จับใจไว้ด้วยรัก
เรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มฉายา เจ้าชู้หลบใน กับหญิงสาวที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งงาน เรื่องราวความรักที่สุดแสนจะปั่นป่วนเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งตามตื้อ ส่วนอีกฝ่ายก็คอยวิ่งหนี เขาจะทำให้เธอหันมามองและเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตได้ไหม ติดตามได้ใน 'จับใจไว้ด้วยรัก'
Tags: หวาน,น่ารัก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 20

ตอนที่ 19

“น้องเบญให้พี่ช่วยอะไรไหมครับ” กรวีร์รีบเสนอตัวช่วยเหลือด้วยใบหน้าระรื่นผิดกับรอยฟกช้ำและจำนวนพลาสเตอร์ที่ติดอยู่ตามตัว ร่างสูงเดินตามแม่ครัวพิเศษราวกับลูกเจี๊ยบแรกเกิดที่ไม่อยากห่างแม่ไก่ ก่อนจะหน้าจ๋อยเมื่อแม่ไก่ตัวงามหันมามองด้วยสายตาเย็นชา

“ช่วยไปนั่งนิ่งๆไกลๆ จะเป็นบุญคุณมากค่ะ” เบญญาภาเอ่ยเสียงเรียบเช่นเดียวกับใบหน้า มือบางยังคงสาละวนอยู่กับการล้างผักในกะละมัง ไม่แยแสต่อท่าทางห่อเหี่ยวเพราะโดนดุของชายหนุ่มแม้แต่น้อย ตอนนี้เวลาอาหารเย็นเริ่มงวดเข้ามา แต่เธอยังไม่ได้เริ่มลงมืออะไรเลย เพราะกว่าจะมาถึงบ้านของเขาก็เกือบห้าโมงเย็น สาเหตุที่สายก็เพราะคนที่กลับมาเดินป้วนเปี้ยนอีกครั้งนี่แหละ!

หลังจากเหตุการณ์อลหม่านกลางตลาดจับลงที่แม่ค้าและพลเมืองดีอีกส่วนช่วยจับกบและปลาไหลที่อยู่บนตัวเขาออกไปหมดและชายหนุ่มฟื้นคืนสติ แม่ค้าเจ้าของแผงปลาก็ยืนหน้าง้ำค้ำศีรษะ ประกาศก้องให้กรวีร์ซื้อปลาไหลทั้งหมดไปเพราะไม่สามารถขายได้แล้ว ส่วนกบนั้นลูกค้าหนุ่มที่ยืนรออยู่อาสาเหมาซื้อไปเพราะตั้งใจไว้อยู่แล้วซึ่งกรวีร์อยากจะกอดอีกฝ่ายด้วยความตื้นตันอย่างแรง

ถึงแม้จะไม่เต็มใจที่โดนมัดมือชกแต่ช่วยไม่ได้ สุดท้ายไม่มีทางเลือกอื่นทั้งคู่ก็ช่วยกันหอบถังใส่ปลาไหลกลับขึ้นรถ โดยมีสายตาประนามของแม่ค้าและลูกค้าคนอื่นที่ต้องเสียเวลามองตามมา

ทันทีที่ขึ้นรถได้ ทั้งคู่ก็มองหน้ากันอย่างหนักใจไม่รู้จะเอาปลาที่ได้มาไปไว้ไหนดี เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวของทั้งสองบ้านไม่มีใครพิศวาสปลาชนิดนี้กันเลย ระหว่างที่กำลังคิดไม่ตกกันนั้น คนรถได้ขับผ่านหน้าวัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เบญญาภายิ้มออกมาอย่างดีใจ รีบบอกให้คนขับรถขับเข้าไปภายในวัดทันที ก่อนจะลากเอาตัวเจ้านายหนุ่มไปช่วยกันปล่อยปลาไหลลงแม่น้ำ ได้ทั้งบุญและความสบายใจ จากนั้นก็พากันกลับมายังบ้านของชายหนุ่มตามที่ตกลงกันไว้เมื่อเช้าเพื่อทำอาหารเย็น

เบญญาภาวางหม้อที่ใส่น้ำพร้อมปิดฝาเรียบร้อยไว้บนเตา จัดการเปิดแก๊สแล้วหันมาจัดการกับหอมหัวใหญ่ระหว่างรอให้น้ำในหม้อเดือด หญิงสาวเริ่มทำต้มซุปเนื้อก่อนอย่างอื่นเพราะต้องใช้เวลาเคี่ยวนานกว่าจะได้ที่ พอโดนเมินกรวีร์ก็หน้าหงิก เดินดุ่ยเข้ามาแย่งเอาหอมหัวใหญ่และมีดไปจากมือบาง บอกอย่างเอาแต่ใจ

“แต่พี่อยากช่วยนี่”

หญิงสาวส่ายหน้า ระอากับความเอาแต่ใจ หันไปหั่นเนื้อติดมันน้อยๆสีแดงสวยเป็นชิ้นพอดีคำแทน ตอนนี้ต้องทำงานแข่งกับเวลาไม่ว่างมาจัดการกับคนแก่นิสัยเด็กอย่างเขาหรอก เมื่อแม่ครัวคนเก่งหันไปสนใจอย่างอื่น กรวีร์ก็ได้แต่ทำหน้ายุ่งมองหอมหัวใหญ่ในมือกับสลับกับมีดอย่างครุ่นคิด ก็นะ...เขาไม่เคยทำครัว ไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอย่างไรกับมัน

อ้อ...แต่อย่างน้อยก็รู้นะว่าต้องปลอกเปลือกก่อน

แต่....

