ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: ความสัมพันของสาวมั่นกับหนุ่มมาดเข้มติดลบไปแล้ว

บ้านเดี่ยวสองชั้นหลังกระทัดรัด บนเนื้อที่ร้อยกว่าตารางวาตั้งอยู่เบื้องหน้าทั้งห้าชีวิตที่ยืนชื่นชมอยู่นอกรั้วโดยไม่มีใครคิดจะก้าวเข้าไปด้านใน หากพนักงานขายไม่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญก่อน เฟอร์นิเจอร์ครบชุดถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบและลงตัว เพราะเป็นบ้านตัวอย่างของโครงการ ที่หทัยชนกเอ่ยปากถามราคาทันทีเมื่อเช็คเงินสดที่ได้มาไม่ติดสปริง เพราะฝันมานานแล้วว่าจะซื้อบ้านสวยๆ ให้แม่และลุงกับป้าได้อยู่แทนบ้านเช่าเท่ารูหนูในย่านชุมชนแออัด แวดล้อมด้วยมลพิษรอบด้าน

“ห้าล้านถ้วนค่ะ ถ้าจ่ายเป็นเงินสดทางเราจะลดให้พิเศษค่ะ”

พนักงานขายแจ้งราคาคร่าวๆ อิงอรรีบสะกิดแขนลูกเอาไว้แทบไม่ทัน ด้วยกลัวว่าลูกจะตัดสินใจซื้อทันที โดยไม่ได้ไปดูที่อื่นไว้เปรียบเทียบก่อน แต่ทุกคนก็ค่อยหายใจคล่องขึ้นมาหน่อยเมื่อหทัยชนกขอไปสำรวจทำเลอื่นๆ ต่อ วันทั้งวันของห้าคนจึงหมดไปกับการตระเวณดูบ้าน แต่จนแล้วจนรอดทุกคนก็พยักหน้าสนับสนุนให้เธอตกลงใจซื้อบ้านหลังแรกที่ไปดู เพราะถูกใจกว่าหลังอื่นๆ ทำเอาหญิงสาวถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขำ

“แล้วตกลงจะเอายังไงกับทางโน้นล่ะลูก พรุ่งนี้จะถึงกำหนดแล้วนะ”

เมื่อกลับเข้าบ้านแล้ว ก็อดกังวลในจุดนี้ไม่ได้ เพราะอ่านใจลูกไม่ออกว่ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ รู้แต่ว่าลูกโกรธเกลียดครอบครัวของปู่ย่าไม่น้อย ที่ไม่เคยมาชายตาแล หรือถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเลย นับตั้งแต่หนีออกจากบ้านมา หทัยชนกหันมองแม่แล้วยิ้มหน้าบานให้ ก่อนจะเคลื่อนกายไปใกล้ๆ แล้วล้มตัวลงนอนหนุนตักแม่อยู่กับระเบียงไม้หน้าบ้านเช่าหลังน้อยที่อีกไม่นานก็จะย้ายออกไปแล้ว 0

“อย่าเพิ่งคิดเลยจ๊ะแม่ รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตักแม่นุ่มจัง ขออ๋อนอนแป้บนะแม่นะ วันนี้เป็นสารถีพาทุกคนตระเวณดูบ้านใหม่หลายที่เหนื่อยจะแย่”

ว่าแล้วคนพูดก็หลับตาปี๋ลงเพื่อหลีกหนีการถูกซักไซ้ของแม่เอาดื้อๆ แต่ในใจนั้นใช่ว่าจะสงบอย่างสีหน้าและท่าทาง เพราะกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่แม่ถามอยู่นั่นเอง ว่าจะจัดการกับปัญหายังไงดี จะหาทางรับมือกับกลุ่มคนที่เธอไม่เคยอยากจะญาติดีด้วยยังไง แต่สำหรับเรื่องที่จะให้ถอยหนีปัญหาเหมือนแม่ เห็นทีจะไม่เอาด้วย ใครทำอะไรไม่ดีไว้ก็จะต้องถูกเปิดเผยให้คนอื่นได้รู้ แม่จะได้พ้นผิดเสียที นั่นคือเป้าหมายหลักของลูกที่เอาแต่นอนหนุนตักแม่ไม่ยอมลุกไปไหน



