ไฟซ่อนเชื้อ
ไฟซ่อนเชื้อ เป็นนิยายสองในหกเรื่องที่ ‘กันเกรา’ เขียนให้นางเอกเก่ง ฉลาด หลักแหลม รอบรู้ ทันคน และไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกระทำ แถมตรงกันข้ามคือตามกระทำ ตามเอาคืนคนอื่นได้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนเกือบตลอดเรื่อง

ผิดกับนิยายภายใต้นามปากกา ‘กันเกรา’ ที่พอท่านผู้อ่านเห็นชื่อบนหน้าปก สันปกแล้ว ก็จะจินตนาการว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็คงจะออกแนวโรแมนติค ดราม่า ที่นางเอกจะต้องถูกกระทำถูกรังแกจากพระเอกและคนรอบข้างอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่ได้อ่านมาถึงหน้าคำนำของเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว

และแน่นอนที่สุดว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ก็ยังถูกขีดเขียนขึ้นโดยยึดถือและคำนึงถึงเรื่อง ความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ และความจริงที่น่าจะเป็นในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองไทยในปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเหมือนนิยายเรื่องอื่นๆ ของ ‘กันเกรา’ อย่างครบถ้วน

แต่เนื่องจาก ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ ต้นฉบับเดิมมีความยาวมาก ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านการตลาด และเพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับฉับไวมากกว่าเดิม จึงต้องถูกตัดทิ้งหลายสิบหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘กันเกรา’ ต้องเหนื่อยแถมต้องแย่งเวลาของการเขียนนิยายเรื่อง ‘อาญาซาตาน’ (ชื่ออาจจะเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง) ซึ่งจะเป็นเรื่องลำดับต่อไปที่จะตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านไปหลายวันทีเดียว

ขอขอบคุณทุกๆ ความกรุณา จากทุกๆ คนที่ทำให้มีนิยายเรื่อง ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหลายคนที่ช่วยในเรื่องหาข้อมูล เรื่องพล็อต เรื่องวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ขอบคุณ สนพ. อินเลิฟ ที่กรุณาหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาตีพิมพ์ และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ขอบคุณท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่กรุณายืนหยัดเป็นกำลังใจให้ ‘กันเกรา’ มาโดยตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘ไฟซ่อนเชื้อ’ จะสร้างความสุขในทุกๆ บรรทัดที่ท่านติดตามอ่านค่ะ

Tags: นางเอกเก่ง ฉลาด ทันคน ไม่ยอมถูกกระทำ

ตอน: มารยาหญิงเป็นภัยให้ตัวเอง

“อ้อ! เปล่าหรอกครับ เพราะผมกำลังจะอุ้มเจ้านายคุณชื่นไปที่รถ วันนี้เกิดนึกจะเกเรขึ้นมาจนไม่ยอมไปทำงานตามโปรแกรมที่วางเอาไว้หน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่คนของผมก็เตรียมทุกอย่างรอไว้อย่างตั้งอกตั้งใจมาหลายวัน แต่สุดท้ายเจ้านายของคุณชื่นก็มองไม่เป็นคุณค่าสักนิด คุณอี๋เปิดประตูให้ผมเลยครับ ขอโทษล่วงหน้านะครับถ้าผมจะต้องทำอะไรแผลงๆ ไปบ้าง ก็จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วน้องคุณอี๋ไม่ชอบทำตาม”

สิ้นคำเขาก็ก้าวเข้าไปหาร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงสั้นบานพริ้วสีดำทับเสื้อเชิ้ตแขนกุดสีขาวเอาไว้ โดยมีเข็มขัดหนังสีน้ำตาเส้นเล็กๆ พันอยู่รอบเอวคอดถึงสองรอบ เพื่อหมายจะทำอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้ วีนากับชื่นจิตหันไปมองกันด้วยความสงสัยและอยากรู้ในเวลาเดียวกันว่าการปราบสาวพยศจะประสบผลสำเร็จหรือไม่