กรวีร์หมุนหอมหัวใหญ่เพื่อหารอยแยกที่พอจะช่วยให้การปอกเปลือกเป็นไปได้ด้วยดี นึกด่าความใจร้อนของตัวเองเหมือนกันที่ไม่ยอมรอให้เบญญาภาลงมือให้ดูก่อนเป็นตัวอย่าง พอเหลือบมองไปทางหล่อนก็เห็นว่ากำลังวุ่นอยู่กับการหั่นผักอย่างอื่นเตรียมรอน้ำเดือดอยู่ จึงตัดสินใจ

มือหนาวางหอมลูกกลมไว้บนเขียงพลาสติกสีขาว ชูมีดขึ้นในระดับสายตา หลับตาลงข้างหนึ่งเล็งไปที่ปลายมีดคล้ายเวลาที่พวกจิตรกรชอบทำก่อนจะวาดรูป เขาผ่ามันออกเป็นสองซีก ชายหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่ฝีมือลงมีดเขาเนี้ยบมาก เป็นเส้นตรงทีเดียว หยิบครึ่งหนึ่งขึ้นมาใช้มือดึงเปลือกสีส้มออกไปก่อน ระหว่างนั้นรุ้สึกได้ว่ามีอะไรติดอยู่บนใบหน้า ด้วยความรำคาญกรวีร์จึงใช้มือปาดมันออกย่างรวดเร็วไม่ทันที่เบญญาภาจะได้อ้าปากเตือน และเรื่องก็เกิด

“โอ๊ย...แสบ! ทำไมมันแสบงี้อ่ะ” เขาโวยวาย นัยน์ตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของหัวหอม น้ำใสๆไหลจากดวงตาเป็นทางทำให้เขาต้องใช้มือปาดมันออก แต่ยิ่งทำให้แย่ลงกว่าเดิม คราวนี้กลิ่นฉุนขึ้นจมูกทำให้รู้สึกคัด น้ำมูกทำท่าจะไหลจนต้องสูดกลับเข้าไปอยู่หลายครั้งเพื่อไม่ให้ไหลออกมาเป็นที่อุจาดตา เบญญาภาที่ทนดูไม่เหมือนรีบห้าม

“คุณอย่าเอามือไปถูสิ ยิ่งถูก็ยิ่งแสบตา ไปล้างมือแล้วค่อยไปล้างตา” ออกคำสั่งทีละขั้นเหมือนชายหนุ่มเป็นเด็กไม่ประสา มือก็ดึงเอาของในมือออกมา บอกเสียงห้วน “ส่วนไอ้นี่ เดี๋ยวดิฉันจัดการเอง”

กรวีร์ส่ายหน้า บอกอย่างดื้อรั้น “ ไม่เอา พี่จะทำต่อ” แย่งหอมใหญ่และมีดคืนมา ลงมือจัดการต่อ เบญญาภามองคนที่หั่นหอมไป น้ำตาไหลไปอย่างเวทนา แต่พอนึกถึงอาหารเย็นที่เพิ่งจะเสร็จไปเพียงอย่างเดียวแล้วต้องตัดใจ เอื้อมไปดึงมีดจากมือเขา

“ไม่ต้อง! คุณช่วยยิ่งช้า ไปนั่งรอข้างนอกดีกว่า”

“เอ๊ะ...น้องเบญดื้อ!” กรวีร์ถลึงตาใส่ ยื้อมีดกลับมา “พี่บอกว่าจะช่วยก็คือช่วย แล้วพี่เพิ่งจะทำครัวครั้งแรกมันก็ช้าเป็นธรรมดา อย่าเร่งสิครับ”

“ห้ามเถียงพี่นะคะ!” ขยับยิ้มกวนพร้อมเอ่ยดักทางเมื่อเห็นสาวเจ้าทำท่าจะเถียง

เบญญาภาหุบปาก หายใจเข้าลึกระงับอารมณ์ ส่งค้อนให้หนึ่งที นึกหมั่นไส้คนเอาแต่ใจเหลือคณา

‘ได้....อยากจะทำนักใช่ไหม ตามสบายเลย ใช่ว่าหัวหอมมีลูกเดียว’

หญิงสาวสะบัดมือปล่อยด้ามมีดที่จับไว้อย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะไปหยิบหอมที่เหลือมาจัดการแทนลูกที่อยู่ในมือเขา แต่กรวีร์กลับนึกว่าหล่อนจะแย่งมีดจึงออกแรงดึงเข้าหาตัว ทำให้คมมีดที่เพิ่งลับจนคมปลาบบาดเข้าให้เป็นแนวยาวบนฝ่ามือ

“โอ๊ย!!” กรวีร์สะดุ้ง เจ็บจี๊ดไปทั้งฝ่ามือจนต้องรีบปล่อยมีดทิ้ง ก้มมองบาดแผลแล้วก็ตาค้าง

เลือดสีแดงสดไหลอาบลงมาถึงท้องแขนก่อนจะหยดลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงโลก ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ใบหน้าคมคายซีดลงฉับพลัน มือสั่นระริก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทรงเสน่ห์ที่ทำให้สาวๆหลอมละลายกลายเป็นไอยามสบตาบัดนี้กำลังมองใบหน้าเผือดซีดของเบญญาภาอย่างตัดพ้อ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องครัวทันที ไม่รอให้อีกคนได้ขยับตัว

พอตั้งสติได้หญิงสาวก็รีบวิ่งตามออกไปแต่ก็ไม่เจอแม้เงา หันรีหันขวางอยู่ครู่ไม่รู้ว่ากรวีร์นั้นหายไปไหน เหลือบมองขึ้นไปข้างบนอย่างชั่งใจว่าจะขึ้นไปดูดีหรือไม่ แต่แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นคราบเลือดบนพื้นที่หยดเป็นทางไปยังห้องนั่งเล่น ไม่รอช้าเบญญาตัดสินใจเดินตามไปทันทีและก็ได้พบคนขี้ใจน้อยนั่งหน้าง้ำบนโซฟากำลังใช้ทิชชู่ซับเลือดบนฝ่ามืออยู่ บนโต๊ะกาแฟตัวเตี้ยตรงหน้ามีกล่องปฐมพยาบาลและเศษกระดาษทิชชู่เปื้อนเลือดกองอยู่จำนวนหนึ่ง

