ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: อดีตที่ยังคลุมเคลือ

และคนที่วีนากำลังคิดถึงอยู่นั้นก็กำลังเดินเข้าห้องทำงานด้วยท่าทีของคนเหนื่อยๆ จากอาการอดนอน เพราะมัวแต่นั่งทำงานกับนั่งประคบน้ำแข็งตรงแก้มให้เจ้าริ้วรอยแดงๆ บนใบหน้าหายไป ด้วยหวาดกลัวว่าจะประจานใครต่อใครในที่ประชุม ซึ่งเขาจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ กายสูงใหญ่ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้พร้อมกับปิดเปลือกตาลงเพราะอยากจะพักเอาแรงกับช่วงเบรครอบแรกที่มีให้แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น

แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อาจพักสมองได้ แม้กายจะเอนหลังกับเก้าอี้อยู่นิ่งๆ แต่ในใจนั้น ไม่วายคิดไปถึงร่างบอบบางที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเมื่อวานนี้ จูบแรกนั้นไม่ใคร่จะสร้างความหนักอกหนักใจให้สักเท่าไหร่ ทว่าจูบสองนี้กลับทำให้ต้องคิดหนัก เพราะมันช่างตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่รู้หายเอาเสียเลย แม้จะพยายามผลักไสไปให้ไกลๆ สักแค่ไหน

สุดท้ายมันก็ตามติดเขาไปด้วยแทบจะทุกที่ทุกเวลา จนอยากจะค้นหาคำตอบว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่

‘ประทับใจ พึงพอใจ หรือชอบใจ’ ในตัวเจ้าของกลีบกุหลาบนุ่มน่ะหรือ เขาอยากจะเถียงออกมาดังๆ ว่า

‘ไม่มีทาง’ ปากกล้า ปากเก่ง อวดเก่ง เย่อหยิ่ง แถมไม่ยอมใครออกอย่างนั้น คงไม่ใช่สเปคเขาแน่ๆ

‘ก็แล้วมันเพราะอะไรเล่า’ เขาไม่วายโมโหที่คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวร่ำไป ร่างสูงใหญ่ถึงกับสะดุ้งเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามติดด้วยเลขาโผล่หน้าเข้ามาบอกเสียงอ่อยๆ

“คุณวีคะ หมดเวลาเบรคมาห้านาทีแล้วนะคะ”

เขารีบดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงเข้าห้องประชุมที่ทุกคนต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน โดยเฉพาะคนเป็นพ่อ เพราะสงสัยไม่น้อยในอาการเหนื่อยหน่ายของลูกชายคนโต ซึ่งไม่ใคร่จะมีให้เห็นบ่อยครั้งนัก ยิ่งได้ยินลูกกระซิบสั่งเลขาด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความกังขาให้หนักเข้าไปอีก

“ขอกาแฟดำเข้มๆ ให้ผมด้วย”

ปวีย์รีบยกแก้วขึ้นจิบทันทีเมื่อกาแฟมาวางตรงหน้า เพราะมันจะทำให้เขากระฉับกระเฉงขึ้นมาได้ น้องชายคนเล็กนั่งติดกันเลื่อนกระดาษที่เขียนข้อความบางอย่างจนเขาต้องค่อยๆ เลื่อนมาอ่านด้วยความสงสัย

‘อดนอนเพราะเจ้าของรอยบนแก้มหรือครับพี่ชาย สองครั้งแล้วนะ เป็นผมจะจับมาจูบให้เข็ด’

ทั้งขำและทั้งหมั่นไส้ไอ้น้องรู้ดีนักจนอยากจะตบให้กระบาลแยกเลยทีเดียว แต่ก็ได้แค่คิดและจะต้องรักษามาดผู้บริหารใหญ่เอาไว้จนกระทั่งจบการประชุม เขาก็รีบเผ่นกลับบ้านก่อนพ่อและน้องๆ แถมก่อนเวลาเลิกงานเป็นชั่วโมงด้วย เข้าห้องได้ก็ล้มตัวลงนอนและหลับเป็นตาย สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะเสียงแม่เคาะประตูเรียกให้ไปกินข้าว เขาถึงได้รีบลุกไปอาบน้ำ เพื่อเรียกความกระฉับกระเฉงให้ตัวเอง จะได้ไม่เป็นที่สงสัยกับคนในบ้าน

