ในม่านฝน # เฟื่องนคร (1 ใน 4 นิยายชุดนิยายรักนักเขียน สนพ.อรุณ)
“secret of celebrity หรือ ความลับของเซเลบบริตี้” พอได้ยินบทสรุปเรื่องที่พลอยพธูเรียกมาคุยด้วยแล้ว นิชภาก็ทำเสียงสูง ตาลุกวาวขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“มันคืออะไรคะ”
“คือแบบนี้นะน้องนิช พี่พลอยคนนี้ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงคนดังของฟ้าเมืองไทย...ข้อนี้น้องนิชรู้ดีอยู่แล้ว และคนดัง แต่ละคนที่พี่ไปเจอ เขาก็โอดครวญให้พี่ฟังว่า อันที่จริงเรื่องของเขาที่สื่อเอาไปเล่นมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย มันเป็นอีกแบบ คนโน้นก็เล่าเรื่องแบบนี้ให้พี่ฟัง คนนั้นก็เล่าเรื่องแบบนี้ให้พี่รู้ ประหนึ่งว่าพี่จะไปแก้ไขอดีตให้พวกเขาได้อย่างนั้นแหละ ...แต่ว่าพอฟังไปฟังมา พี่ก็เลยเกิดไอเดีย ขึ้นมาว่า...ในเมื่อเรื่องที่มันเกิดขึ้นแล้ว มันไม่ใช่เรื่องจริง...แล้วทำไมเรา ไม่เขียนนิยายแก้ต่างเรื่องไม่จริงเหล่านั้น...ให้คนเขารับรู้ล่ะ”
“แล้วเราจะไปแก้ ให้เขาได้อย่างไร...เพราะคนเข้าใจผิดกันไปแล้ว และมันก็น่าจะเป็นในวงกว้างเสียด้วย” นิชภายืดตัวตรง เริ่มหมดความสนใจ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเธอเริ่มคล้อยตามไปกับโปรเจคพิเศษที่ว่า
...แม้โปรเจคนั้นจะมีวาตีร่วมทำงานอยู่ด้วยก็ตาม
“ใช่ บางเรื่องมันเป็นเรื่องในวงกว้าง...แต่หนังสือบ้านเรานะ มันเป็นวงแคบ ๆ...แต่ไอ้วงแคบนี้นี่แหละบางทีมันมีพลังประหลาดอยู่เหมือนกันนะ น้องนิชเคยได้ยินไหมที่ว่าคนไทยน่ะ” เอ่ยถึงตรงนี้แล้วพลอยพธูก็หันซ้ายหันขวาทำเหมือนมีลับลมคมในก่อนจะเอี้ยวตัวไปหานิชภาแล้วก็กระซิบเบา ๆ ประหนึ่งว่าเรื่องที่กำลังจะบอกนั้นเป็นความลับสุดยอด...
“คือ คนไทยมีนิสัยชอบเรื่องซุบซิบ ๆ...ยิ่งซุบซิบยิ่งดัง มันแปลกอย่างนี้นี่เองนะ”
พอได้ยินเหตุผลของพลอยพธูซึ่งเป็นบรรณาธิการผู้คว่ำหวอดในวงการหนังสือมานานแล้ว ณิชกาก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตามที...
“โปรเจคของเราเหมือนเป็นการซุบซิบ ๆ แก้ต่างให้พวกเซเลบเหล่านั้นไง...พอมีคนพูดถึงเรื่องในอดีตที่ผิดพลาดของเขา คนที่อ่านหนังสือ เขาก็จะบอกว่า นี่เธอ ๆ ข้อมูลที่ได้มาใหม่จากนิยายเล่มนั้น มันไม่ใช่อย่างนี้นะ หรือในทางกลับกัน นี่เธอ ๆ ถ้าอยากรู้ความจริงเป็นอย่างไร เธอต้องอ่านนิยายเล่มนั้นซิ เขาบอกไว้หมดเลยว่าเหตุการณ์วันนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกนะ”
“แล้วเราจะเชื่อตัวคนมาแก้ข่าวได้หรือคะพี่พลอย”
“เชื่อได้ซิ พี่รู้จักเขาเหล่านี้มานานพอดู เลยนะ...พี่เชื่อพวกเขา”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: เรียกน้ำย่อย

ในม่านฝน

เฟื่องนคร

1.

