร เมื่อต้องถูกตราหน้าว่าเป็น 'เมียน้อย' ทั้งที่เธอไม่ได้ตั้งใจ
*****************************
Tags: โรแมนติก ดราม่านิด ๆ ซี๊ดซ่า หน่อย ๆ
ตอน: ไฟสิเหน่หา บทที่ 6
6.
เสียงหรีดหริ่งที่แข่งกันขับขานระงมไปทั่ว ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกอึดอัดที่หญิงสาวมีอยู่ให้ลดน้อยลงได้เลย นิชนันท์ขยับตัวเบา ๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อหลังจากที่นั่งเกร็งมาเป็นเวลานาน ใจนึกอยากจะขอตัวเข้าห้อง แต่ปากไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป จึงได้แต่นั่งรอคอยเวลาให้อีกคนลุกจากโต๊ะทำงานเสียที
อัคนีเงยหน้าขึ้นมองไปยังโซฟาตัวยาวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างลอยมาเข้าหู รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย ก่อนจะค่อยจางไป ปากกาในมือถูกวางลงเป็นอันจบสิ้นภารกิจในคืนนี้ ร่างสูงลุกขึ้นเดินช้า ๆ ไปหาหญิงสาว ร่างบางที่เริ่มโงนเงนไปมาเรียกรอยเอ็นดูให้เกิดในดวงตาคมกล้า ชายหนุ่มดูมีสีหน้าอ่อนโยน นุ่มนวลยามที่เฝ้ามองหญิงสาว มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสแผ่วเบาไปตามวงหน้าอิ่มเอิบน่าทะนุถนอมนั้น อัคนีละความสนใจจากหญิงสาวไปชั่วครู่ จัดแจงปิดโทรทัศน์ และปิดไฟดวงใหญ่เหลือไว้เพียงดวงเล็กที่ส่องสว่างให้ยังพอเห็นทางเดิน ก่อนเดินกลับมาหยุดตรงหน้าร่างบางอีกครั้ง ลำแขนแกร่งตวัดยกร่างของคนที่อยู่ในห้วงนิทราขึ้นแนบอก ก้าวเดินไปเบื้องหน้าสู่ห้องนอนของเธอ
เสียงเต้นเป็นจังหวะของบางสิ่งบางอย่างที่หญิงสาวแว่วได้ยิน ทำให้เธอปรือตาขึ้นมอง ภาพเลือนลางในคราแรกที่เห็นส่งให้หญิงสาวต้องกระพริบตาปริบ ก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นชัดเจนเต็มสองตา ร่างบางมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันทีอย่างช่วยไม่ได้
“ดิ้นทำไม”เสียงทุ้มต่ำถามออกมา ก้มลงมองคนในอ้อมแขน
“วางฉันลงเถอะค่ะ”นิชนันท์บอกเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายให้เสียขวัญ แต่คำขอร้องของเธอกลับถูกเพิกเฉย ชายหนุ่มยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า จนมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าห้องพักของเธอ สายตามองหญิงสาวพร้อมกับพูดขึ้น
“เปิดประตูให้หน่อยสิ”
“คะ!” ด้วยสติที่มีไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่นัก เนื่องจากมัวแต่คิดหวาดหวั่น ทำให้เธอไม่ทันไม่ฟังว่าเขาพูดอะไรกับตน แต่เมื่อเห็นสายตาของเขาที่จ้องมองไปที่ประตูห้องพักก็ทำให้เธอเข้าใจ หญิงสาวอึก ๆ อัก ๆอยู่นิดก่อนบอกกับเขา
“วางฉันลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ ฉันเข้าห้องเองได้ค่ะ”
ทว่าแทนที่อัคนีจะยอมทำตามอย่างที่หญิงสาวขอ เขากลับบอกกับเธออีกอย่าง เรียกรอยแดงระเรื่อให้ผุดขึ้นทั่วใบหน้าของเธอ
“เปิดประตูเถอะนิ่ม ผมหนัก” คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวต้องรีบยื่นมือออกไปบิดลูกบิดประตูอย่างไม่คิดอิดออดอะไรอีก เธอรู้สึกเก้อกระดาก เขินอายเสียจนแทบอยากจะมุดหน้าหนีไปเสียให้พ้น ๆ ตอนได้ยินเขาบอกว่า ตัวเธอหนัก....
