ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: จุมพิตที่ต้องแลกด้วยดัชนีนาง

แม้ปวีย์จะนั่งเตรียมงานอย่างเร่งรีบ แต่ประสาทอีกซีกก็รับรู้ได้ว่าผู้บริหารหน้าใหม่มีความรอบคอบ ฉลาดเฉลียวใช้ได้ ที่ไม่ใช่พอจับปากกาได้ก็เซ็นไปเรื่อย โดยไม่ได้สอบถามให้แน่ชัดก่อน และความพึงพอใจก็เพิ่มมากขึ้น เห็นพูดมากปากกล้าอย่างนี้ แต่เวลาอยู่ในห้องประชุมนั้น เขากลับเห็นเจ้าหล่อนนั่งนิ่งฟังคนอื่นมากกว่าจะเป็นคนพูดนำ

แถมยังบันทึกเรื่องสำคัญลงในแท็ปเลสที่เดาได้ว่าคงจะเพิ่งซื้อหามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง เรื่องไหนไม่รู้หรือไม่เข้าใจเจ้าหล่อนก็จะส่งโน๊ตเล็กๆ มาถามเขาหรือไม่ก็ทรงพลอย่างไม่กลัวว่าจะถูกมองว่าโง่ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการกระทำที่ฉลาดด้วยซ้ำ ดีกว่าปล่อยผ่านหูไปเรื่อยแล้วเสแสร้งว่าเก่ง อันนั้นโง่อย่างแท้จริงแน่

แต่ความคิดในแง่บวกที่มีให้ก็เกือบจะถูกลบล้างไปจนหมดสิ้น เมื่อออกจากห้องประชุมในเวลาสี่โมงเย็น แล้วเห็นหญิงสาวทำสีหน้าและท่าทางแข็งกระด้างใส่สาลินีอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจใดๆ แม้เรื่องที่ถกเถียงกันนั้นเจ้าหล่อนจะมีเหตุผลอยู่มากก็ตามที แต่เขาก็ไม่ประทับใจเอามากๆ จนอยากจะเดินออกจากห้องหากไม่ติดที่จะต้องสรุปงานหลังประชุมด้วยกันก่อน

“แต่เมื่อก่อนค่าใช้จ่ายพวกนี้คุณสงครามจะเป็นคนรับผิดชอบให้น้าทั้งหมดนะจ๊ะ ถ้าหนูอ๋อไม่อนุมัติแล้วน้าจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายล่ะ ลำพังเงินเดือนน้าก็ต้องใช้จ่ายส่วนตัวหลายเรื่อง เหลือเก็บบ้างก็นิดหน่อยเท่านั้นนะจ๊ะหนูอ๋อ”

สาลินีพยายามปรับน้ำเสียงให้อ๋อยที่สุด สีหน้าและแววตาก็ส่อไปในทางน่าสงสาร เพื่อให้ชายหนุ่มในห้องได้เห็นฤทธิ์ของแม่หนามชีวิต และแน่นอนหทัยชนกรู้ดีว่านี่เป็นแผนเรียกคะแนนสงสาร แต่มีหรือจะสนใจ หรือเกรงกลัวในตัวว่าที่เขยของบ้าน มิหนำซ้ำยังมองอย่างทะลุปุโป่งว่านี่อาจจะเป็นแผนการที่ทั้งคู่วางเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อมาบีบเธอแล้วก็เป็นได้

มีอย่างที่ไหนเรื่องเช็คใบนี้ถูกตีกลับไปหาสาลินีตั้งแต่สองวันที่แล้ว ก็ไม่เห็นจะมายืนเอะอะโวยวายอะไร นอกจากจะยอมรับตามที่เขียนตัวเบ่อเร่อไว้ในเอกสารปะหน้าว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเอามารวมกับค่าใช้จ่ายในบริษัทไม่ได้ แต่พอวันนี้ว่าที่ลูกเขยเข้ามานั่งทำงานเท่านั้น ต้องรีบหอบเรื่องเข้ามาต่อรองหรือขอคะแนนสงสารอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เรื่องอะไรจะยอม เพราะรู้ทันเกมจนทะลุปุโปร่งหมดแล้ว

