ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง
ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว
และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน
แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว
ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ
ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว
และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน
แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว
ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ
Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ
ตอน: ไฟที่ใกล้จะเผาให้ร้อนระอุไปทั่ว
“นังเด็กอวดดี! มันคงอยากได้เงินจนตัวสั่นเหมือนแม่ร่านๆ ของมันนั่นล่ะ คุณพี่นะคุณพี่ ไม่รู้คิดยังไงถึงได้เขียนพินัยกรรมออกมาอย่างนี้ ถ้าไม่ป่วยใกล้ตายนะ แม่จะเล่นงานให้น่วมเลย”
สะใภ้แทบจะยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงนั่งกับชุดรับแขก คุนอัญชลีที่รออยู่อย่างอารมณ์เสียก็โพล่งออกมาทันที เพราะโกรธจัดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องเสียเงินสิบล้านไปให้หลานนอกทำเนียบเปล่าๆ แล้ว สาลินีเองก็เข้าใจแม่สามีดีว่ารู้สึกยังไง จากการที่คิดวาดหวังไว้แต่แรกว่าลูกของอิงอรคงจะเป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายเหมือนผู้แม่ แต่กลับกลายเป็นคนละเรื่อง มิหนำซ้ำดูจะร้ายเอาการทีเดียว
“คุณแม่อย่าว่าคุณพ่อเลยค่ะที่ท่านทำไปก็คงจะมีเหตุผลส่วนตัวมั้งคะ แต่ที่สาไม่เข้าใจและงงเอามากๆ ก็คือ ไม่รู้เด็กคนนี้เอาความคิดแผลงๆ มาจากไหน ถึงได้กล้าต่อรองกับเราขนาดนี้”
“ก็จากแม่ร่านสวาทของมันไงล่ะ นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ฟ้าดินทำให้เราเห็นพฤติกรรมชั่วๆ ของมันตั้งแต่วันนั้น ไม่งั้นนะป่านนี้บ้านฉันคงไม่เหลือแม้กระทั่งเสาให้นังนั่นมันผลาญหรอก จะเจ็บใจก็ตรงคนทำพินัยกรรมนี่ล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเอ่ยถึงพวกมันเลย แต่พอตาสงครามตายไม่เท่าไหรก็ดันร้องเรียกหามันขึ้นมาได้ แม่ล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเค้าคิดยังไงของเค้าถึงอยากให้มันกลับมาหา แถมยังจะให้มาทำงานด้วยอีก โง่ๆ ต่ำๆ ความรู้เท่าหางอึ่งอย่างพวกมันจะทำอะไรได้นอกจากเป็นยามยืนเฝ้าหน้าประตู”
คุณอัญชลียิ่งอารมณ์เสียหนักขึ้นอีกจนยั้งปากไม่อยู่ ยิ่งคิดถึงเรื่องงามหน้าเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว ยิ่งเกลียดหนักเข้าไปอีกจนไม่ยอมให้ใครเอ่ยถึงอิงอรอีกเลย กระทั่งคุณสมควรเรียกทนายมาบ้านแล้วเปลี่ยนพินัยกรรมใหม่ และสั่งอย่างเด็ดขาดว่าให้จ้างนักสืบตามหาหลานสาวคนโตมารับช่วงงานต่อโดยด่วน แม้คุนอัญชลีจะพยายามแย้งยังไง คุนสมควรก็ไม่ฟังท่าเดียว
