เพียงรักร้อยบุปผา:ฮานะ
ตำนานชินเซ็นกุมิ
หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น...
ความรัก สงครามการปฏิวัติ และหัวใจของสตรีนางหนึ่ง
ที่อุทิศทุกอย่างให้กับชายผู้ชื่อว่าเป็นปีศาจไร้น้ำใจ
Tags: ฮิจิคาตะ โทชิโซ,ฮานะ,โอคิคะ โซจิ,ชินเซ็นกุมิ,ซามูไร,เอโดะ

ตอน: บทที่ 12:ดอกไม้บานใต้แสงจันทร์ (1)

บทที่ 12: ดอกไม้บานใต้แสงจันทร์ (1)

ปลายฤดูหนาว ปีเคโอที่ 2 (1866)

พักนี้ฮิจิคาตะซังค่อนข้างเครียด แต่เขาไม่ยอมบอกข้าว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไร ข้าก็เลยต้องอาศัยถามเอาจากโซจิซัง แล้วก็ทราบความว่า คาวาอิ คิซาบุโร ซึ่งดูแลบัญชีและการเงินอยู่นั้นปล่อยเงินกู้มากไปจนกลุ่มชินเซ็นไม่มีเงินใช้ เป็นความผิดที่ต้องคว้านท้อง กำหนดวันมาแล้วว่าเป็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์

ข้าใจหายวูบ... คาวาอิซังนั้นถึงจะไม่โดดเด่นนัก แต่เขาก็เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ยิ้มง่าย ออกจะแหยๆ ไปสักนิด ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายอะไรเลย แล้วอายุก็ยังไม่เท่าไรเสียด้วย กลับต้องมาตายเสียแล้วหรือนี่

ตอนแรกที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ ข้าก็อึ้งไปชั่วครู่ แม้ว่าข้าจะไม่ได้สนิทกับคาวาอิซังก็เถอะ แต่มีคนตายไปอีกแล้วหรือนี่ ชั่วครู่ต่อมา ข้าก็คิดถึงฮิจิคาตะซังขึ้นมาฉับพลัน

ข้า...กังวล ยังจำได้แม่นว่าตอนที่ยามานามิซังตายนั้นฮิจิคาตะซังเจ็บปวดแค่ไหน มาตอนนี้คาวาอิซังต้องมาตายไปอีกคนด้วยกฎที่ฮิจิคาตะซังตั้งขึ้น...

ข้าจึงคิดว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดคงเป็นฮิจิคาตะซังแน่นอน ก็กฎที่เขาตั้งพรากเอาคนที่เขารักจากเขาไปทีละคน...

โซจิซังก็ซึมๆ ไปเหมือนกันแต่ข้าไม่รู้จะปลอบใจเขาอย่างไรดี ได้แต่นั่งมองเขาดื่มเหล้าเมามาย

ตกค่ำของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ฮิจิคาตะซังก็กลับมาหาข้า เขายิ้มเนือยๆ และไม่พูดไม่จาอะไร กับข้าวที่ข้าทำไว้เขาก็ไม่แตะ กลับมาก็เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ที่ชานเรือน มองไปท้องฟ้าข้างนอกซึ่งหิมะบางเบาเริ่มโรยตัวลงมา แล้วนั่งจิบเหล้าไปเงียบๆ ข้าได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังของเขาที่มันสะท้อนความเจ็บปวดออกมาอย่างเด่นชัด จนข้ารู้สึกว่าฮิจิคาตะซังกำลังถูกเชือกซึ่งเขาฟั่นมันขึ้นมาเองบาดลึกลงไปในเนื้อหนัง ลงไปในกระดูก...และฝากรอยแผลที่น่าเศร้าเอาไว้

“ฮิจิคาตะซัง วันนี้อย่าดื่มเหล้าอีกเลยนะเจ้าคะ” ข้าอดไม่ได้จะทักท้วง ถึงเขาจะเศร้าแต่การเอาสุรามาราดรดหัวใจที่บอบช้ำก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ดูอย่างโซจิซังสิ เมื่อวานเขาเมา วันนี้เขาก็ยังเศร้า...สรุปเลยว่าสุราไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

“ทีเมื่อวานยังให้โซจิดื่มได้เลย ทำไมวันนี้กลับไม่ยอมให้ข้าดื่มล่ะ” เขาตีรวนเพราะไม่สบอารมณ์ แต่ข้าตอบชัดถ้อยชัดคำจนฮิจิคาตะซังเป็นฝ่ายอ่อนลงเอง

