ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง
ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว
และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน
แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว
ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ
ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว
และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน
แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว
ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ
Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ
ตอน: แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง
“แม่ไม่ต้องมาห่วงผมมากมายหรอกครับ เดี๋ยวคุณปู่กับคุณย่าจะมาตำหนิแม่อีกว่าตามใจจนผมเสียคน”
สงกรานต์ส่งน้ำเสียงประชดประชันแม่อย่างไม่เกรงอกเกรงใจใดๆ เพราะขุ่นเคืองในเรื่องไม่ดีที่แม่ปกปิดไว้อย่างมิดชิด แต่ก็มิดชิดไม่พอจนเขาบังเอิญไปได้ยินแม่พูดกับยายและดวง ก่อนพ่อจะตายจากไปไม่กี่เดือน
บวกกับไม่ชอบใจที่แม่มักจะยอมทำทุกอย่างตามคำสั่งของผู้เป็นปู่กับย่าโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว เพียงเพราะอยากจะเป็นคนครอบครองทุกอย่างของบวรชัยกุลไว้คนเดียว แม้แม่จะอ้างว่ามันจะตกเป็นของเขาในอีกไม่ช้าก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดอยากจะได้ ถ้าหากมันจะต้องแลกมาด้วยอดีตที่ไม่ขาวสะอาดของแม่
แต่เพราะความรักและสายสัมพันของแม่ลูก ทำให้เขาไม่คิดจะเปิดปากบอกใคร แต่จะดึงตัวเองให้ออกห่างแม่และทุกคนด้วยการ ไม่แม้แต่จะกลับไปเหยียบคฤหาสน์บวรชัยกุลอีกเลย นับตั้งแต่วันเผาพ่อ คอนโดหรืออพาร์ทเม้นท์จึงเป็นบ้านใหม่สำหรับสงกรานต์เรื่อยมา แต่พักหลังนี้การเงินค่อนข้างฝืดเคืองเมื่อแม่ไม่ค่อยให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเช่นเคย
เขาจึงต้องหันหน้ามาพึ่งบารมีผู้เป็นยายที่ทั้งรักและตามใจเขาแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเงิน แม้จะบ่นก่อนให้อยู่บ้างแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ตามคำขอ การมีบ้านหลังใหญ่ให้อยู่พร้อมความสะดวกสบายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน หรือบริวาร เขาจึงยึดเอาบ้านยายเป็นแหล่งพักมาได้สองเดือนแล้ว และก็ยังยืนยันที่จะอยู่ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด เมื่อผู้แม่ลงทุนมาตามถึงที่
“แต่กรานต์ก็น่าจะกลับไปหาแม่หาคุณปู่คุณย่าบ้างนะลูก เพราะท่านห่วงโดยฉพาะเรื่องการเรียน คุณปู่อยากให้จบเร็วๆ จะได้ส่งไปเรียนต่อเมืองนอก...”
“เพื่อที่กลับมาแล้วจะได้ทำงานรับใช้คุณปู่งกๆ เหมือนพ่อใช่มั้ยครับแม่ จะไปไหน จะทำอะไร ก็ต้องรายงานคุณปู่ตลอดเหมือนเป็นนักโทษ ทั้งๆ ที่พ่อก็อายุมากแล้ว บอกตรงๆ นะว่าผมไม่เอาด้วยหรอก ใครจะทำก็ทำไป ผมจะใช้เงินแค่นั้น และผมก็ฝากแม่ไปบอกคุณปู่ด้วยนะว่า ไม่ต้องเอาเรื่องที่จะยกสมบัติให้มูลนิธิบ้าบออะไรนั่นหรอก เพราะผมไม่กลัวและไม่เชื่อด้วยว่าคุณปู่จะใจกล้าทำแบบนั้น ขี้เหนียวก็ปานนั้น กลัวตัวเองจะลำบากก็ปานนั้น ห่วงแต่ตัวเองก็ปานนั้น แล้วจะรับได้เหรอถ้าตัวเองไม่เหลืออะไรเอาไว้ ผมไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด”
เจ้าของผมเกรียนใบหน้าขาวนวลตุ้มหูเล็กๆ ติดข้างซ้ายไว้ยิ้มเยาะเย้ยความคิดของผู้เป็นปู่อย่างไม่แยแสหรือตกอกตกใจเหมือนคนในบ้านที่เฝ้าหวาดหวั่นในเรื่องนี้ไม่หาย สาลินีต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อการหว่านล้อมลูกไม่เป็นผลเอาเสียเลย มิหนำซ้ำก็ยังต้องควักเงินใส่มือลูกเป็นปึกเพื่อตัดความลำคาญใจอีก เสียงสปอร์ตดังสนั่นบ้านก่อนจะลับหายไปด้วยฝีมือการขับเคลื่อนของลูกชายคนเดียว
“ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้วล่ะยายสา แต่คิดอีกทีที่มันพูดมาก็ถูกเหมือนกันนะ เราน่ะอยู่รับใช้บ้านนั้นมาไม่รู้จะกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังไม่ยอมจะแบ่งปันให้เป็นสัดส่วนบ้าง คุณสมควรนี่แปลกคนคิดอะไรไม่เข้าท่า แล้วมันเรื่องอะไรที่ไปคว้าเอานังเด็กข้างถนนมาทำงาน เห็นทีเราจะใจเย็นต่อไปไม่ได้อีกแล้วนะสา”