กรวีร์คงสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอจึงเงยหน้าขึ้นมามองแค่แวบเดียว ย้ำ! แวบเดียวจริงๆก่อนจะใส่ใจกับฝ่ามือของตนมากกว่า เบญญาภาเม้มปากแน่น ไม่สบอารมณ์กับท่าทางเมินเฉยของเขา ครั้นจะให้ออกฤทธิ์ค่อนขอดเช่นปกติก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะเธอเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ถ้าเธอบอกเขาสักนิดว่าจะปล่อยมีด เขาคงไม่ตกใจจนเผลอจับด้านคมเข้าหรอก

เพราะฉะนั้นครั้งนี้คงต้องยกประโยชน์ให้จำเลยล่ะนะ...

หญิงสาวกลับไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบขวดน้ำที่ยังไม่ได้เปิดซึ่งทำให้แน่ใจได้ว่าสะอาดพอจะใช้ล้างแผลและไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อพร้อมด้วยกะละมังพลาสติกขนาดย่อมหนึ่งใบกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวนั่งข้างเขา ถือวิสาสะฉวยเอามือข้างที่มีปัญหามาวางเหนือกะละมัง จัดการราดน้ำลงไปบนแผลพร้อมกับใช้มือถูเลือดที่ยังคงค้างออกไปจนหมด เหลือเพียงรอยแผลจากคมมีดที่ยาวเป็นเส้นตรงพาดจากขวาไปซ้ายกับเลือดที่ยังซึมออกมานิดหน่อย

กรวีร์สูดปากด้วยความแสบ ถึงไม่ใช่น้ำเกลือแต่มันก็แสบได้นะ เหลือบมองคนที่ตั้งใจล้างแผลเงียบๆ ตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังใช้ทิชชู่ซับน้ำออกจากแผลอยู่อย่างคร่ำเคร่ง เหงื่อผุดพรายบนใบหน้านวลแสดงให้เห็นว่าเบญญาภาคงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย กรวีร์ยิ้มมุมปากอย่างสมใจที่วิธีการเดินหนีเพื่อเรียกร้องความสนใจของเขาได้ผลแบบไม่ต้องออกแรงมากแค่ออกเลือดเล็กน้อย

นัยน์ตาคมเข้มที่กำลังมองหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนระคนเอ็นดูโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ร่างสูงสะดุ้งหลุดจากภวังค์ ครางออกมาเบาๆเมื่อเธอหยอดยาฆ่าเชื้อลงไป เบญญาภาหยิบผ้าก๊อซมากางเพื่อวัดขนาด เมื่อได้ขนาดที่ต้องการก็วางลงไปบนแผลก่อนปิดท้ายด้วยพลาสเตอร์เทปสีใสกันไม่ให้ผ้าก๊อซหลุด หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างภูมิใจในฝีมือการทำแผลของตน

เธอเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็ต้องชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลดูตื่นเมื่อโดนนัยน์ตาสีเข้มจ้องมองมา แววหวานที่ฉาบไว้ในดวงตาคู่นั้นทำให้ร่างบางแข็งทื่อเหมือนมีใครเอาหมุดมาตรึงร่างไว้ เลือดในกายพากันไหลย้อนขึ้นไปรวมกันอยู่บนหน้า พนันได้เลยว่ามันต้องแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศแน่ๆ หญิงสาวอ้าปากแล้วหุบอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออก หัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอกประจานเจ้าของกันเสียทีเดียว

กรวีร์ยิ้มกว้าง ฉวยโอกาสตอนที่สาวเจ้ายังไม่ได้สติดี กุมมือบางทั้งสองข้างไว้มั่น นัยน์ตายังคงจับจ้องที่ใบหน้านวลของลูกกวางสาว ยกมือที่กุมไว้ขึ้นมาช้าๆ มีเจ้าของมือมองตามทุกการกระทำของเขาอย่างงุนงง แล้วเบญญาภาก็เบิกตากว้าง ตื่นตะลึงเมื่ออีกฝ่ายบรรจงแนบริมฝีปากหยักหนาของตนลงบนหลังมือของเธออย่างแผ่วเบาเนิ่นนาน

ชายหนุ่มถอนริมฝีปากแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ มองคนที่กลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งไปแล้วอย่างเอ็นดูระคนขบขัน คิดในใจว่าหญิงสาวคงไม่เคยโดนจู่โจมด้วยวิธีการระดับมือเซียนแบบนี้มาก่อน ถึงได้ยังตะลึงอยู่แบบนี้ นี่ถ้าเบญญาภาเป็นสาวอื่นที่เขามั่นใจว่า ‘ง่าย’ พวกเขาคงไปจบลงบนเตียงที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ แต่นี่เป็นเบญญาภา ลูกสาวนอกไส้สุดรักสุดหวงของคุณนายมีนา มารดาของเขาและยังเป็นเพื่อนรักของกรวิชญ์อีก ขืนทำอะไรตามใจอยากลงไปคงโดนเตะออกจากตระกูลแน่!

ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกระงับอารมณ์บางอย่างที่พลุ่งพล่านแต่ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เสียงที่ออกมาจึงสั่นพร่าตามแรงอารมณ์เหลืออยู่

“เมื่อกี้นี้เป็นจูบขอบคุณที่ทำแผลให้พี่นะคะน้องเบญ”

เสียงที่ได้ยินดึงเอาสติที่หลุดลอยไปกับดินแดนแห่งความฝันของเบญญาภากลับมาสู่โลกความจริง หญิงสาวรีบสะบัดมือออกจากการเกาะกุมนั้น สลัดหัวไล่อารมณ์หวาบหวามที่ผุดขึ้นมาทิ้งไป ถลึงตาใส่

“ขอบคุณภาษาอะไรได้หื่นขนาดนี้ไม่ทราบคุณกรวีร์” มือบางกวาดเอาเศษกระดาษบนโต๊ะลงถัง บอกต่อเสียงห้วน “ถ้าไม่สามารถขอบคุณด้วยวิธีการดีๆเหมือนมนุษย์มนาเขาได้ ก็เก็บมันไว้กับตัวจนตายจะดีกว่านะคะ”

กรวีร์ยักไหล่ โน้มตัวเข้าไปใกล้ ใช้สองแขนแกร่งกักตัวเธอไว้กับโซฟา เอียงคอเล็กน้อยเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้ใสซื่อเหมือนลูกแกะแรกเกิดว่า

“แสดงว่าจูบมือแบบนี้น้องเบญไม่ชอบ...งั้นพี่วีร์เปลี่ยนไปจุ๊บที่แก้มแทนก็ได้นะ...มามะ ขอจุ๊บที” ร่างสูงก้มหน้าลงไป เป้าหมายอยู่ที่แก้มนวลแดงระเรื่อ เบญญาภาร้องลั่นพยายามใช้มือยันอกของเขาเอาไว้สุดตัว ความพยายามของอีกฝ่ายทำให้กรวีร์ยิ่งสนุก ก้มหน้าไปใกล้มากขึ้นอีก และเพียงแค่ไม่กี่เซนต์ก็ได้สูดกลิ่นหอมจากแก้มนวลแล้ว แต่เสียงของจอมมารหน้าหวานก็ดังขัดเสียก่อน

“โฮ่...นี่พวกเรามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าเอ่ย?” กรวิชญ์ลากเสียงยาว เอนตัวพิงกรอบประตู เหล่มองสองหนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในท่าล่อแหลมภายในห้องนั่งเล่นด้วยนัยน์ตาวิบวับ ยิ้มเจ้าเล่ห์จุดขึ้นที่มุมปาก

กรวีร์พ่นลมหายใจอย่างแรงด้วยความเซ็ง มองน้องชายตัวดีตาขวางค่าที่กล้าเข้ามาขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มของเขา เบญญาภาผลักกรวีร์กระเด็น รีบวิ่งมาหาเพื่อนพร้อมส่งสายตาขอบคุณไปให้ก่อนจะลากแขนอนัญญาที่ยืนอ้าปากค้างให้ตามเธอไปทันที

กรวิชญ์ชะโงกมอง เห็นหลังเพื่อนทั้งสองเลี้ยวเข้าห้องครัวไวๆ หันกลับมามองพี่ชายที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังเปิดโทรทัศน์ดูอย่างสบายอารมณ์อีกต่างหาก หนุ่มหน้าหวานเลิกคิ้ว เดินมานั่งโซฟาเดี่ยวด้านข้าง ถามอย่างเอาเรื่อง

“พี่วีร์กำลังจะทำอะไรน้องเบญ”

“เปล่านี่...ฉันแค่ขอบคุณเขาก็เท่านั้น”

“ขอบคุณ?” กรวิชญ์ทวนคำ หน้าตาไม่เชื่อถือสิ่งที่อีกฝ่ายบอกแต่น้อย เพราะสิ่งที่เห็นนี่มัน...“แบบนั้นแถวบ้านวิชญ์เรียกว่าลวนลามนะ”

กรวีร์หันขวับ เงื้อมือขึ้นขู่ จนคนโดนขู่ทำคอหด แต่ยังไม่วายเถียง “ก็มันจริงนี่นา ที่พี่ทำเมื่อกี้น่ะแปลว่าคำขอบคุณได้ยากมากๆ”

“มันจะแปลว่าอะไร จะด้วยวิธีไหนก็เรื่องของฉัน อย่ามายุ่ง” ย้ำเสียงหนัก หน้าตาจริงจัง ปิดท้ายด้วยคำถามพร้อมรอยยิ้มพิฆาต
“จบไหม?”

“จบก็ได้...” น้องชายยอมลงให้หน่อย แต่ใช่ว่าทั้งหมด “...ว่าแต่ พี่วีร์ขอบคุณน้องเบญเรื่องอะไรอ่ะ” กรวิชญ์ย้อนถามหน้าตาใสซื่อ นาทีนี้ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าความกลัว กรวีร์ทำท่าจะเล่าทั้งหมดให้ฟัง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเล่าแค่ที่จำเป็น

“ฉันโดนมีดบาด น้องเบญเลยทำแผลให้” ชายหนุ่มข้ามเรื่องที่ตนเข้าไปป่วนในครัว จนต้องมาได้เลือดอย่างนี้ไป ขืนให้เจ้าหมอนี่รู้ว่าเขาเสียท่าให้หอมหัวใหญ่มีหวังชีวิตนี้ไม่ต้องสงบสุขกันแล้ว อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ไล่สายตามองหาบาดแผลที่ว่าแต่ไม่พบ

“พี่วีร์เล่นละครล่ะสิ ไม่เห็นจะมีแผลเลย”

“เล่นบ้าอะไร ฉันเจ็บจริงแกไม่เห็นรึไง” ว่าพร้อมชูมือที่บัดนี้มีผ้าก๊อซสีขาวสะอาดแปะหราอยู่กลางฝ่ามือให้ดู กรวิชญ์เหลือบมองพอเป็นพิธี ยักไหล่ บอกต่อ

“แผลแค่นี้เอง ตอนเด็กวิชญ์จักรยานล้ม เข่าถลอกยังเจ็บกว่าเลย”

กรวีร์ร้องฮึ เลิกสนใจข่าวแบบถาวร จ้องหน้าน้องชายร่วมสายเลือดพร้อมส่งยิ้มหวานหากนัยน์ตาเหี้ยมไปให้ บอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบบาดขั้วหัวใจ

