สวาทร้ายเจ้าชายทรราช
สวาทร้ายเจ้าชายทรราช
ตีพิมพ์สนพ. Be mine วางจำหน่ายตั้งแต่ 13 เมษายน 2553

***งานเขียนเรื่องนี้เปิดให้ทดลองอ่านใหม่บางส่วน เพื่อการโปรโมตในวางจำหน่ายใน 7-11***
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2

บุรุษในชุดคลุมดำที่ปกปิดใบหน้าเผยให้เห็นดวงตาเรียวยาวคมวาวประดุจเหยี่ยว ทอดสายตามองตามร่างสมส่วนบนหลังอาชาที่หายลับไปกับเส้นขอบฟ้าพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์ ที่เขาได้จัดส่งกำลังส่วนหนึ่งคอยคุ้มกันภัยให้หญิงสาว ระหว่างทางที่พากลับไปยังอีกฟากหนึ่งของหุบเขา อันเป็นสถานที่ที่ชิงตัวหล่อนมา ตลอดสองราตรีที่ได้แนบชิดเรือนร่างเย้ายวน ไม่มีส่วนใดในเรือนกายสาวที่เขาไม่ได้สัมผัส ทุกตารางนิ้วที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจุมพิตฝากรักยังติดตราตรึงอยู่ไม่รู้หาย แม้ยามนี้กลิ่นกายหอมกรุ่นที่วนเวียนแถวปลายจมูก กับน้ำคำหวานที่หญิงสาวเพ้อรำพันเพรียกหายามเมื่ออยู่ในห้วงพิศวาส จะทำให้รู้สึกสุขใจอย่างที่สุด แต่ทว่านัยน์ตาคมกลับหม่นปนเศร้า เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์...

“ซานีอา...ถ้าข้าเติบใหญ่ ข้าจะแต่งงานกับเจ้า” เด็กชายสายเลือดผู้นำแคว้นทัชซาลามัลค์วัยสิบสองปีเอ่ยขึ้นกับเด็กหญิงตัวน้อยวัยเก้าขวบ ในวันที่กษัตริย์อันกาอ์ผู้เป็นบิดาพาไปเยือนแคว้นอาบูลัค

“แต่ข้าไม่ชอบคนเกเร เจ้าชอบแกล้งข้า รังแกข้า ข้าไม่แต่งงานกับเจ้าหรอก”

“ต่อไปข้าสัญญาว่าจะไม่แกล้งเจ้าอีก ข้าจะดีต่อเจ้า แต่งงานกับข้านะซานีอา”

“แต่ข้าไม่ชอบเจ้านี่ ข้าชอบท่านพี่อัลจาดีร์ ท่านพี่ไม่เคยแกล้งข้า มีแต่เอาใจและก็คอยปลอบ ที่สำคัญเก่งกว่าเจ้าตั้งหลายอย่างทั้งที่อายุห่างกันแค่สามปี อีกหน่อยถ้าท่านพี่เติบใหญ่ ท่านลุงอันกาอ์ต้องยกบัลลังก์ให้แน่ ๆ และเมื่อถึงเวลานั้น...ข้าจะเป็นเจ้าสาวของท่านพี่” ทันทีที่เห็นดวงตาสุขสกาวเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันของเด็กหญิงวัยเก้าขวบ เด็กชายก็อดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้ เขาพลั้งมือกระชากข้อมือน้อย ๆ แล้วออกแรงบีบจนแน่น ด้วยแรงริษยาผนวกกับความหวาดกลัวที่จะสูญเสียของรัก

“ไม่นะ! เจ้าจะแต่งกับอัลจาดีร์ไม่ได้ เจ้าต้องแต่งกับข้า...ต้องเป็นเจ้าสาวของข้า”

“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ ปล่อยข้าสิ...ปล่อยข้า!” เด็กหญิงมีสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด

“ไม่! จนกว่าเจ้าจะรับปากว่าจะแต่งกับข้า รับปากข้าสิซานีอา รับปากข้า!” นอกจากน้ำเสียงกร้าวจะตวาดก้องอย่างไม่ฟังคำร้องขอ ยังออกแรงบีบข้อมือน้อย ๆ นั่นเต็มแรง

“ไม่! ข้าไม่แต่งกับเจ้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าเจ็บ! บอกให้ปล่อยยังไงเล่า” เด็กหญิงสะบัดมือเร่า ๆ ดวงตาที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตากร้าวขึ้นอย่างไม่ยอมลงให้ ก่อนจะใช้ฟันคม ๆ งับข้อมือเด็กชายสุดแรงเกิด

“โอ๊ยย!”