อรสาผู้แม่อดกังวลในเรื่องของลูกสาวคนเดียวไม่ได้ เพราะดูเหมือนเรื่องร้ายๆ ต่างก็รุมเร้าเข้ามาทับถมชีวิตไม่ว่างเว้น หัวอกของแม่เมื่อเห็นลูกเป็นทุกข์ก็ยิ่งทุกข์ยิ่งกว่าหลายเท่านัก แม้ลูกจะอายุอานามมากแล้วก็ตามที แต่ยังไงเสียแม่ก็ไม่ยังเห็นลูกเป็นเด็กตัวน้อยๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง
“สาก็กำลังพยายามหาวิธีกำจัดมันออกไปให้พ้นทางอยู่เหมือนกันล่ะแม่ แต่ทุกอย่างจะต้องทำด้วยความรอบคอบ อีนังนั่นมันระวังตัวจะตายไป ข้าวปลาอาหารมันไม่ให้ที่ตึกตักไปให้เลยนะแม่ ออกจากบ้านมันก็ล็อคประตูหน้าต่างไว้หมดใครก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ เด็กจะไปทำความสะอาดมันยังไม่ให้เข้าไปเลย หรือถ้าไปก็ต้องเป็นตอนที่มันอยู่บ้านเท่านั้น และคนที่จะไปทำงานบ้านมันก็เลือกเอง สาเคยให้นังดวงไปทำมันไล่ตะเพิดกลับมาแทบไม่ทันเลยล่ะแม่ สาไม่รู้จะใช้วิธีไหนจัดการกับมันเหมือนกัน”
สาลินีถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้ผู้แม่ได้รับรู้เพื่อเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจ ด้วยเวลาอยู่บ้านบวรชัยกุลนั้นจะต้องอยู่ในคราบของคุณผู้หญิงที่แสนดี เรื่องพวกนี้จะพูดกับใครไม่ได้เลยนอกจากดวงคนสนิทที่อยู่รับใช้มาเกือบสามสิบปีเท่านั้น อรสานั่งครุ่นคิดตามคำลูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งไม้เด็ดๆ ออกมา
“ยุ่งยากนักก็จัดการขั้นเด็ดขาดไปเลยสิจะมานั่งกลัดกลุ้มอยู่ทำไม”
“มันง่ายอย่างที่แม่พูดก็ดีน่ะสิ คิดเหรอว่าตำรวจจะไม่สาวมาถึงเราได้”
สาลินีอยากจะทำตามคำแม่ใจจะขาด แต่ก็ติดหลายปัญหายุ่งยากที่จะตามมา ยิ่งจะทำให้ได้ไม่คุ้มเสียเข้าไปอีก อรสาถึงกับเบะปากออกมาด้วยอาการรำคาญเต็มกำลัง เพราะเสนออะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง
“แม่บอกแล้วนะว่าให้รีบจัดการมันซะตั้งแต่แรก นี่อะไรปล่อยให้คุณสมควรตามหามันจนเจอ แล้วเป็นไงล่ะทีนี้มันได้กลับมาเป็นหอกข้างแคร่อีกจนได้ ถ้าเชื่อแม่แล้วรีบลงมือก็คงจะดีหรอกจะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้ม”
อรสาผู้ไม่สนใจในบาปบุญคุณโทษว่ามีหน้าตายังไง ถ้าลองได้มีผลประโยชน์ของตัวเองและคนรอบข้างรออยู่ข้างหน้า ต่อให้ถึงขั้นต้องเด็ดชีวิตใครสักคน หม้ายวัยทองคนนี้ก็ไม่เคยหวาดหวั่น เพราะภูมิหลังมาตั้งแต่คราวแม่นั้นก็เป็นเมียเก็บเมียน้อย ถูกรังแกจากเมียหลวงมาโดยตลอด การที่ได้ดิบได้ดีมีหน้าตาในสังคมทุกวันนี้ได้ ก็มาจากความใจเด็ดของผู้แม่เป็นคนริเริ่ม
แผนการกำจัดเมียหลวงด้วยวิธีแยบยลจนคนจับไม่ได้นั้นอรสาได้รับการถ่ายทอดมาอย่างครบถ้วน แม้ในรุ่นของตัวเองจะไม่ได้งัดเอาความรู้เหล่านี้มาใช้ แต่ก็ได้ช่วยเหลือสาลินีในการกำจัดอิงอรออกไปให้พ้นทางได้ในรุ่นต่อมา ดังนั้นสองแม่ลูกจึงรู้พฤติกรรมของกันและกันเรื่อยมา
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก จะช้าจะเร็วสาก็จะต้องเขี่ยนังเด็กนั่นให้กระเด็นออกไปจากบ้านสักวัน แต่สายังไม่อยากใช้วิธีรุนแรงเท่านั้น ตอนนี้มันกำลังขึ้นหม้อและมีประโยชน์กับบีซีเคกรุ๊ปอยู่มากก็ปล่อยมันไปก่อน ให้มันฉายเดี่ยวแสดงศักยภาพว่ามันเก่งจนสุดฝีมือไปเลย สาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยตามไปปรับปรุงแก้ไขอะไรไงล่ะ รอให้ทุกอย่างลงตัวเมื่อไหร่ สาจะจัดการด้วยวิธีที่นุ่มนวลที่สุด ชนิดที่ใครๆ ก็คิดไม่ถึงหรือสาวไม่ถึงตัวสาแน่นอน อีกอย่างสาก็ยังไม่รู้ว่าตกลงแล้วคุณพ่อแอบทำพินัยกรรมฉบับจริงไว้บ้างหรือเปล่า เกิดเผลอทำอะไรรุนแรงไปคุณพ่อโมโหยกสมบัติให้มูลนิธิก็แย่กันไปหมดพอดี”
“โธ่เอ๊ย! ยายสา”
อรสาร้องอุทานออกมาด้วยความขำ กับอาการหวาดระแวงที่ไม่เข้าท่าของลูกสาว ก่อนจะร่ายเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่เคยบอกลูกมาไม่น้อยกว่าสามครั้งแล้ว แต่ลูกสาวก็ไม่ยอมเชื่ออยู่ดี