“น้องนิชจ๊ะ ถึงไหนแล้วเอ่ย”

“ใกล้ถึงแล้วค่ะพี่พลอย นิชอยู่บนรถไฟฟ้าแล้ว รอหน่อยนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ ที่ให้พี่พลอยรอนานเลย”

“ไม่นานหรอกจ้ะ พี่เพิ่งมาถึงเหมือนกัน โอเคนะ พี่รออยู่ ลงรถไฟฟ้าแล้วโทรหาพี่อีกทีก็ได้จ้ะ”
พลอยพธูวางโทรศัพท์ลงแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...

‘ไม่นานหรอกจ้ะ เพิ่งมาถึงเหมือนกัน’ หาใช่ความจริง เพราะความจริงนั้นพลอยพธูมาถึงก่อนเวลานัดหมายครึ่งชั่วโมง และขณะนี้เข็มนาฬิกาก็เลยเวลานัดมาสี่สิบห้านาทีเข้าไปแล้ว... ดังนั้นตบ ๆ รวม ๆ เวลาที่นั่งรอนิชภาอยู่ก็คือ 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที และพลอยพธูก็มั่นใจว่า ตนเองอาจจะต้องนั่งรอนิชภา อดีตนักเขียนวัยทีนตัวทำเงินของสำนักพิมพ์พลอยอรุณ ที่เธอเป็นทั้งเจ้าของและบรรณาธิการอำนวยการ อีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแน่ ๆ

เพราะคำว่า ‘อยู่บนรถไฟฟ้าแล้ว’ อันที่จริงนิชภาอาจจะอยู่บนรถแท็กซี่...หรือดีไม่ดีอาจจะยังไม่ได้ออกจากบ้าน...แต่ครั้นจะซักไซ้เอาความจริงก็เกรงว่าจะเสียน้ำใจกัน เพราะก่อนที่นิชภาจะโด่งดังเป็นพลุแตกมีแฟนคลับอย่างล้นหลาม มียอดพิมพ์เริ่มต้นที่ 5,000 เล่มในปัจจุบันนี้ พลอยพธูไม่ได้ทำสัญญาผูกมัดนามปากกาของนิชภาไว้เหมือนสำนักพิมพ์บางแห่งที่สุ่มเสี่ยงหยิบงานเขียนที่ละเลงกันบนโลกไซเบอร์มาพิมพ์รวมเล่มเพราะเห็นว่ามีคนตามอ่านมาก และเพื่อไม่ให้นักเขียนที่นำมาปลุกปั้นเอางานไปพิมพ์กับที่อื่นหลังจากที่มีชื่อเสียงโด่งดังมีแฟนคลับเหนียวแน่นแล้ว บางสำนึกพิมพ์ก็เจรจาขอเซ็นสัญญามัดนามปากกาก่อนที่จะพิมพ์งานเล่มแรกให้

หรือบางแห่ง มัดทั้งนามปากกาและมัดตัวนักเขียนไว้ตามจำนวนปีพ่วงด้วยผลประโยชน์งาม ๆ แต่เธอไม่ได้ทำอย่างนั้นเพราะอยากให้นักเขียนมีอิสระทางอารมณ์

แต่ปัญหาที่พบหลังจากที่นักเขียนที่ร่วมงานกันมาถึง 6 ปี อย่าง ‘นิชภา’ โด่งดังแล้ว นิสัยของเธอก็จะเริ่ม ‘ประหลาด’และเปลี่ยนแปลงไป ข้อแรกคือ นัดไม่เป็นนัด ทั้งนัดเจอพบกันแบบนี้ นิชภาก็จะมาช้าหรือไม่ก็ พอใกล้วันนัด เธออาจจะติดธุระขอเลื่อนนัดออกไปอย่างไม่มีกำหนด และถ้านัดครั้งไหน นิชภามาถึงก่อน เธอก็จะโทรตามจิกแล้วก็อ้างว่าเธอนั้นจะต้องมีไปธุระต่ออีกหลายที่