“นี่คุณ! ออกไปนะ อย่ามายุ่งกับฉัน ฝากเอาไว้ก่อนเถอะฉันจะเอาคืนให้เจ็บแสบจนคุณร้องไม่ออกเลยล่ะ”

สองเลขาหันไปมองกันแล้วยิ้มให้กันอีกครั้งด้วยความโล่งใจ ที่เห็นเจ้านายสาวทำหน้าเคร่งเครียดแล้วเดินตัวปลิวออกจากห้องไปโดยไม่สนใจจะหันไปมองใครทั้งสิ้น ปวีย์ยิ้มด้วยความชอบใจในชัยชนะครั้งนี้ ก่อนจะรับข้าวของจากชื่นจิตแล้วตามเจ้าหล่อนออกไปจากห้องในเวลาไล่เลี่ยกัน

“คุณวีคะ! ฝากบอกอ๋อด้วยนะคะว่าเย็นนี้อี๋จะขับเบนซ์ไปจอดไว้ให้ที่บ้านเลย จะได้ไม่ต้องย้อนมาออฟฟิศอีก”

แต่เขาก็ต้องหยุดเมื่อวีนาวิ่งตามไปบอก บวกกับที่สาลินีกำลังเดินเข้ามาออฟฟิศพอดี เขารีบยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อมเช่นเคยทั้งที่ข้าวของยังเต็มมือ สาลินีมองกระเป๋าสะพายที่จำได้ดีว่าเป็นของหทัยชนก ในใจนั้นให้ขัดเคืองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องลงทุนทำถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมานอกจากถามไถ่เขาไปตามมารยาท

“วันนี้จะพาหนูอ๋อไปที่ไหนบ้างจะวี”

ปวีย์บอกจุดหมายปลายทางที่จะไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงนุ่มนวล แล้วก็รีบผละไป สาลินีหันไปมองตามจนเขาออกจากออฟฟิศแล้วจึงหันกลับมายิ้มให้พนักงานที่ต่างยกมือไว้เป็นทิวแถวระหว่างเดินเข้าห้องทำงาน แต่เมื่อเจ้าหล่อนปิดประตูได้เท่านั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอาฆาตมาดร้ายในทันที

“ไปดูงานให้สนุกนะนังอ๋อ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่แกจะได้เดินเชิดหน้าอยู่ในบวรชัยกุลแล้ว”



ช่วงขาขาวเนียนเรียวที่โผล่พ้นกระโปรงออกมานั้นรบกวนโสตประสาทของเจ้าของสปอร์ตไม่น้อย แม้ขณะขับจะพยายามมองไปข้างหน้าสักแค่ไหน แต่ระยะห่างของเบาะนั่งก็ยังคงอยู่ในรัศมีของสายตาคมไม่วาย หทัยชนกที่เอาแต่หันข้างออกไปมองวิวด้านนอกเพราะไม่อยากเห็นหน้าเขาเพิ่งจะก้มลงมาเห็นว่ากระโปรงลู่ขึ้นไปสูงแค่ไหน แม้จะมีกางเกงขาสั้นสีดำใส่ไว้อีกชั้น แต่ก็รีบคว้ากระเป๋าสะพายมาวางทับไว้ทันที แล้วเปิดแท็ปเลสขึ้นมาทำงานไปด้วยเพื่อเป็นการฆ่าเวลาและหลีกเลี่ยงช่วงเวลาอันอึดอัดที่จะต้องอยู่ในรถกับคนไม่ชอบเอามากๆ

เจ้าของใบหน้าคมหล่อเหลาแอบยิ้มด้วยความขำกับกิริยาท่าทางหวงของจนเกินเหตุของเจ้าหล่อน ทำยังกับว่าเขาอยากจะเห็นตายล่ะ ขาวสวยหมวยอึ๋มแถมเซ็กส์ซี่กว่านี้ก็เห็นและได้ลิ้มลองมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว ใจหนึ่งก็อยากจะป่าวประกาศให้เจ้าหล่อนรู้ดังๆ ด้วยซ้ำ แต่อีกใจก็ไม่อยากมีเรื่อง เพราะรังแต่จะทำให้บรรยากาศอึมครึมไปเปล่าๆ

