ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: สองเสือปะทะกันอีกแล้ว

เฟอร์รารี่แคลิฟฟรอเนี่ยร์สปอร์ตหรูแล่นเข้าไปจอดหน้าคฤหาสน์หลังงามในเนื้อที่ไม่หนีกับคฤหาสน์ของคุณสมควรนัก ปวีย์รีบก้าวลงจากรถแล้ววิ่งขึ้นบันไดบ้านด้วยความเร็ว ปล่อยให้สาวในชุดราคาเรือนแสนเดินตามหลังอย่างไม่รีบร้อนอะไร อรปรียาเดินยิ้มจนหน้าแป้นออกมาต้อนรับว่าที่สะใภ้ด้วยความยินดียิ่ง แล้วพาไปนั่งในห้องรับแขก ระหว่างรอให้ลูกเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมไปงานด้วยกัน

“ป้าล่ะไม่เข้าใจคุณปู่จริงๆ เลยนะที่ดึงแม่นั่นเข้ามาทำงาน เห็นคุณสาบ่นว่าแค่วันแรกก็ออกลายแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะหนูยา แล้วทีนี้จะอยู่กันไปยังไงล่ะ ดูท่าทางก็ก่างซะไม่มี บอกตามตรงนะว่าป้าไม่ปิ้งเอาซะเลยล่ะ”

หัวข้อที่ทั้งสองยกขึ้นมาคุยกันระหว่างรอก็ไม่ใช่เรื่องใครที่ไหน แม้เจ้าของบ้านจะไม่ได้มีอะไรบาดหมางกับผู้ที่ถูกกล่าวขวัญถึงเลยสักนิด แต่ก็อดขุ่นเคืองแทนสาลินีไม่ได้ ยิ่งคิดไปถึงเรื่องที่จะแบ่งสมบัติออกเพียงสองส่วนให้อีกฝ่ายหนึ่งคือหทัยชนกกับแม่แค่สองคนและอีกฝ่ายคือคุณอัญชลี ซึ่งมีคนรอรับไม่น้อยกว่าสี่คือสาลินีและลูกอีกสองคนด้วยแล้ว อย่างนี้เป็นใครก็คงจะช้ำใจแน่ และนี่ก็คือผลกระทบโดยตรงสำหรับอรปรียา หากจะต้องให้ลูกชายแต่งการแต่งงานไปกับสาริยาในวันข้างหน้า

“ยาก็ไม่ชอบเหมือนกันค่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ถือดี ถือตัวก็ที่หนึ่ง แต่เรื่องงานนี่ยายังไม่ได้ยินจากปากคุณแม่นะคะ พอดีเข้าบ้านได้ยาก็รีบไปแต่งตัวแล้วก็ออกมาพร้อมพี่วีเลยค่ะ”

สาริยาผู้ไม่ปิดบังความในใจเลยไม่ว่าจะเรื่องไหน เพราะเป็นคนตรงโดยนิสัยอยู่แล้ว ชอบก็บอกว่าชอบไม่ชอบก็จะบอกออกไปตามตรง นี่จึงเป็นเหตุผลที่อรปรียาประทับใจมาก แต่ก็รองลงมาจากการเป็นทายาทของมหาเศรษฐีสิ่งทออันดับต้นๆ ของเมืองไทยอยู่ดี ส่วนคนที่ก้าวมาตามบันไดพร้อมชุดทักซิโดสีดำโก้หรูนั้น กลับประทับใจในตัวสาวสวยตรงหน้าในประการแรกมากกว่า ซึ่งก็มักจะสวนทางกับผู้แม่

“พี่วีหล่อจังเลยค่ะ”

หญิงสาวชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหลังจากที่เข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่โบกไม้โบกมือให้อรปรียาที่เดินมาส่งถึงประตูบ้านแล้วก็ยิ้มหน้าบานไม่ยอมหุบ กระทั่งรถเบนซ์ของสามีขับเข้ามาจอดรอยยิ้มจากใบหน้าอวบอิ่มก็ไม่เหือดแห้งไปไหน ปฐพีก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่แพ้ผู้ที่ยืนรอรับ แต่เขาก็ไม่วายหันไปมองตามท้ายรถสปอร์ตหรูของลูกชาย ที่เดาได้ไม่ยากว่ามีใครนั่งคู่ไปด้วย

