ล้อมรัก
ความรู้สึกผิดบาปที่เป็นต้นเหตุทำให้แม่ของเธอตาย ทำให้เขาไม่กล้าเปิดใจถึงแม้ในหัวใจจะมีเธอเต็มอยู่ทุกห้อง
Tags: รักต่างวัย,โรแมนติค,ล้อมรัก

ตอน: ตอนที่ 19,20

ตอนที่ 19

นี่คงเป็นผลของการที่เธอไม่เจียมตัว

ล้อมรักได้แต่ย้ำเตือนตัวเองด้วยหัวใจที่บอบช้ำ ขณะยืนนิ่งด้วยอยู่ใต้ฝักบัวแล้วปล่อยให้กระแสน้ำไหลรินลงมารดตัวราวกับต้องการให้สายน้ำชะล้างหยาดน้ำตาที่กำลังร่วงริน เพราะไม่อยากให้เพื่อนรักต้องตกใจกับสภาพของตนอีกทั้งยังไม่พร้อมตอบคำถาม หญิงสาวจึงเลือกหลบมาร้องไห้ในห้องน้ำที่อยู่ตรงสุดทางเดินแทนที่จะเข้าห้องนอนของตนเอง

“ขึ้นไปนอนซะ แล้ว...ลืมเรื่องในคืนนี้เสียให้หมด”

คำพูดของพี่ชายร่วมโลกที่บอกออกมาหลังจากเธอถ่ายทอดความในใจไปหมดสิ้นผุดขึ้นมาจากความทรงจำอีกครั้ง รอยยิ้มจากความขมขื่นและสิ้นหวังจุดขึ้นบนริมฝีปากที่สั่นระริกจากการกลั้นสะอื้นและความหนาวเย็นจากสายน้ำที่พร่างพรม ก่อนที่น้ำตาอุ่น ๆ จะแผ่ซ่านรอบขอบตาและร่วงรินลงมาตามสองข้างแก้มอีกครั้ง

ทั้ง ๆ ที่เด็กกำพร้าอย่างเธอไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาสักนิด แต่เธอยังริอาจไม่เจียมตัว ก็สมควรแล้วที่เขาจะรังเกียจ

ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเจ็บช้ำ แต่ล้อมรักก็ยังคงยืนนิ่งปล่อยให้สายน้ำพร่างพรมลงมาราวกับหวังว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยบรรเทาความเจ็บร้าวที่ลุกลามไปตามพื้นที่ของหัวใจ

แล้วหลังจากนี้เธอจะอยู่สู้หน้าเขาได้ยังไง

นั่นคือคำถามที่หญิงสาวตั้งกับตัวเอง ก่อนจะได้คำตอบในเวลาต่อมา


“คุณอาร์ตออกไปทำงานแล้วค่ะ”

คำบอกของป้าสายใจหลังจากถูกคุณวาทินตั้งคำถามถึงลูกชายเมื่อทุกคนต่างพร้อมเข้าประจำที่ในห้องอาหารเช้าวันนี้ ส่งผลให้ล้อมรักนิ่งงันไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งโล่งใจและเจ็บปวด เพราะถึงแม้โล่งใจที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากันให้ต้องอึดอัด หากขณะเดียวกันเธอก็เจ็บปวดใจเพราะเชื่อว่าสาเหตุที่วิศรุตรีบร้อนออกไปจากบ้านโดยไม่แม้แต่จะรับอาหารเช้านั่นก็เป็นเพราะเขาไม่ต้องการเห็นหน้าเธอ

ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่เธอตัดสินใจเมื่อคืน ก็คงถูกต้องแล้ว

หญิงสาวบอกกับตัวเองอย่างเศร้าหมอง ก่อนมองไปที่ชายสูงวัยผู้เป็นประมุขของบ้าน แล้วออกปาก

“คุณลุงคะ ถ้าทานข้าวเสร็จแล้ว หนูล้อมขอคุยด้วยหน่อยนะคะ”

แม้นึกแปลกใจไม่น้อย หากคุณวาทินก็ซ่อนไว้ภายใต้สีหน้ายิ้ม ๆ ยามบอก

“ได้สิ...” อาจด้วยเห็นสีหน้าของหญิงสาวในเช้าวันนี้ไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น ชายสูงวัยจึงเอ่ยกระเซ้า หลังจากหยุดเงียบไปครู่หนึ่ง

“สงสัยวันนี้ฝนคงจะตก เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาลุงเพิ่งได้ยินหนูล้อมบอกว่าอยากจะคุยด้วยก็วันนี้นี่ล่ะ”

ล้อมรักฟังแล้วก็ได้แต่ฝืนยิ้มเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอจะคุยกับท่าน เพราะใจหนึ่งก็รู้สึกไม่ดีนักต่อสิ่งที่คิดจะทำ แต่ถ้าจะให้เธอปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ทำไม่ได้

ในขณะที่ล้อมรักนั่งจมอยู่กับความคิดของตน นิศากานต์ก็ลอบมองเพื่อนรักด้วยความไม่สบายใจ เพราะเช้าวันนี้เธอรู้สึกได้ว่าเพื่อนของเธอดูไม่แจ่มใสนัก ในดวงตาก็ดูหม่นมัวเสียจนเธอนึกกังวลใจ ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน หญิงสาวก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธอควรจะอยู่เป็นเพื่อนล้อมรักมากกว่าจะทิ้งเพื่อนให้อยู่ตามลำพังกับวิศรุต นั่นทำให้เธอไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะหลังจากเข้าห้องนอนกระทั่งอาบน้ำเรียบร้อยก็ยังไร้วี่แววของล้อมรัก เมื่อรอแล้วรอเล่าในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไป

อาหารเช้ามื้อนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็สิ้นสุดลง แล้วหลังจากนั้นเวลาที่ล้อมรักรอคอยก็มาถึง

“เอาล่ะ เราไปเดินย่อยอาหารกันพลางคุยกันไปพลางดีไหม”

คุณวาทินตั้งคำถามหลังจากวางแก้วน้ำลงไปบนโต๊ะตามเดิม ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองทันควันจากล้อมรัก ก่อนที่หญิงสาวจะหันหน้าไปบอกคนเป็นเพื่อน

“ผึ้ง หนูล้อมขอไปคุยกับคุณลุงก่อนนะ”

ขณะมองตามล้อมรักที่กำลังเดินตามชายสูงวัยออกไปจากห้องอาหาร นิศากานต์ก็ได้แต่เก็บความกังวลใจเอาไว้เพราะความเป็นห่วงที่มีต่อเพื่อนรัก


“เอ้า! ว่ายังไง มีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับลุงล่ะ”