“นี่เราอายุเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาเชื่อคำขู่ของตาแก่นั่นอีกเหรอ มันน่ะงกสมบัติจะตายไป จ้างให้มันก็ไม่มีทางจะยกให้ใครที่ไหนหรอก นอกจากเก็บไว้ให้ลูกให้หลานเท่านั้น แม่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าไปเชื่อคำขู่นี้และก็ไม่ต้องไปตามหาอีนังนั่นให้เมื่อย แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้ก็ต้องมานั่งเดาใจไอ้แก่นั่นทุกวี่ทุกวันอีก ถ้าเราไม่เชื่อแม่ก็ลองแอบไปหาดูสิพินัยกรรมตัวจริงน่ะ รับรองว่ามันไม่ยกให้ใครที่ไหนหรอกนอกจากลูกหลานเท่านั้น แต่ใครจะได้มากได้น้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“ไม่ใช่ว่าสาจะไม่เชื่อแม่ แต่กลัวเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่ใช่มั้ยแม่ แต่เอาเถอะไว้สาจะลองแอบเข้าไปห้องคุณพ่อดูสักครั้ง เผื่อจะเจอพินัยกรรมบ้าง”
บรรยากาศยามเช้าภายในรั้วบ้านบวรชัยกุลช่างร่มรื่นไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ปกคลุมทั่วบริเวณ ไม้ดอกไม้ประดับชุ่มฉ่ำไปด้วยสายน้ำที่นายมากซึ่งเป็นคนสวนคอยดูแลเอาใจใส่อยู่ที่วี่ทุกวัน สนามหญ้าอันเขียวชะอุ่มก็ถูกตัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดหูสะอาดตาสำหรับคนที่ได้พบเห็น คุณอัญชลียิ้มอย่างพอใจกับผลงานการเอาใจใส่ต้นไม้ทุกต้นของคนสวนวัยหกสิบผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร
หากความคิดก็เผลอผูกไปหาคนสวนที่สร้างวีรกรรมอันเลวร้ายไว้ให้อย่างช่วยไม่ได้ พลอยคิดถึงเมียคนแรกของลูกที่นอนซบอกเจ้าคนสวนอยู่อย่างอิ่มสุข แล้วความเป็นผู้ดีหน้าบางของคุณอัญชลีก็ลอยมาในเวลาไม่ห่างกันนัก เรื่องคบชู้สู่ชายอย่างไม่อายฟ้าดินในครั้งนั้น ยากยิ่งที่จะทำใจให้ลืมหรือให้อภัย แม้อิงอรจะปฏิเสธสักแค่ไหน
แต่หลักฐานก็มีคาตาจนยากจะคิดเป็นอย่างอื่นได้ และมันก็เป็นภาพที่ติดตาคุณอัญชลีมาจนถึงทุกวันนี้ พร้อมๆ กับความเกลียดชังในตัวอิงอรที่มีอยู่ล้นเปี่ยมก็ไม่เคยเหือดแห้งไปไหนเช่นกัน สายตาที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับธรรมชาติ เหลือบไปเห็นสองร่างกำลังเดินลัดเลาะออกมาตามทางที่ปูด้วยบล็อกตัวหนอน
คุณอัญชลีเผลอจ้องมองรูปร่างสูงโปร่งของหลานนอกทำเนียบในชุดทำงานเรียบหรูทว่าดูดีหอบแฟ้มเอกสารสามแฟ้มไว้กับอก ส่วนอีกคนหิ้วกระเป๋าถือสองใบไว้ อีกมือก็มีกระเป๋าแล็ปท็อป คุณอัญชลียกข้อมือขึ้นดูเวลาก็พบว่าเพิ่งจะหกโมงเศษๆ
ดูเหมือนจะเป็นเวลาเดียวกับที่ลูกชายผู้จากไปก็มักจะออกบ้านเช่นกัน บวกกับรูปร่างและหน้าตาของหลานคนแรกก็ถอดแบบผู้พ่อมาแทบจะทุกอย่าง ยิ่งทำให้คิดถึงลูกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจจะนำมาหักล้างกับความเกลียดที่มีต่ออิงอรได้
“นี่หล่อนจะไปไหนแต่เช้ายะ อย่าบอกนะว่ากำลังจะไปทำงาน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น บริษัทฉันคงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าเดิมในอีกไม่ช้าแน่ แต่ฉันว่าอย่างหล่อนคงจะไม่ได้รักดีขนาดนี้กระมัง เพราะเลือดชั่วๆ ของแม่หล่อนคงมีอยู่ในตัวมากกว่าเลือดดีของพ่อสงครามเป็นแน่ ฉันขอเตือนไว้นะว่าจะทำชั่วที่ไหนก็ไปแต่ห้ามมาทำในบ้านของฉันเหมือนที่แม่หล่อนทำมาแล้ว”
แม้ใจอยากจะถามไถ่หลานสาวด้วยน้ำเสียงหรือถ้อยคำนุ่มนวลมากกว่านี้ก็ตามที แต่ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้คุณอัญชลีทำไม่ได้สักที จึงต้องเลือกวิธีใช้น้ำคำหรือประโยคประชดประชันแทบตลอดเวลา ส่วนคนเป็นหลานก็สะอึกกับคำประนามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นยิ้มแย้มแจ่มใสประหนึ่งไม่ได้ยินได้ฟังคำพูดที่เป็นอัปมงคลมาเข้าหูเลยสักนิด อีกทั้งยังจีบปากจีบคอตอกหน้าคนเป็นย่ากลับด้วยความอารมณ์ดีกว่าตอนแรกอีก
“เอ...พี่อี๋จ๊ะ ตกลงตอนนี้เราอยู่ในรั้วของตระกูลบวรชัยกุลหรือเปล่านะ ช่วยอ๋อคิดหน่อยสิ”
แม้วีนาจะไม่รู้ว่าน้องกำลังจะเล่นอะไร แต่ก็ตอบไปด้วยความพาซื่อ โดยไม่ได้คิดหรือตรึกตรองอะไรนัก
“ใช่สิ! อ๋อถามทำไม”
คนน้องยิ้มออกมาพร้อมแสดงท่าทางโล่งอกโล่งใจ จากนั้นก็หันไปหาผู้เป็นย่าแล้วยิ้มเยาะเย้ยอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ก่อนจะตอบออกมา
“เหรอ! โล่งอกไปที อ๋อคิดว่าเราเดินอยู่แถวปากคลองซะอีก งั้นก็รีบไปกันเถอะ อยู่แถวนี้แล้วมีกลิ่นอะไรตุๆ โชยมาใส่จมูก ยี้!!!”