“เพราะข้าเป็นห่วงท่านมากกว่าโซจิซัง ท่านกับโซจิซังต่างกัน โซจิซังคอแข็งและก็เคยชินกับการดื่มเหล้า ส่วนท่านคออ่อน ฉะนั้นไม่ควรดื่มเยอะ”

“ฮานะ...เฮ้อ” เขาวางจอกเหล้าและอ้าแขนรับข้าเข้าหาอ้อมอก ข้าเอนศีรษะอิงไหล่เขาอย่างไม่เกรงใจ จับมือเขาเอาไว้และกล่าวว่า “ฮิจิคาตะซัง ท่านรู้ไหมว่าข้าน่ะ รักท่านมากนะ”

“รู้...ข้ารู้ฮานะ” เขาลูบไล้ผมข้าในขณะที่เอ่ยตอบรับ เสียงของเขาช่างอ่อนล้านัก

“เพราะข้ารักท่านมาก หากว่าท่านเป็นทุกข์ ต่อให้ท่านไม่เอ่ยวาจาสักคำ ข้าก็รู้ได้ว่าท่านไม่มีความสุข เมื่อท่านทุกข์ ตัวข้าจะเป็นสุขได้อย่างไร”

“ข้าแค่ไม่รู้จะพูดอะไร มันตื้อไปหมด อีกอย่างเจ้าก็รู้สาเหตุแล้วนี่นา เมื่อวานโซจิคงบอกหมดแล้ว”

“โซจิซังบอกว่า คาวาอิซังต้องคว้านท้อง” ข้าถอนหายใจยาวหลังพูดจบ

“ใช่ เพราะเขาทำผิด เขาเลยต้องคว้านท้อง ทั้งที่เขาเป็นคนดีแท้ๆ ...แต่ก็ต้องมาตายเพราะข้าเป็นเหตุ”

“โทชิซัง” ข้าเปลี่ยนคำเรียกหาเขาและเอ่ยว่า “ท่านอย่าโยนบาปทุกเรื่องใส่ตัวเองสิ ที่คาวาอิซังต้องตายไม่เกี่ยวกับท่านเลย เรื่องการเงินนั้นเขาเป็นผู้ดูแล หากเขาทำหน้าที่ได้ไม่ดี มันก็เป็นเรื่องที่ตัวเขาต้องรับผิดชอบ”

“หากไม่ใช่กฎของข้า เขาก็คงไม่ต้องตาย แต่เขาก็ไม่เคียดแค้นข้าสักนิด ก่อนจะทำพิธีเขายังบอกว่าขอโทษข้าอยู่เลย ฮานะ คาวาอิกล่าวขอโทษข้าที่เป็นคนสั่งให้เขาต้องคว้านท้อง! ข้า...ข้า” ฮิจิคาตะซังไม่ร้องไห้ แต่สีหน้าของเขานั้นมันช่างทรมานนัก ดวงหน้าคมคายบิดเบี้ยวเพราะถูกความเจ็บปวดบีบคั้น ไม่อาจแสดงออก ต้องกล้ำกลืนให้ความขมขื่นที่เผชิญอยู่กลับเข้าไปในอก

ข้ายกมือวางไปที่แก้มของฮิจิคาตะซัง ไม่อยากให้เขาต้องทนทุกข์ขนาดนี้เลย

“ข้าฆ่าเพื่อนตายไปอีกคนแล้ว ฮานะ ข้าฆ่าคนที่ไว้ใจข้าไปอีกแล้ว!!!” ข้าทราบดีว่า ฮิจิคาตะซังเมาแล้ว ส่วนลึกในจิตใจที่เขาไม่ยอมแสดงออกถึงได้ปรากฏขึ้นมา สองแขนเขารัดเอวข้าแน่นขึ้นแล้วฮิจิคาตะซังก็ซบหน้าลงกับไหล่ของข้า นิ่งอยู่อย่างนั้น ข้ามั่นใจว่าเขากำลังกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ ไม่ยอมหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมา สองมือของข้าได้แต่ลูบไล้แผ่นหลังของเขาเบาๆ

มันออกจะผิดกาลเทศะเกินไป แต่ข้าอยากให้เขาร้องไห้กับข้า ยอมเผยด้านที่อ่อนแอให้ข้าเห็นบ้างเพราะนั่นแสดงว่าเขายอมรับข้าเข้าไปอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว

“หากท่านทุกข์ใจก็ร้องออกมาเถอะ ในที่นี้ไม่มีคนต่อว่าท่าน ไม่มีคนตำหนิท่านหรอก โทชิซังของข้า”

