ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: สาวมั่นเจอกับหนุ่มมาดเข้ม

“อ๋อๆ จะไปกินข้าวยังล่ะ เที่ยงครึ่งแล้วนะ”

หทัยชนก บวรชัยกุล ละสายตาจากหน้าจอเงยขึ้นไปยิ้มให้ วีนา พงษ์พัน ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและทำงานในบริษัทเดียวกัน ถึงกับเดินมาคุมเชิงถึงโต๊ะด้วยอาการหิวจนไส้แทบจะกิ่ว ในมือก็ถือกระเป๋าใบเล็กๆ ซึ่งมีโทรศัพท์กับเงินสำหรับจ่ายมื้อเที่ยงและกุญแจโต๊ะเท่านั้น

“จ้าๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะจ้า แหมเร่งจริง”

คนถูกเร่งคว้ากระเป๋าแบบเดียวกับแล้วลุกไปทันที ทั้งคู่ลงบันไดจากชั้นสามโดยไม่สนใจจะหันไปมองลิฟท์แต่อย่างใด จากนั้นก็เดินออกไปหน้าออฟฟิศท่ามกลางแดดร้อนระอุ เป้าหมายคือร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำซึ่งอยู่ห่างออกไปสามซอย

ผู้คนตามบาทวิถีต่างหันมองสองสาวแทบจะเป็นตาเดียวกัน และเป้าสายตานั้นก็ไปลงอยู่ที่สาวผมยาวดกดำ ใบหน้าคม จมูกโด่งโค้งเป็นสันประหนึ่งได้รับการตกแต่งมาก็ไม่ปาน แต่หากจะจ้องมองดีๆ แล้วก็จะพบว่าเป็นของดั้งเดิมที่เจ้าตัวได้มาจากผู้ให้กำเนิดทั้งสิ้น

รูปร่างผอมเพรียว ส่วนสูงร้อยเจ็บสิบห้าซึ่งเกินมาตรฐานสาวไทยหลายคน แขนกับต้นคอที่ไม่ถูกเสื้อกับกางเกงปกปิดไว้ก็ขาวราวหิมะ ถ้าเจ้าตัวมีตาชั้นเดียวทุกคนคงจะลงความเห็นว่าเป็นคนจีนแน่ แต่นั่นก็เพราะทั้งพ่อและแม่เป็นคนผิวขาวนั่นเอง

“ต้มจืดวุ้นเส้น กับคั่วกลิ้งอย่างละถ้วย ข้าวเปล่าสองค่ะ”

หญิงสาวสั่งแม่ค้าที่คุ้นหน้าตากันดีด้วยความรวดเร็ว และก็มักจะเลือกเมนูที่ไม่มีน้ำมันเข้ามาเจือปนหากไม่จำเป็น เพราะต้องรักษารูปร่าง ทรวดทรงองเอวให้ดูดีอยู่เสมอ มันดีกับสุขภาพและดีกับงานนอกที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้เป็นอย่างดี อีกทั้งได้เผื่อแผ่ไปถึงครอบครัวของลุงซึ่งช่วยเหลือค้ำจุนกันมาตั้งแต่สิ้นผู้เป็นตากับยายไปเมื่อหลายปีมาแล้ว หรือตั้งแต่ที่เธอกับแม่หอบกันกลับไปหาตากับยายก็ว่าได้

“แม่ค้าจ๊ะเอาพะโล้อีกถ้วยนะ”

หทัยชนกหันไปมองพี่ตาเขม็ง ไม่ใช่เพราะหวงเงินที่เธอมักจะควักกระเป๋าเลี้ยงแต่อย่างใด หากเป็นเพราะรูปร่างของพี่เริ่มจะออกข้างไปหน่อยแล้ว วีนายิ้มแหยๆ ให้ก่อนจะพากันไปนั่งมุมที่ใกล้พัดลมสุด เพื่อช่วยขจัดปัดเป่าอากาศอันร้อนอบอ้าวของเมืองสิวิไลที่ใครๆ ก็ต่างอยากจะมาอยู่นักหนา

“แล้วเย็นนี้จะกลับบ้านก่อนหรือไปงานต่อเลยล่ะอ๋อ”