อัคนีเดินมาหยุดที่ปลายเตียงค่อย ๆ วางหญิงสาวลงอย่างนุ่มนวล นัยน์ตาคมเข้มมองหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้างุด ใบหน้าแดงก่ำอย่างเอ็นดู
“นิ่ม....” เสียงเรียกของเขาทำให้หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นแทบจะทันที ก่อนอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาที่ทอดมองมา เอ่ยขานเสียงแผ่ว
“คะ...”
“ฝันดีนะ”อัคนีบอกเพียงสั้น ๆ และหันหลังเดินออกจากห้องนอนของหญิงสาวไปทันที ทิ้งให้คนที่ถูกบอกฝันดี นั่งอ้าปาก ตัวแข็งตกตะลึงกับความเปลี่ยนไปของชายหนุ่ม เสียงปิดประตูที่ดังขึ้นเรียกสติหญิงสาวให้กลับคืนมา เธอรีบวิ่งไปหยุดหน้าประตู กดปุ่มล็อคอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะเปลี่ยนใจกลับเข้ามาอีก ก่อนหันหลังพิงประตูพร้อมกับถอนใจออกมาเสียงดัง ความรู้สึกอึดอัด แน่นอกพลันหายเป็นปลิดทิ้ง เหลือไว้แต่เพียงเสียงหัวใจเต้นตึกตัก กับคำพูดที่ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทของตัวเอง
เสียงกุกกักที่ดังแว่วมาจากในห้องครัว เรียกให้คนที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนมาต้องเงี่ยหูฟัง ก่อนเดินไปยังต้นเสียง กลิ่นหอมที่ลอยคละคลุ้งมาแตะจมูกส่งให้ร่างกายสูงใหญ่มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองเบา ๆ นึกขำตัวเองในใจว่า ‘นานแค่ไหนแล้วที่ตนไม่เคยรู้สึกหิวจนท้องร้องแบบนี้’ อัคนีเดินจนมาถึงด้านหน้าทางเข้าห้องครัว ก่อนหยุดยืนมองภาพที่ได้เห็นอย่างมีความสุข....ถ้าทุกวันได้ตื่นขึ้นมาแล้วพบกับภาพเช่นนี้ทุกวันเขาคงจะมีความสุขไม่น้อย
“อ้าว...คุณอัคนีตื่นแล้วหรือคะ ป้ากำลังจะตั้งโต๊ะอาหารอยู่พอดี”เสียงเรียกของคนดูแลบ้าน ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังง่วนอยู่กับหม้อข้าวต้มบนเตาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนหันไปมองชายหนุ่มคนที่ถูกเรียกหา
“คุณเขาขอทำอาหารเองจ้ะ ป้าก็เลยช่วยเป็นลูกมือ”
อัคนีพยักหน้ารับรู้ ก้าวเดินเข้ามาภายในห้องครัวเล็ก ๆ ซึ่งบัดนี้ดูเหมือนจะคับแคบขึ้นมาถนัดตาเมื่อมีเขาเข้ามาอยู่ด้วย มองดูหญิงสาวที่ยังคงสาละวนอยู่กับข้าวต้ม
“ป้าออกไปจัดโต๊ะอาหารให้นะจ๊ะ”
“ไม่ต้องหรอกป้า ผมทานในนี้เลยก็ได้ จะได้เก็บล้างง่าย ๆ”อัคนีหันไปบอก
“มันจะดีหรือจ๊ะ ป้าว่า….”