“ข้าเกลียดเจ้ารัซตาบาน ไปให้พ้นหน้าข้า ข้าเกลียดเจ้า! ได้ยินไหม!” ทันทีที่มือน้อย ๆ ได้รับอิสระ เด็กหญิงก็ประกาศก้องพร้อมทั้งผลักเด็กชายจนกระเด็นลงไปนั่งจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น

“มีเรื่องอะไรกัน?”

“ท่านพี่...ท่านพี่อัลจาดีร์”

ทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่ม ร่างเล็ก ๆ ที่น้ำตาคลอเบ้าก็หันขวับ ก่อนจะวิ่งเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีที่ก้าวเข้ามาขัดจังหวะ ราวกับต้องการที่พึ่งและคำปลอบโยน โดยไม่ใส่ใจเด็กชายที่ลุกขึ้นมายืนหน้าเศร้าคลำมือตัวเองป้อย ๆ อยู่เบื้องหลังอีกเลย



บุรุษผู้ปกปิดใบหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้เรื่องราวในอดีตจะผ่านมาสิบปี แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะลืมเลือนเหตุการณ์นั้น และนับวันความริษยาก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ด้วยเพราะผู้คนที่อยู่รอบกาย ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือคนใกล้ชิดต่างก็พาชื่นชมยินดีแต่พี่ชายร่วมสายโลหิต ใช่ว่าตัวเขาจะโง่เขลาเบาปัญญา หรือไร้ความสามารถจนทุกคนพากันเอือมระอาเสียที่ไหน แต่เป็นเพราะว่าความเก่งกาจที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น นั้นยังเทียบไม่ได้กับอัลจาดีร์ผู้เป็นพี่ชาย จึงทำให้เขาไร้ความหมายในสายตาของผู้อื่น

หลังจากกษัตริย์อันกาอ์ผู้เป็นพระบิดาสิ้นพระชนม์ แรงริษยาที่ซ่อนเร้นมานานนับแรมปีก็เหมือนจะเลือนหาย เพราะไม่มีผู้ใดกล้าเปรียบเทียบความสามารถระหว่างเขากับพี่ชายอีก อัลจาดีร์ได้รับการแต่งตั้งและสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นทัชซาลามัลค์ ในขณะที่เขาขอปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตอิสระเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มได้รวบรวมเบดูอินที่ระส่ำระสาย เพราะถูกโจรร้ายเข้าปล้นสะดมได้กลุ่มหนึ่ง ด้วยเพราะเป็นคนที่มีน้ำใจ อีกทั้งยังมีอัธยาศัยเป็นมิตรและมักจะคอยอภิบาลผู้อื่นเสมอ ทำให้คนในกลุ่มต่างรักใคร่และพร้อมใจยกเขาขึ้นเป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งนับตั้งแต่เป็นต้นมา ชายหนุ่มก็ใช้ชีวิตสมถะเช่นนั้นเรื่อยมา โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเบดูอินคือ อะมีร์เชครัซตาบาน บินอันกาอ์ ทัชซาลามัลค์

จวบจนกระทั่งเขาได้ทราบข่าวว่ากษัตริย์อัลไซมานแห่งแคว้นอาบูลัค มีพระประสงค์จะถวายพระธิดาองค์เล็กเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่องค์อัลจาดีร์ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น ความรู้สึกฝังลึกที่ถูกกลบจนลบเลือนเหมือนจะเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ความริษยาที่ได้แต่ตกเป็นรอง ไม่เคยได้ลิ้มรสชัยชนะ ผนวกกับความรู้สึกหวงแหนและไม่อยากสูญเสียผู้เป็นที่รักให้กับผู้อื่น ทำให้ชายหนุ่มคิดจะช่วงชิงสตรีสูงศักดิ์มาเป็นของตน