เมื่อเดินมาด้วยกันได้สักพักกระทั่งมาถึงสวนด้านหลังบ้าน คุณวาทินก็เอ่ยขึ้นก่อนหลังจากปรายตามองไปหลายครั้งแล้วพบว่าคนที่เดินเคียงข้างเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดเสียที

แม้เตรียมใจมาแล้ว แต่เมื่อล้อมรักมองสบกับแววตาปราณีของคุณวาทิน หญิงสาวก็รู้สึกตีบตันในลำคอจนวูบหนึ่งเกือบเปลี่ยนความตั้งใจ หากเมื่อภาพเมื่อคืนผุดขึ้นมาฉายซ้ำอีกครั้ง เจ้าตัวจึงตัดสินใจก้มหน้าลงยามออกปากเสียงกระท่อนกระแท่น

“หนูล้อม...อยากจะขออนุญาต...ออกไปอยู่ข้างนอกค่ะ”

คุณวาทินนิ่งงันไปเมื่อรู้ถึงเจตนาของล้อมรัก ชายสูงวัยมองหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งอยู่เป็นครู่กว่าจะถอนหายใจออกมาแล้วตั้งคำถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ไถ่ถามลูกหลาน

“มีใครทำอะไรให้หนูล้อมไม่สบายใจเหรอ”

ล้อมรักน้ำตาซึมเมื่อสัมผัสได้ถึงความเมตตาจากผู้อุปการะเธอ ก้อนแข็ง ๆ ที่แล่นขึ้นมาอัดแน่นกลางลำคอทำให้หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ซึ่งดูเหมือนจะยิ่งทำให้คุณวาทินหนักใจจนต้องถอนหายใจออกมาอีกเฮือก

“เจ้าอาร์ตมันรู้หรือยัง”

สิ้นสุดคำถามนั้นล้อมรักก็ไม่อาจยับยั้งน้ำตาตัวเองได้อีก อาจเพราะความบอบช้ำทางจิตใจยังสดใหม่เสียจนเพียงแค่ได้ยินชื่อ เธอก็ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ

สิ่งที่เห็นทำให้คุณวาทินยิ่งปักใจว่าข้อสงสัยของท่านคงจะมีเค้า

เฮ้อ! ไม่รู้ว่าเจ้าอาร์ตมันไปทำอะไรอีท่าไหน หนูล้อมถึงกับจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแบบนี้

“แล้ว...ถ้าลุงไม่อนุญาตล่ะ”

“คุณลุงเมตตาหนูล้อมเถอะนะคะ หนูล้อม...อยู่ที่นี่ไม่ได้จริง ๆ”

คำอ้อนวอนเสียงสั่นของคนที่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับเม็ดน้ำตาที่ยังไม่จางหาย มีผลให้คุณวาทินอึ้งไปอย่างกังวลปนหนักใจ

“หนูล้อม...”

“ได้โปรดเถอะค่ะ ให้หนูล้อมไป...นะคะ”

เพราะพิจารณาแล้วว่านาทีนี้ถึงเลือกวิธีใช้ไม้แข็งก็คงไม่เป็นผล คุณวาทินจึงจำต้องปล่อยไปก่อน และส่วนหนึ่งก็คิดว่าเรื่องนี้สมควรให้คนที่เป็นต้นเหตุเป็นคนแก้ปัญหาเอง

ดังนั้นหลังจากหยุดคิดใคร่ครวญเพียงครู่ ชายสูงวัยจึงบอก

“เอาไว้รอเจ้าอาร์ตกลับมา แล้วเราค่อยพูดเรื่องนี้กันอีกที”


อีกด้านหนึ่ง คนที่คุณวาทินรอให้มาแก้ปัญหาก็กำลังนั่งกุมขมับอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงภายให้ห้องทำงานของตน

เพราะยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับล้อมรัก เช้าวันนี้เขาจึงเลี่ยงทานอาหารมื้อเช้าเหมือนอย่างเช่นที่ผ่านมา และทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าสิ่งที่ทำนั้นจะยิ่งทำให้ล้อมรักเสียใจ แต่...เขาก็ยังทำ

“...หนูล้อมรักพี่อาร์ต แบบที่...ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักผู้ชายคนหนึ่ง...”

อีกครั้งที่คำพูดของล้อมรักเมื่อคืนนี้ผุดพร่างขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ แม้คำรักของหนูล้อมจะทำให้เขาดีใจสักเพียงใด หากขณะเดียวกันก็เหมือนจะยิ่งกรีดบาดแผลจากวันวานให้เปิดกว้างขึ้น

ภาพจากอดีตพลันผุด เมื่อครั้งเขาก่อเหตุวิวาทกระทั่งพลั้งพลาดจนทำให้แม่ของล้อมรักเสียชีวิต แววตาตื่นตระหนกของหญิงสาวคนนั้นเมื่อรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองยังคงตามรบกวนและก่นโทษเขาในความฝัน...แทบทุกครั้งที่หลับตาลงยามค่ำคืน

หนูล้อมคงไม่มีวันยกโทษให้เขา ถ้ารู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ทำให้แม่ของเธอตาย

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาจะทำเช่นไรกับความรักของหนูล้อม

“ขึ้นไปนอนซะ แล้ว...ลืมเรื่องในคืนนี้เสียให้หมด”

ทั้ง ๆ ที่เป็นคนบอกให้เธอลืม แต่ตัวเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ลืมไม่ลง และคงไม่มีวันลืม...ตลอดชีวิตนี้


“หนูล้อม ไปคุยอะไรกับคุณลุงเหรอ เล่าให้ผึ้งฟังบ้างได้ไหม”

เพียงแค่ปิดบานประตูห้องนอน ล้อมรักก็เจอเข้ากับคำถามของเพื่อนรักซึ่งเหมือนจะตั้งตาคอยอยู่นานแล้ว

“ผึ้ง...หนูล้อมจะออกไปอยู่ข้างนอก”

“หา!”

คำอุทานมาพร้อมกับเจ้าตัวที่แทบจะกระโจนพรวดเข้าไปหา ก่อนจะตามติดด้วยคำถาม

“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

ครั้นเพื่อนรักเอาแต่เงียบ นิศากานต์ก็ร้อนใจจนลืมตัวคว้าแขนล้อมรักมาเขย่าพลางรบเร้า

“ว่าไงล่ะหนูล้อม เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าลุงวาทินไล่เธอ”

“เปล่า คุณลุงไม่ได้ไล่ แต่...หนูล้อมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว”

“อะไรนะ!”