“ไม่เป็นไร ป้ากลับบ้านไปเลยก็ได้ เดี๋ยวกินเสร็จผมจัดการเก็บล้างเอง”อัคนีขัดขึ้นนิ่ม ๆ แต่สายตาที่จ้องมองมานั้นบ่งบอกว่า เป็นคำสั่งที่ไม่ควรหลีกเลี่ยงอย่างชัดเจน แม่บ้านสาวใหญ่จึงรีบรับคำก่อนเดินออกจากห้องครัวไปอย่างรวดเร็ว
ความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วห้องทำให้นิชนันท์เริ่มมีอาการเกร็งอีกครั้ง หญิงสาวชำเลืองมองชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งเธอต้องเจอเข้ากับสายตาที่จ้องมองมาของเขาอยู่ตลอด
“กลิ่นหอมเชียว เมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ”
“เอ่อ...เสร็จพอดีเลยค่ะ”หญิงสาวหันมาตอบด้วยใบหน้าเก้อกระดาก ก่อนยกหม้อข้าวต้มลงจากเตา และนำมาตั้งบนโต๊ะอาหารซึ่งตั้งอยู่กลางห้องครัว อัคนีนั่งมองเฉย ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก รอจนกระทั่งเธอจัดแจงตักข้าวต้มใส่ชามและนำมาวางเสิร์ฟให้เขา
“ปกติทำอาหารกินเองตลอดหรือ”เขาถามออกไปหลังจากที่ตักข้าวต้มใส่ปากได้หนึ่งคำ
“ค่ะ”
“เล่าเรื่องส่วนตัวของเธอให้ฉันฟังบ้างสินิ่ม”
นิชนันท์เงยหน้าขึ้นมองคนพูด บอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตนรู้สึกเช่นไรกับผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ คนที่ทำร้ายเธอโดยที่เธอไม่เคยรู้เลยว่ามันเพราะอะไร!!
“วันนี้คุณไม่ออกไปทำงานหรือคะ”
อัคนียิ้มนิด ๆ กับคำถามที่นำมาใช้เลี่ยงคำตอบของเธอ ชายหนุ่มตักข้าวต้มใส่ปากเคี้ยวช้า ๆ เพื่อที่จะจดจำรสชาติแสนอร่อยนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด เพียงไม่นานชามข้าวต้มตรงหน้าก็เหลือเพียงความว่างเปล่า เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวมองมา สายตาที่คล้ายจะมีคำถามอยู่ในนั้น
“ทำไมรึ”
“เอ่อ...คุณต้องการเพิ่มอีกไหมคะ”
อัคนียิ้มอีกครั้ง ส่ายหน้าให้เธอเป็นคำตอบ พลางพยักเพยิดให้เธอจัดการกับข้าวต้มในชามของเธอให้หมดเสียจะดีกว่า
“นิ่มกินต่อเถอะ ฉันจะนั่งรอเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณมีงานต้องทำ เดี๋ยวในนี้ฉันจัดการเองค่ะ คุณไม่ต้องอยู่รอก็ได้ค่ะ”
“เลิกทำตัวสุภาพกับฉันเสียทีได้ไหมนิ่ม ฉันอยากให้เราสองคนสนิทกัน ฉันอยากอยู่กับเธอนาน ๆ นะ”
คำพูดของเขาคล้ายจะไปตอกย้ำปมที่ติดอยู่ในใจหญิงสาวมาตลอดอีกครั้ง มือน้อย ๆ เริ่มสั่น น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ นิชนันท์พยายามที่จะสะกดกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาแต่ก็เหมือนจะยากเสียเหลือเกิน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนพูดช้า ๆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
“ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้กับฉันคะ คุณไม่รักภรรยาของคุณเลยหรือคะ”
อัคนีกระตุกไปนิด พยายามทำหน้าให้ปกติแม้จะหวั่นไหวกับคำพูดและน้ำตาของเธอมากแค่ไหนก็ตามก่อนจะบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเข้มปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตนไว้