“งั้นเดี๋ยวฉันไปหยิบมีดมาลองกรีดมือแกให้นะ จะได้พิสูจน์ไปเลยว่าอะไรเจ็บกว่ากัน”

“ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง” หนุ่มหน้าหวานบ่นอุบ รีบตะครุบตัวพี่ชายขี้ใจน้อยไว้เพราะอีกฝ่ายทำท่าจะลุกไปหยิบมีดมาสาธิตกับเขาจริงๆ ระหว่างนั้นเองสายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำตามผิวหนังที่โผล่พ้นเสื้อยืดคอวี กรวิชญ์เอียงคอมองด้วยความฉงน

“แล้วไอ้จุดเขียวๆเนี่ย” ไม่พูดเปล่า ใช้นิ้วเรียวจิ้มลงไปเต็มแรง “มันคืออะไรอ่ะพี่วีร์”

เขาเงยหน้ามองเพื่อรอคำตอบก่อนจะเห็นว่าคนเป็นพี่มีสีหน้าประหลาดพยายามหลบตาอย่างเอาเป็นเอาตาย การกระทำนั้นกระตุ้นให้ยิ่งอยากรู้ กรวิชญ์ก้มลงพิจารณารอยประหลาดเหล่านั้นอย่างจริงจังมากขึ้น

“หรือว่าพี่...” พึมพำเบาๆ ยกมือลูบคางตัวเองไปมาอย่างครุ่นคิด กรวีร์กอดอก มองคนที่กำลังทำตัวเป็นนักสืบจำเป็นนิ่ง คิ้วหนากระตุกกึกๆเมื่อเจ้าน้องชายตัวดีเอ่ยสรุปความเข้าใจของตัวเองได้อย่างน่า...เตะ

“...ไปแอบจุกกรู๊กับสาวๆมา!”

“ความคิดแต่ละอย่างของแกนี่ชวนให้รอยหยักในสมองลดลงจริงๆ” เขาว่า “วันนี้ฉันไปตลาดกับน้องเบญมา แกจะให้ไปจุกกรู๊กับใคร...หัวหมูเหรอไง”

“อ้าว งั้นไปโดนอะไรมาล่ะ”

“....” กรวีร์ปิดปากเงียบไม่ยอมตอบ เฉหยิบเอาหนังสือนิยาย ‘ทาสรักรัญจวน’ ของมารดาขึ้นมาอ่านเฉย ปล่อยให้คนอยากรู้จนตัวสั่นนั่งหน้าง้ำ รู้สึกขัดใจ

“มันจะอะไรนักหนา แค่บอกว่าไปโดนอะไรมาแค่เนี้ยน่ะ พี่วีร์”

“แล้วแกจะอยากรู้ไปทำไมวะ นั่งเงียบไปบ้างเหอะ ไอ้นกขุนทอง!”

สิ้นคำ กรวิชญ์สะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างหงุดหงิด แต่ลึกๆมั่นใจแล้วว่าต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ ระหว่างชายหนุ่มกำลังนั่งคิดหาวิธีรีดคำตอบอยู่นั้น คุณมีนาที่แอบฟังอยู่นานก็เดินเข้ามาเฉลยพร้อมรอยยิ้มสาสมใจ

“คุณพี่วีร์ของพ่อวิชญ์โดนกบมันน็อกเอาต์ให้น่ะสิ พรายกระซิบบอกคุณหญิงแม่ว่าล้มทั้งยืน สลบคาตลาดเลยล่ะ โฮะ โฮะ” หัวเราะปิดท้ายด้วยมาดตัวโกงทำเอาลูกชายคนโตต้องกุมขมับ คุณแม่จอมแฉเดินนวยนาดมาหาลูกชายคนเล็กที่รีบขยับเปิดทางให้อย่างกระตือรือร้น จากนั้นสองคนแม่ลูกก็พากัน ‘เผา’ ร่างสูงเสียจนเกรียม

กรวีร์กระแทกหลังพิงโซฟาเต็มแรง พ่นลมหายใจอย่างแรง หางตาเห็นกรวิชญ์กำลังเอามือกุมท้องหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังหลังจากที่ได้ยินวีรกรรมทำเพื่อรักของเขาในวันนี้ ส่วนมารดาบังเกิดเกล้าก็กำลังเมามันในการเล่าเพราะเจ้าตัวเล่นใส่สีตีไข่จนหนังสือกอสซิปยังอายทีเดียว ชายหนุ่มตาขวางเมื่อเจ้าน้องชายขยับมาใกล้ นัยน์ตามีแววขบขัน ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง

“พี่วีร์น่าจะขอซื้อกลับมาเลี้ยงไว้เป็นที่ระทึก เอ๊ย ระลึกซักตัวสองตัวนะ” กรวิชญ์บอกกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะโดนกำปั้นของคนเส้นความอดทนขาดทุบเข้าให้โป๊กใหญ่กลางศีรษะ

“ปากดีไปเถอะไอ้วิชญ์ ไว้เจอกับตัวแล้วอย่ามากรี๊ดแต๋วแตกให้ได้ยินนะ”

“ฝันกลางวันไปก่อนนะครับ คุณพี่ที่เคารพ” ยักคิ้วแผล๊บส่งให้เป็นการปิดท้าย ส่งผลให้คนมองเกิดอาการฝ่าเท้ากระตุก กรวิชญ์รีบกระโดดเข้าไปหามารดา ฟ้องลั่น

“แม่ครับ ช่วยวิชญ์ด้วย พี่วีร์จะฆ่าวิชญ์”

คุณมีนารับลูก ชี้นิ้วใส่ลูกชายคนโต บอกเสียงเข้ม “ถ้าพ่อวีร์ทำร้ายน้อง คุณหญิงแม่จะตัดออกจากกองมรดก”