สิ้นคำทั้งสองก็รีบตรงไปหารถแล้วขับออกไปโดยเร็ว ทิ้งให้คุณอัญชลีใคร่ครวญคำหลานอยู่เนิ่นนานกว่าจะคิดออกว่าถูกด่าว่าเป็นคนปากตลาดเข้าไปแล้ว
“ว๊าย!!! นังเด็กเมื่อวานซืน กล้ามาด่าว่าฉันปากตลาดเหรอ คอยดูนะ กลับมาแม่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย”
โชคดีของสองสาวที่ไม่ได้ยิน เพราะต่างก็พากันหัวเราะชอบใจอยู่ในรถอย่างครื้นเครง แทนที่จะเก็บเอาคำด่ามาเป็นอารมณ์ แต่ก็ปล่อยให้ผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาได้อย่างง่ายดาย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถก็แล่นเข้าไปจอดในช่องผู้บริหารระดับสูงแล้ว
รปภ. ที่หทัยชนกสั่งการไว้เป็นพิเศษให้เฝ้ารถเอาไว้ชนิดไม่ให้คราดสายตา วิ่งมาเปิดประตูให้เจ้านายสาวอย่างรู้หน้าที่ เมื่อได้รอยยิ้มแทนคำขอบคุณแล้ว ก็กลับไปยืนประจำในตำแหน่งเดิมอย่าง พีระควบรถเข้ามาจอดในเวลาใกล้เคียงกัน ทั้งสามตรงเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่อยู่ชั้นสามของอาคารอย่างคุ้นเคย ด้วยบ่อยครั้งที่จะนัดคุยเรื่องสำคัญที่นี่
“มันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเลย ไม่มีใครรู้ใครเห็น ประวัติอาชญากรก็ไม่มี เลยตามตัวยากสักหน่อย ประวัติการรักษาตัว หรือจากประกันสังคมก็ไม่มีชื่อนายพันอยู่เลย แปลว่าไม่ได้ทำงานที่ไหน หรือถ้าทำก็คงจะเป็นกิจการเล็กๆ แน่ นี่พี่ก็ว่าจะลองบึ่งรถไปดูบ้านเกิดมันที่อยุธยาเหมือนกัน เผื่อจะได้เรื่องอะไรบ้าง”
พีระเล่าให้ฟังด้วยท่าทีเรียบเฉยตามแบบฉบับของตำรวจหนุ่มมาดเท่ห์ ขณะใช้มีดปาดเนยไปทาขนมปังปิ้ง หทัยชนกแทบจะไม่ได้สนใจกับอาหารตรงหน้า เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พี่เขย เพราะมัวแต่ครุ่นคิดหนทางที่จะตามหาตัวต้นเหตุให้พบ จนไม่ได้สังเกตว่าเทรนเนอร์หนุ่มกำลังหิ้วกระเป๋าเดินผ่านห้องอาหารไปด้วยท่าทีสง่างาม ความตั้งใจที่จะฝากท้องไว้กับร้านถูกพับเก็บลงเมื่อเหลือบไปเห็นผู้บริหารสาวกำลังนั่งอี๋อ๋อกับหนุ่มหล่อในเครื่องแบบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงจะเป็นแฟนนั่นเอง
‘ปากกล้าขนาดนี้ยังมีคนหลงผิดคิดมาเป็นแฟนด้วยแฮ๊ะ แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง’
นั่นคือความในใจระหว่างเดินไปออฟฟิศ เมื่อเจ้าของห้องยังไม่เปิดประตู ปวีย์ก็เข้าไปไม่ได้ จึงจับจองพื้นที่บางส่วนของโต๊ะชื่นจิตเปิดแล็ปท็อปขึ้น แล้วนั่งทำงานด้วยท่าทีสงบนิ่งเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ประมาณครึ่งชั่วโมงชื่นจิตก็เดินเข้าออฟฟิศมา ถึงได้กาแฟกับปาท่องโก๋สำหรับมื้อเช้า ไม่นานเจ้าของห้องก็เดินเข้าออฟฟิศมาคนเดียว ไร้เงาแฟนหนุ่มกับผู้ช่วยเลขาที่เขาคุ้นตา
“ผมขอเวลาเตรียมแผนงานอีกครู่นะ ก่อนจะอธิบายขั้นตอนทั้งหมดให้คุณฟัง แล้วเราค่อยเข้าประชุมกัน”
เทรนเนอร์หนุ่มรีบออกตัว เมื่อเข้าไปนั่งในห้องเรียบร้อยแล้ว หทัยชนกยิ้มบางๆ ให้อย่างไม่อิดออด เพราะตัวเองก็ต้องใช้เวลาอ่านเอกสารเพื่อเซ็นอนุมัติอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นกัน กว่าจะจรดปลายปากกาลงในเอกสารหรือเช็คแต่ละใบก็กินเวลาไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เคยผ่านหูผ่านตามาก่อน ส่วนงานไหนที่เห็นว่าถูกต้องแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป
“คุณชื่นคะ เรื่องสั่งซื้อแอร์ใหม่ตั้งห้าสิบเครื่อง อ๋อรบกวนขอดูใบเสนอราคาเจ้าอื่นเพิ่มอีกมากกว่าสองเจ้านะคะ และถ้าเป็นไปได้ให้เซลส์เข้ามาพรีเซ้นให้อ๋อทีค่ะ จะนัดอาทิตย์หน้าเลยก็ได้ แต่ไม่ใช่วันศุกร์กับวันเสาร์ ส่วนงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรนี่ก็ขอใบเสนอราคาเพิ่มอีกไม่น้อยกว่าสามเจ้า แล้วมาเปรียบเทียบกัน
อ้อ! ฝากแจ้งฝ่ายบุคคลด้วยนะคะว่าให้ประกาศรับสมัครช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรสักห้าตำแหน่ง ให้อยู่ประจำที่ส่วนกลาง อ๋อไม่อยากให้พึ่งช่างข้างนอก หรือศูนย์บริการหลังการขาย กว่าจะมาก็นาน เราเสียเวลาจากตรงนี้ไปมากกว่าการจ้างช่างไว้ประจำซะอีกค่ะ”