พอเผาศพสงครามเสร็จ การตามหาสองแม่ลูกจึงได้เริ่มขึ้น อันที่จริงคุณอัญชลีภาวนาให้นักสืบทำงานไม่สำเร็จ เรื่องจะได้ไม่ต้องยุ่งยากอีก แต่ก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ที่เพียงแค่นักสืบค้นหาชื่อกับนามสกุลของหทัยชนกในอินเตอร์เน็ทเท่านั้น ทุกอย่างก็ง่ายดายจนเกินความคาดหมาย แต่พอเจอตัวแล้วดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มยุ่งยากขึ้น
“แล้วนี่มันจะเสด็จมาหาฉันเมื่อไหร่ล่ะ หรือได้เงินแล้วจะไม่ทำตามคำพูด”
สาลินีเกิดอาการอ้ำอึ้งในเรื่องนี้ เพราะไม่รู้จะเอ่ยปากบอกแม่สามีที่กำลังอารมณ์บูดอารมณ์เสียยังไง ครั้นจะไม่บอกก็ทำไม่ได้อีก เกรงจะเป็นความผิดหรือความบกพร่องของตัวเอง ที่อาสาไปเจรจาสองแม่ลูกกับทนาย
“อะไรนะแม่สา!!! นี่มันกล้าถึงขนาดนี้เลยเหรอ บ้านมันอยู่ไหนพาฉันไปเดี๋ยวนี้ จะไปด่ามันสองแม่ลูกให้หนำใจ เงินตั้งสิบล้านมันกลับบอกออกกมาได้ว่าเป็นแค่ค่าเสียเวลาคิด แล้วถ้าเกิดมันไม่ตกลงมาทำงานให้เราล่ะ คุณพี่ไม่ต้องยกสมบัติให้มูลนิธิหรอกเหรอ โอย! ฉันจะเป็นลม”
และก็เป็นจริงดังที่สาลินีเกรงกลัวเอาไว้ไม่มีผิด เพราะแม่สามีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหนักกว่าเดิม ลมแทบจับจนต้องรีบเข้าไปประคองเอาไว้ เด็กรับใช้เองก็ต้องวิ่งวุ่นหายาดมเอามาให้เป็นการใหญ่
“คุณย่าเป็นอะไรคะคุณแม่”
สาริยา บวรชัยกุล เข้าบ้านมาก็เห็นผู้เป็นย่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับโซฟาตัวยาวดวงถือยาดมจ่อรูจมูกไว้ให้ ร่างผอมบางสูงโปร่งได้รูปที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษารีบตรงเข้าไปหาด้วยความห่วงใย สาลินีหันไปมองลูกสาว และชายหนุ่มร่างผอมสูง ใบหน้าคมจมูกโด่งนาม ปวีย์ อัครเสวี ลูกชายคนโตของปฐพีนักธุกิจพันล้าน ที่เอื้อผลประโยชน์กันและกันกับตระกูลบวรชัยกุลมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว
“คุณย่าเป็นลมน่ะลูก ไหว้พระเถอะจ๊ะพ่อวี”
สาลินีละมือที่นวดแขนคุนอัญชลีไปรับไหว้ว่าที่ลูกเขยแล้วกลับมาทำหน้าที่ต่อ ส่วนสาริยาก็ตรงเข้าไปช่วยนวดแขนอีกข้างอย่างเอาอกเอาใจ จนอาการดีขึ้นเพราะมีหลานคนโปรดออกอาการห่วงใยซึ่งเป็นยาขนานดีที่สุด
“ย่าไม่เป็นอะไรมากหรอกยายยา ว่าแต่พ่อวีพาน้องไปเที่ยวไหนมาเหรอ แล้วกินอะไรกันหรือยังล่ะ”
คุนอัญชลีไม่วายเอ่ยถามว่าที่หลานเขยด้วยความห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่บ้านแม่เรือน แม้สภาพของตัวเองตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ปวีย์ยิ้มรับน้อยๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ยังเลยครับ เห็นยาบอกว่าคุณย่าบ่นถึงผม เรายกเลิกแผนที่จะไปกินข้าวข้างนอก แต่จะมากินที่นี่แทนครับ จะได้มาเยี่ยมคุณปู่ด้วยเลย ว่าแต่คุณย่าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ให้ผมพาไปหาหมอมั้ยครับ”