“แม่เลิกสนใจเรื่องความอัปยศของผมสักพักเถอะนะ ไปสนใจว่าผู้หญิงที่มากับไอ้วิชญ์เป็นใครจะดีกว่า” ท้ายประโยคหันไปพูดกับน้องชายตรงๆ “บอกด้วยใจจริงเลยนะไอ้วิชญ์ ฉันไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็นแกพาผู้หญิงเข้าบ้านว่ะ”

สิ้นคำคุณมีนาก็ทำตาโต หันไปเขย่าแขนลูกชายคนเล็กที่เริ่มเหงื่อตก หัวเราะแหะๆ กับสารพันคำถามของมารดาที่จู่โจมแบบฉับพลัน ส่วนคนทิ้งระเบิดนั้นเดินผิวปากออกจากห้องนั่งเล่นกลับขึ้นห้องของตนไปอย่างมีความสุขที่ได้เอาคืน


กรวิชญ์เคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยตามจังหวะเพลง บางช่วงก็มีผิวปากตามอย่างอารมณ์ดี อากาศภายในรถสปอร์ตคันโปรดของเจ้าตัวเย็นช่ำจนเข้าขั้นหนาวด้วยประสิทธิภาพตามราคาที่สูงลิ่วและอุณหภูมิจากภายนอก สายฝนเทกระหน่ำลงมาจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟของรถคันข้างหน้า โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้ยังมีรถอยู่เต็มท้องถนนแม้เวลาเกือบจะล่วงเข้าเช้าวันใหม่

ชายหนุ่มเร่งเสียงเมื่อได้ยินทำนองเริ่มต้นของเพลงโปรด โยกคอไปมาตามทำนองเพลงอย่างสนุกสนานไม่ได้อนาทรต่อสภาพการจราจรที่ติดแน่นไม่ขยับไปไหนมาเกือบเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และเรื่องนั้นทำให้คนโดยสารอีกคนเริ่มจะทนไม่ไหว มือบางเอื้อมไปปิดวิทยุ ถามเสียงขุ่น

“นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่รถมันไม่ขยับเลยน่ะ”

กรวิชญ์ทำหน้าเซ็ง หันมาตอบ “ฝนตก รถติด มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว จะบ่นทำไม ฉันเป็นคนขับยังไม่บ่นเลย”

อนัญญาถลึงตาใส่ ชูนาฬิกาข้อมือให้ดู “แต่นี่มันจะห้าทุ่มครึ่งอยู่แล้วนะ เวลานี้รถมันควรติดที่ไหนกันล่ะ!”

“ขอโทษ! คุณผู้หญิงครับ นี่มันวันอะไร...วันเสาร์ต้นเดือน คนเขาก็ออกมาปล่อยผีกันบ้างอะไรบ้าง ไม่แปลกที่รถมันจะเยอะ พอฝนตกด้วยก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ ก็ต้องทนต่อไป พ้นตรงนี้ก็ไม่ติดแล้วนี่นา” หญิงสาวเม้มปากแน่น เถียงไม่ออกเพราะที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงทั้งสิ้น กรวิชญ์กดเปิดวิทยุอีกครั้ง เขาเบ้ปากเมื่อเพลงโปรดจบลงพอดี

“เธอทำฉันอดฟังเพลงเลยเห็นไหมเนี่ย”

“ไร้สาระ!”

อนัญญาสะบัดหน้าหนี มองหยาดน้ำไหลเป็นทางบนกระจกอย่างหงุดหงิดใจ เธออยากกลับไปให้ถึงบ้านเร็วๆจะได้ไม่ต้องทนมองหน้าคนใจร้ายอีก กรวิชญ์เหลือบมองร่างเล็ก เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่เต็มใจให้เขามาส่งเท่าไหร่ แต่เป็นเขาเองที่ลากหล่อนขึ้นรถแล้วขับออกมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย เพราะท่าทางเสียใจ น้อยใจเมื่อตอนเย็นยังคงติดตาอยู่ไม่จาง...

หลังจากถูกเขาต่อว่าเรื่องหมูปิ้ง อนัญญาก็ไม่พูดกับเขาอีกเลย เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทางจนถึงบ้าน นัยน์ตาแดงช้ำเหมือนคนร้องไห้ ตั้งใจว่าจะลากไปคุยให้รู้เรื่องก็ดันไปเจอกับชอตเด็ดของกรวีร์เสียก่อนบวกกับอีกฝ่ายโดนเบญญาภาลากไปเป็นลูกมืออีกทำให้ยังไม่มีโอกาสได้คุยกันสักที

ระหว่างมื้อเย็นเขาก็พยายามสบตาเพื่อจะขอคุยด้วยแต่เจ้าหล่อนกลับไม่ยอมมองมา เมื่อสายตาสบกันเจ้าตัวก็เสมองไปทางอื่น ผูกขาดการสนทนาอยู่กับเบญญาภาและบุญญฤทธิ์เท่านั้น พอมื้อเย็นจบลงบุญญฤทธิ์ขอตัวกลับเพราะนัดเพื่อนเที่ยวไว้ ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็พากันย้ายสถานที่ เหลือแค่พวกเขาสี่คนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม

ชายหนุ่มเห็นอนัญญาก้มมองนาฬิกาแล้วชะงัก ก่อนจะร้องออกมา

‘ตายแล้ว! ดึกป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย อันย่ากลับก่อนนะน้องเบญ เดี๋ยวรถสองแถวเข้าบ้านจะหมด’

‘อันย่านอนค้างบ้านเบญก็ได้นี่ ไม่ต้องกลับหรอกมันดึกแล้ว’ หญิงสาวเอ่ยชวน แต่อนัญญาปฏิเสธ

‘ไม่ได้หรอกเบญ พรุ่งนี้อันย่าต้องพาแม่ไปหาหมอน่ะ ต้องไปแต่เช้าเลย ยังไงก็ต้องกลับ’