“วันนี้เป็นอะไรไปล่ะตาวี พ่อเห็นแกเหม่อๆ หรือเหมือนมีอะไรให้ต้องคิดตลอดเวลา มีปัญหาหนักอกหนักใจจะบอกพ่อหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นเพราะงานที่บีซีเคหนักเกินไป จนทำให้แกไม่มีเวลาพัก จะให้พ่อส่งน้องไปช่วยหรือเปล่าล่ะ แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นไปขอยกเลิกกับคุณปู่ พ่อคงทำไม่ได้หรอกนะ แกก็คงจะรู้ดีว่าเพราะอะไร”

แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของผู้เป็นพ่อไปเลยสักนิด หลังอาหารเย็นปฐพีจึงเดินเข้าไปหาลูกที่ออกไปนั่งรับลมเย็นๆ อยู่สนามนอกบ้าน แทนที่จะอยู่ในห้องทำงานอย่างที่เขาเคยเห็นบ่อยๆ แต่วันนี้ลูกกลับเอาแต่นั่งนิ่งมองสนามหญ้าอันเขียวขจีด้วยอาการของคนใจลอย

“เอ่อ! เปล่านี่ครับคุณพ่อ” เขาปฏิเสธคอเป็นเอ็น แต่คนพ่อหรือจะเชื่อ

“แน่ใจเหรอ ฉันเป็นพ่อแกนะ มีอะไรก็บอกๆ มาสิ มัวเก็บเอาไว้แล้วจะรู้เรื่องกันเหรอ”

“คุณพ่อรู้เรื่องของคุณอาสงครามกับคุณอาอิงอรแม่ของหทัยชนกใช่ไหมครับ ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ เล่าให้ผมฟังหน่อยได้หรือเปล่าครับ”

เมื่อพ่อเปิดโอกาสขนาดนี้ มีหรือที่เขาจะปล่อยความสงสัยให้หลุดลอยไป เพราะเคยถามแม่แล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบที่กระจ่าง อีกทั้งเขาก็เกรงว่าแม่จะตอกไข่ใส่สีเข้าไปด้วย จนไม่รู้ความจริงว่าเป็นยังไงกันแน่ ปฐพีทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามลูก แล้วก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาก่อนเอ่ย

“พ่อก็รู้เท่าที่สงครามเล่าให้ฟังนั่นล่ะนะ แต่มันก็เป็นเพียงการฟังความข้างเดียว ส่วนความจริงจากฝ่ายอิงอรพ่อไม่มีโอกาสได้ถามเลย อิงอรก็หนีออกจากบ้านนั้นไปแล้ว และไม่มีใครได้เห็นหน้าอีกเลย แม้แต่สงครามกระทั่งเกิดเรื่องพินัยกรรมนั่นล่ะ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วด้วย และไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลยรวมทั้งพ่อด้วย แต่วีถามพ่อก็จะเล่าให้ฟัง”

แต่ในที่สุดปฐพีก็ตัดสินใจเล่าให้ลูกฟัง เพราะเห็นว่าลูกคงจะอยากรู้ถึงได้ถามออกมา และเขาก็เห็นว่าลูกต้องทำงานใกล้ชิดกับทายาทของสองชีวิตซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องด้วย การให้ข้อมูลที่กระจ่างคงจะช่วยให้ลูกได้นำไปใช้ในการพิจารณาคนในครอบครัวบวรชัยกุลอย่างเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะอีกไม่นานลูกก็จะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนบ้านนี้ในฐานะเขยแล้ว

“ไม่มีวัน!!! ฉันไม่มีวันยอม!!!”