“โอ้โห! อ๋อดูสิ มารอแต่หัววันเชียว สงสัยอยากได้คำตอบกันจนเนื้อเต้นละมั้ง”

วีนาอุทานออกมาขณะรถจอดเทียบหน้าบ้านต่อจากเบนซ์หรูคันเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมเห็นจะเป็นคราวนี้มีหน้าใหม่ๆ เพิ่มมาอีกสอง ‘คุณหนูยา’ ของคนในบ้านน่าจะเป็นหนึ่งในนั้นที่หทัยชนกพอจะเดาได้ ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มหน้าตาดี เธออยากจะเดาว่าคงเป็นลูกคนที่สองของสาลินี แต่ดูอีกทีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะคะเนอายุแล้วน่าจะสามสิบขึ้น

“ยายยาไงจ๊ะ อ๋อจำน้องได้มั้ย ส่วนอีกคนก็คุณปวีย์เป็นแฟนของยายยาจ๊ะ”

สาลินีช่วยไขข้อข้องใจให้พอดิบพอดี แต่หทัยชนกก็ไม่คิดจะเอ่ยทักทายตามมารยาท ปวีย์ที่ทำท่าจะยิ้มให้เลยเปลี่ยนความคิดและนั่งนิ่งๆ ตามเดิม สาริยายิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อพบเจอใครที่ไม่มีมารยาทให้ก็จะทำแบบเดียวกันนั้นตอบ เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา เหมือนสงครามผู้พ่อ สาลินียิ้มเก้อๆ เมื่ออุตส่าห์แนะนำด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มแล้ว แต่คนตรงหน้ากลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา

เพราะกำลังครุ่นคิดว่าเคยเจอชายหนุ่มที่ไหน แล้วเหตุการณ์ในอาคารจอดรถคืนนั้นก็ให้คำตอบออกมาทันที ใบหน้าสวยจึงยิ้มเหยียดหยันหนุ่มตรงหน้าออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ไปๆ มาๆ ก็ดันเจอคนใกล้ตัวเข้าให้แล้ว และเธอก็คิดว่าเขาคงจะจำหญิงสาวที่ล้มกลิ้งลงไปอยู่กับพื้นไม่ได้กระมัง ก็คืนนั้นแต่งหน้าจัดยิ่งกว่าไปเล่นงิ้วซะอีก

“พวกเรามาฟังคำตอบจากคุณอ๋อครับ”

สุจินต์รีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศไม่ดีเริ่มส่อแววขึ้นแล้ว หทัยชนกส่งกระเป๋าสะพายให้วีนาช่วยเอาไปเก็บ ก่อนจะเดินไปใกล้ๆ แขกแล้วยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ด้วยสายตาและสีหน้าเย้ยหยัน แล้วก็เดินเอาไหล่บอบบางพิงกับเสาระเบียง ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จนแขกรู้สึกอึดอัดไม่น้อย สาริยาอดทนไม่ไหว จึงโพล่งออกไป

“จะเอายังไงก็ว่ามาสิ เราไม่มีเวลามานั่งรอเธอได้ทั้งวันนะ หรือว่าอยากจะได้เงินเพิ่มอีก”

คนถูกถามหันขวับไปหาเจ้าของเสียง จ้องมองอย่างเอาเรื่องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มจนริมฝีปากบางเหยียดตรงเข้าหากันแล้วเอ่ยในสิ่งที่ครุ่นคิดเอาไว้อย่างถี่ถ้วนตั้งแต่เมื่อคืนนี้

“เธอนี่เดาเก่งนะ น่าจะไปเป็นหมอดู”

สาลินีไม่ค่อยจะเข้าใจ หรือไม่อยากคิดว่าคนตรงหน้าจะเล่นแง่หาทางรีดไถเงินอีก แต่จากประโยคที่เปล่งออกมา เป็นใครก็คงต้องเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ จึงเอ่ยถามออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด

“หนูหมายความว่ายังไงจ๊ะ” คนถูกถามค่อยๆ หันไปมองเจ้าของประโยคแล้วยิ้มหน้าบานให้

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ฉันแค่จะบอกว่า ฉันตกลงทำตามพินัยกรรมที่ระบุไว้ แต่ก็ต่อเมื่อคุณจ่ายฉันมาอีกสิบล้าน เป็นค่าเสียเวลาที่จะต้องไปทำงานที่นั่นให้ฉันเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าไม่ตกลงทุกอย่างก็จบ ฉันจะถือว่าพวกคุณไม่เคยมาที่นี่อีก ยี่สิบนาทีสำหรับเวลาที่พวกคุณจะปรึกษากัน”

“อะไรนะ! นี่เธอจะไม่น่าเงินไปหน่อยเหรอจ๊ะ!! เอะอะอะไรก็สิบล้าน เห็นพวกฉันเป็นธนาคารเคลื่อนที่หรือไง”

สาริยาอดไม่ได้เช่นเคย จึงร้องถามด้วยความหงุดหงิดใจ หทัยชนกหันขวับไปจ้องมองด้วยสายตาเอาเรื่อง จนสาริยาเกิดอาการหน้าเสียขึ้นมาทันที

“ฉันไม่ได้ขอร้องให้พวกคุณมาหา และก็ไม่เคยสนใจกับสมบัติบ้าบอนั่นด้วย พวกคุณจะตกลงหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันไม่ได้เป็นคนเดือดร้อนอยากได้สมบัติจนตัวสั่นนี่ ถ้าอยากยกทุกอย่างให้การกุศลก็ตามใจสิ ฉันไม่แคร์อยู่แล้ว เพราะฉันกับแม่อยู่มาได้จนทุกวันนี้โดยไม่ได้ยุ่งกับสมบัติพวกนั้นเลยสักแดงเดียว ถ้าไม่ตกลงก็เชิญกลับไปได้ หรือถ้าตกลงก็ตอบมาตอนนี้ ความจริงเงินแค่สิบล้านไม่เห็นต้องใช้เวลาคิดนานถึงยี่สิบนาทีเลย ไอ้ที่มีๆ ในธนาคารก็ไม่รู้เท่าไหร่ เงินแค่นี้ขนหน้าแข้งตระกูลดังของพวกคุณคงไม่ร่วงหรอกกระมัง”

สิ้นคำร่างสูงโปร่งก็ทำท่าจะเดินออกจากบ้านไป สาลินีเห็นท่าไม่ดีก็เลยต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไปขวางไว้ก่อน

“ขอน้าโทรปรึกษาคุณย่าก่อนได้มั้ยจ๊ะ รับรองใช้เวลาไม่นานหรอก รอสักครู่นะ”

ว่าแล้วสาลินีก็เดินออกไปนอกรั้ว มือก็ล้วงเข้าไปควานหามือถือ หทัยชนกเบะปากใส่อย่างชิงชัง แล้วก็หันไปหาอีกสามคนพร้อมแสดงกิริยาเดียวกันนั้นใส่ อิงอรกับวีนาที่ยืนลุ้นอยู่ไม่ห่างต่างก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยไม่คาดคิดว่าหทัยชนกจะเสนอข้อเรียกร้องนี้ขึ้นมาอีก เพราะเท่าที่ได้ก็มากพอแล้ว สาลินีเดินเข้ามาหลังจากหายไปไม่ถึงสิบนาที ทุกคนต่างนั่งใจจดใจจ่อเพื่อรอคำตอบ ยกเว้นเจ้าของเงื่อนไขเท่านั้นที่ยังคงยิ้มออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

“คนรถกำลังเอาเช็คมาให้ ระหว่างนี้น้าว่าเรามาคุยรายละเอียดเรื่องงานกันไปพลางๆ ก่อนดีมั้ยจ๊ะอ๋อ”

เพราะหทัยชนกรู้ดีว่าคนพวกนี้ไม่มีทางจะหวงเงินสิบยี่สิบล้านเอาไว้ แล้วยอมเสียสมบัตินับพันล้านไปได้อย่างแน่นอน ใบหน้าสวยคมจึงไม่ได้แสดงท่าทีดีอกดีใจออกมาเลย เมื่อสาลินีให้คำตอบ ตรงกันข้ามกลับทำหน้าบึ้งตึง และไม่พอใจเอามากๆ เมื่อสาลินีรีบดึงเอาเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ประหนึ่งกลัวจะเบี้ยว