“ย่าดีขึ้นแล้วล่ะพ่อวี แต่ก็ขอบใจนะที่ห่วงคนแก่ แม่สาเล่าให้พ่อวีกับยายยาฟังหน่อยสิ ว่าวันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง”
คุณอัญชลีสั่งสะใภ้เสียงอ่อยๆ เพราะรู้ดีว่าทั้งสองอยากรู้ โดยเฉพาะหลานสาว สาลินีมีท่าทีอ้ำอึ้ง แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปากบอกตามความจริง
“อะไรนะแม่! สิบล้านเลยเหรอ ทำไมมันมากมายขนาดนี้ล่ะคะ”
และคนที่อุทานออกมาดังๆ เมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วก็คือสาริยา เพราะคิดไม่แตกต่างจากผู้แม่และผู้เป็นย่านัก ว่าฝ่ายโน้นคงจะพูดคุยกันได้โดยง่าย แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องถึงกับควักเงินให้มากขนาดนี้ ปวีย์ที่รู้เห็นความเป็นไปเป็นมาของครอบครัวนี้มาโดยตลอด ก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเช่นกัน แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งฟังเงียบๆ ด้วยตัวเองนั้นยังเป็นเพียงแค่ว่าที่หลานเขย จึงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่งามหากจะออกความคิด
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จะไม่จ่ายเราก็ไม่มีทางเลือก อีกอย่างจ่ายแค่นี้ก็ยังดีกว่าจะต้องให้คุณปู่ยกสมบัติให้มูลนิธิไม่ใช่เหรอ เราทำได้ดีที่สุดก็คงจะแค่นี้ล่ะลูก”
สาลินีมีท่าทีเหนื่อยหน่าย ทำเอาทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งเงียบไปตามๆ กัน คุนอัญชลีเห็นแล้วให้รู้สึกหดหู่ไม่น้อย จึงทำลายบรรยากาศอันย่ำแย่ลง
“อย่าไปคิดมากเลยเงินทองเราก็มีเยอะแยะ ถือซะว่าทำบุญให้สัตว์ผู้ยากไร้ก็แล้วกัน ไปกินข้าวกันดีกว่าแม่สา พ่อวีด้วยตามย่ามา”
ปวีย์รีบลุกขึ้นไปช่วยพยุงคุณอัญชลีอย่างคนรู้หน้าที่ และนี่ก็เป็นคะแนนเล็กๆ น้อยๆ ที่เขามักจะได้จากคนในครอบครัวนี้เสมอมา จานข้าวของเขาจึงมักจะมีคนนั้นคนนี้ตักอาหารมาใส่ให้เวลาอยู่ในโต๊ะอาหาร และเขาก็มักจะรู้ว่าไม่ควรจะอยู่บ้านว่าที่คู่หมั้นให้ดึกดื่นนัก เมื่อดื่มชาหลังมื้อเย็นแล้วเขาจึงลากลับ
“ว่าไงล่ะตาวี ได้ข่าวว่าฝ่ายโน้นเรียกซะหนักเลยเหรอ แม่ได้ยินแล้วลมแทบจับ”
เข้าบ้านได้ อรปรียา อัครเสวี คุณแม่วัยกลางคนร่างอวบจนเกือบจะเป็นอ้วนที่อยู่ในชุดแซ็กยาวย้วย ก็ทักทายด้วยเรื่องที่เขายังไม่ได้เอ่ยบอกด้วยซ้ำ ถ้าเดาไม่ผิดแม่ก็คงจะได้ข่าวจากสาลินีนั่นเอง เขาทรุดตัวลงนั่งชุดรับแขกด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายทั้งเรื่องงานและเรื่องปัญหาของบ้านว่าที่คู่หมั้น ก่อนจะหันไปตอบแม่ด้วยท่าทีไม่ใคร่จะยินดียินร้ายนัก
“ก็ตามนั้นล่ะครับคุณแม่ ทำไงได้ครับในเมื่อเราต้องง้อเขานี่ จะเรียกมากกว่านี้ก็จะต้องยอมจ่ายอยู่ดี”
