สวาทร้ายเจ้าชายทรราช
สวาทร้ายเจ้าชายทรราช
ตีพิมพ์สนพ. Be mine วางจำหน่ายตั้งแต่ 13 เมษายน 2553

***งานเขียนเรื่องนี้เปิดให้ทดลองอ่านใหม่บางส่วน เพื่อการโปรโมตในวางจำหน่ายใน 7-11***
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3

พระตำหนักหลวงตั้งอยู่ท่ามกลางตำหนักน้อยใหญ่บนเนื้อที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ตัวอาคารสองชั้นสีขาวสะอาดตาที่ก่อสร้างขึ้นด้วยอิฐหินปูนทรายรายล้อมไปด้วยพรรณไม้นานา แลโดดเด่นด้วยยอดโดมสูงตระหง่านที่ลดหลั่นกันลงมาตามระดับชั้นอย่างงดงามวิจิตร แสงสีอำพันเปล่งประกายระยิบระยับจับตายามต้องแสงตะวัน ด้วยเพราะส่วนบนสุดทำจากทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งบ่งบอกสถานะความมั่งคั่งของกษัตริย์ผู้ปกครองแคว้น

ภายในอาคารสองชั้นหลังใหญ่กว้างขวาง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่พำนักของกษัตริย์อันกาอ์พระบิดาขององค์อัลจาดีร์ ชั้นบนของตัวอาคารทางปีกขวากอปรด้วยห้องที่ประทับส่วนพระองค์ของผู้นั่งบัลลังก์ทัชซาลามัลค์และห้องพักของผู้ร่วมสายพระโลหิต ด้านปีกซ้ายจัดแบ่งเป็นห้องพักรับรองแขกบ้านแขกเมือง ตัวอาคารชั้นล่างส่วนกลางโดดเด่นด้วยลานน้ำพุกว้าง ที่รายล้อมด้วยซุ้มประตูไม้แกะสลักลวดลายงามวิจิตรรอบทิศทั้งสี่ด้าน ถัดเข้าไปด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ที่ใช้สำหรับว่าราชการ โดยจัดสรรปันส่วนปีกทั้งซ้ายขวาไว้เป็นห้องทรงงานและห้องทรงสำราญ

“ฟาติมา...ข้าอยากจะกลับอาบูลัค” ท่านหญิงซานีอาระบายลมหายใจยาว สีหน้าหม่นหมองมีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก้าวกลับเข้ามาในห้องพักรับรอง หลังจากที่องค์อัลจาดีร์พาเที่ยวชมอุทยานกว้าง

“ไม่ได้นะเพคะท่านหญิง หากเสด็จกลับ องค์อัลจาดีร์จะทรงกริ้วเพราะเสียหน้า พระองค์อาจจะตัดขาดความสัมพันธ์กับอาบูลัค” นางกำนัลผู้เลี้ยงดูชะงักมือที่กำลังจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ ก่อนจะพาร่างอวบอ้วนไปหยุดยืนเบื้องหน้านายสาว

“แต่ข้าไม่สบายใจเลยที่ต้องหลอกลวงท่านพี่ เจ้าก็รู้...ว่าข้าไม่ควรจะมาที่นี่เสียด้วยซ้ำ”

“ทำไมจะไม่สมควรล่ะเพคะ การเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้นเป็นเรื่องสำคัญ แม้จะต้องฝืนพระทัยหลอกลวงผู้ใด ท่านหญิงก็ต้องทรงกระทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด เพื่อชาวอาบูลัคเพคะ”

“ข้ารู้ว่าพระบิดาต้องการให้แค้วนเล็ก ๆ อย่างอาบูลัคมีความมั่นคงแข็งแกร่ง เพื่อจะได้ไม่ถูกรุกรานจากแคว้นอื่น ตัวข้าเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่เวลานี้ข้าไม่คู่ควรกับบัลลังก์ทัชซาลามัลค์ ข้าไม่มีค่าพอสำหรับท่านพี่ ได้ยินไหมฟาติมา ว่าข้าไม่มีค่าพอ!”

