ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: ผู้บริหารคนใหม่

โฟล์คสวาเกนสีขาวแล่นเข้าไปจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ในเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า ร่างสูงโปรงที่มีกระโปรงผ้าต่อสีสันสดใส กับเสื้อกล้ามขาวก็ก้าวลงมา ส่วนประตูอีกข้างก็มีผู้แม่ก้าวออกมายืนยิ้มรับเจ้าของบ้านที่ยิ้มแป้นมารับถึงหน้าประตูแทบทุกครั้งที่สองแม่ลูกมากินข้าวด้วย ปวีย์เดินตามหลังแม่มาติดๆ เขายกมือไหว้สาลินีแล้วยิ้มบางๆ รับแฟนสาว ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินไปยังห้องรับแขกที่มีปฐพีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ หัวข้อที่นำมาถกเถียงกันก็คือเรื่องของผู้บริหารสาวคนใหม่ของ บีซีเคกรุ๊ป

“ยาไม่เห็นว่าพี่วีจะต้องเพิ่มวันไปช่วยเทรนแม่นั่นเลยนี่คะ เอกสารก็มีมากมายให้อ่านให้ศึกษา คนงานเก่าๆ ก็มีเป็นร้อย ทำไมไม่ถามทำไมไม่เรียนรู้จากพวกนั้น ไม่เห็นจะต้องดึงเอาเวลาทำงานของพี่วีไปเลย”

สาริยาอดบ่นเป็นครั้งที่สิบอีกไม่ได้นับตั้งแต่รู้จากปากของแฟนหนุ่ม สาลินีเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผิดตรงที่คนแรกจะแสดงสีหน้าและท่าทางออกมาอย่างลูกไม่ได้ แต่สำหรับอรปรียาซึ่งเป็นคนตรงไม่แพ้ว่าที่สะใภ้นั้นไม่คิดจะเก็บงำเอาไว้แต่อย่างใด

“นั่นน่ะสิตาวี ทำไมจู่ๆ ไปเสนอตัวช่วยขนาดนี้ล่ะ แล้วงานเราจะไม่เสียเหรอ แม่บอกตรงๆ นะว่าแม่ไม่ชอบใจเอามากๆ ที่จะดึงเราไปใช้งานเปล่าๆ ปลี้ๆ แถมจะต้องขับรถตะลอนๆ กันออกไปดูโรงงานต่างจังหวัดสองต่อสองอีก แม่ว่ามันจะไม่งามเอานะ”

ปวีย์หันไปยิ้มให้พ่อเป็นเชิงขอความช่วยเหลือให้ไกล่เกลี่ย แต่ผู้พ่อกลับทำเฉย เพราะไม่เข้าใจในจุดหมายของลูกชายอย่างชัดแจ้งนั่นเอง อีกทั้งก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำเมียและว่าที่สะใภ้ในบางส่วน เมื่อตัวช่วยไม่สนใจชายหนุ่มจึงจำต้องออกโรงเอง

“คุณแม่ครับ ใครจะคิดยังไงก็แล้วแต่สิครับ ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร และผมก็คิดว่าน้องยาก็น่าจะเชื่อใจผมด้วย เราคบกันมานานยาก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง ตอนนี้พวกเราควรจะตัดเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานก่อนดีกว่ามั้ยครับ สถานะการณ์ใน บีซีเค กำลังสั่นคลอนเพราะขาดผู้นำ ดังนั้นอ๋อก็จะต้องรีบดึงขวัญและกำลังใจของพนักงานให้กลับมาเร็วที่สุด ด้วยการเรียนรู้ระบบงานและเรื่องอื่นๆ ให้รู้ลึกรู้จริงในเนื้องาน สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้เนื้อเชื่อใจให้พนักงานมั่นใจในตัวผู้นำ และเธอก็คงจะทำคนเดียวไม่ได้จะต้องมีคนที่รู้คอยช่วยเหลือ”