หรือนัดส่งงาน หากนิชภาส่งงานไม่ทันตามที่ได้นัดหมายไว้ เธอก็จะหาเหตุผลร้อยแปดพันประการมาอ้างได้อย่างน้ำเสียงสดชื่นแจ่มใส หาได้สำนึกกับความผิดพลาดของตนที่ทำให้คนอื่นต้องรอ แต่ในขณะเดียวกัน หลังจากที่นิชภาส่งงานแล้ว หนังสือจะต้องออกเป็นเล่มภายในหนึ่งเดือน

..ใช่แล้วภายในหนึ่งเดือน!!! ไม่อย่างนั้นเธอจะมีนอยด์ โทรไปไม่รับสาย หรือไม่ก็โพสต์ข้อความในเว็บไซต์ของเธอเหน็บแนมสำนักพิมพ์ ประกาศให้แฟนคลับของเธอได้รับรู้ และแฟนคลับก็จะคอมเม้นท์ถล่ม ยุยงให้เธอเปลี่ยนที่พิมพ์งานบ้างละ หรือไม่ก็ให้เธอตั้งสำนักพิมพ์เองไปซะเลย...

... ลำดับต่อมา นั่นก็คือเรื่องของผลประโยชน์ จากที่เคย ‘ให้เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ก็ได้ หนูก็ยอมหมด ขอให้ได้พิมพ์งานให้เถอะ’ ...เปลี่ยนเป็นว่า สำนักพิมพ์จะต้องโอนค่าลิขสิทธิ์เป็นเงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวหลังหนังสือวางแผงในทันที และถ้าหากมีการพิมพ์ซ้ำ เธอก็ขอให้โอนอย่างเร่งด่วนเช่นกัน...แล้วเธอก็จะอ้างหน้า ยิ้ม ๆ ว่าสำนักพิมพ์โน้นปฏิบัติกับนักเขียนคนนั้นอย่างนี้ สำนักพิมพ์แห่งนี้ ปฏิบัติกับนักเขียนคนโน้นอย่างนั้น สุดท้ายนิชภาก็จะเป็นคนได้ผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ....

ใจจริงพลอยพธูไม่อยากจะอดทน อดกลั้น งอนง้อ เอาอกเอาใจสารพัด กับ ‘นิชภา’ ที่ใช้ชื่อจริงเป็นนามปากกา แต่งานที่สตาร์ท 5,000 เล่มนั้นจะขายเกือบหมดภายในเดือนสองเดือนจนสายส่งต้องสั่งให้พิมพ์ซ้ำไม่ต่ำกว่า 3,000 เล่มภายในสี่หรือห้าเดือนถัดมา และงานเก่า ๆ ก็ยังพิมพ์ซ้ำครั้งละ 1,000 เล่มอยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้วพลอยพธูก็ไม่ได้ ถูกโฉลก ต้องอารมณ์ กับงานของนิชภานักหรอก

...แต่เมื่อในปัจจุบันคนอ่านหรือลูกค้าเป็นตัวตัดสินผลงานของนักเขียนมากกว่าบรรณาธิการที่มีกฎเกณฑ์ สูตรเฉพาะ บรรทัดฐาน ของนิยายดี ๆ บนหิ้งหนังสือ พลอยพธูก็จำต้อง เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ทำเป็นหูทวนลมเมื่อมีข่าวเม้าท์กันว่า เธอนั้นเป็นประเภท มือถือสากปากถือศีล...
เพราะก่อนหน้านั้นพลอยพธูก็เคยเป็นกรรมการตัดสินงานรางวัลอันมีคุณค่ามานักต่อนัก แต่งานในสำนักพิมพ์ของตัวเองนั้นกลับเป็นงานที่เพื่อนพ้องในวงการให้สมญานามกันว่า ‘งานลูกกวาด’

งานลูกกวาด หรืองาน ธรรมดาๆ ไร้พล็อตแข็ง ไร้แก่นสารที่จะบอกกล่าวให้นักอ่านเปลี่ยนแปลงอารมณ์ไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ และเรื่องบางเรื่องดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอะไรเลย และไม่ควรจะเป็นเรื่องให้คนอ่านติดตามด้วยซ้ำ แถมบางเรื่องก็ยังเน้นไปที่ฉาก make love หรือ have sex ซะมากกว่า บทบรรยายสิ่งแวดล้อม ที่มาที่ไปของอารมณ์ตัวละคร แต่ทว่ากลับขายดิบขายดี...และงานของนิชภาในยุคแรก ๆ ก็เข้าคอนเซ็ปเหล่านั้นทุกประการ...