วีนาเอ่ยมือก็รินน้ำจากขวดใสๆ ที่เพิ่งคว้ามาจากตู้แช่ คนถูกถามนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสรุปออกมา

“วันนี้คงจะรถติด เราไปเลยดีกว่า ฝากพี่อี๋ช่วยโทรไปบอกป้าให้ซื้อกับข้าวเผื่อแม่ด้วยนะ หรือไม่ก็มากินด้วยกันแล้วก็นอนเป็นเพื่อนแม่เหมือนเดิม พออ๋อเสร็จงานก็ไปนอนบ้านพี่อี๋เลย จะได้ไม่ต้องไปกวนเวลาลุกมาเปิดประตูให้ไง”

เพราะทุกครั้งที่หทัยชนกมีงานเดินแบบช่วงกลางคืน ก็มักจะต้องไหว้วานลุงป้าให้ช่วยดูแลอิงอรผู้แม่ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงมาร่วมห้าปีแล้ว เนื่องจากเป็นมะเร็งเต้านมจนต้องตัดออกไปหนึ่งข้าง เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หดหาย อาชีพทำแกงถุงขายหน้าปากซอยที่ยึดมาตั้งแต่หนีกลับมาอยู่กับพ่อแม่ใหม่ๆ กระทั่งพ่อแม่ตายจากไปก็พลอยทำไม่ได้ ภาระอันหนักอึ้งจึงตกอยู่กับลูกสาวเพียงคนเดียว

“ได้สิ งั้นรีบกินเลยนะ จะได้รีบกลับไปเคลียร์งาน ถ้าเสร็จเร็วจะได้ออกเร็วๆ หน่อย”

สองสาวกลับเข้าออฟฟิศในเวลาบ่ายโมงนิดๆ แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงาน แต่กระนั้นหทัยชนกก็ยังถูกลูกพี่เรียกไปตำหนิในเรื่องกลับสาย แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าลูกน้องออกไปในเวลาเที่ยงครึ่ง แต่เพราะความอิจฉาที่อีกคนสาวกว่า สวยกว่า และเจ้านายชอบใจมากกว่า จึงคอยหาเรื่องเล่นงานไม่ว่างเว้น

“เขาให้พักเที่ยงทำไมไม่ไปให้มันตรงเวลาล่ะ ไปช้าเองแล้วอย่ามาเถียงพี่นะ ทีหลังอย่าให้เห็นอีกไม่งั้นเรื่องถึงบอสแน่ แล้วอย่าหาว่ารังแกกันนะ”

หทัยชนกหันไปยักไหล่ให้วีนา เพราะไม่สนใจจะเก็บคำด่าว่าของสาวแก่มาเป็นอารมณ์ รังแต่จะทำให้หมดมู๊ดในการทำงานเปล่าๆ เจ้านายหนุ่มชาวอังกฤษที่เดินเข้ามาในออฟฟิศเห็นเหตุการณ์เข้า จึงยิ้มให้ลูกน้องสาวเป็นเชิงปลอบใจ แถมก็ให้ระอากับลูกน้องอีกคน เพราะไม่รู้จะแก้ไขยังไงในความเจ้าจี้เจ้าการกับลูกน้อง

“Are you ok?”

ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องมองดวงหน้าสวยของลูกน้องอย่างมีความหมายที่มากกว่าคำว่าลูกจ้างกับนายจ้างอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่นานก็ปรับเปลี่ยนแววตาแห่งความเมตตาห่วงใยแทน และดูเหมือนหทัยชนกเองก็จะรู้ซึ้งถึงความหมายโดยนัยเช่นกัน

“Never mind thank you boss”

หญิงสาวส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วรีบเดินเข้าห้องทำงานทันที ด้วยไม่อยากจะพิรี้พิไรอยู่ใกล้เจ้านาย กลัวจะเป็นการทอดสะพานให้โดยไม่รู้ตัวอีก และตัวเองก็จะไม่ขอสานต่อความสัมพันธ์ในแง่อื่นนอกจากนายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น เพราะเจ้านายมีมีครอบครัวแล้ว เธอจึงไม่คิดจะเป็นตัวไปทำลายชีวิตรักของใคร