“แล้วทำไมจะต้องเป็นพี่วีด้วยล่ะคะ ยาไม่ชอบเลย”

แม้สาริยาจะเห็นด้วยไม่น้อย แต่ก็ยังมีความหึงหวงอยู่มาก เหนือสิ่งอื่นใดก็มีความกลัวแอบแฝงอยู่ลึกๆ อย่างยากจะขจัดออกไปให้หมดสิ้น แม้จะรู้ว่าที่ผ่านมาเขามั่นคงสักเพียงใด แต่การที่หนุ่มหล่อเป็นที่หมายปองของผู้หญิงนับร้อยอย่างได้อยู่ใกล้ๆ คนสวยอย่างหทัยชนกแล้ว มันก็ยากที่จะให้นิ่งเฉยได้ และความคิดนี้ก็ก่อตัวขึ้นในจิตใจของสาลินามานับตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าปวีย์จะต้องเข้าใกล้หนามชีวิตแล้ว หากก็ถูกเก็บงำเอาไว้ไม่ให้ใครรู้

“พี่เป็นแค่หนึ่งในอีกหลายคนที่จะต้องช่วยแค่นั้นนะยา พี่อยากให้ยาเข้าไปดูออฟฟิศอ๋อสักวัน แล้วจะรู้ว่าทำงานหนักมากแค่ไหน กองเอกสารที่วางอยู่แทบจะท่วมหัว คนไม่เป็นคนไม่เคยหรือไม่มีประสบการณ์คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พี่ก็เห็นอ๋อไม่เคยปริปากบ่น แทนที่จะมาคอยตำหนิหรือกังวลเรื่องไร้สาระอยู่แบบนี้ สู้มาช่วยเขาอีกแรงไม่ดีกว่าเหรอ อย่าลืมว่าที่อ๋อกำลังทำอยู่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทุกคนในบวรชัยกุลนะยา”

นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ปวีย์รู้สึกว่ากำลังถูกซักฟอก น้ำเสียงเรียบนุ่มที่เฝ้าอธิบายกับหญิงสาวมาหลายต่อหลายครั้งจึงผันไปในทางเบื่อและเอือมนิดๆ สาริยากับอรปรียาหันไปหากันอย่างขัดใจ และทำท่าจะเถียงกลับ แต่สาลินีก็ไหวตัวทันจึงสะกิดลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วชิงบอกแทนลูก

“แม่ว่าก็ถูกของพี่วีนะยา เราควรจะช่วยอ๋อ ไม่ใช่มาคอยนั่งกลัวในสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ หรือยาไม่เชื่อใจพี่วีล่ะ ยาก็รู้ว่าตลอดเวลาพี่วีของยาไม่เคยเหลียวมองสาวไหน ทำใจให้สบายนะลูก แล้วว่างๆ แม่ว่ายาก็น่าจะไปช่วยพี่อ๋อกับพี่วีที่ออฟฟิศบ้างนะ หรือถ้ายาไม่สบายใจเวลาพี่วีไปดูโรงงานต่างจังหวัดกับอ๋อ ยาก็ค่อยตามไปได้นี่จ๊ะ”

สถานะการณ์ในห้องรับแขกของครอบครัวอัครเสวีจึงค่อยคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง แล้วทุกคนต่างลุกเดินไปห้องอาหารแทบจะพร้อมกันด้วยใบหน้ามีรอยยิ้ม แต่ก็เป็นยิ้มจอมปลอมที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาแทบทั้งสิ้น เพราะภายใต้รอยยิ้มนั้นต่างก็มีความกังวลในเรื่องที่เกรงกลัวอยู่ไม่น้อย ยกเว้นปวีย์ที่ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวใดๆ หากแต่มีความอึดอัดเข้ามาแทนที่