“เจนมาเกี่ยวอะไรด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจน และเธอไม่ควรพูดถึงเจนด้วย นิชนันท์”
หญิงสาวถึงกับนิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของเขา เธอลุกขึ้นเก็บชามข้าวต้มของตนเองไปล้างทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนอัคนีหวั่นใจกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของเธอ
“เดี๋ยวผมต้องออกไปดูไซด์งาน คุณจะไปด้วยกันไหม”เขาจงใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อดึงความสนใจของหญิงสาวกลับมาที่ตนอีกครั้ง ซึ่งมันก็พอช่วยได้อยู่ไม่น้อยเพราะเธอหันกลับมามองที่เขา ยอมพูดด้วยอีกครั้ง
“ฉันไปก็คงช่วยอะไรคุณไม่ได้ ฉันขออยู่ช่วยดูเรื่องเอกสารที่บ้านนี่ก็แล้วกันนะคะ”
“อืม...ถ้าอย่างนั้นผมจะให้ป้าสำลีมาอยู่เป็นเพื่อน....”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องลำบากให้ใครมาอยู่กับฉันก็ได้”เธอบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เลือกเอานะ จะไปกับผมหรือจะอยู่บ้านแล้วให้ป้าสำลีมาอยู่เป็นเพื่อน” คำขาดที่ยื่นเสนอมาทำให้หญิงสาวต้องละจากงานที่ทำหันไปมองที่ชายหนุ่ม สายตาเอาจริงของเขาทำให้เธอต้องพยักหน้ารับคำเบา ๆ ออกไป
“ค่ะ”
“ค่ะ...คือ?”
“ให้ป้าสำลีมาอยู่กับฉันก็ได้ค่ะ”เธอตอบเสียงแผ่ว
“ได้...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะ แล้วจะรีบกลับ”อัคนีมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อเธอเชื่อฟังคำพูดของตน
“ค่ะ” เธอรอจนกระทั่งชายหนุ่มเดินออกจากห้องครัวไป จึงเดินไปเก็บชามข้าวต้มของเขาเพื่อจัดการล้างเก็บและใช้เวลาที่เหลือทำความสะอาดในครัวเป็นการฆ่าเวลา เพื่อที่จะไม่ต้องออกไปเผชิญหน้ากับเขาอีก
หลังจากที่ชายหนุ่มออกจากบ้านพักไปแล้ว นิชนันท์ก็ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่คนเดียวลำพังอย่างที่ต้องการแต่เธอก็รู้สึกดีกว่าการที่ต้องอยู่ติดกับเขาตลอดเวลา หนังสือเล่มที่มักอยู่ติดกระเป๋าผ้าใบโปรดที่เธอถือมาด้วยถูกหยิบมาอ่านเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ แต่เธอก็ชอบที่อ่านเพราะทุกครั้งที่ได้อ่านเธอจะสบายใจ เย็นใจเสมอ หญิงสาวเลือกมุมนั่งเล่นเล็ก ๆ นอกชานบ้านเป็นที่นั่งอ่านหนังสือ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ มีสายลมเอื่อย ๆ พัดมาเป็นระยะ ทำให้เธอผ่อนคลายและช่วยให้ลืมความทุกข์ไปได้บ้าง
เธอใช้เวลาอยู่กับตัวหนังสือนั้นจนแทบไม่ได้สนใจสิ่งใด ทว่าความรู้สึกที่เหมือนมีใครแอบมองอยู่ตลอดเวลาทำให้เธอต้องละสายตาจากหนังสือเล่มดังกล่าว หันไปมองตามสัญชาติญาณของตน ก็ได้เห็นแม่บ้านสาวใหญ่ที่กำลังมองมาที่เธออยู่
“ป้ามีอะไรกับฉันหรือเปล่าจ๊ะ”นิชนันท์ปิดหนังสือลงก่อนถามออกไป
“เอ่อ...เอ่อฉันถามคุณหน่อยสิ คุณเป็นอะไรกับคุณเพลิงหรือจ๊ะ”แม่บ้านสาวใหญ่ถามด้วยความอยากรู้ อยากเห็น เพราะตั้งแต่ตนทำงานให้กับชายหนุ่มมาหลายปี ไม่เคยเห็นว่าเจ้านายของตัวเองจะพาใครมาที่บ้านหลังนี้เลย แม้กระทั่งภรรยาสาวอย่าง ‘เจนจิรา’ เองก็ไม่เคยได้มา