“ที่คุณพ่อจ่ายก็เพราะต้องรับผิดชอบลูก และคุณพ่อก็เอาเงินในส่วนของท่านมาจ่ายหรือไม่ก็ยืมมาใช้ก่อนแล้วเอามาคืนทีหลัง ท่านไม่ได้มาเบียดเบียนเงินบริษัทอย่างที่คุณทำอยู่ตอนนี้ แล้วจะมาบีบบังคับให้ฉันรับผิดชอบแทนคุณพ่อได้ยังกันไม่ทราบ ฉันยังไม่ได้แต่งงานนะคะจึงไม่มีใครจะต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่มีวันยอมให้เงินคุณเอาไปจ่ายในเรื่องไร้สาระเด็ดขาด ถ้าอยากได้ก็เชิญไปขอคุณปู่คุณย่าโน่น

หรือถ้าไม่อยากรบกวนใคร เงินเก็บคุณก็มีมากมาย ทำไมไม่เบิกออกมาใช้ล่ะคะ จะขยันเก็บไปถึงไหน และถ้าบังเอิญฉันอยากได้บ้านใหม่ให้แม่กับญาติๆ หลังละยี่สิบสามสิบล้าน ฉันก็เอาเงินบริษัทไปซื้อได้เลยน่ะสิคะ ในเมื่อฉันมีอำนาจที่จะสั่งจ่ายเช็คเองได้เป็นล้าน แต่ฉันก็ไม่ทำ เพราะฉันยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่ในสมอง ไม่เหมือนคนบางคน หมดเรื่องแล้วกรุณาออกไปจากห้องด้วยค่ะ ฉันจะทำงาน”

สาลินีทำหน้าละห้อยขณะหันไปหาปวีย์ที่นั่งจ้องมองแล็ปท็อปเพื่อหลบเลี่ยงอย่างคนไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของว่าที่แม่ยายนัก และนั่นทำให้สาลินีอดเสียใจไม่หายที่ลงทุนมาให้แม่หนามชีวิตด่าฟรีโดยที่เขาไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าแผนการต้อนให้เจ้าหล่อนเซ็นเช็คไม่ได้ผลแล้ว จึงจำจะต้องล่าถอยไปหาลู่ทางอื่นก่อน หทัยชนกมองด้วยความขำ พลันสายตาก็เหลือลงไปมองเอกสารบนโต๊ะจึงรีบร้องเรียก

“เดี๋ยวก่อนสิคะคุณน้า”

สาลินีที่เดินไปเกือบถึงประตู และปวีย์ที่ทำว่าวุ่นอยู่กับหน้าจอต่างก็หยุดกึกลงแทบจะพร้อมกับฝีเท้าของสาลินีที่หยุดก้าวเดินเลยทีเดียว แววตาสว่างว๊าบด้วยประกายแห่งความหวังส่งออกมาให้คนในห้องเห็นอย่างไม่ปิดบัง ปวีย์เองก็เผลอยิ้มน้อยๆ ออกมา เมื่อเห็นหทัยชนกยกเอกสารขึ้นแล้วมองไปยังสาลินีที่เดินตรงกลับมาหาด้วยความหวัง แต่แล้วทุกอย่างก็ผิดคาดเมื่อมือบางที่ถือเอกสารแล้วยื่นไปให้สาลินีอยู่ดีๆ นั้น จู่ๆ เอกสารทั้งปึกก็มีอันต้องตกลงไปอยู่กับพื้น

“อุ๊บ!!! ขอโทษค่ะคุณน้า มืออ๋อไม่ค่อยจะมีแรงเท่าไหร่ สงสัยจะทำงานหนักไปหน่อยแล้วล่ะวันนี้ งั้นก็รบกวนคุณน้าช่วยเก็บเอกสารห่วยๆ นี่ออกไปด้วยนะคะ อ๋อจะได้รีบทำงานต่อค่ะ อีกหน่อยก็ต้องกลับไปรายงานประจำวันให้คุณปู่ทราบแล้ว เอ...ว่าแต่เรื่องนี้จะให้อ๋อใส่ไปในรายงานเลยหรือเปล่าล่ะคะ หรือว่าคุณน้าจะเป็นคนจัดการเอง”