“เห็นคุณสาว่าแม่เมียเก่าคุณสงครามไม่เท่าไหร่ แต่แม่ลูกสาวนี่สิแสบไม่เบา เจ้าจี้เจ้าการเรียกเงินฉอดๆ ท่าทีก็คงจะยะโสไม่เบา แก่แดดแก่ลมด้วยละมั้ง ไม่งั้นคงไม่กล้าขนาดนี้หรอก สงสัยจะอดอยากปากแห้งมานาน บ้านก็อยู่ในสลัมมีแต่กลิ่นน้ำคลำเหม็นคละคลุ้งไปหมดเลยนี่ ยี้!!! ไม่รู้มันพากันอยู่มาได้ยังไง”
“เห็นคุณน้าว่าเป็นแหล่งชมชนน่ะครับคุณแม่”
ปวีย์หันไปมองหน้าผู้แม่ที่บริพาทอีกฝ่ายเพียงเพราะได้ยินคำบอกเล่าจากปากคนอื่น และเขาเชื่อแน่ว่าคนเล่าคงไม่ได้บอกอะไรมากมายขนาดนี้ แม่เขาต่างหากที่เพิ่มเติมขึ้นมาด้วยความมีอคติ แต่จะว่าไปแล้วเขาเองก็ค่อนข้างจะมองฝ่ายโน้นในทางลบเข้าให้แล้ว นับตั้งแต่ได้ยินเรื่องการขูดรีดเงินสิบล้าน ซึ่งเขาเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรที่จะทำอย่างยิ่ง
เพราะไม่ว่าจะยังไงเขาเชื่อแน่ว่าคุณสมควรจะไม่นิ่งดูดายแน่ หากรู้ว่าหลานสาวกับคนรอบข้างกำลังเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ หรือแม้กระทั่งเงิน อีกอย่างผ่านสามปีไปฝ่ายโน้นก็จะได้สมบัติอยู่แล้วตั้งครึ่งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท ไม่เห็นต้องหน้าเงินรีบเรียกร้องอะไรให้เสียเครดิตไปเปล่าๆ เลย
“เอ่อ! วี คุณสาฝากบอกแม่มาว่าถึงวันที่จะต้องไปฟังคำตอบจากฝ่ายโน้นจะขอให้วีไปช่วยเป็นสักขีพยานด้วย เพราะกลัวจะเล่นแง่ขอเงินอีกสิบยี่สิบล้านขึ้นมาน่ะ แม่ก็เลยรับปากแทนวีไปแล้วล่ะ วีคงจะไม่ว่าอะไรนะ”
ผู้แม่เพิ่งจะคิดขึ้นได้ เลยรีบบอกทันที ส่วนผู้ลูกก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีกในเมื่อแม่รับคำไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนตอบ
“ครับ งั้นผมขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ จะได้ลงมานั่งตรวจงานก่อนเข้านอนหน่อย”
สะใภ้แทบจะยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงนั่งกับชุดรับแขก คุนอัญชลีที่รออยู่อย่างอารมณ์เสียก็โพล่งออกมาทันที เพราะโกรธจัดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องเสียเงินสิบล้านไปให้หลานนอกทำเนียบเปล่าๆ แล้ว สาลินีเองก็เข้าใจแม่สามีดีว่ารู้สึกยังไง จากการที่คิดวาดหวังไว้แต่แรกว่าลูกของอิงอรคงจะเป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายเหมือนผู้แม่ แต่กลับกลายเป็นคนละเรื่อง มิหนำซ้ำดูจะร้ายเอาการทีเดียว
“คุณแม่อย่าว่าคุณพ่อเลยค่ะที่ท่านทำไปก็คงจะมีเหตุผลส่วนตัวมั้งคะ แต่ที่สาไม่เข้าใจและงงเอามากๆ ก็คือ ไม่รู้เด็กคนนี้เอาความคิดแผลงๆ มาจากไหน ถึงได้กล้าต่อรองกับเราขนาดนี้”
“ก็จากแม่ร่านสวาทของมันไงล่ะ นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ฟ้าดินทำให้เราเห็นพฤติกรรมชั่วๆ ของมันตั้งแต่วันนั้น ไม่งั้นนะป่านนี้บ้านฉันคงไม่เหลือแม้กระทั่งเสาให้นังนั่นมันผลาญหรอก จะเจ็บใจก็ตรงคนทำพินัยกรรมนี่ล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเอ่ยถึงพวกมันเลย แต่พอตาสงครามตายไม่เท่าไหรก็ดันร้องเรียกหามันขึ้นมาได้ แม่ล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเค้าคิดยังไงของเค้าถึงอยากให้มันกลับมาหา แถมยังจะให้มาทำงานด้วยอีก โง่ๆ ต่ำๆ ความรู้เท่าหางอึ่งอย่างพวกมันจะทำอะไรได้นอกจากเป็นยามยืนเฝ้าหน้าประตู”