“หยุดเถิดเพคะท่านหญิง อย่าได้มีรับสั่งสิ่งใดอีกเลย ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กันตามลำพัง แต่กำแพงมีหู ประตูมีช่อง อย่าได้ทรงไว้วางพระทัย” ร่างอวบอ้วนลุกขึ้นสวมกอดนายสาว ก่อนจะลูบหลังลูบไหล่อย่างปลอบโยน เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่เบานักนั้นเจือสะอื้นไห้

“ฟาติมา ท่านพี่อัลจาดีร์เป็นคนจิตใจดี บางทีอาจจะดีเกินไปสำหรับข้าเสียด้วยซ้ำ มันเลยทำให้ข้ารู้สึกละอายใจและไม่กล้าสู้หน้า ข้าไม่อยากหลอกลวงท่านพี่แบบนี้อีก พรุ่งนี้เช้าเราเดินทางกลับอาบูลัคกันเถิด” ท่านหญิงซานีอาดันตัวออกจากอ้อมแขนของนางกำนัลผู้เลี้ยงดู ทุกคำพูดที่ออกมาจากใจสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในส่วนลึก

“แต่...”

“ไม่มีแต่ฟาติมา ข้าตัดสินใจแล้ว ลงมือเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่เจ้ารื้อออกมาคืนที่เดิมเถิด เพราะเราจะออกเดินทางกันแต่เช้ามืด” คำทัดทานใด ๆ ก็ไร้ความหมาย ด้วยเพราะหญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่

“ได้โปรดเถิดเพคะท่านหญิง ขอให้เห็นแก่ชีวิตผู้คนที่ดับสูญกลางผืนทราย อย่าให้ชีวิตของพวกเขาต้องสูญเปล่าเลยนะเพคะ ผู้คนที่จบชีวิตลงล้วนแล้วแต่ปกป้องท่านหญิง และต่างก็หวังให้อาบูลัคคงอยู่อย่างมั่นคง”

“เรื่องนั้นข้าซาบซึ้งใจนัก ทุกคนที่สละชีวิตล้วนแล้วแต่ควรได้รับการยกย่อง”

“ไม่ทุกคนหรอกเพคะ”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“หม่อมฉันกำลังจะทูลให้ทรงทราบ ว่าไม่ได้มีเพียงผู้สละชีพในสมรภูมิรบเท่านั้น หากแต่ส่วนที่เหลือก็ตายตกไปตามกัน ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่เต็มใจก็ตาม ก็เพื่อจะปกป้องเกียรติยศของท่านหญิง ในเมื่อทุกคนต่างก็เสียสละถึงเพียงนี้ แล้วท่านหญิงยังจะเสด็จกลับอาบูลัคอีกอย่างนั้นหรือเพคะ”

“ฟาติมา ข้าไม่เข้าใจ ทำไมไพล่พลที่เหลือจึงพากันเสียชีวิต ก็ไหนหลังจากที่เข้าเขตเมืองทัชซาลามัลค์ เจ้าบอกกับข้าว่าสั่งให้พวกนั้นเดินทางกลับอาบูลัค เพื่อไม่ให้ท่านพี่สงสัยว่าทำไมคนของเราถึงได้รับบาดเจ็บ”

“ถึงหม่อมฉันจะสั่งให้เดินทางกลับก็จริง แต่พวกนั้นจะไม่มีวันถึงอาบูลัค”

“ทำไม?”

“เพราะหม่อมฉันวางยาในน้ำดื่มเพคะ ว่านดำมีพิษร้ายแรง หากไม่มียาแก้ ก็ไม่มีทางรอดหรอกเพคะ”

“ฟาติมา! เจ้าทำแบบนั้นทำไม ข้าไม่คิดเลย...ว่าเจ้าจะเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!”

ท่านหญิงซานีอาครางแผ่วเบา ดวงตากลมโตที่เต้นระริกรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส ขณะจับจ้องใบหน้านางกำนัลผู้เลี้ยงดูอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น

“หม่อมฉันทำไปก็เพื่อท่านหญิงนะเพคะ ไม่เช่นนั้น...ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้หรอกเพคะ ว่าเรื่องอัปยศที่เกิดขึ้นจะไม่ถูกเปิดเผย” ฟาติมาทรุดกายลงนั่งข้างนายสาว หากแต่ท่านหญิงซานีอากลับเบือนหน้าหนี

“แต่เจ้าก็ไม่น่า...”