ปวีย์จ้องมองสีหน้าและท่าทางคนพูดที่ไม่ได้บ่งบอกว่าเสียใจสักนิดกับการกระทำเมื่อครู่ ตรงหันข้ามกลับยิ้มเยาะเย้ยสาลินีที่ก้มลงเก็บเอกสารที่ตกลงพื้นอย่างผู้ชนะ เขาโยนแฟ้มเอกสารในมือลงกับโต๊ะเสียงดังด้วยความขุ่นเคืองในการกระทำอันไม่มีมารยาทนั้น แล้วก็วิ่งตามสาลินีออกจากห้องไป

หทัยชนกได้แต่เบะปากใส่ด้วยความไม่แยแสก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง เพื่อรอให้เขากลับเข้ามาสรุปงานที่ประชุมเสร็จเมื่อครู่ แต่เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงห้าโมงครึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นเข้ามา ดวงหน้าสวยหันไปมองโต๊ะทำงานของเขาก็ยังเห็นทุกอย่างอยู่ครบ จึงได้คิดว่าคงจะตามไปโอ๋ว่าที่แม่ยายถึงห้องกระมัง

หรือไม่ป่านนี้ก็คงจะยอมควักกระเป๋าจ่ายค่าประกันรถสปอร์ตหรูให้ว่าที่น้องเมียไปเรียบร้อยแล้วก็ได้ พวกเดียวกันนี่ต้องเห็นด้วยและเข้าข้างกันเป็นธรรมดา เรื่องอะไรเขาจะมีกระจิตกระใจหันมารับรู้เหตุผลของคนอย่างเธอ เมื่อสรุปได้ดังนั้นจึงเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมกลับบ้านด้วยความไม่ชอบใจ

“คุณจะไปไหนไม่ทราบ!”

ปวีย์เปิดประตูห้องเข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดีกับที่เจ้าของร่างสูงโปร่งเก็บข้าวของเสร็จแล้วหอบทุกอย่างไว้กับอก เขาจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่อีกคนกลับมองหน้าเขาด้วยท่าทียียวนกวนประสาท

“ฉันก็จะกลับบ้านไง”

สิ้นคำเจ้าของประโยคก็พารองเท้าส้นสูงก้าวฉับๆ ตรงไปหาประตู แต่เจ้าของร่างกำยำในชุดสูทเรียบหรูกลับก้าวเร็วกว่า จึงไปยืนขวางประตูเอาไว้ได้ทัน ยังผลให้อีกคนมองด้วยท่าทีไม่พอใจอย่างที่สุด

“กรุณาหลีกทางด้วย นี่เลยเวลางานของฉันแล้ว”

“มีเหตุผลหน่อยสิคุ๊น ก็รู้ๆ อยู่ว่าผมกำลังจะมาสรุปเรื่องในที่ประชุมให้ แล้วทำไมคุณถึงจะต้องรีบกลับด้วย ผมไม่มีเวลาว่างจะมานั่งบริการคุณตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนร้านสะดวกซื้อหรอกนะ งานนี่ผมก็มาทำให้ฟรีๆ คุณน่าจะขอบอกขอบใจผมด้วยซ้ำ แต่อะไรเลทนิดเลทหน่อยไม่ได้เชียว แล้วจะเป็นผู้บริหารที่ดีได้ยังไงกันไม่ทราบ”

ดวงตาคู่สวยแปรเปลี่ยนเป็นขมึงตึงใส่คนที่ยืนขวางประตูอยู่ทันที และความที่ของในมือมีน้ำหนักไม่น้อย บวกกับความเหนื่อยอ่อนที่ลุยงานมาทั้งวี่ทั้งวันแล้ว ทำให้ความอดทนที่จะใช้ภาษาดอกไม้กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับแม่เมียน้อยพ่อลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จนต้องต่อปากต่อคำกับเขาด้วยถ้อยคำเจ็บแสบไม่แพ้กัน