พลอยพธูถอนหายใจอีกเฮือก พยายามที่จะสงบสติอารมณ์โดยการใช้ช้อนตัดเค้กมาละเลียดเข้าปากพร้อมกับดูดกาแฟเย็นราคาแพงหูฉี่ไปเป็นแก้วที่สอง...และก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำโทรศัพท์รุ่นพระเจ้าเหา...ที่เพียงโทรออกรับสายได้อย่างเดียวของพลอยพธูก็ดังขึ้นมา...เป็นสายเรียกเข้าจากเบอร์ของ ‘นิชภา’พลอยพธูเหลือบตามองนาฬิกาที่ผนังร้าน...จากที่รอไปก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบห้านาที ตอนนี้ถูกขยายเวลาเป็นหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว...

“พี่พลอยคะ นิชมาถึงหน้าร้านแล้วค่ะ ลงจากรถไฟฟ้าแล้วนิชก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์เข้ามา พี่พลอยอยู่ตรงไหนคะ”

พลอยพธูลุกขึ้นยืน แล้วมองไปยังหน้าร้าน เห็นนิชภาสาวสวย...ใช่พลอยพธูยอมรับว่า นิชภาเป็นนักเขียนวัยยี่สิบต้น ๆ ที่ไม่น่าจะยึดอาชีพเป็นนักเขียนสักนิด เพราะว่าหุ่นของเธอนั้นสูงโปร่งน่าจะเกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเสียด้วยซ้ำ ผิวพรรณนั้นก็ขาวสะอาดไร้จุดด่างดำ ผมยาวสลวยดุจแพรไหม

นิชภาน่าไปเป็นนางแบบเสียมากกว่า ส่วนที่จะติอย่างเดียวคือ เธอใส่แว่นสายตา ไม่ยอมใส่คอนแทคเลนส์และฟันของเธอนั้นเคยยื่นจะเรียกว่าเหยินเลยก็ได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้ก็เรียบเสมอกันแล้ว ยิ้มเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบเพียงแต่ว่ายังใส่แว่นตาไร้กรอบ และบางทียังแอบแต่งตัวเชย ๆ และเวลาสนทนากันบางครั้งเธอก็จะดูเหม่อลอย

ไอ้อาการเหม่อลอยนี้เธอเข้าใจได้ เพราะบางครั้งนักเขียนก็คงตกอยู่ในห้วงของจินตนาการจึงแยกระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกนิยายไม่ได้...

“เดินเข้ามาในร้านนะ พี่อยู่ในห้องแอร์น่ะ...” ร้านกาแฟร้านนั้นเป็นเรือนโบราณที่ถูกดัดแปลงเป็นร้านกาแฟและเบเกอรี่ มีพื้นที่พอจะปลูกสวนโดยใช้ไผ่เป็นรั้วบดบังผนังตึกสามชั้นทั้งสามทิศ ถัดมานั้นเป็นต้นลั่นทมสนามหญ้าเล็ก ๆ และบ่อเลี้ยงปลาคราฟ และรอบ ๆ บ่อ มาจนถึงหน้าบ้านนั้นก็ทำเป็นลานตั้งโต๊ะรับลมธรรมชาติ

และเมื่อนิชภาพาร่างสูงบางของตนเข้ามาในร้าน หญิงสาวก็ยิ้มเห็นฟันที่ถอดเหล็กดัดฟันออกแล้ว ฟันของนิชภาจึงเรียงเป็นระเบียบสวยงามผิดเมื่อก่อนหน้านั้น ที่ฟันของเธอถือเป็นปมด้อยบนใบหน้าสวย ๆ ของเธอเลยทีเดียว...

“สวัสดีค่ะพี่พลอย” เสียงของนิชภานั้นอ่อนหวาน การพนมมือค้อมศีรษะนั้นก็เหมือนบรรดานางงามเจนเวทีทั้งหลาย และอากัปกิริยาเหล่านี้ก็ทำให้ใจที่เดือดปุด ๆ ของพลอยพธูที่คอยอยู่ตั้งนานเย็นลงได้อย่างประหลาด

“สวัสดีจ้า มา ๆ มานั่งก่อน”

เมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หวายหลังจากขยับแว่นตาแล้ว นิชภาก็รีบแก้ตัว เหมือนที่คนส่วนใหญ่นิยม

“รถติดนิดหน่อยค่ะ...ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้พี่พลอยเสียเวลารอตั้งเป็นชั่วโมง ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ใบหน้าของพลอยพธูยิ้ม ๆ ก่อนจะมองไปหาเด็กในร้าน...