“ฮานะ?” เขาเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำมีหยาดน้ำตาคลอคลองไม่ยอมไหลริน

“เมื่อท่านเศร้าก็ร้องไห้ออกมา แล้วข้าจะกินน้ำตาของท่านให้เอง จะรับความทุกข์โศกของท่านเอาไว้เอง” ข้าปฏิบัติตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ ใช้ริมฝีปากของข้าดื่มกินน้ำตาให้กับโทชิซังของข้า

เขาที่ไม่ใช่ปีศาจร้ายแห่งกลุ่มชินเซ็น แต่เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ข้ารัก...

น้ำตาของเขาเป็นประกายแวววาวในความมืดข้าคิดว่ามันคล้ายกับอัญมณีที่ล้ำค่า ...อุ่นและมีรสเค็ม ปลายลิ้นของข้ายังรับรสขมปร่าได้อีกรส หลังจากที่น้ำตาเขาเริ่มแห้งเหือดไปเพราะตกใจกับการกระทำของข้า

ข้ากลับไม่อาจหยุดตัวเองได้

ข้า..โทษว่านี่เป็นความผิดของฮิจิคาตะซัง ภาพพจน์อันอ่อนแอของเขากระตุ้นเร้าให้ข้าอยากสัมผัสเขามากขึ้น กลิ่นหอมของเหล้าจากตัวเขาทำให้ใจข้าปั่นป่วนจนไม่อาจหักห้ามตนเองได้ แล้วข้าก็ไล่ริมฝีปากระเรื่อยไปยังเปลือกตาของเขา จุมพิตเบาๆ มอบความรักลงไปพร้อมๆ กับคำอวยพรที่ขอให้ความโศกเศร้าอันมากมายในตัวเขานั้นจงหายไป

โทชิซังเหม่อค้างแล้วถามข้าอย่างมึนๆ ว่า “นี่เป็นวิธีปลอบใจของเจ้างั้นหรือ?”

ข้าค่อยๆ เผยยิ้ม “ท่านพูดไม่หมด นี่เป็นวิธีที่ข้าปลอบใจท่านคนเดียวเท่านั้นต่างหากล่ะ”

“เจ้าไม่เหมือนฮานะที่ข้ารู้จักสักนิดเดียว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ขณะใช้นิ้วชี้แตะเบาๆ ที่ใบหน้าของข้า แล้ววาดนิ้วไล้ไปตามคิ้ว ดวงตา จมูก และปาก

“ไม่เหมือนยังไง ดวงตานี่เป็นของข้า ริมฝีปากนี่เป็นของข้า หัวใจนี่ก็เป็นของข้า หรือท่านจะเถียง?”

“ข้าจะเถียง” เขาตอบเสียงทุ้มต่ำ ดูหนักแน่น

“เถียงว่าอะไร โทชิซัง” ข้ากล่าวอย่างยั่วเย้า สานสบกับดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนา เราต่างอยู่ใกล้กันมากเหมือนต่อลมหายใจให้กันและกัน ร่างกายข้าร้อนผ่าว...ทั้งที่หิมะพร่างพรมลงมาไม่ขาดสาย แล้วร่างกายของข้าก็แทบลุกเป็นไฟเมื่อฮิจิคาตะซังสัมผัสหน้าอกด้านซ้ายเพื่ออธิบายว่า

“หัวใจเจ้าเป็นของข้า ริมฝีปากนี้เป็นของข้า ดวงตาคู่นี้เป็นของข้า เจ้าเป็นของๆ ข้า ฮานะ เป็นของข้าทั้งตัวและหัวใจ” เขาย้ำหนักแน่นในยามที่สัมผัสแตะต้องข้าแล้วตีตราหัวใจของข้าด้วยเรียวปากของเขาเอง

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาของข้า เราสองคนก็เหมือนต้องมนต์สะกด สองลมหายใจเริ่มผสานเป็นหนึ่งเดียว ร่างกายของเราสองเกาะเกี่ยวกันมอบความรัก ถ่ายทอดไออุ่นให้แก่กันและกัน และราตรีนี้ความเหงาความเศร้าความทุกข์ก็ไม่อาจกรายกล้ำล่วงล้ำเข้ามาในจิตใจของโทชิซังก็ได้

เพราะเขาคิดถึงเพียงแต่ข้าคนเดียวเท่านั้น...