เพราะเห็นตัวอย่างแม่ที่ถูกแย่งของรักจากอกมาแล้วว่ามันเจ็บปวดสักแค่ไหน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงยังหาหนุ่มรู้ใจไม่ได้สักที แม้จะสะสวยเป็นที่หมายปองของชายหลายต่อหลายคน แต่ก็โชคร้ายเหลือกำลังที่ชายเหล่านั้นต่างมีพันธะกันหมดแล้ว เธอจึงได้แต่ครองตัวเป็นโสดมาจวบจนอายุยี่สิบแปดโดยที่ยังหาแฟนไม่ได้สักคน นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เพราะเรื่องหาเลี้ยงปากท้องของตัวกับแม่เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า

เจ้าของร่างสูงเพรียวจึงรีบแล้วทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงานจนเสร็จสรรพก่อนเวลาเลิกงานถึงครึ่งชั่วโมง ความตั้งใจแรกที่ว่าจะรีบไปนั้นถูกพับเก็บเข้าลิ้นชักโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ด้วยไม่อยากถูกเรียกไปว่ารอบสอง แม้กลัวว่าจะไปไม่ทันนัดก็ตามที เธอก็ได้แต่คิดว่า ถ้ารถติดจริงๆ ก็ทิ้งอีแก่ให้พี่ขับต่อ ส่วนตัวเองก็ใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซด์เหมือนหลายครั้งที่เคยทำมา



“มาแล้วเหรอยะยายอ๋อ คราวนี้มารถเก๋งหรือนั่งพี่วินมาล่ะยะ เร็วๆ เข้าไปนั่งให้ช่างแต่งหน้าทำผมด่วน”

แต่โชคก็ยังเข้าข้างสองสาวอยู่มากที่ไม่ต้องทำตามแผนสำรอง เพราะวิ่งไปถึงห้องแต่งตัวตรงเวลานัดเป๊ะ แถมด้วยอาการหอบน้อยๆ จนตอบเบลเบลเจ้ดันสาวในร่างชายที่ยืนคอยชี้นิ้วสั่งคนนั้นคนนี้จนวุ่นไปหมดแทบไม่ทัน แล้วก็ถูกลากแขนให้ไปนั่งหน้ากระจก วีนาหอบกระเป๋าสะพายของน้องไปนั่งรออยู่ข้างๆ แล้วคอยช่วยช่างผมจับโน่นจับนี่ไปตามเรื่อง เพราะคุ้นเคยกันดี

“คุณหญิงชุดฟินมาแล้ว พวกเรารีบๆ หลบหน่อยสิยะ ยิ่งขาใหญ่อยู่ด้วย”

เสียงสาวประเภทสองอีกคนกระซิบกระซาบให้กัน เมื่อนางแบบสาวสวยชื่อดังที่จะต้องใส่ชุดฟีนาเล่ในค่ำคืนนี้ หรือในหลายๆ คืนที่หทัยชนกได้มีโอกาสมาร่วมงานด้วย เดินเยื้องย่างเข้ามาในห้องแต่งตัว ความคิดที่จะผูกมิตรกับเจ้าหล่อนนั้นหทัยชนกล้มเลิกไปนานแล้ว เพราะเจ้าหล่อนหยิ่งยโสโอหังคอตั้งหน้าตรงไม่หันมองใครถ้าไม่ใช่คนระดับเดียวกันนั่นเอง

“หมั่นไส้จริงๆ เลย มาแล้วก็ต้องมีห้องพิเศษให้ นั่งรวมกับชาวบ้านนี่จะตายหรือไงยะ”

วีนาเข้ามากระซิบข้างหูด้วยความหมั่นไส้ แต่หทัยชนกไม่ได้พูดอะไร แถมเอื้อมมือไปตีแขนพี่เป็นการปรามไว้ด้วย เพราะถูกเจ้ดันสอนมาว่าห้ามสร้างปัญหาให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมงานเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องคำพูด ไม่ว่ามากหรือน้อย ถ้าออกจากปากแล้วจะต้องมีปัญหาทุกครั้งไป วีนารู้ตัวจึงรีบเงียบแล้วหันไปหยิบปากเป็ดยื่นให้ช่างแทน