“ทูนหัวของฟาติมา ถ้าจะโกรธเกลียดกันจนถึงขนาดไม่มองหน้าก็ไม่ว่าหรอกเพคะ แต่อยากให้ทรงทราบว่าทุกอย่างที่หม่อมฉันทำลงไป ก็เพราะอยากจะเห็นเด็กตัวน้อย ๆ ที่เลี้ยงดูมากับมือ ได้พบเจอแต่เรื่องดี ๆ มีความสุข จึงไม่อยากให้ต้องทนทุกข์ระทมกับคำครหา”

“ฟาติมา...” ท่านหญิงซานีอาครางแผ่วเบา ดวงตากลมโตที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองนางกำนัลผู้เลี้ยงดู ก่อนจะโผกอดนางไว้แล้วสะอื้นไห้ตัวโยน

“ท่านหญิงเพคะ ขอให้เห็นแก่หม่อมฉันสักครั้ง ประทับอยู่ที่ทัชซาลามัลค์และอภิเษกสมรสกับองค์อัลจาดีร์เถิดเพคะ เพื่อให้ไม้ใกล้ฝั่งอย่างหม่อมฉันได้พบความสุขก่อนที่แผ่นดินจะกลบหน้า”



แสงแห่งวันที่แผดจ้าอ่อนกำลังลงหลังทิวไม้ก่อนจะเลือนหายไปกับเส้นขอบฟ้า ในช่วงเวลาย่ำค่ำที่ทุกคนต่างกลับเข้าเคหาเพื่ออยู่รวมกับครอบครัว ท่ามกลางความเหน็บหนาวที่โรยตัวลงมาแทนไอร้อนระหว่างวัน มีเพียงแสงจันทราที่อาบไล้ผืนทรายกว้าง บุรุษหนึ่งชักอาชาฝ่าผืนทรายลับหาไปกับความมืด แม้ผิวกายใต้อาภรณ์ปกปิดจะเย็นสะท้าน เพราะแรงลมที่พัดกระโชกเข้าเป็นระยะ ๆ แต่ก็มิได้ทำให้สองมือที่กำเชือกบังเหียนแน่นนั้นชักอาชากลับแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้ามกลับเร่งเร้าให้บุรุษผู้นั้นตบฝ่าเท้ากระแทกสีข้างม้า เพื่อกระตุ้นให้มันห้อตะบึงไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด

สายตาคมประดุจเหยี่ยวมองยอดโดมสูงตระหง่าน หลังจากที่กษัตริย์อันกาอ์ผู้เป็นบิดาสิ้นพระชนม์ นานเท่าไหร่แล้ว...ที่เขาไม่ได้กลับมาสถานที่แห่งนี้ สี่ห้าปีได้แล้วกระมัง ที่ออกไปใช้ชีวิตเร่ร่อนกลางทะเลทราย โดยไม่คิดถึงความสุขสบายภายในวังหลวง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ ให้เจ็บปวดใจ แต่ที่วันนี้เขาต้องเร่งรุดมา ก็เพราะนูซากานและพรรคพวกที่ออกลาดตระเวนรอบ ๆ ชุมชน แจ้งว่าขบวนเดินเท้าของท่านหญิงซานีอามิได้เดินทางกลับอาบูลัค หากแต่มุ่งหน้าสู่ทัชซาลามัลค์ตามหมายกำหนดเดิม ซึ่งนั่นก็หมายความว่าแผนการของเขายังไม่สำเร็จสมประสงค์ เพราะไม่สามารถจะล้มล้างพิธีอภิเษกสมรสขององค์อัลจาดีร์ลงได้