“พี่พลอยคะ เมื่อตอนสงกรานต์นิชไปเที่ยวสิงคโปร์กับคุณพ่อคุณแม่มาค่ะ เลยซื้อผ้าพันคอมาฝาก ราคาไม่แพงนะคะ แต่นิชเห็นว่ามันเข้ากับพี่พลอยมาก ๆ ...” ว่าแล้วนิชภาก็วางกล่องผ้าพันคอที่พลอยพธูรู้ว่า ไม่ใช่ของถูกๆ วางขายบนแผงข้างทางอย่างแน่นอน และที่สำคัญนิชภานั้นรู้ใจตนเองเหลือเกิน เพราะเธอนั้นเป็นคนที่แพ้ ‘สีม่วง’ อย่างแรง อะไรก็ได้ ขอให้สีม่วงเถอะ เธอจะต้องถลาเข้าใส่ในทันที แม้ผมที่ซอยสั้นกุดนี่ก็เหมือนกัน พอเธอใช้สีม่วงมะฮอกกานีปิดทับผมขาวหรือที่เรียกอย่างหยาบ ๆ ว่าผมหงอกจนกระทั่งกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวในช่วงสองสามปีมานี้ และเมื่อผมม่วงแล้ว เสื้อผ้าสีม่วงนั้นจึงต้องละวางไว้บ้าง เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นม่วงทั้งตัว เธอจึงหันมาใส่สีขาวแทนเพราะรู้สึกว่าตัวเองนั้นอายุมากขึ้นควรที่จะวางตัวออกไปทางแนวเอาธรรมะเข้าข่ม แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังชอบสีม่วงอยู่ดี โดยเฉพาะผ้าพันคอนั้นจะถูกจะแพงขอให้มีม่วงแซมไว้ก่อน

...แต่ด้วยมารยาทพลอยพธูแม้จะพอใจยินดีกับของฝากจากต่างแดนแต่พลอยพธูก็ต้องบอกว่า

“ไปเที่ยวเรื่อยเลยนะ แล้วก็ซื้อมาฝากเรื่อยเลย พี่เกรงใจน้องนิชจัง”

“เล็ก ๆ น้อยค่ะพี่พลอย นิชไม่มีพี่ไม่มีน้อง พี่พลอยก็เหมือนพี่สาวของนิช เหมือนคุณแม่คนที่สอง แค่นี้เล็กน้อยจริง ๆ ค่ะ...” พ่อแม่ของนิชภานั้นทำงานอยู่ฝ่ายภาคพื้นบริษัทสายการบินแห่งชาติ จึงสามารถขอตั๋วฟรีและตั๋วราคาพิเศษได้ และเมื่อมีลูกสาวเพียงคนเดียว แถมลูกสาวยังเป็นคนที่มีความสามารถหาเงินใช้เองตั้งแต่เรียนระดับมัธยมปลาย ครอบครัวของนิชภาจึงไม่เดือดร้อนที่จะพากันไปเที่ยวต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ

“อุ้ย น้องนิชสั่งขนมกับเครื่องดื่มเลยดีกว่า” เมื่อพนักงานในร้านเดินมาพินอบพิเทาอยู่ด้านข้างพลอยพธูก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย...

นาฬิกาที่ผนังสีเทา ๆ ดูขลังเข้ากับตัวบ้านโบราณหลังคาปั้นหยาบอกเวลาอีก 11 นาฬิกา อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเป็นเวลาอาหารกลางวันของคนทั่วไป...ขณะที่นิชภาหยิบเมนูมาพลิกดู..พลอยพธูที่กินอาหารไม่ค่อยเป็นเวลาก็บอกว่า

“น้องนิชจะสั่งอาหารหนัก ๆ เลยก็ได้นะ สั่งมื้อกลางวันไปเลยไหม ทานมาหรือยังคะ”

นอกจากที่นี่จะเน้นเครื่องดื่ม เค้ก เบเกอรี่ ก็ยังมีเมนูอาหารจานเดียวจำพวกสปาเกตตี้ และอาหารไทยขึ้นชื่อที่ชาวต่างชาตินิยมอย่างผัดไทยก็มีห้อยท้ายในเมนูอาหารจานเดียว นิชภาพินิจพิจารณาอยู่นาน ตอนนั้นพลอยพธูก็ต้องเงยหน้าไปยิ้มให้น้องพนักงานที่ดูท่าจะรอจนอ่อนใจแล้วเหมือนกัน...