คุณอัญชลียิ่งอารมณ์เสียหนักขึ้นอีกจนยั้งปากไม่อยู่ ยิ่งคิดถึงเรื่องงามหน้าเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว ยิ่งเกลียดหนักเข้าไปอีกจนไม่ยอมให้ใครเอ่ยถึงอิงอรอีกเลย กระทั่งคุณสมควรเรียกทนายมาบ้านแล้วเปลี่ยนพินัยกรรมใหม่ และสั่งอย่างเด็ดขาดว่าให้จ้างนักสืบตามหาหลานสาวคนโตมารับช่วงงานต่อโดยด่วน แม้คุนอัญชลีจะพยายามแย้งยังไง คุนสมควรก็ไม่ฟังท่าเดียว
พอเผาศพสงครามเสร็จ การตามหาสองแม่ลูกจึงได้เริ่มขึ้น อันที่จริงคุณอัญชลีภาวนาให้นักสืบทำงานไม่สำเร็จ เรื่องจะได้ไม่ต้องยุ่งยากอีก แต่ก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ที่เพียงแค่นักสืบค้นหาชื่อกับนามสกุลของหทัยชนกในอินเตอร์เน็ทเท่านั้น ทุกอย่างก็ง่ายดายจนเกินความคาดหมาย แต่พอเจอตัวแล้วดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มยุ่งยากขึ้น
“แล้วนี่มันจะเสด็จมาหาฉันเมื่อไหร่ล่ะ หรือได้เงินแล้วจะไม่ทำตามคำพูด”
สาลินีเกิดอาการอ้ำอึ้งในเรื่องนี้ เพราะไม่รู้จะเอ่ยปากบอกแม่สามีที่กำลังอารมณ์บูดอารมณ์เสียยังไง ครั้นจะไม่บอกก็ทำไม่ได้อีก เกรงจะเป็นความผิดหรือความบกพร่องของตัวเอง ที่อาสาไปเจรจาสองแม่ลูกกับทนาย
“อะไรนะแม่สา!!! นี่มันกล้าถึงขนาดนี้เลยเหรอ บ้านมันอยู่ไหนพาฉันไปเดี๋ยวนี้ จะไปด่ามันสองแม่ลูกให้หนำใจ เงินตั้งสิบล้านมันกลับบอกออกกมาได้ว่าเป็นแค่ค่าเสียเวลาคิด แล้วถ้าเกิดมันไม่ตกลงมาทำงานให้เราล่ะ คุณพี่ไม่ต้องยกสมบัติให้มูลนิธิหรอกเหรอ โอย! ฉันจะเป็นลม”
และก็เป็นจริงดังที่สาลินีเกรงกลัวเอาไว้ไม่มีผิด เพราะแม่สามีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหนักกว่าเดิม ลมแทบจับจนต้องรีบเข้าไปประคองเอาไว้ เด็กรับใช้เองก็ต้องวิ่งวุ่นหายาดมเอามาให้เป็นการใหญ่
“คุณย่าเป็นอะไรคะคุณแม่”
สาริยา บวรชัยกุล เข้าบ้านมาก็เห็นผู้เป็นย่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับโซฟาตัวยาวดวงถือยาดมจ่อรูจมูกไว้ให้ ร่างผอมบางสูงโปร่งได้รูปที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษารีบตรงเข้าไปหาด้วยความห่วงใย สาลินีหันไปมองลูกสาว และชายหนุ่มร่างผอมสูง ใบหน้าคมจมูกโด่งนาม ปวีย์ อัครเสวี ลูกชายคนโตของปฐพีนักธุกิจพันล้าน ที่เอื้อผลประโยชน์กันและกันกับตระกูลบวรชัยกุลมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว
“คุณย่าเป็นลมน่ะลูก ไหว้พระเถอะจ๊ะพ่อวี”
สาลินีละมือที่นวดแขนคุนอัญชลีไปรับไหว้ว่าที่ลูกเขยแล้วกลับมาทำหน้าที่ต่อ ส่วนสาริยาก็ตรงเข้าไปช่วยนวดแขนอีกข้างอย่างเอาอกเอาใจ จนอาการดีขึ้นเพราะมีหลานคนโปรดออกอาการห่วงใยซึ่งเป็นยาขนานดีที่สุด