จึงตัดสินใจเปิดเพลงโปรดของตัวเองโดยไม่สนใจว่าคนนั่งข้างๆ จะโปรดด้วยหรือไม่ สปอร์ตหรูจอดแน่นิ่งตรงป้ายที่เขียนหราไว้ว่า ‘สำหรับผู้บริหาร’ และนั่นเป็นวินาทีที่หทัยชนกรอคอยให้มาถึงด้วยหัวใจจดจ่อ จึงรีบเปิดประตูแล้วลงจากรถทันที เจ้าของสถานที่ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน

“โอ๊ย!!!”

แต่เจ้าของร่างผอมบางกลับยกมือขึ้นปิดหน้าข้างหนึ่งไว้ พร้อมกับเดินเซเหมือนจะล้มเพียงแค่ก้าวห่างรถได้ไม่เท่าไหร่ ปวีย์รีบเข้าไปช่วยรับไม่ให้หญิงสาวล้มลงกับพื้น แล้วรีบถามด้วยความตกใจ

“คุณเป็นอะไร! ไม่สบายหรือเปล่า เดินไหวไหม เข้าไปพักในห้องทำงานผมก่อนก็ได้ อยู่ไม่ไกลหรอก”

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ฉันแค่มึนๆ หัวเท่านั้นเอง สงสัยคงจะนอนน้อย”

หญิงสาวทำเก่งด้วยการพากายออกห่างจากการประคองของเขาเพื่อหมายจะเดินเอง แต่ไปได้แค่สองก้าวอาการเดิมๆ ก็เกิดขึ้นอีก จนปวีย์ต้องรีบเข้าไปรับไว้รอบสอง และไม่รอช้าที่จะรีบอุ้มร่างระหงขึ้นทันที ผู้จัดการโรงงานที่เดินมารับเห็นเข้าก็รีบวิ่งมาหาด้วยท่าทีเป็นห่วงไม่น้อย

“คุณอ๋อเป็นอะไรครับคุณวี!”

“สงสัยจะเป็นลมน่ะครับ ผมรบกวนช่วยเปิดประตูให้ทีและขอยาดมหรือยาอะไรก็ได้เอาไปให้ที่ห้องผมด้วยนะครับ”

ปวีย์สั่งเสียงรัวขณะอุ้มร่างที่มีสติเพียงเล็กน้อยในความคิดของเขาเดินเร็วๆ เข้าห้องทำงานที่ผู้จัดการวิ่งแซงหน้าไปเปิดประตูรอให้เรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่วิ่งมาก่อนก็สั่งเลขาที่ออกมาดูเหตุการณ์ให้รีบไปหาหยุกยามา ปวีย์ค่อยๆ ว่างคนในอ้อมแขนลงไปกับโซฟาตัวใหญ่ในห้องและรีบดึงชายกระโปรงที่ลู่ขึ้นไปหาต้นขาขาวจนเห็นขอบกางเกงขาสั้นเลยทีเดียว เพราะผู้จัดการเข้ามาอยู่ในห้องด้วย แต่ดึงยังไงกระโปรงก็ยังสั้นอยู่ดี จึงตัดสินใจถอดสูทไปคลุมเรียวขาขาวไว้เสียเอง

“อ๋อๆๆ คุณเป็นยังไงบ้าง ยาได้หรือยังครับ”

เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเรียกหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง แล้วหันไปหาผู้จัดการเพราะอยากได้ยาเต็มที ไม่นานเขาก็ได้สิ่งที่ต้องการ แล้วรีบเปิดฝาหลอดยาดมเอาไปจ่อตรงจมูกพร้อมกับแกว่งไปมา ผู้จัดการโรงงานรีบเปิดประตูรับของที่เลขายกมาให้อย่างรู้งานโดยไม่ได้ร้องขอ

“ผ้าขนหนูกับน้ำเย็นมาแล้วครับ ผมว่าเช็ดหน้าเช็ดตัวให้หน่อยน่าจะดีนะครับ”