แม้ลึก ๆ ภายในใจจะรักท่านหญิงซานีอาและไม่เคยคิดที่จะทำร้ายหล่อน แต่วูบหนึ่งของอารมณ์ริษยาและอยากจะเอาชนะ กลับผลักดันให้เขากระทำได้ทุกอย่าง เพียงเพื่อจะให้พี่ชายได้รับความเจ็บปวดและอับอายผู้คนไปทั่วทั้งแค้วน จึงวางแผนช่วงชิงและพร่าผลาญพรหมจรรย์หญิงสาว ระหว่างที่หล่อนเดินทางมาเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสยังทัชซาลามัลค์ นอกจากชัยชนะที่ได้รับจะเป็นเรื่องท้าทาย ชายหนุ่มยังรู้สึกสุขใจอย่างที่สุด ที่ทำให้หญิงสาวที่เกลียดชังเขาจนไม่ยอมพบหน้า นับตั้งแต่เมื่อครั้งที่เกิดเรื่องราวในวัยเยาว์ ต้องเอ่ยปากวอนขอและเพ้อรำพันเรียกหาเขาตลอดสองราตรีที่ผ่านมา แม้ช่วงเวลาที่ได้ตักตวงความสุขล้ำจากกายสาวจะน้อยนิด แต่มันก็คุ้มค่าและหอมหวานนัก กับการที่ต้องอยู่อย่างเจ็บปวดและทุกข์ระทมมาตลอดสิบปี

“รัซตาบาน ข้าได้ข่าวว่าเจ้าฉุดผู้หญิงขององค์อัลจาดีร์มาอย่างนั้นหรือ?”

น้ำเสียงร้อนรนพร้อมใบหน้าและท่าทางตื่น ๆ ของนูซากาน ที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามายืนประจันหน้า ทำให้รัซตาบานหลุดจากภวังค์ สายตาคมประดุจเหยี่ยวมองสหายสนิทผู้เปรียบประดุจมือขวา ที่ใช้ให้ไปสืบข่าวในตัวเมืองอย่างไม่ยี่หระ ราวกับว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

“ใช่” น้ำเสียงราบเรียบที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ ทำให้นูซากานยิ่งร้อนใจ สองเท้าจึงเดินวนไปวนมารอบตัวชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้ากระโจมราวกับหนูติดจั่น

“เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป หัวเจ้าจะไม่ได้อยู่บนบ่า”

“ข้าไม่กลัว แต่ตอนนี้ถ้าเจ้ายังไม่หยุดเดิน ข้านี่แหละที่จะบั่นคอเจ้า”

“รัซตาบาน ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงเกิดหื่นกระหายขึ้นมา ทั้งที่มีผู้หญิงอีกนับสิบที่เต็มใจจะนอนกับผู้นำกลุ่มอย่างเจ้า” ถึงนูซากานจะหยุดเดินทันทีที่ได้ฟังคำชายหนุ่ม แต่เขาก็ยังไม่หยุดถาม

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยมองพวกนางเสียด้วยซ้ำ”

“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ ข้าเองก็เป็นบุรุษ ข้ารู้ว่าเจ้าคงอึดอัด ใจจริงข้าก็ไม่อยากตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่ข้าคิดว่าการกระทำของเจ้ามันไม่ผิดกับโจรชั่วเลยสักนิด”

“คำก็โจรชั่ว! สองคำก็โจรชั่ว! ข้าได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าข้าชั่วช้าจริงละก็ นางคงไม่กลับไปในสภาพแบบนั้น แต่คงแหลกยับคามือข้าไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว” รัซตาบานระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างหัวเสีย ด้วยเพราะคำพูดของนูซากานตอกย้ำให้นึกถึงคำบริภาษของหญิงสาว ที่เขาไม่เคยคิดจะยอมรับความจริงในการกระทำของตน

“นี่เจ้ากำลังจะบอกอะไรข้า”

“ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า คนอย่างข้าไม่เคยขืนใจใคร แต่เป็นนางต่างหากที่ร่ำร้องจะนอนกับข้า!”