เป็นอีกครั้งที่นิชนันท์รู้สึกคล้ายมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้ำอึ้ง ใบหน้าซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด ยามเห็นสายตาของแม่บ้านที่มองมายังตัวเอง เธอละอายเสียจนต้องหลบสายตาไม่กล้ามองสบตาอีก หยดน้ำใส ๆ เอ่อคลอเต็มสองตา ความเงียบงันที่เข้าปกคลุม และอาการของหญิงสาวที่ได้เห็น คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนให้แม่บ้านสาวใหญ่ได้รู้สึกตัว ว่าตนเองอาจกำลังล้ำเส้นเกินไป และอาจจะนำภัยมาถึงตัวได้ จึงรีบกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่องในทันที
“เอ่อ...เดี๋ยวป้าขอตัวไปทำความสะอาดในห้องก่อนนะจ๊ะ คุณนั่งอ่านหนังสือตามสบายนะจ๊ะ ป้าไม่กวนแล้ว”
น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลรินออกมาทันทีที่ลับร่างแม่บ้านคนดังกล่าวไป ร่างกายสั่นสะท้านจนเธอต้องกอดตัวเองเอาไว้ เธอเฝ้าถามตัวเองว่า มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพราะอะไรจึงทำให้ตัวเองเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ สถานที่แปลกตา กับคนแปลกหน้า และสายตาดูแคลนคล้ายกับตัวเธอเองเป็นตัวน่ารังเกียจนั้นมันคืออะไร เพราะ ‘เขา’ ใช่ไหมที่ทำให้เธอต้องเป็นเช่นนี้ เหมือนตกนรกทั้งเป็น!!
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าใครที่เป็นคนโทรศัพท์เข้ามาก็รีบปาดน้ำตาทิ้งและกดรับสายด้วยน้ำเสียงสดใส
“สวัสดีค่ะแม่” เธอเงียบฝั่งอีกฝ่ายพูดอยู่พักใหญ่ ยิ้มน้อย ๆ ก่อนเป็นฝ่ายพูดบ้างเมื่อคนเป็นแม่เว้นระยะให้ตนได้มีโอกาสพูด
“ขอโทษค่ะแม่ พอมาถึงนิ่มก็ต้องไปดูงานกับเจ้านายเลยจ้ะ ไม่ทันไม่โทรศัพท์บอกแม่เลย นิ่มสบายดีจ้ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ เจ้านายดูแลเรื่องที่อยู่ให้อย่างดีเชียวจ้ะ นิ่มสัญญาว่าต่อไปนี้นิ่มจะโทรศัพท์หาแม่ทุกวันนะจ๊ะ แม่เองก็ดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ ทานข้าวให้เป็นเวลาด้วย เดี๋ยวจะปวดท้องขึ้นมาอีก ทำงานเสร็จนิ่มจะรีบกลับบ้านของเรานะจ๊ะ”
คนเป็นแม่บอกสำทับกลับมาอีกครั้งก่อนจะวางสายไป ปล่อยให้หญิงสาวนั่งมองโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นเป็นนาน
“นิ่มคิดถึงแม่”หญิงสาวรำพันทั้งน้ำตา คิดถึงคนเป็นแม่ขึ้นมาจับใจ อยากกอด อยากระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่ตนเองแบกมันเอาไว้ให้คนเป็นแม่ได้รับรู้ แต่พอนึกถึงผลลัพธ์ที่จะได้ เธอก็ได้แต่เก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียว
“ทำอะไรอยู่....นิ่ม”เสียงทุ้มที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้หญิงสาวที่กำลังอยู่ในภวังค์ของตัวเองสะดุ้ง ลุกขึ้นยืนหันไปมองตามเสียงนั้นทันที
ภาพใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ส่งให้อัคนีรีบเดินเข้ามาหา ถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ไม่สบายอะไรตรงไหนหรือเปล่า บอกผมสินิ่ม คุณร้องไห้ทำไม” คำถามของเขายิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักขึ้น มือบางกำแน่นก่อนกระหน่ำทุบลงไปที่ตัวของเขาไม่ยั้ง