ปวีย์เห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงรีบยื่นมือรับผ้าขนหนูที่เลขาชุบน้ำบิดหมาดๆ มารออยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้เช็ดให้ ด้วยซ้ำ คนเป็นลมก็ค่อยๆ ขยับตัวแล้วลืมตาขึ้นในที่สุด แต่ยังนอนนิ่งมองคนในห้องโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

“คุณเป็นลมน่ะ ผมว่านอนพักอีกหน่อยคงจะดีขึ้น ไม่ต้องรีบหรอกเรามีเวลาทั้งวัน ถ้าไม่ไหวผมจะพาไปส่งโรงพยาบาลเสร็จแล้วเราก็กลับกรุงเทพฯ เลย ไว้วันหลังค่อยมาดูใหม่ก็ได้”

เขาบอกด้วยสีหน้าของคนเป็นห่วงอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่คนฟังไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากจ้องมองเขากับคนในห้องตามเดิม

“งั้นคุณนอนพักในนี้นะ ผมจะออกไปคุยงานกับผู้จัดการข้างนอกหน่อย”

แล้วเขาก็พยักหน้าให้ทุกคนในห้องออกไป เพื่อปล่อยให้คนเป็นลมได้พักผ่อน เกือบห้านาทีที่คนนอนอยู่กะเกณฑ์ว่าเขาและทุกคนคงจะไปไกลจากห้องแล้ว ท่าทีอิดโรยและเหนื่อยอ่อนเมื่อครู่แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง จึงรีบดีดตัวจากโซฟาลุกขึ้นนั่งในทันที พร้อมกับอาการหัวเราะออกมาด้วยความขำ ที่ยกนี้ตัวเองชนะอย่างขาดรอยไร้ที่ติ

“โธ่เอ้ย!!! คิดว่าจะแน่ที่แท้ก็แพ้มารยาหญิงนั่นเองนะนายปวีย์ แล้วก็จง จำไว้ด้วยว่าฉันจะไม่มีวันยอมแพ้และยอมให้นายรังแกฝ่ายเดียวหรอก รู้จักเจ้าแม่ดราม่าอย่างอ๋อน้อยไปซะแล้ว เล่นกับใครไม่เล่น เช๊อะ!”

เจ้าของร่างสูงเพรียวพูดกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะเดินสำรวจห้องทำงานของผู้บริหารหนุ่ม อย่างคนอารมณ์ดี แถมฮัมเพลงเบาๆ ควบคู่กับการจับนั่นจับนี่ขึ้นมาดู ส่วนปวีย์ที่เดินไปถึงห้องประชุมแล้วและเห็นว่าพนักงานยังมาไม่ครบ เลยฆ่าเวลารอด้วยการเปิดกล้องในมือถือเพื่อดูคนที่นอนอยู่อีกห้องด้วยความห่วงใย ซึ่งเขากับพ่อและน้องๆจะติดตั้งระบบนี้ไว้ในห้องทำงานทุกที่

ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานใหญ่หรือแม้แต่ห้องทำงานเล็กๆ ในโรงงานที่เขาและน้องๆ ต้องแยกกันดูแล ทุกความเคลื่อนไหวสามารถรู้ได้เพียงปลายนิ้วคลิก ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหน เพื่อป้องกันภัยมืดที่คิดไม่ถึงหรือสิ่งที่มองไม่เห็น และตอนนี้ภัยมืดที่เขามองไม่เห็นก็กำลังเล่นงานเขาเข้าอย่างจังแล้ว

“เอ่อ! เดี๋ยวผมกลับมานะครับ”

จนต้องเอ่ยปากบอกผู้จัดการที่นั่งอยู่ไม่ห่าง แล้วเดินดุ่มๆ ไปยังห้องทำงานของตัวเอง ตอนแรกตั้งใจจะเปิดประตูเข้าไปเลย แต่คิดอีกทีก็เปลี่ยนใจและเคาะประตูก่อน ยังผลให้เจ้าของร่างบางที่กำลังเปิดหนังสือประวัติความเป็นมาของเอเอสวีกรุ๊ปอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก พอตั้งสติได้ก็ต้องรีบวางของในมือแล้วแทบจะกระโจนไปหาโซฟาเลยทีเดียว