“เป็นไปไม่ได้! นางเป็นหญิงสูงศักดิ์พรหมจรรย์สำคัญยิ่งชีวิต”

“ข้ารู้...แต่ดอกฟ้าดอกนั้นโน้มกิ่งลงมาให้ข้าเด็ดดอมเอง”

รัซตาบานตบไหล่คู่สนทนาเบา ๆ แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปพักผ่อนในกระโจมกว้าง โดยปล่อยให้ความสงสัยเกิดขึ้นในใจสหายสนิทผู้เปรียบประดุจมือขวาของเขา



ทันทีที่หญิงสูงศักดิ์ถูกส่งตัวกลับ กลุ่มชายฉกรรจ์กว่าครึ่งร้อยที่บุกเข้าโจมตีขบวนเสด็จ ที่รับหน้าที่อยู่โยงควบคุมตัวเหล่านางกำนัลและผู้บาดเจ็บก็ถอนกำลังออกทันที ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอยราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จนหญิงสาวอยากจะนึกไปว่าไม่เคยเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ดวงตากลมโตเวิ้งว้างเหม่อมองไปทั่วบริเวณ ด้วยความรู้สึกสลดใจที่ผู้คนต่างล้มตายลงไปมากกว่าครึ่ง บุรุษที่ทำหน้าที่คุ้มกันที่เหลืออยู่ก็ล้วนแล้วแต่บาดเจ็บ จึงมีเพียงนางกำนัลที่รับใช้ใกล้ชิดอยู่เพียงไม่กี่คน

หยาดน้ำใสที่เอ่อล้นจากนัยน์ตาคู่สวยไหลอาบลงสองข้างแก้ม ด้วยรู้สึกหดหู่ใจเป็นยิ่งนัก ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตข้าช่วงใช้เอาไว้ได้ ซ้ำร้ายยังถูกพร่าผลาญพรหมจรรย์ ของสูงค่าที่ตั้งใจเก็บรักษาไว้ให้ชายที่ตนรักต้องมาย่อยยับลงด้วยน้ำมือโจรชั่วช้า ที่ใช้เล่ห์เพทุบายลวงหลอกให้ถลำลึกและยินยอมพร้อมใจกระโจนลงไปในห้วงเสน่หา ซานีอาอยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังก้องทั่วทั้งบริเวณ ด้วยเพราะเป็นหญิงจึงรู้สึกอับอายและคับแค้นใจยิ่งนัก ที่สูญเสียของสูงค่าอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องเป็นฝ่ายเปิดปากวอนขอบุรุษต่ำชั้นที่ชั่วช้าเลวทราม ให้กระทำย่ำยีและช่วงชิงสิ่งหวงแหนไปจากตัว

ความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นภายในใจทำให้ตัดสินใจไม่ถูก ด้วยเพราะทราบดีว่าพรหมจรรย์คือเงื่อนไขสำคัญที่จะสานสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น แต่ยามนี้คุณค่าในตัวนั้นหมดสิ้นไม่มีเหลือ จึงไม่กล้าเดินทางกลับไปหาพระบิดาที่อาบูลัค และไม่กล้าที่จะไปสู้หน้าองค์อัลจาดีร์ตามหมายกำหนดการเดิม

ซานีอาสะอื้นไห้ตัวโยน ดวงตาเวิ้งว้างที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาเหม่อมองท้องนภากว้าง ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงจันทราภาที่สาดแสงอาบไล้ผืนทราย แต่ขาดไร้ซึ่งดวงดาราที่ส่องแสงพราวระยับประดับบนฟากฟ้า แลโดดเดี่ยวอ้างว้างไม่ผิดกับความรู้สึกที่อยู่ในใจตน เหตุใดฟ้าจึงลิขิตให้ชะตาชีวิตต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้าย ทั้งที่กำลังจะสุขสมหวังในความรักที่เฝ้ารอคอยมานานหลายปี แต่ ณ เวลานี้ หล่อนกลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและอยากจะหยุดลมหายใจ เพื่อจะหนีความอัปยศอดสูที่ต้องเผชิญอยู่