สงกรานต์ส่งน้ำเสียงประชดประชันแม่อย่างไม่เกรงอกเกรงใจใดๆ เพราะขุ่นเคืองในเรื่องไม่ดีที่แม่ปกปิดไว้อย่างมิดชิด แต่ก็มิดชิดไม่พอจนเขาบังเอิญไปได้ยินแม่พูดกับยายและดวง ก่อนพ่อจะตายจากไปไม่กี่เดือน
บวกกับไม่ชอบใจที่แม่มักจะยอมทำทุกอย่างตามคำสั่งของผู้เป็นปู่กับย่าโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว เพียงเพราะอยากจะเป็นคนครอบครองทุกอย่างของบวรชัยกุลไว้คนเดียว แม้แม่จะอ้างว่ามันจะตกเป็นของเขาในอีกไม่ช้าก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดอยากจะได้ ถ้าหากมันจะต้องแลกมาด้วยอดีตที่ไม่ขาวสะอาดของแม่
แต่เพราะความรักและสายสัมพันของแม่ลูก ทำให้เขาไม่คิดจะเปิดปากบอกใคร แต่จะดึงตัวเองให้ออกห่างแม่และทุกคนด้วยการ ไม่แม้แต่จะกลับไปเหยียบคฤหาสน์บวรชัยกุลอีกเลย นับตั้งแต่วันเผาพ่อ คอนโดหรืออพาร์ทเม้นท์จึงเป็นบ้านใหม่สำหรับสงกรานต์เรื่อยมา แต่พักหลังนี้การเงินค่อนข้างฝืดเคืองเมื่อแม่ไม่ค่อยให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเช่นเคย
เขาจึงต้องหันหน้ามาพึ่งบารมีผู้เป็นยายที่ทั้งรักและตามใจเขาแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเงิน แม้จะบ่นก่อนให้อยู่บ้างแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ตามคำขอ การมีบ้านหลังใหญ่ให้อยู่พร้อมความสะดวกสบายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน หรือบริวาร เขาจึงยึดเอาบ้านยายเป็นแหล่งพักมาได้สองเดือนแล้ว และก็ยังยืนยันที่จะอยู่ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด เมื่อผู้แม่ลงทุนมาตามถึงที่
“แต่กรานต์ก็น่าจะกลับไปหาแม่หาคุณปู่คุณย่าบ้างนะลูก เพราะท่านห่วงโดยฉพาะเรื่องการเรียน คุณปู่อยากให้จบเร็วๆ จะได้ส่งไปเรียนต่อเมืองนอก...”
“เพื่อที่กลับมาแล้วจะได้ทำงานรับใช้คุณปู่งกๆ เหมือนพ่อใช่มั้ยครับแม่ จะไปไหน จะทำอะไร ก็ต้องรายงานคุณปู่ตลอดเหมือนเป็นนักโทษ ทั้งๆ ที่พ่อก็อายุมากแล้ว บอกตรงๆ นะว่าผมไม่เอาด้วยหรอก ใครจะทำก็ทำไป ผมจะใช้เงินแค่นั้น และผมก็ฝากแม่ไปบอกคุณปู่ด้วยนะว่า ไม่ต้องเอาเรื่องที่จะยกสมบัติให้มูลนิธิบ้าบออะไรนั่นหรอก เพราะผมไม่กลัวและไม่เชื่อด้วยว่าคุณปู่จะใจกล้าทำแบบนั้น ขี้เหนียวก็ปานนั้น กลัวตัวเองจะลำบากก็ปานนั้น ห่วงแต่ตัวเองก็ปานนั้น แล้วจะรับได้เหรอถ้าตัวเองไม่เหลืออะไรเอาไว้ ผมไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด”
เจ้าของผมเกรียนใบหน้าขาวนวลตุ้มหูเล็กๆ ติดข้างซ้ายไว้ยิ้มเยาะเย้ยความคิดของผู้เป็นปู่อย่างไม่แยแสหรือตกอกตกใจเหมือนคนในบ้านที่เฝ้าหวาดหวั่นในเรื่องนี้ไม่หาย สาลินีต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อการหว่านล้อมลูกไม่เป็นผลเอาเสียเลย มิหนำซ้ำก็ยังต้องควักเงินใส่มือลูกเป็นปึกเพื่อตัดความลำคาญใจอีก เสียงสปอร์ตดังสนั่นบ้านก่อนจะลับหายไปด้วยฝีมือการขับเคลื่อนของลูกชายคนเดียว
“ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้วล่ะยายสา แต่คิดอีกทีที่มันพูดมาก็ถูกเหมือนกันนะ เราน่ะอยู่รับใช้บ้านนั้นมาไม่รู้จะกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังไม่ยอมจะแบ่งปันให้เป็นสัดส่วนบ้าง คุณสมควรนี่แปลกคนคิดอะไรไม่เข้าท่า แล้วมันเรื่องอะไรที่ไปคว้าเอานังเด็กข้างถนนมาทำงาน เห็นทีเราจะใจเย็นต่อไปไม่ได้อีกแล้วนะสา”
อรสาผู้แม่อดกังวลในเรื่องของลูกสาวคนเดียวไม่ได้ เพราะดูเหมือนเรื่องร้ายๆ ต่างก็รุมเร้าเข้ามาทับถมชีวิตไม่ว่างเว้น หัวอกของแม่เมื่อเห็นลูกเป็นทุกข์ก็ยิ่งทุกข์ยิ่งกว่าหลายเท่านัก แม้ลูกจะอายุอานามมากแล้วก็ตามที แต่ยังไงเสียแม่ก็ไม่ยังเห็นลูกเป็นเด็กตัวน้อยๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง
“สาก็กำลังพยายามหาวิธีกำจัดมันออกไปให้พ้นทางอยู่เหมือนกันล่ะแม่ แต่ทุกอย่างจะต้องทำด้วยความรอบคอบ อีนังนั่นมันระวังตัวจะตายไป ข้าวปลาอาหารมันไม่ให้ที่ตึกตักไปให้เลยนะแม่ ออกจากบ้านมันก็ล็อคประตูหน้าต่างไว้หมดใครก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ เด็กจะไปทำความสะอาดมันยังไม่ให้เข้าไปเลย หรือถ้าไปก็ต้องเป็นตอนที่มันอยู่บ้านเท่านั้น และคนที่จะไปทำงานบ้านมันก็เลือกเอง สาเคยให้นังดวงไปทำมันไล่ตะเพิดกลับมาแทบไม่ทันเลยล่ะแม่ สาไม่รู้จะใช้วิธีไหนจัดการกับมันเหมือนกัน”
สาลินีถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้ผู้แม่ได้รับรู้เพื่อเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจ ด้วยเวลาอยู่บ้านบวรชัยกุลนั้นจะต้องอยู่ในคราบของคุณผู้หญิงที่แสนดี เรื่องพวกนี้จะพูดกับใครไม่ได้เลยนอกจากดวงคนสนิทที่อยู่รับใช้มาเกือบสามสิบปีเท่านั้น อรสานั่งครุ่นคิดตามคำลูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งไม้เด็ดๆ ออกมา
“ยุ่งยากนักก็จัดการขั้นเด็ดขาดไปเลยสิจะมานั่งกลัดกลุ้มอยู่ทำไม”
“มันง่ายอย่างที่แม่พูดก็ดีน่ะสิ คิดเหรอว่าตำรวจจะไม่สาวมาถึงเราได้”
สาลินีอยากจะทำตามคำแม่ใจจะขาด แต่ก็ติดหลายปัญหายุ่งยากที่จะตามมา ยิ่งจะทำให้ได้ไม่คุ้มเสียเข้าไปอีก อรสาถึงกับเบะปากออกมาด้วยอาการรำคาญเต็มกำลัง เพราะเสนออะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง
“แม่บอกแล้วนะว่าให้รีบจัดการมันซะตั้งแต่แรก นี่อะไรปล่อยให้คุณสมควรตามหามันจนเจอ แล้วเป็นไงล่ะทีนี้มันได้กลับมาเป็นหอกข้างแคร่อีกจนได้ ถ้าเชื่อแม่แล้วรีบลงมือก็คงจะดีหรอกจะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้ม”
อรสาผู้ไม่สนใจในบาปบุญคุณโทษว่ามีหน้าตายังไง ถ้าลองได้มีผลประโยชน์ของตัวเองและคนรอบข้างรออยู่ข้างหน้า ต่อให้ถึงขั้นต้องเด็ดชีวิตใครสักคน หม้ายวัยทองคนนี้ก็ไม่เคยหวาดหวั่น เพราะภูมิหลังมาตั้งแต่คราวแม่นั้นก็เป็นเมียเก็บเมียน้อย ถูกรังแกจากเมียหลวงมาโดยตลอด การที่ได้ดิบได้ดีมีหน้าตาในสังคมทุกวันนี้ได้ ก็มาจากความใจเด็ดของผู้แม่เป็นคนริเริ่ม
แผนการกำจัดเมียหลวงด้วยวิธีแยบยลจนคนจับไม่ได้นั้นอรสาได้รับการถ่ายทอดมาอย่างครบถ้วน แม้ในรุ่นของตัวเองจะไม่ได้งัดเอาความรู้เหล่านี้มาใช้ แต่ก็ได้ช่วยเหลือสาลินีในการกำจัดอิงอรออกไปให้พ้นทางได้ในรุ่นต่อมา ดังนั้นสองแม่ลูกจึงรู้พฤติกรรมของกันและกันเรื่อยมา
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก จะช้าจะเร็วสาก็จะต้องเขี่ยนังเด็กนั่นให้กระเด็นออกไปจากบ้านสักวัน แต่สายังไม่อยากใช้วิธีรุนแรงเท่านั้น ตอนนี้มันกำลังขึ้นหม้อและมีประโยชน์กับบีซีเคกรุ๊ปอยู่มากก็ปล่อยมันไปก่อน ให้มันฉายเดี่ยวแสดงศักยภาพว่ามันเก่งจนสุดฝีมือไปเลย สาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยตามไปปรับปรุงแก้ไขอะไรไงล่ะ รอให้ทุกอย่างลงตัวเมื่อไหร่ สาจะจัดการด้วยวิธีที่นุ่มนวลที่สุด ชนิดที่ใครๆ ก็คิดไม่ถึงหรือสาวไม่ถึงตัวสาแน่นอน อีกอย่างสาก็ยังไม่รู้ว่าตกลงแล้วคุณพ่อแอบทำพินัยกรรมฉบับจริงไว้บ้างหรือเปล่า เกิดเผลอทำอะไรรุนแรงไปคุณพ่อโมโหยกสมบัติให้มูลนิธิก็แย่กันไปหมดพอดี”
“โธ่เอ๊ย! ยายสา”
อรสาร้องอุทานออกมาด้วยความขำ กับอาการหวาดระแวงที่ไม่เข้าท่าของลูกสาว ก่อนจะร่ายเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่เคยบอกลูกมาไม่น้อยกว่าสามครั้งแล้ว แต่ลูกสาวก็ไม่ยอมเชื่ออยู่ดี