“ย่าไม่เป็นอะไรมากหรอกยายยา ว่าแต่พ่อวีพาน้องไปเที่ยวไหนมาเหรอ แล้วกินอะไรกันหรือยังล่ะ”
คุนอัญชลีไม่วายเอ่ยถามว่าที่หลานเขยด้วยความห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่บ้านแม่เรือน แม้สภาพของตัวเองตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ปวีย์ยิ้มรับน้อยๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ยังเลยครับ เห็นยาบอกว่าคุณย่าบ่นถึงผม เรายกเลิกแผนที่จะไปกินข้าวข้างนอก แต่จะมากินที่นี่แทนครับ จะได้มาเยี่ยมคุณปู่ด้วยเลย ว่าแต่คุณย่าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ให้ผมพาไปหาหมอมั้ยครับ”
“ย่าดีขึ้นแล้วล่ะพ่อวี แต่ก็ขอบใจนะที่ห่วงคนแก่ แม่สาเล่าให้พ่อวีกับยายยาฟังหน่อยสิ ว่าวันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง”
คุณอัญชลีสั่งสะใภ้เสียงอ่อยๆ เพราะรู้ดีว่าทั้งสองอยากรู้ โดยเฉพาะหลานสาว สาลินีมีท่าทีอ้ำอึ้ง แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปากบอกตามความจริง
“อะไรนะแม่! สิบล้านเลยเหรอ ทำไมมันมากมายขนาดนี้ล่ะคะ”
และคนที่อุทานออกมาดังๆ เมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วก็คือสาริยา เพราะคิดไม่แตกต่างจากผู้แม่และผู้เป็นย่านัก ว่าฝ่ายโน้นคงจะพูดคุยกันได้โดยง่าย แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องถึงกับควักเงินให้มากขนาดนี้ ปวีย์ที่รู้เห็นความเป็นไปเป็นมาของครอบครัวนี้มาโดยตลอด ก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเช่นกัน แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งฟังเงียบๆ ด้วยตัวเองนั้นยังเป็นเพียงแค่ว่าที่หลานเขย จึงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่งามหากจะออกความคิด
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จะไม่จ่ายเราก็ไม่มีทางเลือก อีกอย่างจ่ายแค่นี้ก็ยังดีกว่าจะต้องให้คุณปู่ยกสมบัติให้มูลนิธิไม่ใช่เหรอ เราทำได้ดีที่สุดก็คงจะแค่นี้ล่ะลูก”
สาลินีมีท่าทีเหนื่อยหน่าย ทำเอาทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งเงียบไปตามๆ กัน คุนอัญชลีเห็นแล้วให้รู้สึกหดหู่ไม่น้อย จึงทำลายบรรยากาศอันย่ำแย่ลง
“อย่าไปคิดมากเลยเงินทองเราก็มีเยอะแยะ ถือซะว่าทำบุญให้สัตว์ผู้ยากไร้ก็แล้วกัน ไปกินข้าวกันดีกว่าแม่สา พ่อวีด้วยตามย่ามา”
ปวีย์รีบลุกขึ้นไปช่วยพยุงคุณอัญชลีอย่างคนรู้หน้าที่ และนี่ก็เป็นคะแนนเล็กๆ น้อยๆ ที่เขามักจะได้จากคนในครอบครัวนี้เสมอมา จานข้าวของเขาจึงมักจะมีคนนั้นคนนี้ตักอาหารมาใส่ให้เวลาอยู่ในโต๊ะอาหาร และเขาก็มักจะรู้ว่าไม่ควรจะอยู่บ้านว่าที่คู่หมั้นให้ดึกดื่นนัก เมื่อดื่มชาหลังมื้อเย็นแล้วเขาจึงลากลับ
“ว่าไงล่ะตาวี ได้ข่าวว่าฝ่ายโน้นเรียกซะหนักเลยเหรอ แม่ได้ยินแล้วลมแทบจับ”