หทัยชนกเป็นเพียงนางแบบหางแถวในกลุ่มนางแบบด้วยกันเท่านั้น แม้จะหน้าตาดีหุ่นดี หรือประพฤตัวดีสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เลื่อนขั้นหรือเพิ่มค่าตัวจากเจ้าของงานเลย เพราะเธอไม่ประสงค์จะไปประจ๋อประแจ๋ คอยเอาอกเอาใจใคร ชอบก็ร่วมงานและพูดคุยด้วย ไม่ชอบก็จะร่วมงานแต่จะเงียบ ด้วยความจำเป็นที่ว่าจะต้องหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ให้พอกินพอใช้และพอเก็บ

“อ๋อๆ ช่วยวิ่งไปเอากระเป๋าเช็คในรถให้ที พี่ลืมหยิบมาด้วย จอดอยู่ชั้นสามเอนะ เร็วๆ ต้องรีบจ่ายให้แม่คุณทั้งหลายกว่าจะได้กลับคงเป็นชั่วโมงแน่ๆ”

เบลเบลคว้าแขนเรียวของหทัยชนกทันทีที่ร่างโผล่เข้าไปหลังเวทีเมื่อการเดินแบบชุดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ดวงตาคู่สวยก้มมองตัวเองอย่างไม่แน่ใจนักเพราะชุดที่ใส่สั้นจู่ จะปฏิเสธเบลเบลก็ยัดกุญแจรถใส่มือให้แล้ว จะหันไปหาพี่เพื่อใช้ต่อก็ไม่รู้อยู่ไหน จึงตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมแล้วรีบวิ่งไปหาอาคารจอดรถ เพราะรู้ดีว่าเบลเบลจะต้องรีบใช้

“อุ๊ย!!!”

และเพราะความรีบทำให้ไม่ทันเห็นร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำที่เดินออกมาจากรถและมีเสาอาคารบังเอาไว้ เป็นเหตุให้ร่างผอมบางชนเข้าอย่างจังจนเสียหลักล้มลงกับพื้นเสื้อคลุมกับชุดที่ใส่ไว้เปื้อนฝุ่นไปหมด

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันเห็น คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารีบเข้าไปช่วยพยุงพร้อมกับส่งสายตาและสีหน้าของคนรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” จนหทัยชนกที่อารมณ์เสียในตอนแรกเปลี่ยนใจไม่คิดจะเอาความ ด้วยรู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายวิ่งไปชนเขาเต็มๆ

“ตาวี! เสร็จหรือยังล่ะลูก มัวทำอะไรอยู่แม่รีบนะ ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรมากมายนักหรอก ก็เขาวิ่งมาชนเราเองไม่ใช่เหรอ ไปเร็วป่านนี้น้องรอแย่แล้ว”

แต่กับหญิงร่างอวบกับชุดแต่งกายปราณีตตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ส่งน้ำเสียงมาเร่งเร้าลูกนี่สิ มันน่าด่าให้ลืมทางกลับบ้านนัก ทว่าหทัยชนกก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิดไว้ เพราะความรีบและไม่อยากมีเรื่องมีราวกับใคร อีกทั้งเดาได้ไม่ยากว่าสองแม่ลูกนี่ก็คงจะเป็นหนึ่งในจำนวนแขกคนสำคัญที่มาดูงานเดินแฟชั่นโชว์เป็นแน่ จึงวิ่งไปหารถเบลเบลโดยไม่สนใจจะเอาความใดๆ

“ขอบใจจ้า แต่...อุ๊ยตาย!!! ทำไมชุดพี่ถึงเปื้อนขนาดนี้ล่ะอ๋อ ไปทำอะไรมา”

เบลเบลรับกระเป๋าจากมือบางแล้วก็ตกใจกับคราบเปอะเปื้อนจนร้องเสียงหญิงออกมาทันที หทัยชนกยิ้มเจื่อนๆ ให้ก่อนจะบอกตามความจริง