แล้วนิชภาก็กระแอมก่อนจะบอกว่า...

“ขอสลัดผักแล้วกันค่ะ พอดีช่วงนี้ ใกล้ถึงวันเกิดแล้ว นิชอยากงดเนื้อสัตว์...”

‘อยากงดเนื้อสัตว์แล้วหล่อนนั่งดูเมนูเนื้อสัตว์อยู่ตั้งนานสองนานเนี่ยนะยะ...’ พลอยพธูนึกด่าอยู่ในใจแต่ปากก็ทวนเมนูของนิชภาอย่างเอาใจให้น้องพนักงานอีกครั้ง

“น้องเขาเอาสลัดผักไม่มีเนื้อสัตว์นะ ไม่ได้กินเจใช่ไหมคะ แค่มังสวิรัติเนอะ”

“ค่ะ แค่งดเนื้อสัตว์ค่ะ ก่อนวันเกิดสักเดือนค่ะ...แต่ปีนี้อยากเริ่มเร็วกว่ากำหนดหน่อย...พี่พลอยไม่เอาอะไรเหรอคะ”

“ขอเป็นผัดไทยแล้วกัน ร้านนี้ผัดอร่อย ผัดซีอิ้วก็อร่อยนะ พี่เคยมากินติดใจมาก จะเอาไหม เผื่อสลัดอย่างเดียวไม่พอ สั่งให้เขาเว้นเนื้อสัตว์ได้นะ มีเส้นก๋วยเตี๋ยว มีคะน้า ได้ทั้งโปรตีนและวิตามิน”

“ไม่ค่ะ พอแล้ว ตอนสาย ๆ นิชทานที่บ้านมาแล้วค่ะ”

‘สาย ๆ ที่บ้าน ก็คือช่วงที่ฉันนั่งรออยู่ใช่ไหมยะ’

“แล้วจะเอาน้ำอะไรจ๊ะ สั่งเลยจ้ะ” ‘สั่งให้มันเสร็จสิ้นซิยะ น้องเขายืนรอจนโยกขาไปมาแล้วนะ คนอื่น ๆ ก็รอพนักงานอยู่ จะเลือกไปถึงไหน’ แม้จะลุ้นให้นิชภาเลือกเครื่องดื่มอย่างเร็วไวแต่ว่าพลอยพธูก็แสร้งช่วยเลือกเมื่อนิชภาเปิดหน้าเมนูเครื่องดื่มแล้วก็นั่งอ่านอย่างตกภวังค์...

“น้องเอาออเดอร์อาหารไปสั่งในครัวก่อนก็ได้นะ” พลอยพธูหันไปบอกพนักงาน แต่พอพนักงานจะขยับไปที่เคาน์เตอร์นิชภาก็หลุดปากสั่งเครื่องดื่มสั้น ๆ ว่า “ขอน้ำแร่แช่เย็นแล้วกันค่ะ น้ำแข็งไม่ต้อง”...



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2556, 12:27:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ส.ค. 2556, 12:27:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1728





   เรียกน้ำย่อย 2 >>
saralun 9 ส.ค. 2556, 14:46:54 น.
เรื่องใหม่มาทันใจมากกก ^^


Zephyr 9 ส.ค. 2556, 18:29:16 น.
นิสัย นิช ไม่น่ารักสักนิด แม้จะอ่านซ้ำอีกรอบแล้วก็เหอะ


nateetip 9 ส.ค. 2556, 19:50:36 น.
มาแปลกดีค่ะ


ปลายสี 9 ส.ค. 2556, 19:57:30 น.
น่าติดตามามากค่ะ รออ่านๆ


ree 14 ส.ค. 2556, 18:30:05 น.
สรุปว่าเธอ "เยอะ" นะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account