“ขอโทษนะ! ฉันนั่งรอให้คุณมาสรุปงานชั่วโมงกว่ายังไม่เพียงพออีกเหรอ แล้วที่ออกไปจากห้องไม่บอกกล่าวฉันนี่มันหมายความว่ายังไง หรือว่าคุณโกรธที่ฉันด่าว่าที่แม่ยายเข้าให้ จนต้องรีบวิ่งไปปลอบอกปลอบใจกันยกใหญ่ ถ้ารักใคร่ชอบพอกันขนาดนั้น ทำไมไม่จ่ายเงินค่าประกันรถซังกระบ๊วยนั่นให้ไปด้วยล่ะ

คนรวยๆ อย่างคุณคงขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกมั้ง และถ้ารักจะทำงานร่วมกันคุณก็จงรับรู้ไว้ด้วยว่า ฉันไม่ชอบนั่งรอใครเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะการรอที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ถ้าไม่พอใจฉัน ก็เชิญคุณไปถอนตัวกับคุณปู่เอง ฉันไม่เห็นจะต้องง้อคุณให้เสียเวลาเลย”

สิ้นคำร่างสูงโปร่งก็หอบข้าวของเดินตรงไปยังร่างสูงใหญ่หมายจะชนให้แหลกถ้าไม่คิดจะหลีกหนีจากประตู เพราะเดาได้ไม่ยากว่าเขาจะต้องไม่อยากมีปัญหาแน่ แต่เขาก็ทำในสิ่งที่ผู้บริหารสาวคาดคิดไม่ถึง นั่นคือแย่งของในมือบางแล้วเอาไปบางไว้บนโต๊ะดังเดิม ก่อนจะเดินกลับไปหาเจ้าของดวงหน้าสวยที่มองเขาอย่างเอาเรื่อง

“คุณคงไม่รู้หรอกว่าผมอยากทำอย่างนั้นใจจะขาด แต่มันติดตรงที่คุณปู่ไม่ยอมเชื่อมือหลานอ่อนหัดอย่างคุณไงล่ะ ถึงต้องใช้ให้ผมมาคอยประกบอยู่อย่างนี้ และผมก็ว่าท่านเข้าใจไม่ผิดหรอก เพราะผู้หญิงอย่างคุณนอกจากปากดีแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ได้เรื่อง ตอนแรกผมหลงคิดว่าคุณคงจะได้เลือดพ่อของคุณมาบ้างไม่มากก็น้อย

แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่านอกจากคุณจะไม่ได้อะไรมาจากท่านแล้ว คุณยังไม่ได้เรื่องด้วย ผมว่าคนที่น่าจะไปถอนตัวกับคุณปู่ควรจะเป็นคุณมากกว่า ไม่ใช่ผม ทุกคนจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับผู้หญิงที่ไม่เอาไหนและแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวอย่างคุณอยู่แบบนี้ไงล่ะ

รักจะเป็นผู้นำคนมันต้องหนักแน่นมั่นคง ไม่ใช่เหลาะแหละ ใช้อำนาจบาดใหญ่เรี่ยราด และอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นช่วงวันนั้นของเดือน คุณถึงพาลกับคนอื่นไปทั่ว หัดทำตัวให้สมกับตำแหน่งที่แย่งมาหน่อยสิ แต่ก็อย่างว่าล่ะผู้หญิงก็ทำได้แค่นี้เอง”

‘เผี๊ยะ’

เมื่อมีคนมาดูถูกซึ่งๆ หน้า คนที่เคยควบคุมสถานะการณ์และอารมณ์ได้เป็นอย่างดีอย่างหทัยชนกก็น๊อต

หลุด จนปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำจิตใจด้วยการฟาดมือขวาไปหาเจ้าแก้มซ้ายของคนฝีปากกล้าอย่างไม่ยั้งคิด ตาก็จ้องมองเขาเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะส่งน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อย้ำเตือนให้เขาไม่ลืมตัว

“นี่คือบทเรียนว่าทีหลังคุณอย่าได้ริมาดูถูกผู้หญิงอย่างฉัน ซึ่งเป็นเพศเดียวกับแม่ของคุณ”

วินานีนี้เองที่ความอดทนทั้งหมดทั้งมวลของชายหนุ่มขาดผึงลง มือจึงรีบคว้าไปหาข้อมือเล็ก ดวงตาคู่คมจับจ้องไปหาใบหน้าสวยที่ตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่งเย้ยหยันเขาอย่างเห็นได้ชัด หทัยชนกรีบสบัดแขนออกจากมือใหญ่สุดแรงเกิด แต่ไม่เป็นผล

“ปล่อย!!!”