“ฉันไม่มีวันรับมันมาเป็นสะใภ้เด็ดขาด! หรือถ้าจำเป็นจะต้องยอมรับฉันก็จะรับว่าผู้หญิงอย่างมันเป็นได้แค่นางบำเรอเท่านั้น และถ้าจะหอบมันมาอยู่ในบ้านฉัน แกก็ต้องแต่งงานกับหนูสาตามคำสั่งฉันก่อน ถ้าไม่ตกลงตามนี้จะพานังนี่ไปอยู่ที่ไหนก็ไป ฉันจะถือว่าชีวิตนี้ฉันไม่มีลูกอย่างแกก็แล้วกัน เจ็บใจนักมีลูกคนเดียวอุตส่าห์เลี้ยงดูปูเสื่อมาอย่างดี ทำไมตาต่ำใฝ่ต่ำคว้านังสลัมนี่มาได้ คนดีๆ ที่ฉันหาไว้ให้ทำไมแกไม่รัก”

คุณอัญชลีตะโกนใส่หน้าลูกชายด้วยความผิดหวัง ที่จู่ๆ ลูกก็หอบผู้หญิงไร้สกุลรุนชาติเข้าบ้าน แล้วจะยกย่องออกหน้าออกตาในฐานะเมีย คุณสมควรประมุขของบ้านหันไปมองหน้าคู่ชีวิตด้วยความเอือมระอา เมื่อเกลี้ยกล่อมมานานนมให้ทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายคุณอัญชลีก็ยังคงยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมฟังใครเลย

สงครามผู้เป็นลูกคนเดียวให้เจ็บช้ำใจอย่างบอกไม่ถูกที่แม่ยื่นคำขาดในเรื่องที่เขาต่อต้านมาโดยตลอด หัวใจเป็นอะไรที่บังคับกันไม่ได้ สองแขนจึงประคอง อิงอรผู้เป็นเมียทางพฤตินัยและกำลังอุ้มท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีลุกขึ้น เพื่อหมายจะพาไปตายเอาดาบหน้า เพราะยอมไม่ได้ที่จะเห็นแม่รังแกเมียด้วยการสั่งให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก

“งั้นก็ไปตามทางของเราเถอะนะอิง ผมจะหาเลี้ยงคุณกับลูกเองไม่ต้องห่วง”

คุณสมควรเห็นท่าทางเอาจริงของลูกก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ เพราะรู้จักลูกคนนี้เป็นอย่างดี ถ้าลองได้ไม่ก็คือไม่ การจะเปลี่ยนความคิดนั้นเป็นต้องคุยกันยืดยาว และคนที่จะคุยก็ไม่ใช่เขาหรือคุณอัญชลีซะด้วย อิงอรมองหน้าคนรักทั้งน้ำตา เมื่อรับรู้ว่าตังเองกลายเป็นคนสร้างรอยร้าวระหว่างพ่อแม่ลูก ความเป็นคนดี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่อยากจะมีปัญหากับใครที่มีอยู่ในตัวล้นเปี่ยม จึงตัดสินใจเสียสละให้คนรักทำตามคำสั่งของพ่อออแม่เขาทันที

“คุณยอมทำตามคุณแม่คุณพ่อเถอะนะคะ”

“ไม่!! อิงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ลุกขึ้นเถอะผมจะพาไปอยู่ที่อื่น”

ทว่าสงครามไม่คิดจะทำตามและยังคงยืนยันที่จะไป แต่สุดท้ายเมื่อเมียไม่ยอมลุกและให้เหตุผลต่างๆ นานามาหว่านล้อม บวกกับคำขู่เข็นที่ว่าถ้าเขาไม่ยอมทำตาม อิงอรจะพาลูกในท้องหนีเขาไปชนิดไม่ให้เห็นหน้ากันอีกเลยในชาตินี้ สงครามรู้ดีว่าเมียสามารถทำอย่างที่พูดได้ เขาจึงจำต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้

“พามันไปอยู่เรือนเล็กโน่น ห้ามโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นเด็ดขาด”

แทนที่คุณอัญชลีจะเห็นอกเห็นใจในความเสียสละของสะใภ้ทางพฤตินัย กลับออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดังคับบ้าน โดยไม่สนใจว่าจะกระทบกระเทือนถึงใครบ้าง คุณสมควรเองก็ไม่รู้จะขวางเมียยังไง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ยอมตามใจทุกเรื่องจนเคยตัว อีกทั้งก็ไม่อยากให้ลูกชายต้องหนีหน้าไปลำบากตามลำพังที่ไหน