“ไปงานเปิดตัวโรงแรมแถวบางนาค่ะคุณ มาเหนื่อยๆ รับอะไรเย็นๆ ก่อนนะคะ”

อรปรียามักจะไม่ขาดตกบกพร่องในเรื่องความเป็นแม่ศรีเรือนที่คอยปรนนิบัติพัดวีสามีหลังกลับจากนอกบ้าน และไม่เคยเอ่ยปากถามว่าทำไมกลับช้า หรือว่าไปกับใครเลยสักครั้ง นอกจากถามแค่ไปไหนทำอะไรและจะกลับประมาณไหน ด้วยจะต้องตระเตรียมเสื้อผ้าหรือข้าวของเอาไว้ให้นั่นเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ปฐพีไม่คิดจะนอกลู่นอกทางไปหาเศษหาเลยที่ไหน

หรือถ้ามีก็จะน้อยครั้งมากกับผู้หญิงที่มักจะจบด้วยการมีเงินเป็นของแลกเปลี่ยน ด้วยเขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องดีนัก หากจะรับเลี้ยงใครเป็นตัวเป็นตน จนนำพามาให้ครอบครัวอันอบอุ่นต้องแตกแยก เฉกเช่นชีวิตของสงครามเพื่อนรักที่ต้องพบกับความล้มเหลว แม้จะไม่ได้เป็นผู้ก่อขึ้นเอง แต่ก็มีคนรอบข้างเช่นแม่หรือเมียเป็นคนสร้างขึ้น

“เห็นตาวีบอกว่าวันนี้ไปคุยกับแม่นั่นมาแล้วล่ะค่ะ คุณปู่คงจะให้ไปเป็นพี่เลี้ยงในช่วงแรกๆ และจะให้เทรนในส่วนของงานบริหารหลักๆ หรืออะไรประมาณนี้ค่ะคุยกันเมื่อช่วงเย็นนี่เอง แต่ลูกออกไปก่อนอรเลยยังไม่ได้ถามว่าตกลงสรุปกันว่ายังไง” อรปรียาตอบเนิบๆ เมื่อสามีเอ่ยถึงเรื่องที่ลูกชายต้องไปเป็นที่ปรึกษาให้สาวปากกล้า

“ตาวีไม่ได้บ่นอะไรถึงผมนะคุณ”

เขาก็ยังอดห่วงไม่ได้ว่าลูกจะไม่พอใจที่ด่วนตกปากรับคำโดยไม่ได้ถามลูกก่อน อรปรียาค้อนให้สามีขณะรับแก้วเบียร์เย็นๆ จากเด็กรับใช้ส่งให้สามีอย่างรู้งาน แล้วถึงได้ส่งประโยคประชดประชันออกไปอย่างเหลืออด

“โอ๊ย!!! ตาวีเหรอคะจะมาบ่นไม่พอใจ ในเมื่อพ่อสั่งคำเดียวซะอย่าง ก็ต้องทำตามอยู่แล้วล่ะ ต่อให้งานนั้นจะหนักหนาสาหัสสากันยังไงตาวีก็ต้องทำอยู่ดีนั่นล่ะค่ะ”

“ปากร้ายจริงนะคุณนี่” ปฐพีได้ทีรีบประชดกลับทันควัน แล้วถึงได้ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบด้วยความอารมณ์ดี

“หวังว่าต่อไปคุณปู่คงจะไม่สั่งให้ตาวีไปแต่งงานกับแม่ปากกล้านั่นแทนที่จะได้แต่งกับหนูยานะคะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด นี่นะแค่คิดถึงแม่นั่นขึ้นมาฉันก็แทบไม่อยากจะกินข้าวแล้ว คนอะไรก็ไม่รู้ สร้างศัตรูได้รอบบ้านรอบเมือง”