‘ถ้างั้นเดี๋ยวเบญไปส่งอันย่าแล้วกัน จะได้ไม่ต้องต่อรถให้ยุ่งยาก’ เบญญาภาบอก เตรียมลุกขึ้นยืน แล้วก็โดนเพื่อนสาวกดตัวให้นั่งตามเดิม

‘ไม่ต้องหรอกจ้า เบญขับรถกลางคืนไม่ได้นี่นา อันย่ากลับได้ ปกติก็กลับแบบนี้ทุกวัน’ อนัญญายิ้มกว้าง

‘แต่ว่า...’ เบญญาภายังคงไม่สบายใจ อนัญญาเองก็รับรู้ได้ จึงเสนอทางออกเสียเอง

‘เอางี้แล้วกันนะเบญ เบญไปส่งอันย่าที่ท่ารถตู้แล้วกัน พอถึงบ้านแล้วอันย่าจะโทรมาหา โอเคไหม’

เบญญาภาคิดหนัก เป็นห่วงเพื่อนแต่เธอก็ไม่ชินกับการขับรถตอนกลางคืนเท่าไหร่นัก ถ้าดึงดันจะไปส่งถึงบ้านอนัญญาต้องโกรธแน่ ดีไม่ดีอาจจะไม่ยอมให้ไปส่งที่ท่ารถตู้ด้วยซ้ำ กรวิชญ์เห็นเบญญาภาเหลือบมองมาทางตนเองก็เข้าใจในทันที อีกทั้งยังเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้คุยกับคู่อริสาวด้วย จึงรีบขันอาสา

‘เดี๋ยววิชญ์ไปส่งอันย่าที่บ้านเองเบญ’

อนัญญาชะงัก หันขวับไปมองคู่อริอย่างไม่เชื่อสายตา เบญญาภายิ้มกว้างรู้สึกโล่งใจ รีบบอก

‘ดีเลยวิชญ์ ส่งให้ถึงบ้านเลยนะ ไปเลยแล้วกันนะ เดี๋ยวจะดึก’

‘ไม่ดีหรอกเบญ บ้านอันย่าอยู่ไกลจากที่นี่มาก กว่าจะไปถึงกว่าจะตีรถกลับอีก ตีหนึ่งจะกลับมาถึงบ้านหรือเปล่าไม่รู้’ อนัญญารีบค้านโดยไม่สบตากับร่างโปร่งที่เริ่มนิ่วหน้า

‘อย่าดื้อสิอันย่า ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ยอมให้วิชญ์ไปส่ง เบญจะโทรไปฟ้องคุณน้า รับรองได้เลยว่าคุณน้าต้องให้อันย่าค้างกับเบญแน่’ เมื่อเห็นว่าเพื่อนยังดื้อ เบญญาภาจึงต้องงัดไม้ตายซึ่งก็คือมารดาของอีกฝ่ายขึ้นมาขู่ แล้วก็ได้ผลอนัญญาเงียบไปทันที เบญญาภาได้ทีรีบซ้ำ

‘เบญเป็นห่วงอันย่านะ รอบตัวเราทุกวันนี้มันไว้ใจอะไรไม่ได้เลย วันอื่นๆอาจไม่มีอะไร แต่ใครจะรู้วันนี้อาจเป็นวันซวยของเราก็ได้ อย่าประมาทเลยอันย่า ให้วิชญ์ไปส่งเถอะ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายนะจ๊ะ...ง หญิงสาวรีบหันไปหาร่างสูงที่นั่งฟังเงียบอยู่คนเดียว ถามเสียงหวาน นัยน์ตาคาดคั้น “...เห็นด้วยใช่ไหมคะ พี่วีร์”

กรวีร์ตาพร่าไปกับรอยยิ้มกระจ่างตาของอีกฝ่าย สติสตังกระเจิงไปหมด เผลอตอบออกไปโดยไม่รู้ตัว ‘ว่าไงว่าตามกันครับ น้องเบญ’

‘เห็นไหมอันย่า ใครๆเขาก็เห็นด้วย ให้วิชญ์ไปส่งเถอะ’

อนัญญาเริ่มหนักใจบ้างแล้ว เธอเข้าใจดีว่าเพื่อเป็นห่วง แต่เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับกรวิชญ์สองต่อสอง บอกตามตรงหัวใจมันยังเจ็บที่โดนเขาว่า โดนเอาไปเปรียบกับอดีตคนรักของเขาเมื่อตอนเย็นไม่หาย กรวิชญ์เห็นท่าทางลังเลของอนัญญาแล้วทนไม่ไหว ตรงเข้ามาลากแขนไปที่รถทันที โดยมีเสียงโวยวายดังไปตลอดทาง

‘ปล่อยฉันนะ นายโย่ง นายซาดิสต์ นายตุ๊ดหน้าหวาน ปล่อยเซ่!’

‘เงียบเถอะน่า หนวกหู! ก็เธออยากชักช้า เล่นตัวอยู่ได้’

ชายหนุ่มเปิดประตูรถด้านข้างคนขับ ดันร่างเล็กของอีกฝ่ายเข้าไปนั่งด้านในจนหัวกระแทกกับขอบประตู อนัญญาร้องประท้วงตั้งใจจะโวยต่อ แต่อีกฝ่ายผลักปิดประตูโดยไม่รอให้เธอได้นั่งให้เรียบร้อยเสียก่อน หญิงสาวรีบดึงขาของตนเข้ามาในรถ ค้อนให้ขวับใหญ่ กระแทกเสียงใส่

‘ความเป็นสุภาพบุรุษนะมีบ้างไหม ลืมหยิบออกมาตอนคลอดหรือไง’

กรวิชญ์แค่นหัวเราะขณะเสียบกุญแจ หันมามอง โต้กลับอย่างยียวน

‘ไม่ได้ลืม ฉันแวะฝากธนาคารเอาไว้ตอนเจอกับเธอพอดีน่ะ’ ยักคิ้วแสดงชัยชนะ เคลื่อนรถออกมาจากไปทันที อนัญญาอ้าปากค้าง อยากกรีดร้องด้วยความขัดใจเสียจริง!

