ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: สงครามเริ่มขึ้นอีกแล้ว

“ทำไมวันนี้กลับค่ำนักล่ะลูก แล้วจะไปอาบน้ำก่อนค่อยลงมากินข้าวหรือเปล่าแม่จะได้รอ”

อรปรียาที่เพิ่งเดินออกจากห้องครัวร้องทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ลูกกลับหันไปหาด้วยใบหน้าเซ็งนิดๆ จนแม่ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะนานทีปีหนจะเห็นลูกมีท่าทีแบบนี้

“งานยุ่งนิดหน่อยครับ งั้นผมจะรีบขึ้นไปอาบน้ำแล้วรีบลงมานะครับ”

ลูกฝืนยิ้มให้แม่แล้วรีบจ้ำอ้าวขึ้นด้านบนทันที โดยไม่สนใจว่าแม่จะถามอะไรต่ออีก เขารีบสลัดชุดทำงานออกแล้วโยนใส่ตระกร้าอย่างรวดเร็ว แล้วตรงเข้าห้องน้ำเพราะความเหนื่อยอ่อน ใช้เวลาไม่นานก็อยู่ในชุดสบายๆ และพร้อมจะลงไปกินข้าวกับทุกคนในบ้านแล้ว

แต่ขณะที่ยืนหวีผมอยู่หน้ากระจกนั่นเอง เขากลับสังเกตเห็นว่าแก้มขาวราวสตรีของตัวเองมีรอยแดงประทับอยู่ ยิ่งจ้องก็ยิ่งรู้ว่ารอยอะไรและก็ยากที่จะปกปิดสายตาใครต่อใครได้ เพียงเท่านั้นเขาก็รีบตรงดิ่งไปหาโทรศัพท์ในห้องแล้วกดเบอร์ในครัวทันควัน

“ป้าสีครับ ฝากบอกคุณแม่ด้วยว่าผมไม่ค่อยสบายให้กินข้าวไปได้เลย แล้วป้าช่วยให้เด็กยกข้าวขึ้นมาให้ผมที่ห้องด้วยนะครับ อ้อ! ขอน้ำแข็งหนึ่งถังกับผ้าขนหนูด้วยนะครับ”

ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ได้นั่งกินข้าวควบคู่กับการใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบแก้มขวาไปด้วยเรียบร้อยแล้ว ใจก็ให้กังวลไม่น้อยว่าเจ้ารอยดัชนีนี้จะจางหายทันรุ่งเช้าหรือเปล่า เพราะถ้าไม่หายเขาคงไม่กล้าเอาหน้าอย่างนี้ไปให้ใครต่อใครเห็นเป็นแน่ แล้วใจก็พาลคิดไปถึงเจ้าของนิ้วขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อาการขุ่นเคืองนิดๆ จึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน

ทว่ามันก็เหมือนจะถูกลบล้างด้วยเสี้ยววินาทีที่ได้ลิ้มลองเรียวกระจับอิ่มที่เขาเห็นว่าหอมหวานกว่าหลายๆ จุมพิตที่เคยได้ลิ้มลองจากหญิงอื่นใดนัก แม้กระทั่งกับผู้หญิงที่เขากำลังจะรับมาเป็นคู่หมั้นก็ตามที ร่างสูงใหญ่ถึงกับสะดุ้งเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“วีทำอะไรอยู่ลูก แม่เข้าไปได้หรือเปล่า” แล้วมีเสียงร้องถามของผู้แม่ตามติดมา

“เอ่อ! ได้ครับคุณแม่ ประตูไม่ได้ล็อคครับ”

เขาไม่รอช้ารีบลุกจากโต๊ะหน้าระเบียงวิ่งไปขึ้นเตียงแล้วนอนตะแคงเอาแก้มข้างที่มีรอยแนบหมอนไว้เพื่อหลีกหนีการถูกแม่ซักไซ้ไล่เลียง