ทั้งเหล้าและความรักต่างก็ทำให้ลืมความทุกข์ได้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือเหล้าทำให้ลืมความทุกข์ได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ทว่าความรักจะค่อยๆ เยียวยาความทุกข์จนกระทั่งวันหนึ่งความทุกข์จะเลือนหายไปในที่สุด

****************************************
“ฮิจิคาตะซังตื่นได้แล้ว!!!” ข้าแสร้งตะโกนเสียงดังใส่เขา คงเพราะเมื่อวานเมา วันนี้ก็เลยตื่นสาย แต่เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเข้าฐานตอนเช้า ข้าเลยปล่อยเขานอนตามสบาย ครั้นจัดการอะไรในบ้านเสร็จสรรพ ข้าก็เลยมาปลุกฮิจิคาตะซัง

ปกติเขาเป็นคนตื่นง่าย ไม่ค่อยงอแง อาจลุกขึ้นมานั่งงัวเงียเล็กน้อยแต่ก็จะไปล้างหน้าล้างตาโดยดี ทว่าวันนี้ข้าเรียกหลายครั้งแล้ว เขาก็ไม่ตื่น ข้าก็เลยต้องทำให้เช้าวันใหม่ของฮิจิคาตะซังเอะอะเล็กน้อย เขายู่หน้าก่อนจะลืมตาขึ้นมาแบบเสียไม่ได้ ข้าเลยลดระดับเสียงลงเรียกชื่อเขาอีกครั้ง

“ฮิจิคาตะซัง ตื่นได้แล้ว” เขายื่นมือมาจะคว้าแขนข้า แต่ข้ารู้ทันพฤติกรรมเขาดีจึงหลบได้อย่างง่ายดาย คิ้วเข้มบนหน้าเขาพากันขมวดเข้ากัน บอกว่าเจ้าตัวไม่พอใจนิดๆ

“ถ้าไม่เรียกโทชิ ข้าก็ไม่ลุก” ข้าอ่อนใจอยู่บ้างแต่ไม่อยากขัดใจเขาซ้ำสอง ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาฮิจิคาตะซังเป็นคนเอาแต่ใจมากทีเดียว ข้าว่ามันต้องเป็นเพราะเขาเป็นลูกคนเล็กแน่ๆ แต่ข้าก็เป็นลูกคนเล็กเหมือนกันนะ...

“ก็ได้ๆ โทชิซัง ตื่นได้แล้วเจ้าค่า”

“ทำไมวันนี้ปลุกเสียเช้าเชียว ไหนว่าจะไปไหว้พระตอนบ่ายๆ ไง” ข้าอยากจะเถียงว่านี่มันสายแล้วนะ แต่คนเพิ่งตื่นนอนก็คงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เวลาเท่าไร อีกอย่างแดดวันนี้ก็ไม่ค่อยมีด้วย

“เพราะข้ามีเรื่องอยากทำกับท่าน”

“หือ? เมื่อคืนไม่พอหรือ ฮานะ” เขาไม่พลาดโอกาสที่จะรังแกข้าทางวาจาสักนิด ทำเอาข้าหน้าแดงก่ำไปหมด
“บ้า!!! ทะลึ่งใหญ่แล้วนะ ข้าไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้นเสียหน่อย” ข้าตีหน้าบึ้งใส่เขา ก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรหรอกแค่เพียงขัดเขินเท่านั้นเอง แม้แต่ตัวข้ายังตกใจเรื่องเมื่อคืนเลย แค่ตั้งใจจะปลอบใจเขาไหงไปลงเอยแบบนั้นได้นะ?

แต่มันก็ได้ผลดี เขาลืมเรื่องเศร้าๆ ได้จริงๆ ด้วยนี่นา

“คนชวนข้าทำเรื่องทะลึ่งน่ะ มันเจ้าก่อนชัดๆ”

“ข้าไม่ผิดนะ ก็ท่านอยากน่ารักทำไมล่ะ” เมื่อเขายังเล่นไม่เลิก ข้าก็โยนความผิดให้เขารับไป

“อื้อ...” ฮิจิคาตะซังตื่นเต็มตาเสียที และก็เถียงกับข้าไม่ออกด้วย ดูเหมือนเขาจะเขินกับคำว่า ‘น่ารัก’ ‘สวย’ อะไรประมาณนี้ เขาลุกขึ้นจากที่นอน ช่วยข้าพับผ้าห่มกับขนฟูกไปเก็บในตู้อย่างรวดเร็ว ข้ามองเขายิ้มๆ ชอบใจที่เขาช่วยเหลือข้า ดูสินิสัยเขาน่ารักจริงๆ นะ แล้วจะไม่ให้ข้าเห็นว่าเขาน่ารักได้อย่างไร