“อ๋อหกล้มตรงลานจอดรถค่ะพี่ ก็สั่งให้อ๋อรีบดีนัก เป็นไงล่ะทีนี้”

“กรรม! แต่ช่างเถอะรีบไปถอดออกก็แล้วกัน พี่จัดการได้ อ้าว! สาวๆ รอรับค่าแรงสักครู่นะพี่เขียนเช็คแป๊บเดียว”

เบลเบลไม่มีเวลามากพอจะมาสนใจเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ หทัยชนกเองก็เหนื่อยจนแทบจะยืนไม่ไหว เลยรีบเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยมีวีนาคอยช่วย กว่าจะเสร็จและได้รับค่าตัวก็ปาเข้าไปถึงเที่ยงคืน และกว่าจะขับรถกลับไปถึงบ้านก็เลยตีหนึ่งไปแล้ว

“เอ้า! ท่านผู้จัดการ รับค่าตัวไปซะ”

หนึ่งพันบาทสำหรับวีนาที่ไปนั่งอดตาหลับขับตานอนคอยจนดึกดื่นที่หทัยชนกหยิบยื่นให้ จะได้เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านเช่นกัน

“ถ้าอยากได้เยอะกว่านี้ พี่อี๋ก็ต้องกินให้น้อยๆ ลง และออกกำลังกายให้ตัวสูงกว่านี้ อ๋อจะได้ฝากเจ้ดันให้ช่วยฉุดกระชากลากถูกจนได้เป็นนางแบบด้วยคนดีมั้ย”

หญิงสาวมักจะล้อพี่ด้วยถ้อยคำนี้เป็นประจำ แม้จะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตามที เพราะวีนานั้นรูปร่างหน้าตาผิวพรรณก็จัดว่าสวย ขาดอยู่ก็แต่ส่วนสูงที่หลุดมาตรฐานไปหลายสิบเซนนั่นเอง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาตรงนี้เลย เพราะพอใจกับสิ่งที่พ่อแม่ให้มาแล้ว อีกทั้งการได้ตามน้องไปช่วยงานบ่อยๆ ทำให้เห็นเบื้องหลังการทำงานของสาวแคทวอล์คแล้วให้เอือมระอาด้วยซ้ำ การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ชิงไหวชิงพริบกันมีอยู่แทบจะทุกเวที

“ไม่เอาหรอก ไม่เห็นอยากเป็นเลย ตามอ๋อไปดูพี่ก็เบื่อจะแย่ อืมห์! ดึกแล้วไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกตั้งหนึ่งวันกว่าจะได้หยุด”

สองสาวจึงต่างรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำนอนแล้วหลับเป็นตายกันทั้งคู่ กระทั่งเช้าตรูหทัยชนกจึงได้ลืมตาขึ้นด้วยเวลาปกติคือตีห้าครึ่ง แม้จะนอนดึกดื่นค่อนคืนยังไงก็มักจะตื่นเวลานี้ ความที่ไม่อยากจะรีบกลับเข้าบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปิด เพราะกลัวแม่จะตื่น จึงเข้าไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อน

“ไปแล้วเหรออ๋อ เจอกันที่รถนะ”

วีนาชะเง้อคอมาดูน้องขณะที่ร่างยังมุดอยู่กับฟูกนุ่ม เจ้าของผมยาวสลวยที่ม้วนไว้กลางศีรษะหันมายิ้มให้ ก่อนจะหอบเสื้อผ้าเดินออกจากบ้านไปหาบ้านตัวเองที่อยู่ห่างกันแค่รั้วกั้น ไฟในครัวเปิดไว้เช่นเคย แปลว่าแม่ตื่นนานแล้ว

“มาแล้วเหรอลูก อาบน้ำมาแล้วใช่มั้ยล่ะ งั้นก็ไปใส่เสื้อผ้าเลยจะได้มากินข้าวก่อนออกไปทำงาน”