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก ต้องไปหาหมอไหม ร้อยวันพันปีแม่ไม่เคยเห็นวีป่วยเลยนี่นา หรือว่าแม่นั่นจะใช้งานลูกแม่หนักถึงขนาดต้องล้มหมอนนอนเสื่อ อย่างนี้ ไม่ได้แล้วแม่จะต้องโทรไปฟ้องคุณปู่หน่อยล่ะว่าปล่อยให้หลานสาวใช้ลูกแม่ยังไงจนต้องป่วยขนาดนี้” แต่ดูเหมือนเขาจะเลี่ยงแม่ไม่ได้แล้ว จึงถูกถามออกมาเป็นชุดๆ จนแทบตั้งตัวไม่ทัน

“เอ่อ! คุณแม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่รู้สึกเหนื่อยๆ แล้วก็ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง กินยาแล้วคงจะดีขึ้น คุณแม่ลงไปกินข้าวกับคุณพ่อเถอะนะครับไม่ต้องเป็นห่วง ผมก็จะได้นอนพักเหมือนกัน”

“เอางั้นเหรอลูก ไม่เป็นอะไรมากแน่นะ แล้วมียาหรือยัง”

“มีแล้วครับ ผมเพิ่งจะกินไปเมื่อกี้นี่เอง งั้นผมขอนอนก่อนนะครับ” แต่สุดท้ายเขาก็ควบคุมสถานะการณ์เอาไว้ได้

“งั้นก็นอนพักมากๆ นะลูก” จนผู้แม่ยอมสงบลงด้วยดี และเดินออกจากห้องเงียบๆ

“ถ้าพรุ่งนี้ไม่หายก็ไม่ต้องไปทำงานให้แม่นั่นหรอก ใครจะเป็นยังไงก็ช่างประไร”

แต่ก็ไม่วายหันกลับมาส่งน้ำเสียงหนักๆ เพื่อประชดคนต้นเหตุอย่างเหลืออด ก่อนจะออกจากห้องไปได้ ปวีย์ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก และลุกขึ้นไปกินข้าวกับประคบแก้มต่อ เมื่อกะเวลาที่พ่อกับแม่ขึ้นห้องนอนแล้ว เขาถึงได้ค่อยๆ ย่องลงไปห้องทำงานข้างล่าง ควบคู่กับการประคบแก้มไปด้วย

“อ้าว! ไหนบอกว่าไม่สบายไงพี่วี แล้วจะลงมาทำงานทำไมกัน จะขยันไปถึงไหนนะพี่เรา” ปไวย์ที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานของตัวเองแซวพี่ด้วยความเคยชิน

“อ้าว! ไม่ขยันได้ไงล่ะ ก็อีกหน่อยพี่วีของเราจะต้องแต่งการแต่งงานมีลูกมีเต้าแล้ว ขืนมัวขี้เกียจก็เลี้ยงเมียไม่ได้สิ”ปวัตรที่นั่งอยู่ก็ผสมโรงด้วย ปวีย์ที่วุ่นอยู่กับการเปิดเครื่องรีบหันไปทำตาขวางใส่น้องทั้งสองด้วยความรำคาญ และนั่นทำให้สองหนุ่มเห็นรอยแดงๆ บนแก้มพี่อย่างชัดเจนจนต้องร้องถามออกมาด้วยความสงสัย

“อ้าว! แล้วหน้าพี่วีไปโดนอะไรมาล่ะนั่น ผมว่ามันเหมือนรอยมือนะพี่วัตร เอ...ว่าแต่จะเป็นมือใครกันนะ คงไม่ใช่ของยาหรอกมั้ง”

“หุบปากแล้วทำงานไปเจ้าไวย์ ไม่งั้นมีเรื่องแน่”

ผู้พี่รีบทำเสียงดุแล้วหันกลับมาหาหน้าจอแทบจะทันที พร้อมกับคว้าน้ำแข็งขึ้นมาประคบไปด้วย แม้จะรู้ว่าน้องทั้งสองแอบขำอยู่เบื้องหลังก็ตามที แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งทำงานเฉย นานเป็นชั่วโมงกว่าน้องๆ จะออกจากห้องไปได้ เขาเหลือบตาไปดูมุมจอแล็ปท็อปก็ยังคงเห็นชื่อแม่คุนเจ้าของนิ้วแสดงสถานะออนไลน์อยู่ ไม่รู้หรอกว่าเจ้าหล่อนนั่งทำงานหรือกำลังแชทกับแฟนหนุ่มในเครื่องแบบกันแน่