“ฉันจะย้ายไปอยู่เรือนเล็กของคุณทวดในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทุกเรื่องจะเริ่มต้นคุยหลังจากนั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญ ไม่ต้องรอให้คนรถของคุณมาถึงก็ได้ ฉันไม่ค่อยว่าง เข้าบ้านกันดีกว่าค่ะแม่ ขอโทษนะบ้านคับแคบไม่สะดวกจะเชิญด้านใน แต่ถึงเชิญพวกคุณก็คงไม่อยากเหยียบเข้ามาหรอกจริงมั้ย”

จึงรีบตัดบทเอาดื้อๆ แล้วจูงแม่กับพี่เข้าบ้านปิดประตูใส่หน้าแขกอย่างไม่ไยดี สีหน้าของแต่ละคนจึงอยู่ในอาการบอกบุญไม่รับในกิริยามารยาทของเจ้าบ้าน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา นอกจากลุกจากระเบียงตรงไปหารถแล้วขับออกไปนั่งรออยู่ร้านกาแฟปากซอย เมื่อคนรถมาถึงสาลินีก็ขึ้นไปนั่งด้านหลังแล้วนำเช็คไปให้สองแม่ลูกอีกครั้ง

“คุณไม่ต้องกลัวฉันจะโกงหรอกนะ ฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง บอกว่าไปก็ไป ไม่ใช่ประเภทหน้าไหว้หลังหลอก ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ อีกอย่างก็ต้องขอบคุณคุณปู่เหมือนกันนะ ที่จู่ๆ ทำพินัยกรรมนี้ขึ้นมา มันทำให้ฉันได้เข้าไปเหยียบบ้านนั้นอีกครั้งอย่างที่ฉันตั้งใจตั้งมั่นเอาไว้นานแล้ว โดยไม่ต้องลงแรงเลยสักนิด แถมยังได้เงินมาใช้ฟรีๆ อีกด้วย คนเรานี่พอมีความโลภเข้ามาครอบงำ ก็ทำอะไรโง่ๆ ได้เหมือนกันนะ คุณว่ามั้ย”

ประโยคนี้ของหทัยชนกแทบจะทำให้สาลินีกรี๊ดออกมาตรงนั้น แต่ดีที่ควบคุมอารมณ์เอาไว้แล้วเดินกลับไปหารถก่อน เสียงแหลมปี๊ดที่ดังก้องอยู่ในรถหรูจึงมีเพียงผู้ควบพวงมาลัยได้ยินคนเดียวเท่านั้น อาการตื่นตระหนกตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคุณผู้หญิง จึงเกิดขึ้นกับคนรถตลอดการเดินทางจากย่านชุมชนแออัดกระทั่งถึงคฤหาสน์หรู



“เป็นยังไงบ้างคุณสา”

อรปรียารีบวิ่งไปรับสาลินีถึงหน้าประตูบ้านเพราะความอยากรู้ สาลินีส่งยิ้มน้อยๆ ให้ ขณะเดินเข้าไปหาแม่สามีในห้องรับแขก ส่วนคนที่เหลือซึ่งมารถอีกคันก็ตามมาไม่ห่าง สาริยาเป็นคนเอ่ยเล่าสิ่งที่ทุกคนได้พบเห็นมาอย่างละเอียดละออและตรงไปตรงมา แถมความรู้สึกเกลียดชังในตัวคนที่กำลังพูดถึงก็มีอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน ต่างจากสาลินีผู้แม่ที่ไว้เชิงคุณผู้หญิงแสนดีของบ้านไว้ได้อย่างแนบเนียน

“ต๊าย!! แม่เด็กนั่นเป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอตาวี”

อรปรียาหันไปหาลูกชายที่นั่งนิ่งอยู่ข้างสุจินต์ ปล่อยให้สาริยาเล่าอย่างสนุกปาก บวกด้วยอารมณ์ชิงชังส่วนตัวผสมผสานเข้าไปด้วย