“ท่านหญิงเพคะ เข้ามาพักในกระโจมเถิด น้ำค้างแรงแบบนี้จะทำให้ประชวรเอานะเพคะ” ซานีอาปาดหยาดน้ำตาแล้วผินหน้ามองนางกำนัลวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วน ผู้ทำหน้าที่เลี้ยงดูหล่อนมาตั้งแต่เยาว์วัยแทนมารดาที่สิ้นชีวาก่อนวัยอันควร แล้วสาวเท้ากลับเข้าไปในกระโจมกว้าง

“ฟาติมา ข้าอยากตาย ข้า...” ทันทีที่หญิงสาวก้าวเข้ามาในกระโจม ร่างบอบบางก็โผเข้ากอดนางกำนัลผู้เลี้ยงดูพร้อมทั้งสะอื้นไห้ตัวโยน

“ทูนหัวของฟาติมา อย่าร่ำไห้อีกเลยเพคะ ทุกอย่างที่ผ่านไปมันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย อย่าได้เก็บเอามานึกคิดอีกเลยนะเพคะ ไว้รอให้ท่านหญิงสบายพระทัยมากกว่านี้ พวกเราค่อยออกเดินทางตามหมายกำหนดการเดิมกันนะเพคะ” ฟาติมาลูบหลังลูบไหล่นายสาวอย่างปลอบประโลม ด้วยเข้าใจความรู้สึกและเจ็บปวดไม่แพ้กัน

“แต่ข้าไม่กล้าไปสู้หน้าท่านพี่อัลจาดีร์”

“อย่าทรงวิตกไปเลยเพคะ เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่มีวันถึงพระกรรณองค์อัลจาดีร์”

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร ว่าท่านพี่จะไม่ทรงทราบเรื่อง”

“แน่ใจสิเพคะ เพราะทุกคนต้องเสียสละเพื่ออาบูลัค” นางกำนัลร่างอวบดันร่างนายสาวออก ก่อนจะใช้มืออวบอูมปาดหยาดน้ำใสที่รินไหลลงอาบสองข้างแก้มของหญิงสาวแล้วกุมมือนุ่มนิ่มไว้ ในขณะที่ดวงตาฉายแววที่มุ่งหมายอะไรบางอย่างขึ้นวูบหนึ่ง

“แต่พรหมจรรย์ของข้า...”

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอกเพคะ กว่าที่ท่านหญิงจะอภิเษกสมรสกับองค์อัลจาดีร์ก็อีกตั้งหลายเดือน เมื่อถึงเวลานั้นหม่อมฉันมีวิธีที่จะทำให้เลือดบริสุทธิ์หลั่งรดบนพระแท่นเพคะ” มืออวบอูมที่กุมมือนุ่มนิ่มของหญิงสูงศักดิ์ตบลงเบา ๆ ราวกับต้องการจะปลอบนายสาวให้เบาใจในเรื่องดังกล่าว



หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง องค์อัลจาดีร์รู้สึกยินดีเป็นยิ่งนัก เมื่อทรงทราบว่าท่านหญิงซานีอาเดินทางมาถึงพระราชวังหลวง จึงเสด็จมาต้อนรับด้วยตัวพระองค์เอง ด้วยเพราะระยะเวลาการเดินทางที่ล่าช้า อีกทั้งยังคาดเคลื่อนจากหมายกำหนดการที่ทางอาบูลัคแจ้งมา ทำให้กษัตริย์หนุ่มทรงเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับหญิงสาว อันมีสาเหตุมาจากตามแนวตะเข็บชายแดนระหว่างแคว้นทัชซาลามัลค์กับอาบูลัคมีกองโจรแบ่งแยกดินแดน