เมื่อเห็นว่าที่แม่ยายกำลังจะดึงลูกสาวเข้าไปเป็นผู้ควบคุมความประพฤของเขาแม้ในเวลาทำงาน ซึ่งเขาไม่ชอบเป็นอย่างมาก ด้วยตั้งแต่จำความได้พ่อแม่ก็ให้อิสระมาตลอด ไม่เคยบังคับจิตใจเลยสักครั้ง แม้แต่เรื่องที่จะหมั้นหมายกับสาริยา ที่เขาเองก็พึงพอใจที่จะทำตามคำของผู้ใหญ่อย่างไม่ยากเย็นนัก ถึงจะรู้ตัวเองว่าไม่ได้รักสาริยาจนล้นอกล้นใจชนิดขาดไม่ได้ แต่ก็ไม่รังเกียจที่จะแต่งงานด้วย เพราะสาริยาไม่มีจุดบกพร่องร้ายแรงตรงไหนให้เขาต้องปฏิเสธ

อีกทั้งก็ตระหนักดีแล้วว่าตระกูลบวรชัยกุลกำลังขาดผู้สืบทอดกิจการเมื่อสิ้นสงครามแล้ว เขาก็คงจะกลายเป็นความหวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะไม่อยู่ในฐานะผู้รับมรดก แต่ก็อยู่ในฐานะผู้ที่จะต้องทำหน้าที่รักษามรดกของตระกูลนี้เอาไว้ให้ถึงมือทายาทที่แท้จริง ซึ่งนั่นก็คือสงกรานต์ลูกชายคนเดียวของสงคราม แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นช่องทางที่เด็กหนุ่มจะก้าวเข้ามาเป็นผู้สืบทอดกิจการแต่อย่างใด เพราะไม่เอาอ่าวอะไรเลย



เมื่อถึงเวลาที่เจ้านายสาวต้องเดินเข้าห้องประชุม แซกสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยสีดำที่ชุดซีทรูสีดำคลุมไว้อีกรอบช่วยขับให้ผิวขาวอมชมพูของผู้บริหารสาวดูเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งมีรองเท้าส้นสูงแบบสานสีเดียวกันก็ยิ่งส่งให้ร่างสูงอยู่แล้วยิ่งสูงขึ้นไปอีก จนพนักงานแทบทุกคนต้องหันไปมองเป็นตาเดียวกัน

ผมดัดปลายลอนใหญ่สีน้ำตาลบลอนด์สว่างที่เข้ากับใบหน้าขาวเรียวงาม และแอบแฝงความเป็นสาวเปรี้ยวด้วยการเพิ่มประกายสีผมแบบโกลเด้นฮันนี่ด้วยแล้ว หลายต่อหลายคนต่างพากันเผลอคิดไปว่ามีนางแบบหลงแคทวอล์คมาเดินอยู่ในบริษัทเลยทีเดียว

“จากระยะเวลาเกือบสองเดือนที่อ๋อได้เรียนรู้และศึกษาระบบงานบางส่วน ก็เห็นว่าบริษัทเราก็ประสบปัญหาไม่แตกต่างจากที่อื่นๆ นัก อ๋อจึงอยากจะเสนอแนวทางแก้ไขด้วยการดึงเอาการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนมาใช้ และอ๋อก็อยากทำให้มันได้ผลอย่างดีเยี่ยมด้วย”

ผู้บริหารในที่ประชุมต่างเงียบกริบแล้วหันไปมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูและไม่มั่นใจในคำบอกเล่าของเจ้านายสาว ส่วนสาลินีนั้นนอกจากจะไม่เชื่อมั่นแล้ว ยังไม่รู้ว่าคำที่หทัยชนกบอกมามีความหมายยังไง ด้วยภูมิความรู้ด้านบริหารไม่ดีพอ บวกกับการไม่ได้สนใจจะเรียนหรือใฝ่หาความรู้มาใส่ตัวด้วย

“จะไหวเหรอครับคุณอ๋อ ระบบนี้มันไม่ใช่จะทำกันง่ายๆ นะครับ ผมเคยเสนอให้คุณสงครามลองใช้มาแล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเลยครับ”