แต่ก็เอาเถอะครั้งนี้จะยกผลประโยชน์ให้ ว่าการที่เจ้าหล่อนไม่ยอมหลับยอมนอนก็เพราะทำงานก็แล้วกัน ส่วนเรื่องพรุ่งนี้เขาจะให้เวลาตัวเองนอนคิดทบทวนอีกหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยสรุปว่าจะเอายังไง หรือถ้าให้ตอบตอนนี้เขาก็บอกได้คำเดียวว่าไม่อยากเข้าไปวุ่นวายกับแม่คุณให้มากความเลยจริงๆ คนอะไรแข็งกระด้างซะไม่มี แถมมือหนักเป็นบ้าด้วย



หทัยชนกเดินออกจากบ้านหลังน้อยแล้วตรงไปหารถโดยเร็ว ด้วยหนักกับของที่หอบหิ้วไปๆ มาๆ ระหว่างออฟฟิศกับบ้านเพียงลำพัง เพราะวีนากับพีระไปอยุธยาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คุณอัญชลีหันไปมองหลานสาวหอบข้าวของก้าวเข้าไปนั่งในรถด้วยท่าทีขุ่นเคืองคงค้างตั้งแต่เมื่อวานยังไม่หาย แต่ก็เบื่อที่จะเดินมาด่าหรือถากถาง อีกทั้งเกรงกลัวว่าจะได้น้ำคำอันเจ็บแสบกลับไปนอนเจ็บใจเล่นทั้งวันทั้งคืนด้วย จึงได้แต่มองอยู่ห่างๆ เท่านั้น

“ให้ผมช่วยถือไปส่งมั้ยครับท่านประธาน”

รปภ. เจ้าเดิมรีบวิ่งมาอาสาเมื่อเห็นเจ้านายหอบของพะรุงพะรัง และหลังจากได้รอยยิ้มเป็นคำตอบ ชายวัยเกือบสี่สิบก็กุลีกุจอช่วย ถึงออฟฟิศหทัยชนกเห็นว่ายังไม่มีใครมาเลย คนช่วยหิ้วของกลับออกไปแล้ว จึงรีบเข้าห้องล็อกไว้ทันที ด้วยเกรงกลัวภัยที่อยู่ในมุมมืดจะมาถึงตัวอย่างคนรอบคอบ

ร่างสูงที่ใส่กางเกงยีนส์สีเข็ม เสื้อแขนยาวลายขาวดำเป็นแนวขวาง กับผมยาวสลวยที่ถูกเกล้าขึ้นไปมัดเป็นทรงดังโงะ ช่วยส่งให้ดูเด็กกว่าวัยลงอีกเป็นปี แม้จะไม่แน่ใจนักว่าวันนี้พ่อเทรนเนอร์หนุ่มจะโผล่หน้ามาช่วยงานต่อหรือไม่ ก็ขอแต่งกายด้วยชุดกระฉับกระเฉงรอไว้ก่อน เพราะจะต้องออกไปดูโรงงานดังเช่นที่เคยได้ตกลงกันไว้

กองเอกสารตรงหน้าถูกก้มลงไปหาเพื่อสะสางให้เสร็จสิ้นก่อนจะออกไปข้างนอก แม้จะไร้วี่แววของเขาก็ตามที แต่เธอก็ไม่สนใจ หนทางของการหาความรู้ไม่ได้มาจากผู้ชายเพียงคนเดียว การยืนรอให้คนอื่นก้าวเข้ามาช่วยเหลือเป็นจุดเริ่มต้นของความอ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่บอกตัวเองไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

เสียงเคาะประตูห้องทำเอาใบหน้าสวยที่เคร่งอยู่กับเอกสารถึงกับยิ้มอย่างผู้ชนะออกมาในทันที ก่อนจะค่อยๆ เยื้องย่างเดินไปเปิด แต่ความคาดหวังก็ผิดไปถนัด เมื่อเลขาคือคนที่ยิ้มหน้าบานมาให้ ร่างสูงรีบเดินกลับไปหางานต่อ ชื่นจิตจึงก้าวเข้ามาในห้องเจ้านายสำรวจความเรียบร้อยและจัดเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบเงียบๆ

“คุณอ๋อจะรับกาแฟเลยมั้ยคะ”