“ไปกันใหญ่แล้วคุณนี่ อารมณ์เสียมาจากไหนนะ ไม่เอาดีกว่าเปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ หรือไม่ก็ขึ้นไปเตรียมน้ำเย็นๆ ให้ผมอาบก็ได้ อยากจะลงอ่างเต็มทีแล้ว ตอนนั่งรถมานี่ก็คิดๆ อยู่เหมือนกันนะว่าน่าจะแวะอาบอบนวดซะดีไหม แต่คิดถึงคุณขึ้นมาเลยรีบตรงดิ่งเข้าบ้าน ไปเถอะผมเมื่อยจะแย่อยากได้คนนวดตัว”

สิ้นคำเขาก็คว้าแขนภรรยาดึงให้ลุกขึ้นแล้วตรงขึ้นบันไดทันที แม้อีกคนจะไม่ค่อยอยากจะทำตามนัก แต่สุดท้ายก็ยอมเดินคลอเคลียร์ไปกับสามีอยู่ดี



กองเอกสารบนโต๊ะผู้บริหารสาวมีไม่น้อยกว่ายี่สิบแฟ้ม เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาในตอนเช้า ไม่รวมกับที่ตัวเองและวีนาหอบมาคนละสี่ห้าแฟ้มอีก ย่างเข้าอาทิตย์ที่สองแล้วสำหรับการสวมบทบาทใหม่ จากตอนแรกที่คิดว่าคงจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่วุ่นวายอะไรมากมายนัก ทุกอย่างกลับกลายเป็นคนละทิศ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหน ผู้บริหารจำเป็นจะต้องรู้ให้ลึก รู้ให้ดี ให้ทันกับพนักงานทั้งระดับล่างและระดับบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องทันสาลินีที่เจ้าตัวลงทุนแย่งเอาตำแหน่งมาหน้าตาเฉย

“เฮ้อ! น้องฉันจะถูกเอกสารพวกนี้ทับตายหรือเปล่านี่ ดูสิมาทำงานไม่กี่วันแท้ๆ ต้องคิดโน่นคิดนี่ตลอด เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะอ๋อ อย่างน้อยๆ ก็เหลือเงินสองสามล้านไว้ใช้จ่ายได้สักระยะ หลังจากที่คืนสิบล้านหลังคืนคุณปู่ไป”

วีนาวางเอกสารลงบนโต๊ะแล้วหยอกเย้าน้องด้วยสายตาล้อเลียน หทัยชนกยิ้มอย่างท้าทายออกมา แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ชื่นจิตก็โผล่เข้ามาพร้อมรายงานอย่างคล่องแคล่วว่าวันนี้เจ้านายสาวจะต้องทำอะไรยังไงที่ไหนและเมื่อไหร่ ยังไม่ทันได้พูดจบสุจินต์ก็โผล่มาอีกคนตามติดด้วยโต๊ะทำงานหรูหราแต่ไม่ใหญ่เท่าที่มีอยู่แล้วก็ถูกยกเข้ามาในห้อง พร้อมเก้าอี้ ทั้งสามมองเป็นตาเดียวกันด้วยความสงสัย

“อ้าว! ก็วันนี้คุณปวีย์จะมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคุณอ๋อไงครับ แล้วจะไม่ให้แกมีโต๊ะทำงานเอาไว้หน่อยเหรอครับ” สุจินต์เหมือนจะเดาสายตาของเจ้านายออก เลยรีบไขข้อข้องใจ เพียงเท่านั้นวีนากับชื่นจิตก็รีบเผ่นออกจากห้อง

ทันที เพราะถือว่าเป็นเรื่องภายในที่ไม่ควรเสียมารยาทอยู่ฟัง เจ้าของห้องทำสีหน้าเบื่อเล็กน้อย พอให้ทนายประจำตระกูลรู้ว่า ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะชื่นชอบนักกับการที่จะต้องมีใครมานั่งประกบในห้องทำงานอย่างใกล้ชิดขนาดนี้

“น่าคุณอ๋อ แค่อาทิตย์ละวันเองนะครับ คุณวีเก่งจะตายใครได้อยู่ใกล้รับรองต้องเก่งตามแกแน่ๆ ผมว่าให้คนรีบหาอุปกรณ์อื่นๆ มาไว้บนโต๊ะให้แกก่อนดีกว่านะครับ อีกหน่อยก็คงจะมาถึงแล้วล่ะ นี่ผมแวะมาจัดการเรื่องคุณวีให้ก่อนนะครับ จากนั้นก็จะรีบเข้าออฟฟิศเหมือนกันไม่รู้อะไรมีเรื่องยุ่งๆ ทั้งวัน”