หลังจากขึ้นเสียงเพราะลืมตัว นิศากานต์ก็ดึงมือเพื่อนรักให้ก้าวตามกันไปที่เตียงนอนก่อนจะกดบ่าอีกฝ่ายให้นั่งลง จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง

“นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะหนูล้อม ทำไมจู่ ๆ ถึงคิดจะออกไปอยู่ที่อื่น”

เมื่อเพื่อนรักยังไม่ให้คำตอบ นิศากานต์ก็นิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด หากเพียงครู่เดียวสิ่งที่แวบผ่านเข้ามาก็ทำให้หลุดปากถาม

“เพราะพี่อาร์ตใช่ไหม หรือว่าเมื่อคืนพี่อาร์ตทำอะไรหนูล้อม เขาว่าอะไรหนูล้อมใช่ไหม”

สิ่งที่ได้รับกลับมาคืออาการส่ายหน้าราวกับจะปฏิเสธ แต่น้ำใส ๆ ที่รื้นขึ้นมาในดวงตาคู่สวยของล้อมรัก ทำให้นิศากานต์ยิ่งปักใจ

“ทำไม พี่อาร์ตเขาว่าอะไร หรือว่า...เขาไล่หนูล้อม”

“พี่อาร์ต...ไม่ได้ไล่หนูล้อม...”

คำปฏิเสธหลุดออกจากปาก หากเมื่อภาพเมื่อคืนผุดขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพในตอนที่วิศรุตบอกให้เธออยู่ห่าง ๆ จากเขายังคงสร้างความเจ็บช้ำให้กับหัวใจ กระทั่งคำพูดที่เหลือแปรสภาพเป็นเสียงสะอื้นในลำคอ

“หนูล้อม...”

เห็นน้ำตาของเพื่อน นิศากานต์ก็ใจแป้ว ทั้งที่อยากซักถามแต่เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนรักเจ้าตัวก็พูดไม่ออก ได้แต่นิ่งอึ้งกระทั่งเสียงสะอื้นค่อยซาลง หญิงสาวจึงเริ่มต้นใหม่

“หนูล้อมมีอะไรอยากบอกผึ้งไหม”

เพราะยังคงบอบช้ำจากความสะเทือนใจ อีกทั้งความตีบตันในลำคอทำให้เธอยังไม่พร้อมจะพูดอะไรมากนัก ทำให้ล้อมรักทำเพียงส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ และนั่นก็เรียกเสียงถอนหายใจจากคนเป็นเพื่อน ก่อนจะตามด้วยคำพูด

“ถ้าหนูล้อมคิดว่าพร้อมเมื่อไรค่อยเล่าให้ผึ้งฟังละกัน ส่วนเรื่องที่หนูล้อมจะไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เราสองคน...จะไปด้วยกัน”

“ผึ้ง”

สิ้นสุดคำเรียกขาน ล้อมรักก็โผเข้าไปสวมกอดเพื่อนรักแล้วปล่อยให้น้ำตาพากันหลั่งไหลลงมาอีกครั้ง โดยมีมือของเพื่อนรักคอยลูบหลังให้แทนถ้อยคำปลอบประโลม


ภาพของหญิงสาวที่นั่งอยู่เพียงลำพังด้วยท่าทีราวกับเหม่อลอยในเก้าอี้ชิงช้าที่ตั้งอยู่ใกล้กับขอบประตูรั้ว ส่งผลให้คนที่ปรายตามองไปเห็นขณะกำลังจะขับรถเข้าไปจอดที่หน้าตึก อดไม่ได้ต้องตวัดสายตามองไปตรง ๆ อีกครั้ง ยิ่งเห็นท่าทีนิ่งเฉยที่ราวกับไม่รับรู้ใด ๆ จากคนที่เป็นเป้าสายตา พีรพลจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาแทนที่จะตรงเข้าไปในตึก

“มานั่งทำอะไรตรงนี้”

เสียงทักถามที่ดังขึ้นใกล้ตัว ส่งผลให้นิศากานต์สะดุ้งจนหลุดออกจากภวังค์ความคิดที่กำลังนึกถึงเรื่องของเพื่อนรัก หญิงสาวหันขวับไปมองทางต้นเสียงที่ได้ยิน ก่อนชักสีหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“ฉันจะนั่งทำอะไร ที่ไหน มันก็เรื่องของฉัน”

คนได้รับคำตอบขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างไม่ชอบใจนักกับการถูกตีรวน วูบหนึ่งนึกอยากหันหลังแล้วเดินหนีคนเกเรในความคิด หากเมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เจ้าตัวจึงหรุบตาลงมองปลายเท้าอีกฝ่ายก่อนตั้งคำถาม

“แล้วเท้าของคุณเป็นยังไงบ้าง หายดีแล้วใช่ไหม”

อาจด้วยน้ำเสียงที่ไถ่ถามเหมือนจะเจือความเป็นห่วงเล็กน้อยในความรู้สึกของคนฟัง ดังนั้นหลังจากนิ่งไปนิดนิศากานต์จึงให้คำตอบด้วยกระแสเสียงที่อ่อนลงบ้างเล็กน้อย

“ดีขึ้นแล้ว...” เจ้าตัวออกอาการอึกอักเล็กน้อยขณะมองตอบคนที่ยังคงมองหน้าเธอไม่เลิก ความรู้สึกอึดอัดจนทำตัวไม่ถูกส่งผลให้หญิงสาวตัดสินใจหันหน้าหนี

“เมื่อคืน ทำไมคุณถึงมองผมแบบนั้น”

คำถามที่ไม่ให้ความกระจ่างในทันทีส่งผลให้คนถูกถามหันกลับมามองทันควันพร้อมกับตั้งคำถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ

“คุณพูดเรื่องอะไร”

พีรพลมองใบหน้านวลที่ยอมหันกลับมามองเขาในที่สุดด้วยแววตานิ่งเฉยไม่บอกความรู้สึก ทั้งที่ในใจตรงกันข้าม

นับจากเมื่อคืนจวบจนบัดนี้ สีหน้าแววตาของเธอในตอนนั้นยังคงตามรบกวนจิตใจเขาไม่จางหาย

“ตอนผมจูบมือหนูล้อม”

นั่นเอง นิศากานต์จึงกระจ่างแจ้งพร้อมกับภาพเมื่อคืนก็พลันปรากฏ อาการแปลบปลาบในอกเหมือนจะตามติดมาเฉกเช่นคืนวาน

ยอมรับว่าภาพนั้นทำให้เจ็บขึ้นมาในหัวใจอย่างไม่มีสาเหตุ แต่หญิงสาวก็รีบปัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไปด้วยการยกเหตุผลหนึ่งขึ้นมา

เพราะเธอไม่ชอบเขา ก็เลยไม่อยากให้เขามายุ่งเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ

“ก็ฉันไม่ชอบ ไม่อยากให้คุณมายุ่งกับเพื่อนของฉัน”

คำบอกนั้นทำให้พีรพลต้องหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนตั้งคำถามเสียงเรียบ

“ทำไม”

“เอ๊ะ! คุณนี่...ไม่เข้าใจภาษาไทยหรือยังไง ก็บอกแล้วนี่ว่าไม่ชอบ ไม่ชอบ ทำไมยังจะต้องถามอะไรอีก”

“ก็แล้วทำไมคุณถึงไม่ชอบล่ะ”

คำถามรบเร้าที่ยังคงไม่เลิกรานั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวยังคงคาใจในบางอย่าง และนิศากานต์ก็เตรียมจะแหวออกไปอย่างเหลืออด หากคำพูดกลับติดค้างในลำคอเมื่อเจอเข้ากับคำพูดไม่คาดฝัน

“หรือว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะคุณกำลังหึงผม”

นิศากานต์เหมือนจะเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน พูดไม่ออกกับการถูกโจมตีซึ่งหน้าแบบนั้น หากจังหวะนั้นเหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับอีกฝ่าย

“อืม...ผมคงจะใช้คำพูดผิดไป เพราะที่จริงแล้วคนที่คุณหึงจริง ๆ ไม่ใช่ผม แต่เป็นหนูล้อมต่างหาก”

“อะ...ไร...นะ”

นิศากานต์แทบพูดไม่เป็นภาษาเมื่อเริ่มเข้าใจถึงความหมายที่อีกฝ่ายกำลังจะสื่อ ไม่เคยคิดเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะมีใครมองความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับล้อมรักออกมาในรูปแบบอื่น

ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะคิดว่าเธอรักหนูล้อมแบบ...

ความอับอายและโกรธเคืองทำให้นิศากานต์ไม่กล้าคิดต่อ หญิงสาวได้แต่ถลึงตามองตอบผู้ชายตรงหน้าด้วยความโมโห หากนั่นเหมือนจะยิ่งทำให้พีรพลเข้าใจผิด

“โกรธเหรอที่ผมรู้ทัน นี่สินะสาเหตุที่คุณดูจะหวงหนูล้อมมากเป็นพิเศษ”

โอ๊ย! อยากจะบ้า

หญิงสาวกรีดร้องอยู่ในใจกับความปักใจเชื่อของอีกฝ่าย พร้อมกันนั้นก็นึกสงสัยว่าอะไรในตัวเธอกันหนอที่ทำให้พีรพลตาฟ้าฟางกระทั่งเห็นผู้หญิงแท้ ๆ อย่างเธอเป็นพวกชอบเพศเดียวกันไปได้

“ฉัน...”

คำปฏิเสธที่เตรียมไว้พลันชะงักเมื่อความคิดหนึ่งวาบเข้ามาสกัดกั้น

ไหน ๆ เขาก็คิดออกมาได้ถึงขนาดนี้ คงไม่เสียหายถ้าเธอจะอนุเคราะห์ให้สักครั้ง ไม่แน่ว่าบางทีหมอนี่อาจจะยอมเลิกยุ่งกับหนูล้อมก็ได้

ความคิดนั้นนำพาให้เกิดรอยยิ้มซุกซนที่มุมปาก ซึ่งนั่นก็ไม่พลาดจากสายตาจับจ้องของพีรพล ชายหนุ่มหรี่ตามองอย่างระแวดระวัง ก่อนเปลี่ยนเป็นนิ่วหน้าเมื่อหญิงสาวยอมรับด้วยสีหน้าแววตาชื่นบาน

“ใช่ มันก็เป็นอย่างที่คุณเข้าใจนั่นล่ะ ทีนี้คุณก็ได้รู้แล้ว หวังว่าต่อไปฉันจะไม่ต้องเห็นคุณมาวุ่นวายกับหนูล้อมอีกนะ”

บางอย่างที่ใกล้เคียงกับความผิดหวังผุดแทรกขึ้นมาในวินาทีที่ได้ยินคำยืนยันของคนตรงหน้า หากพีรพลก็ซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าแววตานิ่งสงบยามออกปาก

“เสียใจด้วย เพราะผมคงต้องขอปฏิเสธ”

“หมายความว่าคุณตั้งใจจะเป็นศัตรูกับฉันงั้นสิ”

นิศากานต์ตั้งคำถามเสียงขุ่น หารู้ไม่ว่าสีหน้าแววตาวาววับอย่างเอาเรื่องนั้นทำให้ชายหนุ่มหมดข้อสงสัย เพราะปักใจเต็มร้อยว่าเธอกำลังหึงหวงเพื่อนรัก

“แล้วแต่คุณจะคิด”

คำบอกอย่างไม่ใยดีพร้อมกับการหันหลังเตรียมจะผละจากของชายหนุ่ม ทำให้นิศากานต์รู้สึกเหมือนจะรับไม่ได้จนต้องลุกจากที่นั่งแล้วขยับตัวจะวิ่งปราดไปดักหน้า หากอารามรีบร้อนทำให้เท้าทั้งสองเกิดพันกันขึ้นมาจนสะดุด กระทั่งเสียหลักเซไปชนเข้ากับแผ่นหลังของคนที่กำลังจะเดินจากไป

ความนุ่มนิ่มที่ซวนซบลงมาบนแผ่นหลังมีผลให้พีรพลชะงักนิ่งก่อนจะกระทำการโดยอัตโนมัติด้วยการหมุนตัวแล้วโอบรับร่างบอบบางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน

“ปล่อยนะ”

หลังจากหายตกใจแล้วรับรู้ว่าตนเองกำลังถูกกกกอด นิศากานต์ก็แหวออกไป กระไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างสูงขณะที่แนบชิดกันส่งผลให้หญิงสาวร้อนวาบบนใบหน้า บอกไม่ถูกถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

ใช่ว่าเธอจะไม่เคยถูกกอด แต่ไม่ว่าจะเป็นอ้อมกอดของใครหรือแม้แต่เพื่อนชายที่สนิทกัน ก็ยังไม่ทำให้เธอขัดเขินแปลก ๆ เหมือนอย่างที่ผู้ชายคนนี้ทำ

คำบอกแกมสั่งของหญิงสาวเหมือนจะให้ผลตรงกันข้าม เพราะอ้อมแขนที่กระชับแน่นราวกับจะบอกว่าเขาไม่คิดทำตามคำพูดของเธอ

“เสียใจด้วยนะถ้าคิดจะใช้วิธียั่วกันแบบนี้ เพราะผมสนใจแต่ผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงแท้ ๆ มากกว่า”

ถ้อยคำตอนท้ายเน้นหนักราวกับจะสบประมาท และนั่นก็ส่งผลให้คนฟังหน้าร้อนวาบขึ้นมาอีกครั้ง หากต่างกันตรงที่ครั้งนี้เกิดจากความโมโห หาใช่ความขัดเขิน

“ประสาท! หลงตัวเองมากไปหรือเปล่าถึงคิดว่าฉันจะต้องลดตัวไปยั่วคุณ...”