เสียงฝีเท้าม้าชั้นดีที่ห้อตะบึงลดกำลังลงก่อนจะหยุดนิ่งหน้าโรงเลี้ยงม้า ซึ่งอยู่บริเวณหลังสุดของพระตำหนักน้อยใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเรียงราย บุรุษในชุดคลุมยาวสีดำสนิทโดดลงจากหลังอาชาตัวใหญ่ ก่อนจะส่งมอบให้กับทหารรักษาการเพื่อรับช่วงดูแลต่อก่อนจะนำมันเข้าคอก มือหนาที่ปัดฝุ่นทรายตามเนื้อตามตัวปลดผ้าปกปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นจมูกโด่งเป็นสันที่รับกับริมฝีปากหยักได้รูป แม้ยามนี้ดวงตาคมวาวประดุจเหยี่ยวจะแข็งกร้าวตามแรงอารมณ์ แต่ก็แลคมเข้มสมบุรุษ รัซตาบานปลดผ้าโพกศีรษะสะบัดฝุ่นทราย ก่อนจะพันผ้าเก็บผมหยักศกดกดำยาวสลวยระต้นคอไว้ดังเดิม ชุดคลุมยาวป้องกันเม็ดทรายที่ปลิวว่อนยามอยู่บนหลังอาชา ถูกปลดออกก่อนจะโยนไปกองรวมกับผ้าปกปิดใบหน้าอย่างไม่ยี่หระ เมื่อสองเท้าก้าวออกจากโรงเลี้ยงม้ามุ่งสู่พระตำหนักหลวง

เงาวูบไหวที่สะท้อนแสงจันทร์นวลบนระเบียงกว้าง ทำให้สองเท้าที่เร่งรุดหยุดลงก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองซีกหน้าผุดผาดที่เคยลูบไล้ ความหอมหวานจากเรียวปากอิ่มที่ได้ลิ้มลองยังติดตรึงอยู่ในใจไม่รู้หาย แม้จะผ่านไปหลายราตรีก็ยังคงถวิลหามิเสื่อมคลาย แรกทีเดียวรัซตาบานคิดว่าหญิงสาวจะเดินทางกลับอาบูลัค เพราะไม่กล้าสู้หน้ากษัตริย์หนุ่มแห่งแคว้นทัชซาลามัลค์ จึงตั้งใจว่าจะตามไปสมาและสู่ขอหล่อนจากกษัตริย์อัลไซมาล แต่เรื่องกลับไม่เป็นไปดังที่เขาคิด เพราะนอกจากหญิงสาวจะไม่กลับอาบูลัค หล่อนยังกำจัดคนทั้งหมดเพื่อปกปิดเรื่องอัปยศ แล้วออกเดินทางตามหมายกำหนดการเดิม เพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์อัลจาดีร์ผู้เป็นพี่ชายของเขา

ด้วยเพราะยึดติดกับสัมพันธ์สวาทที่ก่อเกิดเพราะเล่ห์กล จึงคาดหวังว่าหล่อนก็ต้องมีใจให้เขาเพียงผู้เดียว โดยไม่คิดเลยสักนิด ว่าไม่มีผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนจะมีใจรักโจรชั่วช้าที่ช่วงชิงพรหมจรรย์! ดวงตาคมวาวประดุจเหยี่ยวทอแสงกร้าวขณะกำมือแน่น แม้รัซตาบานจะเฝ้าบอกตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ว่าที่ควบม้ามากลางดึกกลางดื่นนั้นไม่ใช่เพราะหึงหวงหญิงสาว หากแต่เป็นเพราะต้องการฉีกหน้าองค์อัลจาดีร์ผู้เป็นพี่ชาย แต่ ณ เวลานี้ เขากลับอยากจะปีนอาคารสูงขึ้นไปบีบคอขาว ๆ ของสาวเจ้า ที่ยืนชมจันทร์อย่างสบายอารมณ์บนระเบียงกว้างให้แหลกเหลวคามือ ด้วยท่าทางดังกล่าวนั้นชี้ชัดว่าหล่อนสุขใจนัก ที่จะอภิรมย์สมรักกับพี่ชายของเขาในอีกสองเดือนข้างหน้า

ซานีอา...ร่างกายเจ้าต้องเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น!

***งานเขียนเรื่องนี้เปิดให้ทดลองอ่านใหม่บางส่วน เพื่อการโปรโมตก่อนการวางจำหน่ายใน 7-11***



กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ส.ค. 2556, 11:29:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ส.ค. 2556, 11:29:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1475





<< ตอนที่ 2   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account