“ก็ประมาณนี้ล่ะครับคุณแม่” เขาตอบแล้วหันไปหาสุจินต์ที่นั่งฟังเฉยๆ เช่นกัน

“ทีนี้จะต้องทำยังไงล่ะพ่อทนายมือหนึ่ง อยากได้มันกลับมามากไม่ใช่เหรอ เป็นไงล่ะเห็นฤทธิ์มันหรือยัง”

คุนอัญชลีหันไปใส่อารมณ์กับทนายประจำบ้านด้วยความโมโห และเหมารวมว่าสุจินต์เองก็มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ ซึ่งความเป็นจริงเขาแทบไม่ได้คิดอะไรเลย หากแต่คุณสมควรเป็นคนสั่งให้เขาทำเท่านั้น ครั้นจะขัดขวางคนสั่งก็มีเหตุผลจนเถียงไม่ขึ้น จึงต้องก้มหน้าฟังคำบริภาษของคุณอัญชลีนิ่งๆ เท่านั้น

“อย่าไปว่าคุณลุงเลยค่ะคุณแม่ ที่คุณพ่อทำแบบนี้ก็คงจะมีเหตุผลที่บอกเราไม่ได้มั้งคะ สาว่าแทนที่จะมานั่งเสียอารมณ์กับเงินที่เสียไปแล้ว เรามาช่วยกันคิดอ่านว่าจะจัดการเรื่องในวันข้างหน้ายังไงไม่ดีกว่าเหรอคะ เช่นจะให้ยายอ๋อมาพักอยู่ที่ไหน ทำงานในตำแหน่งหน้าที่อะไรในระยะเวลาสามปีนี้”

แม้สาลินีจะเห็นด้วยกับคำของแม่สามีอยู่มาก แต่ก็มองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะมาคร่ำครวญหรือด่าทอคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ให้บรรยากาศในบ้านเสียไปเปล่าๆ อีกทั้งก็อดห่วงเรื่องของวันข้างหน้าไม่ได้ หลังจากที่ได้เห็นท่าทีของหทัยชนกว่าไม่ธรรมดาแล้ว แผนเดิมที่จะให้หทัยชนกมาปรากฏตัวให้คุนสมควรเห็นพอเป็นพิธีแล้วกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมนั้นอาจจะไม่เป็นไปตามที่วางไว้ก็ได้

“ผมว่าเราควรจะดูทางโน้นไปอีกสักระยะไม่ดีกว่าเหรอครับคุณน้า ออกลายหรือสร้างความยุ่งยากให้ตรงไหนเราค่อยตามแก้เป็นจุดๆ หรือป้องกันเป็นช่วงๆ เพราะถ้ามาวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ก็อาจจะเข้ารูปเดิมเหมือนที่คิดไว้ก่อนจะไปพบเขา แล้วก็ทำไม่ได้ตามที่คิดไว้ หรือคุณลุงว่ายังไงครับ”

ปวีย์รีบแย้งขึ้น เพราะครั้งก่อนเขากับพ่อแม่ก็ต้องเข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องการตามตัวหทัยชนกด้วย จะบอกปัดไม่เข้ามายุ่งก็ทำไม่ได้ เพราะทั้งสองครอบครัวต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมานานแล้ว ครั้นจะยุ่งมากๆ ก็ยังอยู่ในฐานะเป็นคนนอก แม้เขากับสาริยาจะถูกผู้ใหญ่ออกปากหมั้นหมายกันและกันไว้ตั้งแต่เขาเรียนจบจากเมืองนอกแล้ว แต่ก็เป็นเพียงคำพูดที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว เขาจึงต้องระมัดระวังตัวไม่ให้เกินงามนัก

“ผมว่าที่คุณวีพูดมาก็มีเหตุผลนะครับคุณท่าน รอให้เรามองเห็นปัญหาก่อนค่อยหาทางแก้ก็ยังไม่สาย เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างคุณอ๋อคงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับการสรรหาคนมาช่วยงานคุณสาที่บริษัทหรอกครับ อันนี้น่าห่วงกว่าเป็นไหนๆ จะคอยพึ่งคุณวีบ่อยๆ ก็มีงานตัวเองล้นมือ”