อิงอรพาร่างอันผอมโซ ที่มีผ้าซิ่นกับเสื้อเชิ้ตห่อหุ้มไว้ เดินออกมาจากครัวเมื่อได้ยินเสียงประตูบ้านเปิด จึงเดาได้ว่าเป็นลูก น้ำเสียงอันเอื้ออาทร รักและห่วงใยลูกเสมอมาจึงถูกเอ่ยขึ้น ส่วนคนเป็นลูกก็ยิ้มรับคำแม่อย่างว่าง่าย ก่อนจะหายเข้าไปห้องนอน ใช้เวลาในการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าทำผมเพียงครึ่งชั่วโมง ออกมาอีกทีลุงอุ้ยกับป้านิ่งที่นอนบ้านเป็นเพื่อนแม่ก็กลับบ้านไปแล้ว

“มากินข้าวเร็วลูก เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน”

ในมือก็ถือชามข้าวต้มมาวางไว้ให้กับน้ำพร้อมสรรพ หทัยชนกไม่อยากให้แม่ต้องเหนื่อยลุกขึ้นมาเตรียมอะไรให้เลยสักนิด เพราะสุขภาพแม่ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แต่เคยห้ามปรามหลายครั้งผู้แม่ก็ไม่ฟัง จึงต้องยอมตามใจอย่างเสียไม่ได้

“แล้วแม่ไม่กินพร้อมอ๋อเลยเหรอจ๊ะ” ลูกสาวถามขณะฉีกซองเครื่องปรุงเทใส่ชาม ตามด้วยพริกไทยป่นของชอบ

“ยังหรอกลูก แม่รอลุงอุ้ยกับป้านิ่งก่อน อ๋อรีบกินเถอะ เดี๋ยวจะสาย”

ข้ามต้มเกือบจะหมดชามวีนาก็เดินสะพายกระเป๋ามายืนรออยู่ประตูรถ เพราะไปทำงานด้วยกันทุกวัน และไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันจนใครๆ มักจะตั้งฉายาว่าคู่ขาปลาท่องโก๋ กล่องพลาสติกชนิดทนความร้อนสูงที่อิงอรจัดข้าวต้มไว้ให้หลานถูกตักเข้าปากระหว่างนั่งเป็นคุณนายไปตามถนนอย่างสุขอารมณ์

“พรุ่งนี้จะได้หยุดงานแล้ว เย้!! ดีใจจังเลย”

ทุกวันศุกร์วีนามักจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที เพราะจะได้หยุดงานพักผ่อนนอนแช่อยู่บ้าน หรือไปเดินเที่ยวห้างให้สบายใจ หรือบางทีถ้าหทัยชนกฟรุ๊คได้ไปเดินแบบต่างจังหวัดก็พลอยได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย บางครั้งโตโยวีออสคันจิ๋วก็จะบรรทุกสองครอบครัวไปด้วยกันเป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจกันถ้วนหน้า แต่ก็มีน้อยครั้งเต็มทีที่จะได้งานแบบนั้น

เพราะหทัยชนกมีข้อจำกัดคือต้องทำงานประจำ จะรับเดินแบบก็แค่เป็นช่วงเลิกงานหรือวันหยุดเท่านั้น ครั้นจะลาออกจากงานมารอรับเดินแบบอย่างเดียวก็ไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย จึงจำเป็นต้องเลือกงานประจำที่ได้เงินชัวร์ๆ ไว้ก่อน

ด้วยทุกบาททุกสตางค์ที่ต้องจับจ่ายใช้สอยในบ้านล้วนแล้วจะต้องมาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเท่านั้น

อิงอรอยากทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ วางขายหน้าบ้านบ้าง แต่ก็ถูกเธอห้ามไว้ทุกครั้ง เพราะจะต้องลำบากลุกแต่เช้าไปตลาดหาซื้อของมาตระเตรียมไว้ขายอยู่ดี แถมพอขายเสร็จก็ต้องมาลำบากนั่งล้างเก็บอีก ขายไม่หมดก็ขาดทุน เมื่อเหตุผลของลูกมีน้ำหนักมากกว่า อิงอรจึงล้มเลิกความคิดเหล่านี้ไปในที่สุด



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:19:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:20:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 986





<< ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายเพราะมีคุณนายแม่จอมบงการ   ไฟสอนไฟมาเจอกัน >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:55:08 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account