“เขินหรือเจ้าคะ โทชิซัง” ข้าแซวเขากลับบ้าง เนื่องจากเห็นแก้มเขาแดงนิดๆ หากมิใช่เพราะอยู่ด้วยกันมาก่อน ข้าคงมองไม่ออก

“ไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าไปอาบน้ำดีกว่า” ฮิจิคาตะซังหนีหน้าข้าเสียดื้อๆ เชียว ข้าจึงตามติดไปและบอกว่า

“ข้าไปด้วย” ฮิจิคาตะซังหันขวับกลับมาทันที ถามอย่างสนเท่ห์เอามากๆ ว่า

“หือ ว่าอะไรนะ”

“ข้าไปด้วย” ข้าตอบช้าๆ ชัดๆ ฮิจิคาตะซังกะพริบตาปริบๆ พร้อมยิ้มขำ

“เดี๋ยวนี้ชักกล้าหาญใหญ่แล้วนะ จะถูหลังให้ข้ารึไง?”

“ไม่ถูหรอก แต่ข้าจะสระผมให้ท่านต่างหาก” ข้าฉีกยิ้มกว้างให้เขา

“จะสระผมอย่างเดียวหรือ? ไหนๆ ก็เข้ามาแล้วก็ถูหลังให้ข้าด้วยเลยสิ”

“ใจเย็นๆ สิเจ้าคะ โทชิซัง เรื่องแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ” ข้าปะเหลาะเขา แต่ก็ไม่ได้คิดอยากถูหลังให้เขาหรอก

เพราะอะไรน่ะเหรอ? ...ก็เพราะก่อนข้าจะขัดหลังให้เขาเสร็จ ข้าอาจเสียเลือดจนตายก็ได้!!!

แผ่นหลังขาวๆ ไร้รอยแผล กล้ามเนื้ออันตึงแน่นน่าสัมผัส เปิดเปลือยหมดจดตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงเอว...ข้าว่าถ้าข้ามองแผ่นหลังนั้นใต้แสงตะวันอันอบอุ่น เลือดกำเดาข้าต้องพุ่งแน่นอน ถึงข้าจะเคยนอนกับฮิจิคาตะซังหลายครั้งแต่ข้าก็ไม่ชินกับเรื่องใกล้ชิดที่ภรรยากับสามีทำร่วมกันอยู่ดี

“ตามใจเจ้าแล้วกัน ข้าเป็นของของเจ้านี่นา ไม่กล้ามีปากเสียงกับเจ้าหรอก” เขาพูดอย่างปลงๆ ชวนให้ข้าหมั่นไส้ไม่น้อยเลย

“ดีมาก ว่าง่ายๆ จะได้แก่ช้าๆ นะ โทชิซัง”

“ฮานะ!!!” ข้าแผ่นแน่บไปเข้าห้องน้ำ แล้วเล่นไล่จับกับฮิจิคาตะซังอย่างไม่ได้ตั้งใจจนหอบแฮก สุดท้ายข้าก็กลายเป็นผู้ร้ายจนมุมโดนเขากลั่นแกล้งเสียจนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

ข้าได้สระผมให้ฮิจิคาตะซังสมใจอยากนะ...แต่ข้าก็โดนเขาสาดน้ำใส่จนเปียกซ่ก เลยกลายเป็นว่าข้าต้องอาบน้ำใหม่อีกรอบ ...วันนั้นเราสองคนเลยไปไหว้พระสายกว่ากำหนดการมากนัก

****************************************

ครั้นย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ใกล้วันชุมบุงโนะฮิ

ข้าทำขนมซากุระโมจิต้อนรับฤดูใหม่จึงทำเผื่อให้กับคนสนิทมิตรสหายด้วย ข้าเลยฝากให้ฮิจิคาตะซังเอาไปให้สมาชิกกลุ่มชินเซ็นที่ข้ารู้จักด้วย

“กล่องนี้ของคอนโดซัง กล่องนี้ของฮิจิคาตะซัง กล่องนี้ของเฮสุเกะซัง กล่องนี้ของโซจิซัง กล่องนี้ของไซโตซัง ส่วนกล่องนี้เป็นของเด็กๆ ที่มาเล่นในวัดเจ้าค่ะ" ข้าแจกแจงรายละเอียดก่อนจะเอากล่องขึ้นมาซ้อนกันเป็นตั้งๆ แล้วเอาผ้าผูกมัดเป็นสัมภาระสำหรับหิ้ว