หลานที่กำลังจะเกิดมาก็คงจะพลอยติดร่างแหไปด้วย ที่สำคัญกิจการที่กำลังขยายตัวก็จำเป็นต้องมีคนคอยสานต่อ และคนคนนั้นก็คือทายาทเพียงคนเดียวนั่นเอง เมื่อสรุปได้ดังนั้นแล้ว คุณสมควรจึงนั่งนิ่งและนับถือน้ำใจอิงอรในการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่นี้

และผลพวงจากการตัดสินใจในครั้งนั้นก็ทำให้อิงอรต้องเก็บความชอกช้ำระกำทรวงเอาไว้ภายใน แล้วยิ้มแย้มให้สามีอย่างปกติเช่นทุกวัน แม้ในแต่งงานของเขาก็ตามที อิงอรไม่ได้รับอนุญาตจากคุณอัญชลีให้เข้าไปร่วมงานที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในบริเวณคฤหาสน์หลังงามกว้างขวางโอ่อ่าโอ่โถง แขกเหรื่อมาร่วมงานมากหน้าหลายตา ล้วนแต่งกายประดับประดาด้วยข้าวของราคาแพงทั้งสิ้น

น้ำตาของหัวอกเมียไหลอาบสองแก้มขณะอุ้มลูกวัยแปดเดือนแอบยืนชะเง้อคอมองดูความเป็นไปของผู้คนบนสนามหญ้าเขียวขจี สาลินีเจ้าสาวแสนสวยและสูงส่งยืนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ข้างเจ้าบ่าวผู้หล่อเหลาสมกันราวกิ่งทองใบหยก เป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่มากันถ้วนหน้า แต่สำหรับอิงอรแล้วนอกจากพี่ชายกับพี่สะใภ้และคนในซอยบ้านแล้วก็ไม่มีใครจะรู้จักมักคุ้นกับเธออีกเลย

“แค่ขอให้คุณพ่อมีความสุข และเราสองคนได้อยู่ใกล้ๆ คุณพ่อ แค่นี้ก็พอแล้วนะจ๊ะลูกแม่”

เจ้าของน้ำตาเอ่ยกับลูกน้อยที่จ้องมองหน้าแม่ตาแป๋ว ประหนึ่งกำลังรับรู้สิ่งที่แม่บอกออกมาก็ไม่ปาน ก่อนจะพาลูกเดินกลับบ้านหลังน้อยท้ายสวน ซึ่งเป็นเสมือนวิมานของอิงอรกับลูกได้เอาไว้พักพิงมานับตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่กับคนในครอบครัว ‘บวรชัยกุล’ ที่มีบรรพบุรุษเป็นคนแผ่นดินใหญ่ เข้ามาพึ่งแผ่นดินสยามด้วยเสื่อผืนหมอนใบ จนพบรักกับหญิงไทยซึ่งเป็นลูกพระน้ำพระยามา และเมื่อมาเจอกับชนชาติที่ขยันขันแข็งทำมาหาเลี้ยงชีพเข้าแล้ว ความเป็นปึกแผ่นก็เพิ่มพูนขึ้น จนกรายเป็นมรดกตกทอดมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานเรื่อยมา



“หนูสา! นั่นจะเอาหม้ออะไรไปไหนกันล่ะกำลังท้องกำลังไส้แท้ๆ อย่าเดินให้มันมากนักสิจ๊ะ”

คุณอัญชลีร้องถามสะใภ้ด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว ขณะนั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่กับเด็กรับใช้ สาลินียิ้มให้พร้อมกับเดินตรงไปหา โดยมีเด็กรับใช้อีกคนถือหม้อตามมาไม่ห่าง คุณอัญชลีละสายตาจากหน้าจอไปมองสะใภ้อีกครั้ง แล้วยิ้มให้ด้วยใบหน้าชื่นชมไม่เคยจืดจาง เพราะสาลินีไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยนับตั้งแต่ถูกแต่งเข้าบ้าน ก็ทำหน้าที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ทั้งกับสามีและพ่อแม่สามี