ปวีย์เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องแล้วมองไปยังคนเป็นลมที่นั่งเอนหลังอยู่นิ่งๆ ยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นทันทีก่อนที่เขาจะค่อยๆ นั่งคุกเข่าลงใกล้ๆ อีกคนอย่างจงใจ และเมื่อหทัยชนกรู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้านิ่งให้เขามอง ก็แกล้งค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เจ้าของใบหน้าคมจึงเอ่ยถามทันที

“ดีขึ้นแล้วเหรอ งั้นก็ออกไปดูงานกับผมได้แล้วสิ” แต่อีกคนกลับแสร้งยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยท่าทีของคนไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อยๆ ออกไป

“มันยังเหนื่อยๆ เพลียๆ อยู่เลย ฉันคงจะเดินไม่ไหวหรอก”

“งั้นจะให้ผมอุ้มไปที่ห้องประชุมไหมล่ะ เหมือนตอนที่คุณให้ผมอุ้มมาในห้องนี้ไงล่ะ”

ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นหมายจะเข้าไปช้อนร่างบางอย่างคนหวังดี และนั่นทำให้เจ้าของร่างถึงกับรีบขยับกายออกห่างทันควัน ปวีย์จ้องมองอากรัปกิริยานั้นเขม็ง ก่อนจะส่งประโยคเหน็บแนมอย่างรู้ทันไปหา

“อ้าว! มีแรงแล้วนี่ หนีผมได้ไวขนาดนี้ก็แปลว่าพร้อมจะทำงานแล้ว งั้นก็ลุกขึ้นเร็วๆ อย่าทำให้ผมกับคนอื่นๆ ที่นี่เสียเวลาดีกว่า คุณไม่รู้เหรอว่าทุกความเคลื่อนไหวในห้องนี้อยู่ในสายตาของผมหมด ไม่ว่าใครจะทำอะไร เมื่อไหร่หรือยังไง ผมก็รู้และเห็นหมดนั่นล่ะ อย่าคิดว่าคนอื่นจะโง่เหมือนคุณหน่อยเลย”

“คุณหมายความว่ายังไงไม่ทราบ พูดให้มันดีๆ นะ อย่ามาดูถูกฉันนะ”

ออกจะมั่นใจแน่นอนแล้วว่าแผนแกล้งป่วยของตัวเองถูกเขาจับได้ แต่มีหรือคนปากแข็งอย่างหทัยชนกจะรับง่ายๆ จึงตีรวนใส่เขาดื้อๆ

“ถ้าดูถูกก็ดีน่ะสิ แต่นี่ผมกลับดูคุณผิดไปถนัดเลยล่ะ เลิกเถียงผมทีเถอะ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นคุณรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นยังไง อย่าให้ผมต้องไล่บี้หน่อยเลย รีบๆ ลุกขึ้นจะได้ไปทำงาน ผมไม่ชอบให้ใครมาเล่นตลกกับความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีให้”

“คุณนี่นะมีความรู้สึกดีๆ ให้ฉัน ไม่บอกก็ไม่รู้นะนี่ ฉันคิดว่าวันๆ คุณกับว่าที่แม่ยายจะคอยแต่แช่งชักหักกระดูกให้ฉันตายไปจากโลกนี้ด้วยซ้ำ พวกคุณจะได้เข้ามาฮุบบีซีเคได้อย่างสบายไงล่ะ”

“หทัยชนก! ผมเตือนแล้วนะว่าอย่ามาล้อเล่นกับความรู้สึกผม คงไม่ต้องบอกนะว่าถ้าผมโกรธขึ้นมา คุณจะเจอบทเรียนอะไรบ้าง”