สุจินต์รีบสนับสนุนความคิดปวีย์ในทันที เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องหยุมหยิมถ้าเทียบกับปัญหาภายในที่กิจการของครอบครัวกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือเมื่อขาดสงครามผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวไปแล้ว ก็เหมือนขาดเสาหลัก สาลินีแม้จะรู้ระบบงานบ้าง แต่ก็ทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น จะให้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงนำบริษัทให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงต่อไปคงจะยาก เพราะเพิ่งจะเข้าไปช่วยงานได้ไม่เท่าไหร่

สาริยาลูกสาวคนโตของสาลินีก็ไม่ชอบทำธุรกิจเอาเสียเลย จะเน้นหนักไปทางด้านรักสวยรักงาม ด้านศิลปะ เรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้เจ้าตัวปวดหัวก็มักจะหันหลังให้ เพราะไม่อยากเครียดกลัวจะแก่เร็ว ส่วนสงกรานต์ลูกชายคนเล็กและเป็นทายาทคนเดียวของสงครามที่ควยจะต้องเป็นผู้สืบสานงานต่อ ก็ทำตัวไม่เอาไหน เรียนก็ร่อแร่จะถูกรีไทม์ออกจากมหาวิทยาลัยแห่งที่สามเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ เรื่องจะฝากความหวังในการมาทำงานแทนพ่อก็ริบหรี่เต็มที

สุจินต์จึงเข้าใจหัวอกคุนสมควรได้เป็นอย่างดีว่าทำไมถึงต้องร่างพินัยกรรมฉบับใหม่ขึ้นมา นั่นก็เพื่อบังคับคุณอัญชลีและทุกคนให้ออกตามหาหทัยชนกจะได้มาเป็นอีกตัวเลือกสำหรับวงศ์สกุลนั่นเอง ทั้งที่คุณสมควรก็ไม่รู้ว่าหลานสาวที่หายจากบ้านไปตั้งยี่สิบปี จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่คุณสมควรเชื่อก็คือ เกือบแปดปีที่อยู่ร่วมชายคาด้วย นั้นหลานเป็นคนฉลาดหลักแหลม ทันคนและไม่เกรงกลัวใคร ซึ่งได้สงครามผู้พ่อมาเกือบจะทั้งหมด

แม้จะเป็นความหวังที่ริบหรี่ในการค้นหาทายาทมาสืบทอดกิจการ แต่คุนสมควรก็มั่นใจว่ามองคนไม่ผิด จึงเอ่ยปากสั่งเมียให้ส่งคนออกตามหานับตั้งแต่สงครามตายแล้ว ผ่านไปร้อยวันกระทั่งถึงวันเผาศพทุกอย่างก็เงียบ คุนสมควรจึงได้คิดว่าเมียเกลียดอิงอรก็ย่อมเกลียดหลานด้วย การเมินเฉยต่อคำสั่งสามีที่นอนป่วยอยู่จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนัก

คุณสมควรจึงได้คิดหาวิธีใหม่ๆ ด้วยการเอาเรื่องที่จะยกสมบัติให้มูลนิธิเด็กกำพร้าขึ้นมาอ้าง เพื่อขู่ให้ทุกคนทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วทุกอย่างก็เป็นจริงดังคาดไว้ เพียงแค่ไม่กี่วันสุจินต์ก็ได้รับรู้ข่าวคราวของหทัยชนกอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นักศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งทั้งปริญญาตรีและโท กับหน้าที่การงานในบริษัทอินเตอร์อันมั่นคง

บวกประสบการณ์อีกแปดปีน่าจะพอวัดพอเหวี่ยงหากจะเอามาฝึกฝนให้เก่งแล้วเป็นผู้นำให้ครอบครัวต่อไป หรืออย่างน้อยๆ ก็ในช่วงที่รอเวลาให้สงกรานต์ปรับปรุงตัวเองใหม่ ตั้งใจเล่าเรียนให้จบ จะได้มาทำงานแล้วฝึกฝนตนเองจนมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำรุ่นต่อไปได้นั่นเอง



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:24:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:24:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 968





<< ไฟที่ใกล้จะเผาให้ร้อนระอุไปทั่ว   อีกครั้งที่สาวมาดมั่นกับหนุ่มมาดเข้มปะทะกัน >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:56:05 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account