ทรงพลรีบทักท้วงด้วยความกังวล พลอยทำให้ทุกคนในที่ประชุมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แววตาที่บ่งบอกถึงความชอบใจของสาลินีมีหรือที่คนนั่งอยู่หัวโต๊ะจะมองไม่เห็น แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ ไม่ใส่ใจเพราะเรื่องงานในตอนนี้สำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว ดวงตาคู่สวยจึงมองกวาดไปหาทุกคนรอบโต๊ะก่อนจะเปล่งประโยคอันยืดยาวที่ได้ตระเตรียมมาไว้เรียบร้อยแล้ว

“อ๋อรู้ค่ะว่ามันไม่ง่าย ลำพังความรู้เท่าหางอึ่ง ประสบการณ์ขั้นอนุบาลอย่างอ๋อคงไม่มีปัญญาทำได้แน่นอนค่ะ แต่อ๋อก็เชื่อมือพวกเราทุกคนว่าจะช่วยอ๋อแก้ไขปัญหาที่มีมานานแสนนานให้หมดไป หรือลดน้อยลงได้บ้าง คุณปู่บอกอ๋อเสมอค่ะว่าผู้บริหารทุกคนล้วนแล้วแต่มีฝีมือ ท่านเชื่อว่าอ๋อจะทำงานทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้ ถ้าทุกคนช่วยอ๋ออย่างเต็มที่ค่ะ”

และมันก็เรียกร้อยยิ้มของความภาคภูมิใจมาสู่ใบหน้าของผู้บริหารได้อย่างไม่น่าเชื่อ วินาทีนี้เองที่ทุกคนต่างคิดเห็นตรงกัน นั่นก็คือ แววตาวิงวอนไหว้วานและหวังดีของคุณสมควรและความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะในตัวของสงครามได้มารวมอยู่ในร่างหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนนี้แล้ว สาลินีเองก็เห็นและเห็นอย่างแจ่มแจ้ง จนรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาจับใจเลยทีเดียว และยิ่งเห็นว่าทุกคนในห้องล้วนแต่คล้อยตามคำของหนามชีวิตด้วยแล้ว ก็ยิ่งมองไม่เห็นผลดีหากจะลุกขึ้นมาคัดค้าน ไฟแค้น ไฟเกลียดชัง จึงถูกซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มน้อยๆ เท่านั้น

“ถ้าคุณอ๋อคิดว่าพวกเราพอจะช่วยได้ งั้นก็มาลองดูสักตั้งก็แล้วกัน จริงมั้ยพวกเรา”

“ขอบคุณมากค่ะ เป็นอันว่าเราทั้งหมดมีคำมั่นสัญญากันแล้วนะคะ ว่าจะทำงานนี้ให้ประสบผลสำเร็จ”

วีนาเห็นน้องยิ้มหน้าบานออกจากห้องประชุมก็พลอยสบายใจไปด้วย หลังจากที่ตั้งแต่ก้าวเข้ามาช่วยงานผู้เป็นปู่น้องก็อยู่ในสภาพหน้าดำคร่ำเคร่งมาโดยตลอด น้ำผลไม้ในตู้เย็นจึงถูกผู้พี่ยกไปให้ในห้องทันที หทัยชนกยิ้มรับด้วยความขอบคุณ แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ยังผลให้อีกคนมองด้วยความขำ

“ไปตายอดตายอยากมาจากไหนจ๊ะแม่คุณ”

ไม่ทันที่จะได้ตอบ ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเจ้าของห้องเกิดอาการขุ่นเคืองไม่น้อย และยิ่งเห็นหน้าคนเปิดด้วยแล้ว แทบอยากจะสำรอกออกมาอย่างช่วยไม่ได้เลยทีเดียว แต่แทนการเกรี้ยวกราดใส่ หทัยชนกกลับจ้องมองสาลินีด้วยสาตายียวนกับท่าทีที่ใจเย็นกว่าหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้กำลังถือไพ่เหนือกว่าแม่เมียน้อยทุกใบ

“มีอะไร!”