“ทำไม....ทำไมคุณต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย เพราะอะไร ฉันเคยไปทำอะไรให้คุณ ทำไมคุณต้องมาทำร้ายฉันให้ฉันตายทั้งเป็นแบบนี้”
อัคนีไม่ได้ปัดป้องใด ๆ ทั้งสิ้น เขาปล่อยให้เธอทำอย่างที่ต้องการจนสุดท้ายเธอก็หมดแรง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ชายหนุ่มค่อย ๆ ดึงตัวเธอขึ้นมาอย่างนุ่มนวล กอดร่างบางเอาไว้จนแน่น
“ผมขอโทษ”
คำขอโทษของเขาไม่ได้ทำให้นิชนันท์รู้สึกดีขึ้นเลย แต่มันกลับยิ่งทำให้ความอดทน ความเข้มแข็งที่เธอพยายามทำอยู่พังทลายลง เธอสะอื้นไห้ตัวโยนปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำถามแต่คำว่า ‘ทำไม’ ออกมา
“อย่าเป็นแบบนี้เลยนะนิ่ม อย่าทำแบบนี้เลย”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งน้ำตานองหน้า เอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ปล่อยฉันไปได้ไหมคะ ได้โปรดเถอะค่ะ ฉันไม่อยากทรมานแบบนี้”
อัคนียังคงกอดเธอไว้หากแต่ไม่มีคำตอบใดให้ นอกจากอ้อมกอดของเขาที่แน่นกระชับมากขึ้น หวังว่าเธอจะรับรู้ถึงความรู้สึกของตนเองได้บ้าง
หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้นก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่อัคนีก็ดูเงียบขรึมลงและทำตัวออกห่างจากหญิงสาว หมกตัวกับการทำงาน ปล่อยให้เธออยู่ตามลำพังกับแม่บ้านเพื่อหวังให้ทุกอย่างระหว่างตนกับหญิงสาวมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น เขาเลือกที่จะทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานทั้งหมด จนคนรอบข้างเกิดอาการเกร็งและไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้านายของตนจึงได้ต้องเร่งงานขนาดนี้
“เพลิง...นายเป็นอะไรของนายวะ ไปบ้าพลังมาจากไหน”
อัคนีละสายตาจากกระดาษแปลนแผ่นใหญ่ ที่วางแผ่หลาอยู่บนโต๊ะทำงาน มองไปยังคนถามด้วยสายตานิ่งเฉย
“แกมีปัญหาอะไร”
“ฉันน่ะ ไม่มีอะไรหรอก แต่คนงานของแกทุกคนมันกำลังจะตาย งานมันเร่งนักหรือไงฮะ นายถึงได้ให้ทุกคนทำงานหามรุ่ง หามค่ำแบบนี้”
อัคนีกวาดสายตามองทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้ ในขณะที่คนถูกมองต่างก็พากันก้มหน้าหลบสายตาไม่กล้ามองตอบ นั่นเองทำให้อัคนีตัดสินใจวางงานในมือลงก่อนบอกทุกคนออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนต้องเหนื่อย วันนี้พอแค่นี้ก่อน ผมอนุญาตให้พวกคุณกลับบ้านไปพักผ่อนได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มงานกันใหม่”
แล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลังจากที่ทุกคนต่างพากันแยกย้ายกลับบ้าน เหลือเพียงเจ้าของห้องและผู้ช่วยมือดีที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ศิรุจน์นั่งมองหน้าเพื่อนที่พอสั่งให้ทุกคนกลับไปแล้วแทนที่ตัวเองจะหยุดพักด้วย กลับไม่เป็นเช่นนั้น
“เพลิง...นายมีปัญหาอะไรกันแน่ ทำไมไม่กลับบ้าน แล้ว.....”
อัคนีทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามนั้นของเพื่อน และยังให้ความสนใจกับงานตรงหน้าตนเช่นเดิม ปฏิกิริยาท่าทางคล้ายกับไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่รู้สึกอะไรเลยของเขานี่เอง ที่ทำให้ศิรุจน์ทนต่อไปไม่ไหว โพล่งถามออกไปด้วยความหงุดหงิด
“นายทิ้งเขาไว้คนเดียวแบบนั้นมันดีแล้วหรือไง นายพาเขามาเพื่อที่จะมาทิ้งขว้างเขาแบบนี้หรือไง เพลิง หัวใจนายมันทำด้วยอะไรวะ”
“แกจะหยุดพูดได้หรือยัง”อัคนีทุบโต๊ะโครงใหญ่ ตะคอกถามออกไปเสียงเขียว
“ฉันไม่หยุด!...แกเลือกที่จะทำผิดกับเจน ทำผิดกับเขา บังคับจนได้ตัวเขามา แล้วแกก็เอาเขามาทิ้งขว้างแบบนี้ มันถูกหรือไง เขาก็เป็นคน มีชีวิตจิตใจเหมือนแกนะเว้ย เป็นลูกมีพ่อมีแม่ แกไม่คิดบ้างหรือไงว่าเขาจะรู้สึกยังไงบ้างกับการกระทำของแก!!”ศิรุจน์โพล่งระบายความอัดอั้นอยากที่จะพูดกับเพื่อนออกมาจนหมด อยากเตือนสติ อยากทำให้เพื่อนได้รู้ตัวเสียทีว่าสิ่งที่ทำมันไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง”อัคนีดูมีท่าทางที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ไหล่ลู่ลงคล้ายกับคนหมดหนทาง จนคนมองต้องเดินเข้ามาหาตบไหล่เบา ๆ ให้กำลังใจ แม้ในใจจะร่ำร้องอยากพูดว่า ‘แกมันผิดตั้งแต่ต้น’ แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรออกไปตอนนี้เพราะรู้ดีว่า ถึงพูดไปก็ไม่อาจช่วยอะไรได้แล้ว....ศิรุจน์ถอนใจเฮือกก่อนบอกด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น
“นายก็กลับบ้านไป ไปดูแลเขา พูดกับเขาดี ๆ ทำกับเขาดี ๆ เท่าที่ผ่านมาเขาก็บอบช้ำมามากแล้ว....นายควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้องนะเพลิง อะไรที่ควรจะพูด จะบอก ก็บอกไป อย่ามัวแต่ปิดบังเอาไว้ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แถมมันจะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ด้วย”
คำพูดที่บ่งบอกว่าเพื่อนของตนน่าจะรับรู้อะไรมาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อยส่งให้อัคนีมีใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยถามคำถามที่เพื่อนเดาเอาไว้ไม่ยาก
“ใครบอกเรื่องนี้ให้แกรู้”
ศิรุจน์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย มั่นใจว่าคนถามเองรู้ดีที่สุดว่าตนรู้เรื่องมาจากที่ไหน แต่ที่ถามออกมานั้น ก็คงเป็นเพราะอยากได้ยินจากปากเขานั่นเอง
“ความลับมันไม่มีในโลกหรอกเว้ย ขนาดฉันยังรู้ สักวันพ่อแม่ของเจนก็ต้องรู้ แต่จะรู้จากปากของใครนี่ฉันเองก็คาดคะเนให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น...นายควรจะคิดเอาไว้ได้แล้วว่าจะต้องทำยังไงต่อไปจากนี้”
อัคนีคลายสีหน้าเคร่งเครียดลง มองเพื่อนพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงติดเป็นห่วงใครอีกคน
“ฉันอยากจัดการเรื่องของเจนให้จบเสียก่อน”