“สาจะเอากระดูกหมูตุ๋นยาจีนไปให้พี่อิงค่ะ เห็นบอกว่าไม่สบายตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ไปไม่นานหรอกค่ะคุณแม่แล้วสาจะรีบกลับมาจัดขึ้นโต๊ะมื้อเที่ยงให้ ก่อนจะออกไปรับยายยาที่โรงเรียนค่ะ”

แม้กระทั่งกับอิงอรผู้ที่คนในบ้านก็ต่างรู้ดีว่าเป็นเมียหลวง มาก่อนและมีลูกสาวให้สงครามก่อน สาลินีก็ผูกมิตรและหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้ไม่เคยขาดตกพกพร่องตลอดเก้าปีมานี้ จนเป็นเหตุให้คนที่เคยมีรักเดียวและหัวใจมั่นคงดังภูผาอย่างสงครามต้องยอมจำนนต่อความดีของสาลินี ‘คุณหนูยา’ ในวัยสามขวบจึงเป็นลูกสาวคนแรกของสาลินี

ทว่าเป็นคนที่สองของสงคราม และคนที่สามของเขาก็กำลังจะลืมตามาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพราะส่วนใหญ่ห้องบนตึกมักจะเป็นที่พักพิงสำหรับเขาบ่อยกว่าบ้านหลังน้อยท้ายสวน บวกกับผู้เป็นแม่ก็มักจะคอยกีดกันไม่ให้เขาได้ลงไปหาเมียคนแรกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ด้วย ความห่างเหินระหว่างเขากับอิงอรจึงเกิดขึ้นในช่วงหลังๆ มานี้

“เหรอจ๊ะ!”

คุณอัญชลีเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งปลาบปลื้มในน้ำใจสะใภ้คนโปรด และเกลียดชังอีกสะใภ้อย่างที่สุด จนไม่อยากจะเอ่ยถึงให้เสียปาก

“งั้นก็ไปเถอะ แม่จะคอยก็แล้วกัน แต่อย่า...”

“ว๊าย!!! ว๊าย!!! ว๊าย!!! คุณท่านขา คุณผู้หญิงขา ช่วยด้วยค่ะ!!! อกอีดวงจะแตกตาย ว๊าย!!!ว๊าย!!!ว๊าย!!!”

ไม่ทันที่คุนอัญชลีจะได้พูดจบ เสียงแหลมๆ ของดวงสาวรับประจำตัวของสาลินีก็ดังลั่นบ้านพร้อมกับวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนกยังกับมีใครกำลังจะตายก็ไม่ปาน ทั้งหมดจึงรีบวิ่งไปยังทิศทางที่ดวงชี้มือชี้ไม้ไป นั่นคือวิมานหลังน้อยของอิงอรที่อยู่กับลูกสาววัยเจ็ดขวบ ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่โรงเรียน

“ว๊าย!!! บัดสีบัดเถลิง อีนังนี่มึงช่างกล้ามาทำเรื่องอัปรีในบ้านกู ใครก็ได้ไปตามคุณท่านกับพ่อสงครามมาเร็วๆ เข้า ฉันจะเป็นลม โอ๊ย!!! แม่สาช่วยด้วย”

คุนอัญชลีลมแทบจะจับ เมื่อเข้ามาในห้องนอนของอิงอรแล้วพบว่ากำลังนอนกกนอนกอดอยู่กับชายชู้ด้วยสภาพเปลือยร้อนจ้อน แถมยังหลับอย่างสบายอดสบายใจไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเลย แม้คนวิ่งมาดูจนเต็มแล้ว คุนสมควรกับสงครามที่ออกมาหาลูกค้าอยู่ไม่ห่างจากบ้านนัก ก็รีบบึ่งรถกลับมาดูตามที่เด็กรับใช้ได้โทรไปบอก หัวอกผู้ชายที่รักเมียเค้าเมียแรกแทบจะแตกสลายลงตรงนั้น เมื่อภาพปรากฏอยู่ตรงหน้า