“ข้ากลายเป็นคนส่งขนมแล้วนะ ฮานะ เอากล่องของข้าออกไปเถอะน่ะ”

“ไม่ได้เจ้าค่ะ! คนอื่นมีกินแล้วท่านจะไม่มีกินได้อย่างไรกัน”

“แต่ข้าก็กินกับเจ้าก็ได้นี่นา”

“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ถือไปซะดีๆ อย่าขี้เกียจเลยเจ้าค่ะ อ้อ นี่เป็นยาแก้ไอที่ทำจากเปลือกต้นซากุระมีรสหวาน เพราะฉะนั้นโซจิซังกินได้เจ้าค่ะ” ข้ายัดกล่องยาใส่อีกมือของฮิจิคาตะซัง

“แหม ห่วงใยโซจิจริงนะ”

“ข้าห่วงเขาก็เหมือนที่ท่านห่วงเขานั่นแหละเจ้าค่ะ ท่านเห็นเขาเป็นน้องชาย แล้วจะให้ข้านิ่งดูดายไม่ช่วยอะไรท่านได้อย่างไรกัน มีอะไรที่ข้าจะแบ่งเบาท่านได้บ้าง ข้าย่อมช่วยเหลือสุดกำลัง อีกอย่างเขาก็เป็นสหายข้าด้วย”

“แต่เจ้านั่นชอบบอกว่าเป็นพี่ชายเจ้านะ”

“เขาเป็นพี่ข้าไม่ได้หรอก...”

“เอ้อ ฮานะ เรื่องพะ..” ข้าชิงกล่าวอีกเรื่องเพื่อดึงความสนใจของฮิจิคาตะซัง

“จะว่าไปท่านกับโซจิซังก็ดูไม่คล้ายพี่น้องกันเลยนะเจ้าคะ เหมือนพวกนันโชกุ มากกว่า” ฮิจิคาตะซังสำลักน้ำชาที่ดื่มอยู่ในทันใด ข้าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาช่วยเช็ดปากของเขา

ข้าควรดีใจไหมนะ ทำท่านรองปีศาจกลุ่มชินเซ็นมีสภาพทุลักทุเลเพราะสำลักน้ำชาได้เนี่ย?

“แคกๆ ฮานะ เจ้าว่าอะไรนะ”

“ข้าบอกว่า ท่านกับโซจิซังเหมือนนันโชกุกันมากกว่าพี่น้องเจ้าค่ะ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้นฮ้า!!!” ฮิจิคาตะซังร้องเสียงหลง ภาพลักษณ์อันเคร่งขรึมน่ากลัวนั้นหายไปไหนหมดแล้วนะ? ข้านึกขันจนเกือบหลุดขำออกไป ไม่คิดจริงๆ ว่าเขาจะตกใจถึงเพียงนี้

“ก็...ใครๆ ก็คิดกัน”

“ใคร?ๆ นี่มันใครกัน” โอ้ เขาเริ่มหัวเสียมากขึ้นแล้ว

“สาวๆ ที่ร้านมิกะฮานะ,หญิงรับใช้ที่จ้างมาเป็นคนครัว,โทโดซังก็คิดนะ” ตอนที่สาวๆ ในครัวคุยเรื่องนี้กันอยู่ โซจิซังกับโทโดซังก็อยู่ด้วย โซจิซังมีสีหน้าซีดขาวพร้อมกับปฏิเสธอย่างสุภาพว่า เขาไม่ได้เป็นนันโชกุ ไม่ใช่คู่ขาของฮิจิคาตะซัง ส่วนโทโดซังนั้นเพราะตัวเองไม่อยู่ในหัวข้อ เลยคุยกับพวกสาวกันมันปากเชียว

“ฮ้า!!!..” ท่าทางจะตระหนกเอามาก แต่พอเขาทำสีหน้าแบบอื่นที่ไม่ใช่ขรึมๆ แล้ว ฮิจิคาตะซังดูเด็กลงตั้งเยอะแน่ะ เขาพึมพำเบาๆ ว่า “เฮสุเกะก็ด้วยงั้นรึ?” ด้วยจับอารมณ์ได้ว่า โทโดซังอาจจะพลอยซวยเพราะความปากพล่อยของข้า ข้าก็เลยพยายามแก้...คิดว่าพยายามแก้แล้วนะ แต่ข้าก็อดคิดตามที่สาวๆ คุยกันไม่ได้