“นายจะเป็นห่วงอะไรอีก เจนเป็นคนบอกนายเองไม่ใช่หรือ ว่าดูแลตัวเองได้ นายต้องมั่นใจในตัวเจนสิ เจนเข้มแข็งกว่าแต่ก่อนเยอะนะเพลิง แต่ถ้าแค่นั้นมันยังทำให้นายไม่หมดห่วง ฉันก็จะบอกว่า ให้นายเชื่อใจฉัน ฉันจะเป็นคนช่วยดูแลเจนเอง”
อัคนีมองคนพูด รู้ดีและรู้มาโดยตลอดว่าเพื่อนรู้สึกเช่นไรกับจีรนุช ภรรยาของตน เพียงแต่ที่เขาไม่สามารถรับรู้หรือคาดเดาได้นั่นคือ จีรนุชล่ะ รู้สึกเช่นไรกับเพื่อนของตนบ้างไหม
“ขอบใจ”
“นายกลับบ้านเถอะ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เห็นป้าสำลีบอกว่า เอาแต่นั่งซึมทั้งวัน ชวนพูด ชวนคุยก็ไม่ค่อยจะพูดด้วยเลย บอกตรง ๆ นะ ฉันสารเขา”
อัคนีเบนหน้าหนีสายตาของเพื่อน มองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศด้านนอกดูครึ้มฟ้า ครึ้มฝน มีลมพัดแรงมาเป็นระลอก ๆ บอกให้รู้ว่า อีกไม่ช้าแถวนี้ฝนอาจจะตก
“ไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกันไหม”
“เอาไว้วันหลังดีกว่า วันนี้นายควรได้คุยกับเขาตามลำพังมากกว่านะ”ศิรุจน์บอกพร้อมกับยิ้มให้เพื่อน ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนจริง ๆ เสียที
*******************************************************************************
เร่งเขียนมือเป็นระวิง เพราะที่เขียนสตอคไว้ใกล้หมดเต็มที แถมเรื่องราวก็ (คง) ใกล้ เข้มข้นมากขึ้นแล้วด้วย...^___^ เป็นกำลังใจให้กันต่อไปนะคะ
รักคนอ่านที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดด
ภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ค. 2556, 10:21:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ค. 2556, 10:21:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 2018
<< ไฟสิเหน่หา บทที่ 5 |
mhengjhy 3 ก.ค. 2556, 11:01:35 น.
คุณเพลิงสู้ๆ ถึงแม้จะใจร้าย แต่ก็ขอให้หนูนิ่มเข้าใจโดยเร็ววัน
คุณเพลิงสู้ๆ ถึงแม้จะใจร้าย แต่ก็ขอให้หนูนิ่มเข้าใจโดยเร็ววัน
คิมหันตุ์ 3 ก.ค. 2556, 12:42:26 น.
ปากหนักจริงพ่อคุณ คนรักกันต้องไม่ทำร้ายจิตใจกัน นะจ๊ะ
ปากหนักจริงพ่อคุณ คนรักกันต้องไม่ทำร้ายจิตใจกัน นะจ๊ะ
OhLaLa 3 ก.ค. 2556, 22:19:42 น.
"ถ้าหากรักนี้ ไม่บอก ไม่พูด ไม่กล่าว แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า อาจไม่แน่ใจ..." คุณเพลิงบอกสิ่งที่อยู่ในใจให้หนูนิ่มรู้สักทีสิคะ ที่ทำอยู่ก็ทรมานกันทั้ง 2 ฝ่าย
"ถ้าหากรักนี้ ไม่บอก ไม่พูด ไม่กล่าว แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า อาจไม่แน่ใจ..." คุณเพลิงบอกสิ่งที่อยู่ในใจให้หนูนิ่มรู้สักทีสิคะ ที่ทำอยู่ก็ทรมานกันทั้ง 2 ฝ่าย
violette 3 ก.ค. 2556, 23:41:39 น.
อยากรู้เหตุผลจังเลยคะ่
อยากรู้เหตุผลจังเลยคะ่
ปิศาจสัญจร 4 ก.ค. 2556, 09:38:38 น.
อินทุกตอนเลยค่ะ ร้องไห้ตามตลอด
อินทุกตอนเลยค่ะ ร้องไห้ตามตลอด
มะเหมี่ยว 4 ก.ค. 2556, 10:26:08 น.
รออ่านตอนไปอยู่จร้าาาาาาาาา
รออ่านตอนไปอยู่จร้าาาาาาาาา