อิงอรที่เหมือนเพิ่งจะได้สติตื่นขึ้นมาและยังงุนงงกับสภาพของตัวเองไม่น้อย จากนั้นก็ถึงกับร้องห่มร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ เมื่อพบว่าตัวเองตกเป็นจำเลยของสามีและคนในบ้านโทษฐานคบชู้สู่ชายกับคนสวน จนถึงขั้นนัดแนะกันมาหาความสำราญในบ้านอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมใด ๆ

“อิงไม่รู้เรื่องเลยค่ะคุณ เมื่อเช้าอิงปวดหัวแล้วก็หลับอยู่นอกห้องด้วยซ้ำ ไม่รู้ทำไมถึงได้มานอนอยู่ในห้องกับนายพันอย่างนี้ อิงไม่เคยคิดทำเรื่องเลวๆ เลยนะคะคุณ ฟังอิงก่อนนะคะ ได้โปรดฟังอิงอธิบายก่อนนะคะ”

แม้อิงอรจะอ้อนวอนและบอกกล่าวความจริงยังไง สงครามก็ไม่อาจจะปักใจเชื่อได้ ความเสียอกเสียใจทำให้เขาหุนหันเข้าไปกระชากเมียแล้วตบไปที่หน้าฉาดใหญ่ นายพันคนสวนคือเป้าหมายต่อไปจนลงไปนอนให้เลือดกลบปากอยู่กับพื้น แล้วเขาก็หนีออกจากบ้านไปดื่มเหล้าจนเมามายไม่ได้สติ พ่อกับคนรถต้องไปรับตัวมาจากผับในกลางดึก วันรุ่งขึ้นแม้จะได้สติแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากถามถึงเมียรักที่ทำเรื่องน่าอับอายอีกเลย

“ยายอ๋อไปโรงเรียนหรือยังครับคุณแม่”

แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ยังห่วงลูกสาวคนแรกอยู่มาก ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างหันไปมองหน้ากัน แล้วถอนหายในออกมาแทบจะพร้อมกัน สงครามให้สงสัยอย่างที่สุด จึงหันไปหาคุนสมควรเพื่อขอคำตอบ

“แม่อิงพายายอ๋อหนีไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน...”

สงครามรีบลุกพรวดหนีจากโต๊ะในทันที เพราะไม่อยากได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงหน้าด้านร่านสวาท บังอาจใฝ่ต่ำคบชู้อยู่บนหัวเขา และไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว เขาก็คงจะเป็นไอ้โง่ในสายตาของสองคนนั้นเป็นแน่ และเมื่อมีความรักให้มากมาย

ความเกลียดชังก็ย่อมมีมากมายไม่แพ้กัน ยิ่งเห็นว่าอิงอรไม่รู้จักเสียสละทิ้งลูกไว้ให้อยู่กับความสะดวกสบาย แต่ยอมลากลูกไปลำบากลำบนด้วยแล้ว เขายิ่งโกรธเกลียดและแค้นเคืองไม่ห่างหาย และไม่เคยเอ่ยถึงผู้หญิงคนนี้อีกเลยแม้เวลาจะล่วงเลยมายี่สิบปีแล้วก็ตามที

“เรื่องเป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะครับคุณย่าถึงไม่ค่อยจะชอบอ๋อนัก แล้วพ่อว่าคุณอาอิงอรจะทำอย่างที่ทุกคนเห็นวันนั้นหรือเปล่าครับ ดูท่าทางแกเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยๆ นะครับ ผิดกับลูกสาวที่เก่งเกินตัวและไม่กลัวใครด้วย”

ปวีย์ตั้งข้อสันนิฐาน และไม่วายจะส่งประโยคประชดประชันไปหาอีกคนที่ยังคงมีอำนาจต่อจิตใจเขามากมายอยู่ในตอนนี้ ปฐพีเห็นท่าทีและคำพูดของลูกแล้วก็อดขำไม่ได้



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 07:59:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 07:59:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1060





<< จุมพิตที่ต้องแลกด้วยดัชนีนางอีกครั้ง   ตลบหลังหมารอบกัด >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 15:03:14 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account