“ผมเองก็อยากจะบอกคุณว่าอย่าได้ริมาตบผู้อย่างผม ซึ่งเป็นเพศเดียวกับพ่อของคุณเด็ดขาด เพราะผมจะไม่ยอมเจ็บตัวฟรีโดยไม่ได้สั่งสอนคนปากกล้า ก๋ากั่นอวดดีและถือดีอย่างคุณแบบนี้”

สิ้นคำแขนแข็งแรงก็กระชากแขนเล็กอย่างแรง จนร่างสูงเพรียวกับรองเท้าส้นสูงถึงกับถลาไปหาแผ่นออกกว้างของเขา ริมฝีปากบางที่กำลังจะอ้าด่าทอเขาก็ถูกริมฝีปากหนานุ่มประกบแล้วบดขยี้ด้วยความโกรธ การดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการเกิดขึ้นในทันที แต่ก็ถูกเจ้าของร่างใหญ่ดันแผ่นหลังนุ่มไปตึงกับประตูห้อง

“อื้มมมมมมม”

สองมือบางพยายามสุดกำลังที่จะต่อสู้กับพลังอันมหาศาลในตัวเจ้าของจุมพิต ไม่ว่าจะเป็นการทุบตีหรือจิกข่วนไปตามไหล่ตามแขน และแน่นอนว่ามันไม่เป็นผลสักนิด เพราะเขายังคงมอบจูบอันรุนแรงและดุดันให้เธออย่างไม่ปราณีด้วยแรงโกรธที่ครุ่กรุ่นอยู่ในใจ ทว่าเขากลับค้นพบว่าความรู้สึกนี้มันก่อตัวขึ้นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

เพราะตอนนี้หัวใจเขาช่างรู้สึกอิ่มเอมกับกลีบบุปผาที่อ่อนนุ่มละมุนละไม จนต้องค่อยๆ ผันแปรความรุนแรงเหล่านั้นลงมาเป็นแผ่วเบาแทน สองมือที่เคยใช้แรงกดลงไปหาสองแก้มนุ่มก็ผันเปลี่ยนไปประคองอย่างทะนุถนอมประหนึ่งว่ามีแก้วเจียรไนอยู่ในอุ้งมือจนต้องคอยประคองไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรก

แต่ดูเหมือนมันจะเป็นครั้งที่ร้อยด้วยซ้ำกับการได้มอบจูบให้กับสตรี ทว่านี่อาจจะเป็นเพียงหนึ่งในร้อยที่หัวใจของเขาสดชื่นชุ่มฉ่ำหวานซาบซ่านเข้าไปถึงทรวงในรสจุมพิต ขณะเดียวกันมันก็มีความรู้สึกที่หวาดผวาในความผิด ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสม แล่นวกไปวนมาอยู่ในใจควบคู่กันไป

ด้วยสตรีที่อยู่ในอ้อมอกนี้หาใช่คนที่เขาพึงจะมอบการกระทำอันอุกอาจเช่นนี้ให้ไม่ คนที่ใช่และควรแก่เขาคือน้องเธอต่างหาก และแม้จะเสียดายสักเพียงไหนที่จะต้องผละจากช่วงเวลาอันแสนหอมหวานนี้ แต่สติที่มีในตัวก็ย้ำสั่งย้ำเตือนให้เขาหยุดการกระทำทั้งหมดโดยเร็ว

เพราะเขาเพียงแค่อยากจะสั่งสอนคนปากกล้าอย่างเธอก็เท่านั้น เมื่อเขาละจากริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตาคู่คมกริบจึงได้เห็นดวงหน้าสวยเรียวที่กำลังขาวซีดของเธอ จ้องมองมายังเขาด้วยความรู้สึกที่เขามั่นใจว่ามันจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากคำว่า ‘เกลียด’