สุจินต์ออกตัวจนหทัยชนกล้มเลิกความคิดที่จะสั่งให้คนยกโต๊ะออกไปไว้อีกห้องจะได้เป็นสัดส่วน ต่างคนก็ต่างมีเวลาเป็นส่วนตัว แทนการแย้งหญิงสาวจึงรีบกดออกไปสั่งชื่นจิตและขอกาแฟสำหรับตัวเองและทนายคนเก่งสองที่ แต่ยังไม่ทันจะได้ชงกาแฟเสร็จวีนาก็ต้องเพิ่มอีกแก้ว เมื่อเห็นปวีย์เดินหิ้วประเป๋ามาพอดี

“โห! คุณวีมาแต่เช้าเชียวนะครับ ยังเตรียมอุปกรณ์ให้ไม่เสร็จเลย งั้นรับกาแฟก่อนดีกว่านะครับ”

สุจินต์เอ่ยปากต้อนรับเสียเองประหนึ่งเป็นเจ้าของห้อง ส่วนเจ้าของตัวจริงกลับเพียงเดินนำเขาไปนั่งลงยังชุดรับแขก โดยไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากปล่อยให้สองหนุ่มคุยกันตามประสาคนคุ้นเคย กระทั่งสุจินต์ออกจากห้องไป สองหนุ่มสาวจึงต่างตรงไปหาโต๊ะทำงานของตัวเองเงียบๆ

“ไหนคุณทำอะไรหรือศึกษาอะไรไปถึงไหนแล้ว”

จนในที่สุดที่ปรึกษาหนุ่มก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามออกมาด้วยความอยากรู้ จะได้สอนงานถูก หรือแนะนำได้ตรงจุด แต่คนถูกถามยังคงนั่งอ่านแฟ้มหน้าตาเฉย แม้ในใจจะว้าวุ่นด้วยความหวาดระแวงกับการมีคนที่เป็นเสมือนสายลับของสาลินีเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การจะคิดจะพูดหรือจะทำอะไรก็คงล่วงรู้ถึงหูของเจ้าหล่อนไปแทบทุกเรื่องเป็นแน่ แถมนิสัยส่วนตัวของพ่อเทรนเนอร์หนุ่มนั้นเธอก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นคนยังไง เลยคะเนไม่ได้ว่าจะเปิดช่องให้เข้าหามากน้อยแค่ไหน

“อ้าว! คุณไม่ได้ยินที่ผมถามเหรอ ผมมีเวลาให้คุณแค่อาทิตย์ละวันนะ มีอะไรก็รีบๆ บอกมาผมจะได้ชี้แนะถูก” ปวีย์ไม่ใคร่จะเข้าใจนักว่าทำไมคนถูกถามยังคงนิ่งเฉย แม้จะรู้ว่าเจ้าหล่อนไม่ใคร่จะชอบขี้หน้าเขานัก แต่เขาก็ไม่

ชอบใจเอามากๆ หากการเป็นผู้บริหารระดับสูงแล้วไม่รู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงานออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนคนที่นั่งนิ่งก็ละสายตาจากเอกสารแล้วหันไปหาเขา จ้องมองอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทียียวน

“ตอนนี้ฉันยังไม่มีอะไรจะถาม คุณก็นั่งทำงานเงียบๆ ไปก่อนก็แล้วกัน และกรุณาอย่ารบกวนเวลางานของฉัน เพราะคุณคงจะรู้ดีว่าพวกผู้บริหารต้องการใช้สมาธิมากน้อยแค่ไหน หรือถ้าคุณเบื่อก็ออกไปขับรถกินลมชมวิวเล่นๆ ก่อนก็ได้ พอใกล้เที่ยงจะกลับบ้านฉันก็ไม่ว่า ถือว่าคุณมาช่วยงานฉันแล้ว”

“ขับรถกินลมชมวิว อย่างนั้นเหรอ!”