เข้าบ้านได้ อรปรียา อัครเสวี คุณแม่วัยกลางคนร่างอวบจนเกือบจะเป็นอ้วนที่อยู่ในชุดแซ็กยาวย้วย ก็ทักทายด้วยเรื่องที่เขายังไม่ได้เอ่ยบอกด้วยซ้ำ ถ้าเดาไม่ผิดแม่ก็คงจะได้ข่าวจากสาลินีนั่นเอง เขาทรุดตัวลงนั่งชุดรับแขกด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายทั้งเรื่องงานและเรื่องปัญหาของบ้านว่าที่คู่หมั้น ก่อนจะหันไปตอบแม่ด้วยท่าทีไม่ใคร่จะยินดียินร้ายนัก
“ก็ตามนั้นล่ะครับคุณแม่ ทำไงได้ครับในเมื่อเราต้องง้อเขานี่ จะเรียกมากกว่านี้ก็จะต้องยอมจ่ายอยู่ดี”
“เห็นคุณสาว่าแม่เมียเก่าคุณสงครามไม่เท่าไหร่ แต่แม่ลูกสาวนี่สิแสบไม่เบา เจ้าจี้เจ้าการเรียกเงินฉอดๆ ท่าทีก็คงจะยะโสไม่เบา แก่แดดแก่ลมด้วยละมั้ง ไม่งั้นคงไม่กล้าขนาดนี้หรอก สงสัยจะอดอยากปากแห้งมานาน บ้านก็อยู่ในสลัมมีแต่กลิ่นน้ำคลำเหม็นคละคลุ้งไปหมดเลยนี่ ยี้!!! ไม่รู้มันพากันอยู่มาได้ยังไง”
“เห็นคุณน้าว่าเป็นแหล่งชมชนน่ะครับคุณแม่”
ปวีย์หันไปมองหน้าผู้แม่ที่บริพาทอีกฝ่ายเพียงเพราะได้ยินคำบอกเล่าจากปากคนอื่น และเขาเชื่อแน่ว่าคนเล่าคงไม่ได้บอกอะไรมากมายขนาดนี้ แม่เขาต่างหากที่เพิ่มเติมขึ้นมาด้วยความมีอคติ แต่จะว่าไปแล้วเขาเองก็ค่อนข้างจะมองฝ่ายโน้นในทางลบเข้าให้แล้ว นับตั้งแต่ได้ยินเรื่องการขูดรีดเงินสิบล้าน ซึ่งเขาเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรที่จะทำอย่างยิ่ง
เพราะไม่ว่าจะยังไงเขาเชื่อแน่ว่าคุณสมควรจะไม่นิ่งดูดายแน่ หากรู้ว่าหลานสาวกับคนรอบข้างกำลังเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ หรือแม้กระทั่งเงิน อีกอย่างผ่านสามปีไปฝ่ายโน้นก็จะได้สมบัติอยู่แล้วตั้งครึ่งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท ไม่เห็นต้องหน้าเงินรีบเรียกร้องอะไรให้เสียเครดิตไปเปล่าๆ เลย
“เอ่อ! วี คุณสาฝากบอกแม่มาว่าถึงวันที่จะต้องไปฟังคำตอบจากฝ่ายโน้นจะขอให้วีไปช่วยเป็นสักขีพยานด้วย เพราะกลัวจะเล่นแง่ขอเงินอีกสิบยี่สิบล้านขึ้นมาน่ะ แม่ก็เลยรับปากแทนวีไปแล้วล่ะ วีคงจะไม่ว่าอะไรนะ”
ผู้แม่เพิ่งจะคิดขึ้นได้ เลยรีบบอกทันที ส่วนผู้ลูกก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีกในเมื่อแม่รับคำไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนตอบ
“ครับ งั้นผมขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ จะได้ลงมานั่งตรวจงานก่อนเข้านอนหน่อย”
กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:23:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:23:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 1061
<< ไฟสอนไฟมาเจอกัน | ความสัมพันของสาวมั่นกับหนุ่มมาดเข้มติดลบไปแล้ว >> |
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:55:54 น.
กันเกราธัญญรัตน์วรนัน 4 ส.ค. 2556, 22:12:22 น.