“ขอแซนด์วิชแทนมาปลาท่องโก๋นะคะ คุณชื่นก็ไม่ควรจะกินบ่อยๆ และติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ระวังอ้วนแถมด้วยโรคมะเร็งจะถามหาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว”

ผู้บริหารสาวไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปหาด้วยซ้ำ จึงไม่เห็นรอยยิ้มอย่างเห็นขันของเลขาอายุคราวแม่ที่ส่งมาให้ ก่อนออกไปจัดการตามคำสั่งเจ้านาย ไม่ถึงห้านาทีสิ่งที่ร้องขอก็มาวางอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังจรดปลายปากกาเซ็นงานอยู่แล้ว ชื่นจิตหันไปมองโต๊ะที่ว่างเปล่าซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก กำลังจะอ้าปากถามอยู่แล้วเชียว แต่ก็มีคำสั่งเจ้านายสาวดังขึ้นมาก่อน

“อ้อ! เดี๋ยวคุณชื่นช่วยหาแผนที่โรงย้อมให้อ๋อด้วยนะคะ เอาแบบละเอียดๆ ขอเบอร์ผู้จัดการด้วย แต่ไม่ต้องบอกนะคะว่าอ๋อจะไปดูงาน และถ้าวันนี้คุณชื่นไม่ยุ่งอะไรมากมายจะไปกับอ๋อก็ได้ค่ะ”

“อ้าว! เหรอคะ แล้วคุณ....เอ่อ...”

“ถ้าคุณชื่นไม่ว่างอ๋อไปคนเดียวก็ได้ค่ะ ไม่มีอะไรแล้วล่ะขออ๋อทำงานให้เสร็จก่อนออกข้างนอกหน่อยนะคะ”

อาการงวยงงของเลขาวัยทึนทึกมีหรือที่อีกคนจะเดาไม่ออก แต่ป่วยการจะต่อความยาวสาวความยืด สู้รีบทำงานให้เสร็จแล้วจะได้ทำอย่างอื่นต่อเห็นจะเป็นการดีกว่า อีกทั้งก็เป็นการให้โอกาสกับพ่อเทรนเนอร์ไปในตัวด้วย แต่ดูเหมือนจะรอชั่วโมงกว่าๆ ในห้องก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของเขา ผู้บริหารสาวที่สะสางงานเสร็จสิ้นแล้ว

จึงเก็บทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วก้าวฉับๆ ออกไปข้างนอก แถมเดินเลยโต๊ะเลขาไปโดยไม่ได้หันมองด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้เจ้าของโต๊ะต้องรีบรวบข้าวของแล้ววิ่งตามอย่างทะลักทุเล แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะได้เข้าไปนั่งในรถ สปอร์ตคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดเทียบได้พอดิบพอดี ชื่นจิตยิ้มหน้าบาน

แต่เจ้านายสาวกลับตีหน้าเรียบเฉยแล้วเปิดประตูรถตัวเองอย่างไม่แยแสต่อสายตาคมที่ยังคงจับจ้องอยู่กับร่างในชุดทะมัดทะแมง เมื่อเห็นท่าว่าเจ้าหล่อนกำลังจะสตาร์ทรถ ปวีย์จึงรีบออกจากรถวิ่งไปแล้วแย่งกุญแจในมือบางมาถือไว้ เจ้าของใบหน้าสวยกับทรงผมสาวใสหันไปจ้องมองด้วยท่าทีไม่ชอบใจเอาซะเลย

“เอาของฉันมานะ!”

“คุณจะไปไหนไม่ทราบ! วันนี้เราวางโปรแกรมว่าจะไปโรงย้อมไม่ใช่เหรอ หรือคุณคิดจะถอนตัวซะแล้ว”

ร่างในกางเกงยีนส์ก้าวออกมาจากรถ พลอยทำให้ชื่นจิตต้องออกมาด้วย แต่เจ้านายสาวก็หันไปมองแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“คุณชื่นกลับไปนั่งเลยค่ะ เดี๋ยวเราจะออกไปกันแล้ว”

คนพูดก็หันกลับไปหากุญแจในมือปวีย์พร้อมกับจะเยื้อแย่งเอามาให้ได้ แต่ความไวและรูปร่างที่สูงกว่าทำให้ฝ่ายชายได้เปรียบอยู่มาก เขาหันไปมองชื่นจิตขณะสลับกุญแจจากมือหนึ่งไปอีกมืออย่างไม่ยากเย็นนัก ผิดกับอีกคนที่พยายามจะแย่งเอามาให้ได้ ปากก็ว่าเขาด้วยอาการโกรธนิดๆ

“นี่คุณ! อย่ามาเล่นเหมือนเด็กๆ นะ ฉันไม่ชอบ!”