ราวกับสีหน้าแววตานิ่งเฉยของชายหนุ่มจะยิ่งกระตุ้นต่อมโมโห กระทั่งหญิงสาวคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ที่จะสามารถลดท่าทียโสของอีกฝ่ายในสายตาของเธอลงไปได้บ้าง เพราะความคิดนั้นนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวระเบิดคำพูดประชดประชันออกไป

“รู้ไว้เถอะ ถ้าสักวันฉันจำเป็นจะต้องไปยั่วใครสักคน ผู้ชายคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่ฉันจะทำอย่างนั้นก็คือคุณนั่นล่ะ”

ประกายวาบที่จุดขึ้นกลางดวงตาเข้มดุในวินาทีที่เธอจบคำพูดประชดนั้น ส่งผลให้นิศากานต์ขนลุกในทันใดด้วยความเหน็บหนาวอันไม่รู้ที่มา หากยังไม่ทันได้คิดหรือกระทำสิ่งใด อีกฝ่ายก็กระชากตัวเธอไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลก่อนกดเธอเข้ากับกลางลำต้นไม้

“ผู้ชายคนสุดท้ายอย่างนั้นเหรอ”

น้ำเสียงเยียบเย็นที่เหมือนจะเค้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ยังไม่น่ากลัวเท่ากับดวงตาคมเข้มที่ทอประกายแรงร้อนจนนิศากานต์ไม่กล้าจะสบตา หากวินาทีที่เบือนหน้าหนี อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาบีบบังคับให้เธอหันกลับไปมอง

"แน่จริงก็มองหน้าผมแล้วพูดอย่างเมื่อกี้อีกทีสิ”

แม้ลึก ๆ นึกกลัวหากเมื่อถูกท้าทายซึ่งหน้า นิศากานต์ก็ฮึดสู้ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับจะเรียกขวัญและกำลังใจให้กับตัวเอง จากนั้นจึงเริ่มทวนคำพูดของตัวเองพร้อมประสานสายตากับอีกฝ่ายไปด้วย

“คุณจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ ที่ฉันจะลดตัวไปยะ...”

คำพูดจากนั้นขาดหายเมื่อจู่ ๆ ริมฝีปากรุมร้อนของคนที่กำลังคุกคามเธอก็กดแนบลงมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว แรงบดเบียดนั้นรุนแรงจากการกระแทกกระทั้นเสียจนหญิงสาวรู้สึกราวกับปากตัวเองจะปริแตก ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงปนตกใจจนได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายตักตวงความหอมหวานของจูบแรกในชีวิต

จูบแรกของเธอ

เมื่อความคิดนั้นกระแทกเข้ามากลางใจ หญิงสาวจึงค่อยได้สติ หากนั่นดูเหมือนจะช้าเกินไปเพราะจังหวะนั้นพีรพลก็ค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกด้วยสีหน้าแววตาที่เหมือนจะเสียดาย

ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่ได้จูบแรกของเธอ

นั่นคือสิ่งแรกที่อยู่ในความคิดของชายหนุ่มหลังจากผละตัวออกห่างจากหญิงสาวที่ยังคงยืนนิ่งราวกับถูกสาป ประสบการณ์ที่ผ่านมากับบรรดาหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาในชีวิต ทำให้ได้ข้อสรุปไม่ยากจากท่าทีและสัมผัสที่ได้รับ อาจด้วยความเยาว์วัยและด้อยประสบการณ์ของนิศากานต์ที่พีรพลรับรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้ดวงตาเข้มดุทอประกายละมุนลงโดยไม่รู้ตัว กระทั่งลืมตัวโน้มหน้าเข้าไปหาดวงหน้าอ่อนเยาว์อีกครั้ง หากนั่นเหมือนจะดึงสติให้กับนิศากานต์

เพี๊ยะ!

เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังสนั่นพร้อมกับใบหน้าคมสันที่สะบัดไปอีกทางตามแรงตบ หากพริบตาต่อมาข้อมือของนิศากานต์ก็ถูกยึดเอาไว้พร้อมกับใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ของอีกฝ่าย

“ครั้งนี้ ผมจะถือว่าหนึ่งจูบแลกกับหนึ่งตบ แต่จำเอาไว้ ถ้ายังมีครั้งหน้ามันจะไม่หยุดแค่หนึ่งจูบเหมือนอย่างครั้งนี้”

คำขู่นั้นมีผลให้คนฟังตาโต ความโกรธพากันลุกฮือหากยังไม่ทันได้โต้ตอบอีกฝ่ายก็ปล่อยข้อมือของเธอแล้วคุกคามต่อด้วยสายตาอย่างไม่นำพากับแววตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของหญิงสาว

“กล้าดียังไงถึงมาทำแบบนี้กับฉัน คอยดูนะฉันจะบอกหนูล้อม จะบอกคุณลุงด้วย แล้วจะบอกคุณลุงไม่ให้คุณมาเหยียบที่บ้านหลังนี้อีก”

อาการโวยวายที่แลดูเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ มากกว่าจะเป็นหญิงสาวที่โตแล้ว ส่งผลให้วูบหนึ่งพีรพลนึกขันปนเอ็นดูจนเจ้าตัวยังนึกแปลกใจ ความรื่นรมย์ซึ่งไม่รู้ที่มาพลันบุกรุกพื้นที่ในใจจนทำให้นึกครึ้มอกครึ้มใจที่จะต่อปากต่อคำ

“เอาสิ เชิญไปบอกใครต่อใครได้เลย”

เมื่อเห็นท่าทีที่ปราศจากการสะทกสะท้านของอีกฝ่าย นิศากานต์ก็อึ้งไป หากยังไม่ทันได้คิดหาคำพูดมาโต้ตอบ คู่ปรับของเธอก็ชิงตอบโต้กลับมาอีกครั้งด้วยคำพูดที่ส่งผลให้เธอเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงหัวใจ

“ถึงผมจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่คุณคิดยั่ว แต่...การได้เป็นคนแรกที่ได้จูบแรกของคุณ ผมคิดว่ามันคุ้มค่านะ”