ที่ปรึกษาหนุ่มทวนคำอย่างฉงน พร้อมหรี่ตามองเจ้าของประโยคด้วยความไม่อยากเชื่อ แล้วความคิดที่จะสอนผู้บริหารมือใหม่ด้วยทษฏีง่ายๆ สำหรับวันนี้เป็นอันถูกยกเลิกไปในทันที จากนั้นทั้งมือถือและกุญแจรถก็ถูกเขาคว้าจากโต๊ะแล้วยัดใส่ในกระเป๋ากางเกงโดยเร็ว พร้อมก้าวยาวๆ ไปหาอีกคนมือหนาคว้าเอาข้อมือเล็กไว้ อีกมือก็หิ้วกระเป๋าสะพายของเจ้าหล่อนที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะขึ้น

“เอ๊ะ! นี่คุณจะทำอะไร ปล่อยนะ คุณจะพาฉันไปไหน”

เจ้าของแขนร้องเอะอะพร้อมสบัดแขนออกจากมือแข็งแรง แต่ก็ไม่เป็นผล ส่วนเจ้าของมือก็หันมายิ้มยียวนกวนประสาทให้อย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนเอ่ย

“ก็ผมจะพาคุณไปขับรถกินลมชมวิวไงล่ะ ถ้าไม่อยากอายพนักงานข้างนอกเพราะถูกผมลากออกไปก็กรุณาเดินตามมาดีๆ ผมจะบอกให้คุณรู้เอาไว้ด้วยว่า นอกจากที่ผมจะลากคุณไปได้แล้ว ผมก็ยังสามารถแบกคุณขึ้นบ่าแล้วเดินออกไปอย่างหน้าตาเฉยได้ด้วย อ้อ! เตือนไว้ก่อนนะว่าคนอย่างผมพูดจริงทำจริง”

จบคำเขาดึงแขนเล็กให้ลุกขึ้น จนเจ้าของแขนแทบจะตามไปไม่ทัน อาการสบัดแขนออกจากมือเขา หรือพยายามแกะนิ้วแข็งแรงออกจากข้อมือเล็กจบสิ้นลงเมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมา ชื่นจิตกับวีนาที่กำลังนั่งเตรียมงานถึงกับรีบลุกขึ้นด้วยความสงสัย

“มีอะไรโทรเข้ามือถือเรานะครับคุณชื่น วันนี้ผมจะพาผู้บริหารคนใหม่ออกไปเรียนรู้งานข้างนอก”

ปวีย์สั่งงานประหนึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเสียเอง เพราะคุ้นเคยกับที่นี่ไม่น้อย และรู้จักแทบทุกคนรวมทั้งกิจการทุกอย่างแทบจะทุกตารางนิ้วก็ว่าได้ ด้วยตอนจบจากเมืองนอกมาใหม่ๆ พ่อให้มาฝึกงานกับคุณสมควรและสงครามนานเป็นปี ก่อนจะกลับเข้าไปทำงานในบริษัทของตัวเอง นี่จึงเป็นเหตุผลของคุณสมควรว่าทำไมถึงต้องเลือกให้เขามาเป็นที่ปรึกษาให้หลานสาวจอมดื้อคนนี้

“คุณจะพาฉันไปไหน!”

คำถามนี้ถูกเปล่งออกมาทันทีเมื่อร่างสูงโปร่งถูกยัดเข้าไปนั่งในเฟอรารี่แคลิฟฟรอเนี่ยร์มันวาว แต่เจ้าของสปอร์ตหาได้ให้ความกระจ่างไม่ นอกจากจะควบรถออกไปด้วยความเร็ว จนคนนั่งมาด้วยต้องรีบคว้าเข็มขัดขึ้นมาคาดไว้ แล้วนั่งนิ่งโดยไม่เอ่ยถามอะไรเขาอีกเลย

“วันนี้ผมจะพาคุณออกไปเปิดหูเปิดตาหน่อยไง นั่งแต่ในออฟฟิศมานานคุณไม่เบื่อบ้างเหรอ”

คนขับหันไปบอกครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปหาถนนอันทอดยาวไปอย่างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีกเลย



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:32:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:32:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 884





<< แม่คุณร้ายเหลือรับทาน   ยิ้มใสๆ กับชัยชนะที่เหนือกว่า >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:57:24 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account