“คุณชื่นกลับขึ้นไปทำงานตามเดิมได้เลยครับ ทางนี้ผมจัดการเอง”

สิ้นคำสั่งเขาก็คว้าเอาข้อมือเล็กแล้วลากไปหาสปอร์ตอย่างรวดเร็ว ชื่นจิตนึกขึ้นได้จึงรีบมุดเข้าไปในรถคว้ากระเป๋ากับข้าวของอื่นๆ ไปส่งให้ ปวีย์ยิ้มก่อนจะรับขณะวางบนตักคนนั่งข้างๆ แล้วออกรถไปด้วยความเร็ว ควบคู่กับการแอบยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ ที่สามารถเอาแม่สาวห้าวให้อยู่หมัดได้อย่างไม่ยากเย็นเลย

“ฉันบอกให้จอดรถไงไม่ได้ยินเหรอ”

กระนั้นสาวข้างๆ ก็ยังปากดีร้องสั่งครั้งแล้วครั้งเล่านับตั้งแต่รถแล่นออกประตูบริษัทมาได้ แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ และขับเร็วกว่าทุกครั้งเพื่อปราบพยศแม่สาวปากกล้าให้สงบเงียบสักที

“บอกให้จอดไง ฉันจะลง หูแตกไม่ได้ยินหรือไง”

อนิจจาที่เขาคิดผิด แม้จะพยายามทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจเสียงสักแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนทานได้เพียงแค่รถแล่นเข้าถนนมอเตอร์เวย์ได้ไม่นานเท่านั้น จึงหักพวงมาลัยเพื่อจอดรถไว้ข้างทางอย่างหัวเสียไม่น้อย

“จอดแล้วคุณจะทำอะไรไม่ทราบ จะลงเดินจากนี่ไปถึงโรงงานหรือไงไม่ทราบ บอกไว้ก่อนนะว่าผมจะไม่มีทางทำแบบเย็นนั้นอีกเป็นอันขาด ถ้าคุณก้าวออกจากรถเมื่อไหร่ ผมจะขับหนีทันที”

และเมื่อถูกท้าทายอย่างนี้ มีหรือที่คนอย่างหทัยชนกจะเกรงกลัว ข้าวของพร้อมกระเป๋าสะพายถูกคว้าไปทันควัน แล้วร่างผอมบางก็ก้าวลงจากรถทันที เพราะวันนี้แบตเตอร์รี่มีเต็ม ร้องเท้าก็เป็นคัชชู แถมไม่มีกระโปรงสั้นอีกต่างหาก ถ้าเดินเหนื่อยแล้วก็โทรสั่งให้เลขาจัดรถคันใหม่มารับก็เท่านั้น เรื่องอะไรจะไปง้อผู้ชายอย่างนายนั่น

และผู้ชายอย่างนายนั่นก็คิดเช่นเดียวกัน จึงไม่รอช้าที่จะบึ่งรถออกไปด้วยความเร็วเพื่อสั่งสอนคนอวดดีซะบ้าง แต่เพียงแค่ได้มองกระจกหลังเห็นร่างบอบบางเดินตากแดดยามสายๆ เท่านั้น เขาก็ต้องเบรคกึกแล้วตบพวงมาลัยด้วยความโมโหในความใจอ่อนของตัวเอง ก่อนจะถอยรถกลับมา

“ขึ้นรถเถอะคุณ อย่ามัวทำอะไรเป็นเด็กๆ อยู่เลย เราต้องรีบนะ”

“...”



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:48:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:48:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 898





<< จุมพิตที่ต้องแลกด้วยดัชนีนาง   มารยาหญิงเป็นสิ่งที่ชายไม่ควรมองข้าม >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 14:59:02 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account