“นี่เราอายุเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาเชื่อคำขู่ของตาแก่นั่นอีกเหรอ มันน่ะงกสมบัติจะตายไป จ้างให้มันก็ไม่มีทางจะยกให้ใครที่ไหนหรอก นอกจากเก็บไว้ให้ลูกให้หลานเท่านั้น แม่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าไปเชื่อคำขู่นี้และก็ไม่ต้องไปตามหาอีนังนั่นให้เมื่อย แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้ก็ต้องมานั่งเดาใจไอ้แก่นั่นทุกวี่ทุกวันอีก ถ้าเราไม่เชื่อแม่ก็ลองแอบไปหาดูสิพินัยกรรมตัวจริงน่ะ รับรองว่ามันไม่ยกให้ใครที่ไหนหรอกนอกจากลูกหลานเท่านั้น แต่ใครจะได้มากได้น้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“ไม่ใช่ว่าสาจะไม่เชื่อแม่ แต่กลัวเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่ใช่มั้ยแม่ แต่เอาเถอะไว้สาจะลองแอบเข้าไปห้องคุณพ่อดูสักครั้ง เผื่อจะเจอพินัยกรรมบ้าง”
บรรยากาศยามเช้าภายในรั้วบ้านบวรชัยกุลช่างร่มรื่นไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ปกคลุมทั่วบริเวณ ไม้ดอกไม้ประดับชุ่มฉ่ำไปด้วยสายน้ำที่นายมากซึ่งเป็นคนสวนคอยดูแลเอาใจใส่อยู่ที่วี่ทุกวัน สนามหญ้าอันเขียวชะอุ่มก็ถูกตัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดหูสะอาดตาสำหรับคนที่ได้พบเห็น คุณอัญชลียิ้มอย่างพอใจกับผลงานการเอาใจใส่ต้นไม้ทุกต้นของคนสวนวัยหกสิบผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร
หากความคิดก็เผลอผูกไปหาคนสวนที่สร้างวีรกรรมอันเลวร้ายไว้ให้อย่างช่วยไม่ได้ พลอยคิดถึงเมียคนแรกของลูกที่นอนซบอกเจ้าคนสวนอยู่อย่างอิ่มสุข แล้วความเป็นผู้ดีหน้าบางของคุณอัญชลีก็ลอยมาในเวลาไม่ห่างกันนัก เรื่องคบชู้สู่ชายอย่างไม่อายฟ้าดินในครั้งนั้น ยากยิ่งที่จะทำใจให้ลืมหรือให้อภัย แม้อิงอรจะปฏิเสธสักแค่ไหน
แต่หลักฐานก็มีคาตาจนยากจะคิดเป็นอย่างอื่นได้ และมันก็เป็นภาพที่ติดตาคุณอัญชลีมาจนถึงทุกวันนี้ พร้อมๆ กับความเกลียดชังในตัวอิงอรที่มีอยู่ล้นเปี่ยมก็ไม่เคยเหือดแห้งไปไหนเช่นกัน สายตาที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับธรรมชาติ เหลือบไปเห็นสองร่างกำลังเดินลัดเลาะออกมาตามทางที่ปูด้วยบล็อกตัวหนอน
คุณอัญชลีเผลอจ้องมองรูปร่างสูงโปร่งของหลานนอกทำเนียบในชุดทำงานเรียบหรูทว่าดูดีหอบแฟ้มเอกสารสามแฟ้มไว้กับอก ส่วนอีกคนหิ้วกระเป๋าถือสองใบไว้ อีกมือก็มีกระเป๋าแล็ปท็อป คุณอัญชลียกข้อมือขึ้นดูเวลาก็พบว่าเพิ่งจะหกโมงเศษๆ
ดูเหมือนจะเป็นเวลาเดียวกับที่ลูกชายผู้จากไปก็มักจะออกบ้านเช่นกัน บวกกับรูปร่างและหน้าตาของหลานคนแรกก็ถอดแบบผู้พ่อมาแทบจะทุกอย่าง ยิ่งทำให้คิดถึงลูกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจจะนำมาหักล้างกับความเกลียดที่มีต่ออิงอรได้
“นี่หล่อนจะไปไหนแต่เช้ายะ อย่าบอกนะว่ากำลังจะไปทำงาน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น บริษัทฉันคงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าเดิมในอีกไม่ช้าแน่ แต่ฉันว่าอย่างหล่อนคงจะไม่ได้รักดีขนาดนี้กระมัง เพราะเลือดชั่วๆ ของแม่หล่อนคงมีอยู่ในตัวมากกว่าเลือดดีของพ่อสงครามเป็นแน่ ฉันขอเตือนไว้นะว่าจะทำชั่วที่ไหนก็ไปแต่ห้ามมาทำในบ้านของฉันเหมือนที่แม่หล่อนทำมาแล้ว”
แม้ใจอยากจะถามไถ่หลานสาวด้วยน้ำเสียงหรือถ้อยคำนุ่มนวลมากกว่านี้ก็ตามที แต่ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้คุณอัญชลีทำไม่ได้สักที จึงต้องเลือกวิธีใช้น้ำคำหรือประโยคประชดประชันแทบตลอดเวลา ส่วนคนเป็นหลานก็สะอึกกับคำประนามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นยิ้มแย้มแจ่มใสประหนึ่งไม่ได้ยินได้ฟังคำพูดที่เป็นอัปมงคลมาเข้าหูเลยสักนิด อีกทั้งยังจีบปากจีบคอตอกหน้าคนเป็นย่ากลับด้วยความอารมณ์ดีกว่าตอนแรกอีก
“เอ...พี่อี๋จ๊ะ ตกลงตอนนี้เราอยู่ในรั้วของตระกูลบวรชัยกุลหรือเปล่านะ ช่วยอ๋อคิดหน่อยสิ”
แม้วีนาจะไม่รู้ว่าน้องกำลังจะเล่นอะไร แต่ก็ตอบไปด้วยความพาซื่อ โดยไม่ได้คิดหรือตรึกตรองอะไรนัก
“ใช่สิ! อ๋อถามทำไม”
คนน้องยิ้มออกมาพร้อมแสดงท่าทางโล่งอกโล่งใจ จากนั้นก็หันไปหาผู้เป็นย่าแล้วยิ้มเยาะเย้ยอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ก่อนจะตอบออกมา
“เหรอ! โล่งอกไปที อ๋อคิดว่าเราเดินอยู่แถวปากคลองซะอีก งั้นก็รีบไปกันเถอะ อยู่แถวนี้แล้วมีกลิ่นอะไรตุๆ โชยมาใส่จมูก ยี้!!!”