คนที่เสียจูบแรกไปถึงกับจุกจนพูดไม่ออก ทั้งเจ็บใจแค้นใจจนนึกอยากจะปรี่เข้าไปบีบคออีกฝ่าย หากชายหนุ่มราวกับล่วงรู้ความคิดของหญิงสาวเมื่อหันหลังแล้วเดินผละจากไปอย่างไม่ให้โอกาส

เจอกันครั้งแรก ก็มาหาว่าเธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ไป ๆ มา ๆ ยังคิดว่าเธอเป็นพวกชอบเพศเดียวกันอีก ทำไมอีตานี่ถึงชอบยัดเยียดความคิดแปลก ๆ ให้เธออยู่เรื่อยนะ

ขณะมองตามร่างสูงที่เดินตรงไปทางตึกใหญ่ นิศากานต์ก็ครุ่นคิดไปด้วยอย่างฮึดฮัดปนขัดใจ หากนาทีถัดมาเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บตึงตรงริมฝีปาก หญิงสาวก็ยกมือขึ้นมาถูปากตัวเองแรง ๆ อย่างไม่กลัวเจ็บราวกับต้องการจะลบรอยที่อีกฝ่ายประทับเอาไว้ก่อนหน้านี้ พลางคร่ำครวญกับตัวเองอยู่ในใจ

ที่สำคัญ ทำไมเธอจะต้องมาเสียจูบแรกให้กับผู้ชายคนนี้ด้วย



ตอนที่ 20

ขณะเดินจากมา พีรพลก็ยังไม่อาจสลัดความหอมหวานจากรสสัมผัสที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ไปได้ ชายหนุ่มได้แต่ครุ่นคิดกับตัวเองอย่างไม่ชอบใจที่ยังไม่อาจลบเลือนรอยจูบที่เขาเพิ่งช่วงชิงมาจากนิศากานต์

ที่ยังคงรู้สึกติดอยู่ในใจนี่ คงเป็นเพราะรู้ว่านี่คือจูบแรกของเธอ เขาเลยรู้สึกผิดนิด ๆ ล่ะมั้ง

ชายหนุ่มหาเหตุผลให้กับตัวเอง ความรู้สึกตกค้างในหัวใจทำให้อดไม่ได้ต้องหันหลังกลับไปมองคนที่เขาทิ้งเอาไว้ทางเบื้องหลัง นั่นจึงทำให้ได้เห็นว่านิศากานต์กำลังยกมือขึ้นป้ายปากตัวเองด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดที่ทำให้เขานึกขัน

พักนี้เขาเริ่มจะนึกถึงผู้หญิงคนนี้บ่อยเกินไปเสียแล้ว ทั้งที่เพิ่งได้เจอกันไม่นานแท้ ๆ

พีรพลบอกกับตัวเองอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทำให้เขารู้ว่านี่กำลังจะเป็นชนวนให้เกิดความรู้สึกอื่นตามมา หากไม่ระวังให้ดี

คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดจะเปิดใจให้กับผู้หญิงที่ไม่คิดจะทำตัวเป็นผู้หญิง แถมยังคิดว่าเขาเป็นศัตรูหัวใจอีก

ชายหนุ่มยังคงพร่ำบอกกับตัวเองราวกับต้องการจะลงสลักในหัวใจ หลังจากเคยได้รับบทเรียนของความรักจากการกระทำของผู้หญิงคนหนึ่งมาแล้ว หัวใจของเขายังเข็ดขยาดจนไม่อยากเสี่ยงให้ตัวเองต้องพบเจอกับความเจ็บปวดจากพิษของความรักอีกครั้ง

ดังนั้น ไม่ว่ายังไงเขาจะไม่ยอมเป็นคนโง่อย่างเด็ดขาด

นั่นคือความคิดสุดท้ายของเขา ก่อนปัดทิ้งทุกความนึกคิดออกไปเหมือนเช่นยามทิ้งนิศากานต์เอาไว้ทางเบื้องหลัง


“หมั้นกับหนูล้อม!”

พีรพลรู้สึกเหมือนกำลังจะเห็นโลกแตกในวินาทีที่ได้ยินประกาศิตจากคุณวาทินว่าจะให้เขาหมั้นกับล้อมรัก ความตกใจและคาดไม่ถึงทำให้ลืมตัวส่งเสียงดัง โชคดีที่ห้องทำงานของคุณวาทินซึ่งเป็นที่ที่ชายสูงวัยพาเขาเข้ามาคุยด้วยเป็นห้องเก็บเสียง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครได้ยินในสิ่งที่เขากับคุณวาทินสนทนากัน

“ผมคิดว่าเรา...คงไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้มั๊งครับคุณลุง”

“แต่ลุงคิดว่าจำเป็นแล้วล่ะพีท เพราะตอนนี้หนูล้อมกำลังจะขอออกไปอยู่ข้างนอก”

“อะไรนะครับ!”

“ไม่รู้เมื่อคืนเจ้าอาร์ตมันไปพูดหรือทำอะไรเข้า เช้านี้หนูล้อมถึงได้มาขอลุงว่าจะขอไปอยู่ข้างนอก บอกแต่ว่าอยู่ที่นี่ไม่ได้จริง ๆ เฮ้อ! ลุงล่ะหนักใจไม่รู้จะทำยังไงกับความดันทุรังของเจ้าอาร์ตมันดี”

คำบอกเชิงปรารถนั้นทำให้พีรพลอดไม่ได้ต้องหวนนึกไปถึงเมื่อคืนที่เขาพาสองสาวมาส่งแล้วเจอเข้ากับวิศรุต ดูจากท่าทีของเพื่อนรุ่นพี่แล้ว เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคงทำอะไรให้ล้อมรักเสียใจมากเป็นแน่

“แล้ว...คุณลุงคิดว่าการให้ผมกับหนูล้อมหมั้นกัน มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้เหรอครับ ผมว่าบางทีมันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้นะครับ”

แม้ตกลงใจแล้วว่าจะให้ความร่วมมือกับคุณวาทิน แต่พีรพลก็ไม่คิดว่าเขาจะต้องทำถึงขนาดหมั้นหมายกับล้อมรัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะแย้งออกไป

“พีทรังเกียจหนูล้อมหรือเปล่า”

คำถามที่จู่ ๆ ก็วกเข้ามาหาโดยไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้คนถูกตั้งคำถามอึ้งไป หากไม่นานก็ให้คำตอบออกไปโดยอัตโนมัติ

“ไม่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น...” นิ่งไปนิดราวกับชายสูงวัยกำลังชั่งใจบางอย่าง ก่อนจะทำให้คนฟังตกใจจนแทบจะนั่งไม่ติดอีกต่อไป

“หากในวันหน้า พีทต้องแต่งงานกับหนูล้อมจริง ๆ ก็คงไม่มีปัญหาสินะ”

“คุณลุง!”

“ทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้น หรือว่าพีทรังเกียจที่หนูล้อมเป็นแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง”

“ไม่นะครับ ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับหนูล้อมเลย ตรงกันข้ามผมยังรู้สึกเอ็นดูหนูล้อมเหมือนน้องสาวที่ผมไม่เคยมีด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลุงถึงพูดแบบนี้”

“เพราะบางทีลุงก็สงสารหนูล้อมน่ะสิ นึก ๆ ดูมันก็ไม่ยุติธรรมกับเด็กคนนั้นเลยถ้าจะต้องมาทนเสียใจเพราะความคิดบ้า ๆ ของเจ้าอาร์ต หลังจากที่ต้องเสียใจจากการที่ต้องเสียแม่ไปแล้ว ลุงว่าสิ่งที่เจ้าอาร์ตมันควรทำคือการทำให้หนูล้อมมีความสุขมากกว่า แต่...ในเมื่อจนป่านนี้มันยังคิดไม่ได้ ลุงก็คิดว่าสมควรจะปล่อยให้หนูล้อมได้มีความสุขกับชีวิตในวันข้างหน้าดีกว่าจะจมอยู่กับความทุกข์ใจเหมือนอย่างทุกวันนี้ อีกอย่าง บางที...นี่อาจจะเป็นผลกรรมสำหรับสิ่งที่เจ้าอาร์ตมันทำลงไปก็ได้ ถึงทำให้ชีวิตทุกวันนี้ของมันไม่มีความสุขเสียที”

“คุณลุง...”

“แล้วลุงเองก็ไม่เห็นใครอีกแล้ว นอกจากพีท ที่ลุงจะสามารถมั่นใจและวางใจได้ว่าจะทำให้หนูล้อมมีความสุข”

“ผม...”

“ถ้าพีทยังไม่มีใครในหัวใจจริง ๆ ลุงก็อยากจะขอให้พีทลองพิจารณาหนูล้อมไว้สักคน เผื่อว่าในวันข้างหน้า...ลุงอาจจะต้องขอให้พีทเป็นคนรับหน้าที่ดูแลเด็กคนนั้นแทน”

วินาทีนั้น พีรพลรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก สิ่งที่ชายสูงวัยผู้ซึ่งเขาเคารพรักไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่บอกฝากฝังเอาไว้นั้น ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากก้อนหินใหญ่ที่ตกลงมากดทับอยู่กลางอก แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้

น้ำท่วมปากเป็นเช่นไร ยามนี้เขาได้รู้ซึ้งแล้ว


เย็นวันนั้น ในห้องทานอาหารซึ่งไม่มีวิศรุตเข้ามาร่วมโต๊ะ เพราะชายหนุ่มโทร. มาแจ้งว่ามีนัดสังสรรค์กับลูกค้า แม้มีพีรพลเข้ามาเป็นแขกร่วมรับประทานอาหารตามคำเชื้อเชิญของคุณวาทิน ทว่าบรรยากาศกลับไม่ครึกครื้นอย่างที่ควรจะเป็น สาเหตุก็เป็นเพราะปัญหาที่อยู่ในใจของแต่ละคน

เริ่มจากล้อมรักที่ดูเหมือนจะยิ่งเงียบเหงาเศร้าซึม ในขณะที่นิศากานต์ก็ไม่ได้พยายามชวนพูดชวนคุยเหมือนเคย อีกทั้งยังเหมือนพยายามหลบเลี่ยงสายตาจากชายหนุ่มที่เป็นแขก ในขณะที่พีรพลเองหลายครั้งที่สายตาของเขามักจะวนเวียนไปยังหญิงสาวที่นั่งข้างล้อมรัก ซึ่งทั้งหมดนั้นหาได้รอดพ้นไปจากสายตาของคนที่ผ่านชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชนเช่นคุณวาทิน

ชายสูงวัยครุ่นคิดถึงเรื่องที่คุยกับพีรพลในห้องทำงานก่อนหน้านี้แล้วก็เริ่มไม่สบายใจนัก ท่านยอมรับว่าตัวเองเหมือนคนเห็นแก่ตัวที่ดูราวกับจะผลักไสล้อมรักไปให้กับพีรพล เพียงเพื่อส่วนหนึ่งก็อยากจะลบล้างความผิดบาปในหัวใจ อาจด้วยวัยที่มากขึ้นทำให้พอมองย้อนหลังกลับไปถึงสิ่งที่ท่านและลูกชายได้กระทำ ท่านก็อดที่จะเวทนาล้อมรักไม่ได้ในฐานะที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ เคยคิดว่าหากวิศรุตยอมรับและตัดสินใจเป็นคนดูแลล้อมรัก ความผิดบาปในหัวใจคงจะทุเลาลง ทว่าเมื่อนานวันเข้าสิ่งที่เคยคาดหวังเหมือนจะค่อย ๆ ลอยห่างไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ล้อมรักออกปากจะไปจากที่นี่ ท่านก็แทบถอดใจจนอยากวางล้อมรักไว้ในมือของคนที่ท่านไว้วางใจ

แต่...นาทีนี้ สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้ท่านระลึกได้ว่ากำลังหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปเสียแล้ว

ดูเหมือนท่านเองจะเป็นคนที่เพิ่มปมให้เรื่องนี้ดูยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีก

ชายสูงวัยบอกกับตัวเองอย่างหนักใจ ก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด

เอาไว้รอดูท่าทีเจ้าอาร์ตมันอีกทีก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นถ้ามันยังดันทุรังที่จะปล่อยมือจากหนูล้อมจริง ๆ ท่านก็พร้อมจะมอบหนูล้อมไว้ในมือของคนที่คู่ควร


เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มเมื่อวิศรุตกลับมาถึงบ้าน ชายหนุ่มคาดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะยังมีใครคนหนึ่งรอคอยการกลับมาของเขา

“กลับมาแล้วเหรอ”

คำทักทายจากบิดาทันทีที่เขาก้าวผ่านห้องโถงเข้ามาส่งผลให้ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวผ่านชะงักงัน

“ดึกป่านนี้แล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”

พร้อมกับคำถาม วิศรุตก็ก้าวไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวด้านตรงกันข้ามกับบิดา เพราะพอเดาได้ว่าการที่บิดามานั่งเฝ้ารอการกลับมาของเขาแบบนี้ คงเป็นเพราะมีเรื่องที่ต้องการคุยกับเขาเป็นแน่

“ยัง มีเรื่องจะคุยด้วย”

ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อการคาดเดาของตนนั้นถูกต้อง ด้วยอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่บิดาต้องการจะพูดด้วยนั้น น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลดีกับตัวเขานัก

“มีเรื่องอะไรครับ”

“หนูล้อมบอกว่าจะขอออกไปอยู่ข้างนอก”

“อะไรนะครับ!”