“ซานีอา พี่กำลังเป็นห่วงเจ้าอยู่เชียว โชคดีจริง ๆ ที่เจ้าเดินทางมาถึงทัชซาลามัลค์อย่างปลอดภัย” บุรุษเรืองอำนาจรูปร่างสง่างามที่ดำเนินเข้ามาในห้องรับรองสาวพระบาทเข้าหาท่านหญิงซานีอา ก่อนจะรั้งร่างบางเข้าสู่อ้อมพระพาหาแล้วแย้มพระโอษฐ์กว้างอย่างโล่งพระทัย เมื่อความกังวลใจได้สูญสลายไปจนหมดสิ้น

“เออ...คือ...พอดีระหว่างทางที่จะมาทัชซาลามัลค์เกิดพายุทรายเพคะ หม่อมฉันก็เลย...” ท่านหญิงซานีอามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ด้วยเพราะรู้สึกลำบากใจที่ต้องโป้ปดออกไป

“อย่างนี้นี่เล่า...เจ้าถึงได้เดินทางล่าช้ากว่ากำหนดไปหลายราตรี” องค์อัลจาดีร์ดันร่างบางออกห่างตัว ก่อนจะเชยคางมนขึ้นสบพระเนตรคม แต่ทว่าขนงดกหนากลับขมวดมุ่นด้วยรู้สึกฉงนพระทัย ที่ยามนี้ใบหน้างามแลซีดเซียวและมีแววหม่นหมองสะท้อนในดวงตาคู่สวย

“ซานีอา...สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย กังวลหรือไม่สบายใจสิ่งใดหรือ?”

“เออ...ป...เปล่าเพคะ อาจจะเป็นเพราะเดินทางไกลกระมัง หม่อมฉันก็เลยรู้สึกเพลีย ๆ” ท่านหญิงซานีอาเบือนหน้าหนีก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ ด้วยเกรงว่ากษัตริย์หนุ่มจะจับพิรุธได้

“อืม...จริงสินะ เจ้าเคยอยู่สุขสบายแต่ในรั้วในวัง พอต้องเดินทางรอนแรมกลางทะเลทราย พักผ่อนไม่เพียงพอหลายราตรี ความอิดโรยจึงมาเยือนใบหน้างดงามของเจ้า” องค์อัลจาดีร์ไล้ซีกหน้าหญิงสาวผ่านผ้าผืนบางที่ปกปิด ก่อนจะเลื่อนพระหัตถ์ลงมารั้งข้อมือเรียวให้ก้าวตามมาทรุดตัวนั่งที่โซฟาตัวยาว

“แล้วนี่กษัตริย์อัลไซมาลพ่อเจ้าไม่ใส่ใจไยดีแล้วหรืออย่างไร จึงปล่อยให้เดินทางมาทัชซาลามัลค์ตามลำพังกับฟาติมา” มีรับสั่งสอบถามด้วยไม่พบเห็นบุรุษผู้ติดตามอารักขาอย่างเช่นทุกครั้ง

“ไม่ใช่หรอกเพคะ เออ...คือ...ความจริงพระบิดาจัดกำลังคุ้มกันมาส่วนหนึ่ง แต่มาแยกกันก็ตอนที่เข้าเขตเมืองทัชซาลามัลค์น่ะเพคะ คือ...หม่อมฉันเกรงว่าจะเป็นการรบกวนท่านพี่มากจนเกินไป จึงสั่งให้ทั้งหมดกลับอาบูลัค” ด้วยความรู้สึกที่ไม่ผิดกับวัวสันหลังหวะ จึงไม่กล้าสบพระเนตรกษัตริย์หนุ่ม เพราะทราบดีว่าทุกวาจาที่กล่าวออกไปล้วนแล้วแต่เป็นเท็จ จึงเกรงว่าจะถูกจับได้

“ซานีอา...เจ้ากับพี่ใช่ไม่ใช่คนอื่นคนไกล จะเรียกว่ารบกวนได้อย่างไรกัน”

“ท่านพี่อัลจาดีร์...”