ก็ปกติโซจิซังจะอยู่ข้างกายฮิจิคาตะซังตลอด ทั้งคู่หน้าตาดี คนหนึ่งร่าเริง คนหนึ่งเงียบขรึม เวลาโซจิซังก่อเรื่องอะไรมา ฮิจิคาตะซังก็จะแค่บ่นว่าดุด่าเพียงเล็กน้อย แต่ก็แก้ปัญหาให้กับโซจิซังโดยดี เป็นคู่หูที่เหมาะเหม็งกันมากเลย

“เอ่อ ก็แค่คุยกันเล่นๆ ตามประสาผู้หญิงนี่นา ก็ท่านหน้าตาดี โซจิซังเองก็หน้าใสแถมไม่เกี้ยวพาราสีผู้หญิง ท่านอายุมากกว่าโซจิซังตั้ง 7 ปี เชียวนะตรงกับเรื่องชุโด พอดี พอพวกท่านมาอยู่คู่กันก็เหมือนกิ่งทองใบหยกไม่มีผิด”

“เฮ้ย!!! ฮานะ”

“จะตกใจทำไมกันเจ้าคะ มันเป็นเรื่องล้อเล่นนะ”

“ล้อเล่นก็ไม่ได้ ข้าไม่ใช่พวกชายรักชายเสียหน่อย!!” เขาทำเสียงเครียดเชียว

“เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้วว่าท่านไม่ใช่ เราอย่ามาเถียงกันด้วยเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ นี่ก็สายแล้ว กลับไปฐานได้แล้วนะเจ้าคะ มีงานอีกมากมายรอให้ท่านไปสะสางนะ” ฮิจิคาตะซังหลับตาลง ข้าเข้าใจว่าเขาคงจะปรับอารมณ์ให้กลับมาปกติดังเดิม

ข้าไม่ได้อยากแกล้งให้เขาอารมณ์เสียหรอกนะ แค่ไม่อยากให้เขาพูดถึงพี่ชายข้าเท่านั้นเอง

“อ้อ แล้วอย่าไปแกล้งโทโดซังล่ะเจ้าคะ พวกเราแค่เห็นตรงกันก็เท่านั้นเอง แต่ใครๆ ก็รู้ว่าท่านน่ะ...เป็นชายชาตรีที่เสเพลแค่ไหน ค่ำคืนที่ชิมาบาระ,กิอง และชิมบาจิ ไม่เคยขาดสาวมาเคียงกาย”

“ประชดข้าหรือหึงหวงข้า หือ? ฮานะ”

“ทั้งสองอย่างก็แล้วกัน”

“แต่ตอนนี้ข้ามีเจ้าคนเดียวนะ ถึงไปงานเลี้ยงก็กลับมาค้างคืนกับเจ้าทุกครั้ง โซจิยืนยันได้” คำพูดที่ออกมาตรงๆ ของเขาทั้งไม่อ่อนหวานเลยสักนิด กลับทำให้หัวใจข้าเต้นตึกตัก ขัดเขินขึ้นมาได้

“ไปได้แล้วนะเจ้าคะ” ข้าเอ่ยเตือนอีกครั้งต้องการตัดบทสนทนา เมื่อเขาเริ่มออกเดิน ข้าก็เดินตามหลังเขาไปพร้อมกับส่งสัมภาระต่างๆ ให้ เขาออกเดินไปได้สองสามก้าวก็หันกลับมาใหม่

“เดี๋ยว”

“ลืมอะไรหรือเจ้าคะ” ข้าเอียงคอมองด้วยความสงสัยว่าตัวเองบกพร่องอะไรหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าตัวเองไม่น่าจะลืมของอะไรแล้ว ฮิจิคาตะซังเดินมาชิดตัวข้าแล้วกล่าวว่า “ขอบใจนะ ฮานะ” พูดจบเขาก็หอมแก้มข้าไปหนึ่งครั้ง

“เจ้าค่ะ” ข้าก้มหน้าที่แดงก่ำลงด้วยความเขินอายพร้อมกับบ่นอุบอิบ “ฟ้าสว่างโร่แล้ว ทำอะไรไม่สำรวมเลย” ฮิจิคาตะซังกระซิบข้างหูข้าด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“ใจจริงข้าอยากจะจุมพิตที่เรียวปากของเจ้าด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเห็นทีข้าก็คงไปสายมากกว่านี้”