คนเป็นลูกแผดเสียงออกมาอย่างลืมตัว วินาทีนั้นนึกโกรธเสียจนอยากจะเข้าไปจับตัวล้อมรักออกมาจากห้องนอนแล้วเขย่าตัวถามถึงความคิดบ้า ๆ ที่ทำให้อยากไปจากที่นี่

“แกพอจะรู้ไหมทำไมจู่ ๆ เด็กคนนั้นถึงมีความคิดแบบนี้”

“ผม...”

คำถามของผู้เป็นพ่อทำให้วิศรุตแทบพูดไม่ออก เพราะนั่นทำให้เขาหวนนึกถึงสิ่งที่ตนเองเคยบอกเอาไว้กับล้อมรัก

คงเป็นเพราะคำพูดที่เขาบอกกับเธอให้อยู่ห่างจากตัวเขา และการที่ทำเหมือนปฏิเสธในความรักของเธอ ทั้งหมดนั้นไม่ต่างอะไรกับการผลักดันให้ล้อมรักตัดสินใจจะไปจากเขา

หัวอกของชายหนุ่มวับโหวงเมื่อประจักษ์ชัดถึงสาเหตุที่ทำให้ล้อมรักคิดจะไปอยู่ที่อื่น

จริงอยู่ที่เขาอยากให้เธออยู่ห่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของตัวล้อมรักเอง แต่เขาก็ไม่อาจทำใจปล่อยให้เธอไปอยู่ที่อื่น...ที่ซึ่งไกลจากสายตาของเขาได้

“ผมไม่อนุญาต หนูล้อมจะต้องอยู่ที่นี่”

ชายหนุ่มประกาศกร้าวถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ท่ามกลางสีหน้าแววตาที่เหมือนจะพอรู้คำตอบอยู่แล้วของผู้เป็นพ่อ

หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่ได้พักหนึ่ง คุณวาทินก็ออกปาก

“มีอีกเรื่องที่พ่อจะบอกแก”

ท่ามกลางคำถามในแววตาของวิศรุต คุณวาทินก็ประกาศออกไปอย่างชัดเจน

“พ่อจะให้หนูล้อมหมั้นกับนายพีท”

เหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่ในวินาทีที่ผู้เป็นพ่อโพล่งเจตนาออกมา ชายหนุ่มนิ่งขึงไปราวกับเป็นอัมพาตชั่วขณะ เนิ่นนานในความรู้สึกกว่าจะสามารถขยับปากเปล่งคำพูดออกไป

“ไม่ได้!”

คุณวาทินทอดถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่าย ก่อนยืนยันเจตนารมณ์อีกครั้ง

“แต่พ่อตัดสินใจแล้ว และวันนี้ก็ได้คุยเรื่องนี้กับนายพีทไปแล้วด้วย”

วิศรุตกัดฟันแน่นเมื่อต้องการสกัดกั้นความรู้สึกพวยพุ่งที่ราวกับกำลังมีลาวาร้อนไหลผ่านในเนื้อใจ ก่อนเค้นเสียงถามออกไป

“แล้ว...นายพีทว่ายังไงครับ”

“นายพีทมันไม่มีปัญหา”

เพราะคอยจับจ้อง คุณวาทินจึงเห็นชัดถึงฝ่ามือที่ถูกกำเข้าหากันแน่นของผู้เป็นลูก สีหน้าแววตาและท่าทางของวิศรุตยามนี้ดูแล้วราวกับกำลังอยากจะฆ่าใครสักคนก็ไม่ปาน

ซึ่งท่านก็เชื่อว่าหากในตอนนี้พีรพลยืนอยู่ ณ ที่นี้ คงไม่แคล้วตกเป็นเป้าหมายของวิศรุตแน่

“ผมไม่ให้หนูล้อมแต่งงานกับนายพีท”

คนเป็นพ่อพยักหน้าช้า ๆ ราวกับเข้าใจและยอมรับ ก่อนบอกเสียงเนิบ

“ถ้าอย่างนั้น แกคงยังจำข้อเสนอของพ่อได้สินะ”

คนเป็นลูกชะงักเมื่อเริ่มรู้ถึงความหมายที่ผู้เป็นพ่อต้องการสื่อ ท่ามกลางสีหน้าแววตาตื่นตะลึงของวิศรุต คุณวาทินก็ทิ้งท้ายประกาศิตที่ไม่ต่างจากการโยนลูกระเบิดเอาไว้ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปห้องนอนที่อยู่ชั้นบน

“พ่อให้เวลาแกสามวันสำหรับการตัดสินใจ ว่าระหว่างตัวแกเองกับนายพีท แกจะให้ใครเป็นเจ้าบ่าวของหนูล้อม”


--------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ผลจากมีวันหยุดติดกันหลายวัน พันวลีก็เลยมีตอนใหม่มาฝากเพื่อนนักอ่าน สองตอนรวด...แล้วจากนี้ก็จะไปปั่นตอนใหม่เพื่อที่จะได้มีทยอยมาอัพ ไม่ทิ้งช่วงหายไปนานเกิน

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุก LIKE ที่มอบเป็นกำลังใจให้กันค่ะ

พันวลี



พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ค. 2556, 08:27:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ค. 2556, 09:09:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1719





   ตอนที่ 23,24 >>
konhin 23 ก.ค. 2556, 08:52:22 น.
อยากให้หนูล้อมปฏิเสธทั้งสองทางจริงๆ ไม่ใช่ตุ๊กตาไว้ให้โยนไปมานะคะเนี่ยยยย


Jiab 23 ก.ค. 2556, 11:04:24 น.
ดีใจจังได้อ่านต่อแล้ววว
อึดอัดแทนพระ-นางนะเนี่ย


LAM 23 ก.ค. 2556, 11:33:51 น.
ดีใจัจังเลยค่ะที่ได้อ่านหนูล้อมต่อ ว่าแต่พี่อาร์ตจะตัดสินใจยังไงนะ รอลุ้นค่ะ เป็นกำลังใจให้พันวลีเสมอนะคะ


Pat 23 ก.ค. 2556, 21:07:21 น.
นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ แล้วพี่อาร์ตจะเอายังไงดีละคะ เฮ้อ !


nunoi 24 ก.ค. 2556, 11:48:29 น.
ตัดสินใจให้ดีๆ นะพี่อาร์ต


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account