“ทำไมเหรอ! คุณจะจูบฉัน ปล้ำฉันในห้องนี้เหมือนที่เคยทำมาแล้วหรือไง ขอบอกไว้ก่อนว่าฉันจะไม่มีทางยอมให้คุณทำอะไรได้ตามใจชอบอีกเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อฉันจะเล่นงานคุณให้หนักๆ เลยทีเดียว อย่าคิดว่าฉันจะกลัวหรือไม่กล้าทำอะไรคุณนะ คนอย่างฉันไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายฝ่ายเดียวหรอก”

“งั้นเหรอ! ผมชักอยากจะรู้ซะแล้วสิ ว่าถ้าผมทำอย่างที่คุณว่ามา คุณจะเล่นงานผมให้หนักๆ ยังไง”

“นี่! ปล่อยฉันนะนายปวีย์ อย่ามาทำอะไรป่าเถื่อนแบบนี้นะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”

“ผมไม่ยักรู้นะว่าเวลาผู้ชายจะจูบผู้หญิงนี่เขาเรียกว่าป่าเถื่อน งั้นคนทั้งโลกคงจะป่าเถื่อนกันหมดแล้วล่ะ และต่อให้คุณร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยิน หรือถ้าได้ยินก็ไม่มีใครคิดจะสนใจเด็กเลี้ยงแกะอย่างคุณหรอก คุณไม่รู้เหรอว่าเมื่อกี้แต่ละคนเขาเป็นห่วงเป็นใยคุณแค่ไหน วิ่งหาหยุกยาให้จ้าละหวั่น แต่คุณกลับทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต และยังกล้ามาขู่ผมหน้าตาเฉย เอ๊ะ! หรือว่าติดใจในรสจูบของผมจนต้องลงทุนเล่นละครน้ำเน่าๆ เพื่อดึงความสนใจให้ผมจูบคุณซ้ำสามอีก”

“หยุดนะ!!!”

มือบางยกขึ้นหมายจะตบคนปากดีให้หายเจ็บใจ แต่อีกมือไวกว่าจึงรับเอาไว้ได้ทัน และเขาก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ด้วย กลับบีบแน่นๆ จนเจ้าของมือเจ็บ

“กลัวผมไม่จูบเหรอ ถึงได้จะตบเรียกอารมณ์ก่อนน่ะ ไม่ต้องหรอกคนอย่างผมแค่ได้อยู่ใกล้ๆ คุณในห้องตามลำพังแบบนี้ ผมก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ และจำเอาไว้ให้ดีๆ ว่านี่จะเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับคุณที่บังอาจมาล้อเล่นกับความรู้สึกผม”

“ปล่อยฉันนะ ปล่อย ช่วยด้วยๆ ๆ”

ปากบางหมดโอกาสจะร้องให้ใครๆ ช่วยได้อีกแล้ว เมื่อเจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปประกบปากบางเอาไว้ สองแขนแข็งแรงก็กดสองแขนเล็ก ไว้กับโซฟาแล้วบดเบียดกายกำยำทับกายบอบบางที่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการถูกเขารังแกอีกครั้ง พร้อมกับอาการเจ็บใจอย่างที่สุดเมื่อเรี่ยวแรงของตัวเองไม่อาจทัดทานแรงของเขาได้

แถมยังคิดอยากจะย้อนเวลากลับไปเป็นตอนที่มาถึงที่นี่ใหม่ๆ หญิงสาวจะไม่คิดเล่นอะไรแผลงๆ อย่างนี้ จนเป็นเหตุให้ตัวเองต้องตกอยู่ในภาวะคับขันอย่างนี้ แต่คิดได้มันก็สายไปเสียแล้ว เพราะดูเหมือนตัวเองจะอับจนหนทางที่จะดิ้นรนให้หลุดรอดจากบทเรียนราคาแพงที่เขากำลังลงโทษเด็กเลี้ยงแกะอย่างเธอให้สาสมกับการไปล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาแล้ว



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 08:03:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 08:03:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1857





<< สงครามเริ่มอีกครั้ง   จุมพิตพิชิตสาวมั่น >>
จิรารัตน์ 4 ส.ค. 2556, 15:05:09 น.
ลวนลามตลอดพระเอกเรื่องนี้เนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account