“เธอคงไม่คิดว่าฉันจะมาเดินเที่ยวเล่นในห้องเธอด้วยความรักและคิดถึงหรอกนะ”

ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำใดๆ แล้วสำหรับสาลินี ด้วยรู้ดีว่าใช้ไม่ได้ผลกับหทัยชนก ดังนั้นทั้งสีหน้าแววตาที่บ่งบอกว่าจงเกลียดจงชังจึงถูกแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ทำเอาสองพี่น้องต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความขำ ก่อนจะส่งน้ำคำเยาะเย้ยออกไปหาอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายตาอันเอาเรื่องของสาลินีเลยแม้แต่น้อย

“อ้าว! เดี๋ยวนี้ไม่มี ‘หนูอ๋อ’ หรือน้าอย่างนั้นน้าอย่างนี้แล้วเหรอคะ คุณนี่ถ่างดีได้ไม่ตลอดรอดฝั่งเลยนะคะ เอ๊ะ! หรือจะรู้ว่ายังไงก็ตบตาคนอย่างฉันไม่ได้กันแน่”

“ภาษาผู้ดีคนอย่างเธอคงจะฟังไม่รู้เรื่องกระมัง ที่ฉันมาก็เพื่อจะบอกว่า อย่าพยายามดึงเอาตัวตาวีเข้ามาใกล้หล่อนให้มันมากนักนะ คิดเหรอว่าหน้าตาและท่าทางอย่างหล่อนจะดึงหัวใจรักที่เขามีให้ยายยาได้ ฉันขอเตือนว่าอย่าแม้แต่จะคิด ทางที่ดีเธอควรจะหาคนมาสอนงานใหม่ที่ไม่ใช่ตาวีจะดีกว่า”

เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของสาลินีแล้วหทัยชนกก็อ่านออกได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่ากำลังกลัวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง แต่ก็ถูกผลักออกไปอย่างฉับพลันเช่นกัน และถูกแทนที่ด้วยการเอาคืนให้หนัก แม่เมียน้อยจะได้เข็ดหลาบจนไม่กล้ามาเบ่งถึงในห้องขนาดนี้

“งั้นเธอก็คงจะต้องไปบอกคุณปู่เองกระมังว่าให้เปลี่ยนคนใหม่มาให้ฉัน แต่อันที่จริงเธอคงไม่ต้องเสียเวลาถามให้เมื่อยหรอก ฉันตอบแทนเองก็ได้ว่า ไม่มีทางที่คุณปู่จะทำตามคนอย่างเธอ จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่า เธอน่ะมันหมดความหมาย ไร้น้ำยาสำหรับคุณปู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่บริหารงานที่ไม่ได้เรื่องจนต้องเรียกฉันมาทำแทน

หรือแม้แต่การเป็นแม่ที่ดี เธอยังทำไม่ได้เล้ย อย่างเธอมีดีแค่อย่างเดียวเท่านั่นล่ะคือการคิดแต่เรื่องสกปรกๆ เรื่องชั่วๆ เรื่องปั้นน้ำเป็นตัวจนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไง ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว และถ้าไม่จำเป็นอย่าเหยียบเข้ามาในนี้อีก ฉันขี้เกียจให้คนเอาน้ำมาล้างซวยออก”

สาลินีเบิกตากกว้างจ้องมองหนามชีวิตด้วยความคาดไม่ถึง ว่าจะกล้าต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ อดโกรธตัวเองอยู่ไม่ในใจไม่หายที่ประเมินคนผิด ประเมินสถานะการณ์ผิด ถึงต้องมาอยู่ในสภาพจนตรอกแบบนี้ แต่ในเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งเดียวที่สาลินีต้องทำและทำให้สำเร็จนั่นคือเดินหน้าต่อ ดึงเอาสมบัติทุกชิ้นของตระกูลบวรชัยกุลมาเป็นของตัวเองอย่างที่มันควรจะเป็นให้ได้