แต่เขาก็ปลอบใจตัวเองอย่างข้างๆ คูๆ ว่า การกระทำของเขาเมื่อครู่สืบเนื่องมาจากเจ้าหล่อนปากคอเราะร้าย กล่าวหาเขาไม่หยุดหย่อนและไร้ซึ่งเหตุผล มันจึงสมควรที่จะต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ ถึงวิธีของเขาออกจะไม่พึงดึงมันออกมาใช้ก็ตาม

ก็ในเมื่อทำไปแล้ว นักธุรกิจที่กล้าได้กล้าเสียอย่างเขาจะไปมัวเสียอกเสียใจกับการตัดสินใจไปทำไมเล่า เธอต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจที่บังอาจมาดูหมิ่นเขา

“นี่เป็นบทลงโทษแรกสำหรับคุณที่บังอาจคิดจะมาเล่นกับผู้ชายอย่างผม จำเอาไว้!”

สิ้นคำชายหนุ่มก็ถอยห่างออกจากร่างสูงเพรียวที่จ้องมองมายังเขาด้วยสายตาชิงชังอย่างไม่ปิดบังใดๆ และหทัยชนกก็มั่นใจว่ากับผู้ชายตรงหน้านี้ ต่อให้เขามาทำดีด้วยสักแค่ไหน ความรู้สึกในแง่ลบที่มีให้ก็ไม่มีวันกลับกลายมาเป็นบวกได้อย่างแน่นอน มิหนำซ้ำมันยังเพิ่งคำว่าเกลียดเข้าไปอีกด้วย เธอเกลียดเขา เกลียดสาลินีและเกลียดทุกคนที่จงใจจะรุมทำร้ายเธอ รุมกันกำจัดเธอ

‘เผี๊ยะ’

ฝ่ามือเรียวบางฟาดลงไปหาใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาจนสุดแรงเกิดอีกครั้ง ตามติดด้วยสายตาของเธอที่จ้องมองไปหาเขาด้วยความเกลียดชัง และขยะแขยงอย่างที่สุด เมื่อใจคิดไปถึงว่าจูบเมื่อครู่ของเขา ซึ่งเป็นจูบของคนเดียวกันกับที่น้องต่างแม่คงจะชื่นชอบปานใจจะขาดแน่ แต่สำหรับเธอชาตินี้ขอบอกกับตัวเองเอาไว้ว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นซ้ำสองอีกแน่นอน

“นี่ก็เป็นบทลงโทษแรกสำหรับคุณที่บังอาจเห็นผู้หญิงอย่างฉันเป็นของเล่น จำเอาไว้!”

สิ้นคำสองมือก็ผลักอกเขาจนผงะไปด้านหลังหลายก้าว เขาได้แต่มองตามร่างที่มีเสื้อลูกไม้สีขาวแขนยาวกับกระโปรงสั้นสีม่วงบานพริ้วไปตามแรงวิ่งของผู้สวมใส่ ไม่กี่วินาทีร่างสูงเพรียวก็หายลับไปแล้ว มือหนายกขึ้นมาลูบแก้มที่เพิ่งถูกดัชนีนางประทับตราลง เพราะเพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บแสบ ส่วนสมาธิที่จะใช้ทำงานก็หมดสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว

แม้จะพยายามใจเย็นและทำสมาธิให้ตั้งมั่นกับงานที่คั่งค้างอยู่สักแค่ไหน แต่ความโกรธกับความเหนื่อยอ่อนมาตลอดอาทิตย์ทั้งจากงานที่บริษัทตัวเองและหน้าที่เทรนเนอร์ทำให้เขายอมแพ้ในยกนี้ จึงเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างเชื่องช้า ควบคู่กับการครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้จะกลับมาช่วยคนอวดดีที่เขาไม่ชอบใจเอามากๆ หรือไม่



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:47:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:47:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 929





<< แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง   สงครามเริ่มขึ้นอีกแล้ว >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:58:52 น.
จูบตลอด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account