“นายโย่ง นายโย่ง!” กรวิชญ์สะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงเรียกอันที่จริงคือเสียงตะโกนดังข้างหูของผู้โดยสาร พอหันไปมองก็เห็นสายตาสงสัยปนเป็นห่วงก่อนจะหายไปเหลือเพียงสายตาขุ่นเคือง ถามงงๆ

“เรียกฉันทำไมยายเตี้ย”

“ไม่เรียกได้ไง นายขับเลยบ้านฉันแล้วนะ! ถอยกลับเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มรีบเบรก จนอีกฝ่ายหน้าคะมำ หันกลับไปมองก็เห็นจริงว่าตนเองเลยบ้านไม้กลางเก่ากลางใหม่สีขาวของอีกฝ่ายมาแล้ว อนัญญาร้องลั่น ยกมือลูบอกตนเองปลอบขวัญ

“นายจะบ้าเหรอไงนายโย่ง จะเบรกก็ไม่บอกกันก่อน ถ้าฉันพุ่งออกจากรถไปจะทำยังไง!”

“เธอนี่ขี้บ่นชะมัดเลยนะอันย่า” ชายหนุ่มค่อนขอด เข้าเกียร์ถอยหลัง ค่อยๆเหยียบคันเร่งจนรถหรูเคลื่อนกลับไปจอดหน้าบ้านของหญิงสาวพอดี พอรถจอดสนิทอนัญญาก็คว้ากระเป๋า เปิดประตูลงจากรถทันทีและทำท่าจะเข้าบ้านไปโดยไม่พูดลาอะไรสักคำ แต่กรวิชญ์ไวพอตัว ชายหนุ่มพุ่งออกจากรถมาขวางหน้าเอาไว้ ถามยิ้มๆ

“ลืมอะไรไปหรือเปล่า...คุณผู้หญิง”

หญิงสาวเชิดหน้า บอกแบบไม่เต็มใจ “ขอบใจที่มาส่ง...พอใจแล้วใช่ไหม ถอยไปได้แล้วฉันจะเข้าบ้าน” กรวิชญ์ยักไหล่ แต่ไม่ยอมขยับ อนัญญาร้องเอ๊ะ เท้าสะเอว มองหน้าเขากลับบ้าง อยากได้คำขอบคุณก็ให้แล้ว ยังจะต้องการอะไรจากเธออีกล่ะเนี่ย

กำลังจะอ้าปากถาม อีกฝ่ายก็พูดบางอย่างแทรกมาก่อน

“ขอโทษเรื่องเมื่อตอนเย็นนะ ยายเตี้ย” น้ำเสียงและหน้าตาดูจริงจังจนอนัญญาอึ้งไป “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าเธอแรงขนาดนั้น ฉันแค่โมโหมากไปหน่อย”

“ฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรนายนี่นา แค่ไม่พอใจนิดหน่อย” หญิงสาวแก้ตัวเสียงแผ่ว กรวิชญ์ก้มหน้าเข้าไปใกล้ ถามย้ำ “ เธอหายโกรธฉันหรือยัง”

อนัญญาพยักหน้า ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก “ไม่โกรธแล้ว แต่ว่านะนายโย่ง...” เว้นจังหวะเล็กน้อย ใบหน้าจริงจัง

“...อย่าเอาฉันไปเปรียบกับคนอื่นอีก”

โดยเฉพาะกับรุ้งลาวัณย์

“ฉันไม่ชอบ”

กรวิชญ์จ้องตาคนพูดครู่ใหญ่ด้วยสายตาที่อีกฝ่ายอ่านไม่ออก รับคำเสียงเรียบ “ตกลง งั้นฉันกลับก่อนนะ”

“ขับรถดีๆล่ะ ขอบใจอีกครั้งนะ...วิชญ์”

อนัญญาบอกลา เปิดประตูเข้าบ้านไป กรวิชญ์รอจนแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวล็อกบ้านเรียบร้อยจึงออกรถเพื่อกลับไปยังบ้านของตนด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งกว่าขามา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม กับแค่คู่อริตลอดกาลไม่ยอมพูดด้วยวันเดียวกลับทำให้ร้อนใจ กระวนกระวาย หงุดหงิดได้ถึงขนาดนี้ แต่พอเจ้าหล่อนยกโทษให้เขารู้สึกสบายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก กรวิชญ์มองรั้วบ้านหญิงสาวผ่านกระจกหลังอีกครั้งอย่างครุ่นคิด เปรยกับตัวเองเบาๆ

“อาจจะถึงเวลาเริ่มต้นใหม่แล้วมั้ง”

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขออภัยที่มาช้า (มากกก) ปัญหาเร่งด่วนทางบ้านของข้าพเจ้าเองล่ะ เลยไม่ได้อยู่ติดบ้านเท่าไหร่

แต่วันนี้กลับมาแล้วน้าาา คนอ่านอย่าเพิ่งทิ้งกัน สำหรับเรื่องคู่แข่งของพี่วีร์ ตอนนี้มันใส่ลงไปไม่ทัน หมดโควต้าเสียก่อน ต้องเป็นตอน

หน้าแล้วล่ะค่ะ รับรองได้ว่าพ่อหนุ่มคนนี้มาแบบเหนือเมฆ ทำเอาพี่วีร์ของเราเต้นเลยทีเดียว

เจอกันตอนหน้าค่ะ ไม่น่าจะนานเกินรอนะ



ไอจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2556, 14:17:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2556, 14:17:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1610





<< ตอนที่ 19   
Sukhumvit66 31 ก.ค. 2556, 01:10:13 น.
มาลุ้นๆ เมื่อไหร่สาวเจ้าเขาจะใจอ่อน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account