น้ำเสียงหวาน ๆ ครางแผ่วเบาก่อนจะโผเข้ากอดบุรุษสูงศักดิ์ นัยน์ตาดำขลับที่รายล้อมด้วยแพขนตายาวงอนงามช้อนขึ้นมองกษัตริย์หนุ่มทั้งที่หยาดน้ำใสยังคลอตา แม้ยามนี้จะตื้นตันใจกับน้ำคำที่หลุดจากพระโอษฐ์ของผู้สูงศักดิ์ หากแต่อีกใจหนึ่งกลับสลดยิ่งนัก ที่ไม่อาจเก็บรักษาคุณค่าในตัวไว้เพื่อบุรุษผู้เป็นที่รักได้

“นี่เจ้าไม่อายบ้างหรืออย่างไร เมื่อสิบปีก่อนเจ้าก็โผกอดพี่ทั้งน้ำตา สิบปีให้หลังเจ้าก็ยังขี้แงไม่เลิก หยุดร้องเถิด...เสื้อพี่ชื้นไปด้วยน้ำตาเจ้าหมดแล้ว” องค์อัลจาดีร์เชยคางมนขึ้นสบพระเนตรคม ก่อนจะปาดหยาดน้ำใสจากนัยน์ตาคู่สวย

“ท่านพี่...ทำไมถึงได้ชอบล้อหม่อมฉันอยู่เรื่อย” ซานีอาหน้าแดงซ่านตวัดค้อนด้วยความเขินอาย

“ก็เจ้าเอาแต่งอแงไม่เลิกนี่น่า มาทางนี้เถิด...พี่จะพาเจ้าชมสวนสวยแล้วจะเลยไปส่งที่ห้องพัก” องค์อัลจาดีร์แย้มโอษฐ์น้อย ๆ อย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะรั้งมือเรียวให้ก้าวตาม

ความสนิทสนมที่มีมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทำให้องค์อัลจาดีร์ทรงคิดกับสตรีเบื้องพระพักตร์เพียงแค่พระกนิษฐภคินี เพราะภายในหทัยนั้นมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้าหญิงอะมีนะฮ์ พระราชธิดาองค์โตที่ถือกำเนิดจากพระชายาในกษัตริย์อัลไซมาลแห่งแคว้นอาบูลัค ผู้มีศักดิ์เป็นพระเชษฐภคินีต่างมารดาของท่านหญิงซานีอา องค์อัลจาดีร์ทรงอึดอัดพระทัยและลำบากใจอย่างที่สุด ที่ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกดังกล่าวต่อผู้ใดได้ อีกทั้งยังต้องเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกเพื่อมิให้ใครล่วงรู้ ด้วยเพราะวัยที่แตกต่างกันถึงสี่ชันษา อาจจะทำให้พระองค์ตกเป็นที่ครหาว่าชื่นชอบสตรีสูงวัยกว่า

จวบจนกระทั่งกษัตริย์อัลไซมาลพระสหายสนิทของพระบิดาได้ส่งสารแจ้งให้ทราบ ว่ามีพระประสงค์จะส่งมอบพระธิดาองค์เล็กเป็นเครื่องราชบรรณาการ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น ณ เวลานั้น แม้องค์อัลจาดีร์จะอยากปฏิเสธ ด้วยเพราะภายในหทัยยังคงถวิลหาสตรีผู้เป็นที่รักทั้งยามหลับยามตื่น แต่ด้วยเพราะหน้าที่ที่รับผิดชอบนั้นค้ำคอ อีกทั้งยังเกรงว่าหากบอกปัดหรือตัดสัมพันธ์ดังกล่าว นอกจากจะทำให้ท่านหญิงซานีอาเสียหน้าและได้รับความอับอาย สัมพันธภาพที่มีมายาวนานระหว่างแคว้นทัชซาลามัลค์กับอาบูลัคก็อาจจะขาดสะบั้น จึงจำต้องตอบรับไมตรีนั้นกลับไป


****งานเขียนเรื่องนี้เปิดให้ทดลองอ่านบางส่วนเพื่อการโปรโมตในการวางจำหน่ายใน7-11***



กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2556, 08:38:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2556, 08:38:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1454





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account