สิ้นคำทั้งสองก็รีบตรงไปหารถแล้วขับออกไปโดยเร็ว ทิ้งให้คุณอัญชลีใคร่ครวญคำหลานอยู่เนิ่นนานกว่าจะคิดออกว่าถูกด่าว่าเป็นคนปากตลาดเข้าไปแล้ว
“ว๊าย!!! นังเด็กเมื่อวานซืน กล้ามาด่าว่าฉันปากตลาดเหรอ คอยดูนะ กลับมาแม่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย”
โชคดีของสองสาวที่ไม่ได้ยิน เพราะต่างก็พากันหัวเราะชอบใจอยู่ในรถอย่างครื้นเครง แทนที่จะเก็บเอาคำด่ามาเป็นอารมณ์ แต่ก็ปล่อยให้ผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาได้อย่างง่ายดาย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถก็แล่นเข้าไปจอดในช่องผู้บริหารระดับสูงแล้ว
รปภ. ที่หทัยชนกสั่งการไว้เป็นพิเศษให้เฝ้ารถเอาไว้ชนิดไม่ให้คราดสายตา วิ่งมาเปิดประตูให้เจ้านายสาวอย่างรู้หน้าที่ เมื่อได้รอยยิ้มแทนคำขอบคุณแล้ว ก็กลับไปยืนประจำในตำแหน่งเดิมอย่าง พีระควบรถเข้ามาจอดในเวลาใกล้เคียงกัน ทั้งสามตรงเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่อยู่ชั้นสามของอาคารอย่างคุ้นเคย ด้วยบ่อยครั้งที่จะนัดคุยเรื่องสำคัญที่นี่
“มันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเลย ไม่มีใครรู้ใครเห็น ประวัติอาชญากรก็ไม่มี เลยตามตัวยากสักหน่อย ประวัติการรักษาตัว หรือจากประกันสังคมก็ไม่มีชื่อนายพันอยู่เลย แปลว่าไม่ได้ทำงานที่ไหน หรือถ้าทำก็คงจะเป็นกิจการเล็กๆ แน่ นี่พี่ก็ว่าจะลองบึ่งรถไปดูบ้านเกิดมันที่อยุธยาเหมือนกัน เผื่อจะได้เรื่องอะไรบ้าง”
พีระเล่าให้ฟังด้วยท่าทีเรียบเฉยตามแบบฉบับของตำรวจหนุ่มมาดเท่ห์ ขณะใช้มีดปาดเนยไปทาขนมปังปิ้ง หทัยชนกแทบจะไม่ได้สนใจกับอาหารตรงหน้า เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พี่เขย เพราะมัวแต่ครุ่นคิดหนทางที่จะตามหาตัวต้นเหตุให้พบ จนไม่ได้สังเกตว่าเทรนเนอร์หนุ่มกำลังหิ้วกระเป๋าเดินผ่านห้องอาหารไปด้วยท่าทีสง่างาม ความตั้งใจที่จะฝากท้องไว้กับร้านถูกพับเก็บลงเมื่อเหลือบไปเห็นผู้บริหารสาวกำลังนั่งอี๋อ๋อกับหนุ่มหล่อในเครื่องแบบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงจะเป็นแฟนนั่นเอง
‘ปากกล้าขนาดนี้ยังมีคนหลงผิดคิดมาเป็นแฟนด้วยแฮ๊ะ แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง’
นั่นคือความในใจระหว่างเดินไปออฟฟิศ เมื่อเจ้าของห้องยังไม่เปิดประตู ปวีย์ก็เข้าไปไม่ได้ จึงจับจองพื้นที่บางส่วนของโต๊ะชื่นจิตเปิดแล็ปท็อปขึ้น แล้วนั่งทำงานด้วยท่าทีสงบนิ่งเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ประมาณครึ่งชั่วโมงชื่นจิตก็เดินเข้าออฟฟิศมา ถึงได้กาแฟกับปาท่องโก๋สำหรับมื้อเช้า ไม่นานเจ้าของห้องก็เดินเข้าออฟฟิศมาคนเดียว ไร้เงาแฟนหนุ่มกับผู้ช่วยเลขาที่เขาคุ้นตา
“ผมขอเวลาเตรียมแผนงานอีกครู่นะ ก่อนจะอธิบายขั้นตอนทั้งหมดให้คุณฟัง แล้วเราค่อยเข้าประชุมกัน”
เทรนเนอร์หนุ่มรีบออกตัว เมื่อเข้าไปนั่งในห้องเรียบร้อยแล้ว หทัยชนกยิ้มบางๆ ให้อย่างไม่อิดออด เพราะตัวเองก็ต้องใช้เวลาอ่านเอกสารเพื่อเซ็นอนุมัติอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นกัน กว่าจะจรดปลายปากกาลงในเอกสารหรือเช็คแต่ละใบก็กินเวลาไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เคยผ่านหูผ่านตามาก่อน ส่วนงานไหนที่เห็นว่าถูกต้องแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป
“คุณชื่นคะ เรื่องสั่งซื้อแอร์ใหม่ตั้งห้าสิบเครื่อง อ๋อรบกวนขอดูใบเสนอราคาเจ้าอื่นเพิ่มอีกมากกว่าสองเจ้านะคะ และถ้าเป็นไปได้ให้เซลส์เข้ามาพรีเซ้นให้อ๋อทีค่ะ จะนัดอาทิตย์หน้าเลยก็ได้ แต่ไม่ใช่วันศุกร์กับวันเสาร์ ส่วนงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรนี่ก็ขอใบเสนอราคาเพิ่มอีกไม่น้อยกว่าสามเจ้า แล้วมาเปรียบเทียบกัน
อ้อ! ฝากแจ้งฝ่ายบุคคลด้วยนะคะว่าให้ประกาศรับสมัครช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรสักห้าตำแหน่ง ให้อยู่ประจำที่ส่วนกลาง อ๋อไม่อยากให้พึ่งช่างข้างนอก หรือศูนย์บริการหลังการขาย กว่าจะมาก็นาน เราเสียเวลาจากตรงนี้ไปมากกว่าการจ้างช่างไว้ประจำซะอีกค่ะ”
กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:38:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:38:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 1476
<< ไฟปะทุเชื้อ | จุมพิตที่ต้องแลกด้วยดัชนีนาง >> |