“ฉันไม่เถียงเธอหรอกว่าคุณพ่อจะไม่ยอม ไม่ว่าเธออยากจะได้อะไรตอนนี้ก็คงจะหมดทั้งนั้นล่ะ แต่มันก็แค่ตอนที่เธอมีความหมายเท่านั้น พอท่านใช้เธอลุยงานจนทุกอย่างดีขึ้นเมื่อไหร่ ท่านก็จะเฉดหัวหลานนอกไส้อย่างเธอกลับไปอยู่สลัมตามเดิมชนิดเธอตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว อย่าลำพองหรือหลงว่าตัวเองสำคัญหน่อยนักเลย เธอมันก็แค่หลานที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาเลยเท่านั้น ที่ได้มายืดอยู่ตรงนี้ก็เพราะหาใครมาเป็นวัวเป็นควายไว้เทียมเกวียนไม่ได้ต่างหาก จำเอาไว้”

ชุดทำงานเริดหรูกับมาดคุณนายประจำตระกูลหายวับจากไปโดยไม่คิดจะสนใจสีหน้าของเจ้าของห้องที่มองตามด้วยความเกลียดชังสักแค่ไหน วีนารีบเดินตรงเข้ามาจับมือน้องไว้ด้วยความเห็นใจเมื่อน้องแสดงอาการโกรธออกมาทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบังนัก

“ใจเย็นอ๋อ ยายนั่นก็แค่มายั่วให้โกรธเล่นๆ เท่านั้น อย่าพยายามหลงกลมันเด็ดขาด”

หทัยชนกถึงเรียกสติให้กลับมาอยู่ใสภาวะปกติได้ ใบหน้าเรียวปรากฏรอยยิ้มบางๆ ให้พี่เพื่อเป็นการขอบคุณ แล้วเดินไปนั่งไขว้ห้างอยู่กับชุดรับแขกเพื่อเป็นการผ่อนคลาย วีนาเดินไปนั่งลงใกล้ๆ แต่อยู่ในท่าทีครุ่นคิดอย่างหนักจากเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนจะหันไปเปรยสิ่งที่ก่อตัวอยู่ในใจ

“พี่ว่าถ้าลองได้จัดหนักแบบเมื่อกี้นะ ต่อไปคงจะต้องหนักกว่านี้แน่เลย อ๋อต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิมนะ ไม่รู้เมื่อไหร่แม่นี่จะคิดเรื่องแผลงๆ หรือเรื่องร้ายๆ ขึ้นมาอีก”

หทัยชนกเองก็คิดไม่ต่างจากพี่มากนัก จึงพยักหน้ารับด้วยความเห็นด้วย และท่าทีผ่อนคลายเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นครุ่นคิดไม่แพ้กัน เพราะไม่รู้จะหาทางรับมือกับศัตรูอย่างสาลินีได้ยังไง บวกกับตัวเองก็มีเรื่องงานเข้ามารัดตัวจนไม่มีเวลาได้คิดหาทางสืบหาตัวต้นเหตุที่จะมาทำให้แม่พ้นผิดสักที

“นั่นน่ะสิพี่อี๋ แล้วเรื่องนายพันล่ะตามไปถึงไหนแล้ว”

สองพี่น้องใช้เวลาเกือบครึ่งชัวโมงในการปรึกษาหารือเรื่องส่วนตัว ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานตามที่ได้ตกลงกันไว้ นั่นคือวีนาก็ยังคงต้องรับผิดชอบเรื่องสืบหานายพันกับพีระ ส่วนหทัยชนกทำงานเป็นเรื่องหลัก ส่วนเรื่องรองนั้นก็คือการเข้าให้ถึงคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งอาจจะมีใครให้เบาะแสสำคัญอยู่บ้าง



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:35:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:35:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 931





<< เริ่มแผนกระชากหน้ากาก   ไฟปะทุเชื้อ >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:58:09 น.
ต่อไปเรามาเจอกันแถวนี้นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account