เกรงว่าตอนนี้ข้าคงจะแดงไปทั้งตัวแล้ว ข้าก็เลยจำต้องเสียมารยาทรุนหลังให้ฮิจิคาตะซังออกไปจากบ้านเสียที ไม่งั้นข้าคงถูกเขาแกล้งให้อายมากกว่านี้ ฮิจิคาตะซังหัวเราะเบาๆ แล้วยอมจากไปโดยดี แต่ก็มิวายจูบที่หลังมือข้าเล่นก่อนจะจากไป

****************************************

หลังจากที่ฮิจิคาตะซังกลับมาจากโอซาก้า เขาก็มีของขวัญมาให้ข้า

เป็นปิ่นดอกอุเมะซึ่งทำจากผ้าไหมชั้นดีจัดเป็นช่อสามดอกมีเกสรสีขาว ปลายผ้าห้อยลงมาสองสาย กับหวีสับลงรักปิดทองลายดอกอุเมะบาน ข้าเพียงดูผ่านๆ ก็รู้ว่าราคามันไม่ใช่น้อยเลย เท่าที่อยู่ด้วยกันมาฮิจิคาตะซังเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้นั้นเป็นของดีมีราคาอยู่แล้วเพราะตระกูลของเขาเป็นชาวนาที่มีฐานะร่ำรวย เวลาเลือกซื้ออะไรสักอย่างเขาจะซื้อของดีที่อยู่นานคงทน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องซื้อบ่อยๆ อะไรที่ซ่อมแซมได้ เขาก็จะซ่อม ไม่ค่อยจะซื้อหาอะไรใหม่ๆ นักหรอก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นชายหนุ่มดูดีในสายตาสาวๆ อยู่ดี เวลาข้าไปเดินตลาดทีไรมักได้ยินเสียงสาวๆ ชื่นชมเขาเสมอ

“ทำไมเป็นดอกอุเมะล่ะเจ้าคะ” ข้าแค่สงสัย ตามปกติฤดูใบไม้ผลิหญิงสาวจะปักปิ่นดอกซากุระ ฤดูใบไม้ร่วงจะปักปิ่นดอกคิคุ และจะใช้ปิ่นดอกอุเมะในช่วงหน้าหนาวกับช่วงปีใหม่ แต่บนหัวของข้านั้นไม่มีปิ่นเลยเพราะว่าข้าไม่มีเครื่องประดับและก็ไม่คิดจะใส่ด้วย กลัวทำหายมากกว่า

“ก็เจ้าชอบดอกอุเมะนี่นา ของที่คนรักชอบ ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะ อย่างที่เจ้าเปลี่ยนชื่อเป็นอุเมะนั่นน่ะ เหตุผลจริงๆ คือเจ้าชอบดอกอุเมะ เจ้าก็เลยเปลี่ยนเป็นชื่อนี้”

“ท่านทราบด้วยหรือ?” ข้าถาม แต่หัวใจของข้านั้นมันพองฟูตั้งแต่คำว่า ของที่คนรักชอบแล้ว

“ก็พอจะทราบบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเจ้าไม่ค่อยแสดงความต้องการอะไรออกมาเลย ต่อไปก็เอาแต่ใจบ้างก็ได้ อยากได้อะไรก็บอกข้า หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงเกินไปข้าจะหามาให้”

“ข้าต้องการแค่ท่าน ของนอกกายล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากได้” ข้าพูดตามความปรารถนาในใจ

“แต่ข้าก็เป็นผู้ชายของเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นข้าก็ไม่มีอะไรเรียกร้องเอาจากท่าน เพราะได้แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว”

“ข้าต่างหากที่โชคดีที่สุดที่ได้เจ้ามาเป็น...คนรัก” ข้าไม่ตอบอะไรกลับ ได้แต่อายม้วนต้วนอยู่นั่นแหละ

“มันออกจะผิดฤดูไปหน่อย แต่ตอนปีใหม่เจ้าก็ใส่ให้ข้าดูแล้วกัน” คำพูดสั้นๆ ของเขาทำให้ข้าหวานล้ำไปทั้งใจ

ปีใหม่ก็คือปีหน้า?...แปลว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันยาวนานถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

ข้าไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะได้อยู่กับฮิจิคาตะซังนานเป็นปี หรือถ้าจะให้พูดก็คือ ข้าไม่คิดถึงอนาคตเลยมากกว่า ขอเพียงวันนี้มีฮิจิคาตะซังอยู่กับข้า ข้าก็พอใจแล้ว ถ้าข้าโลภมาก คิดว่าตนจะคลอดลูกให้เขาในอนาคตให้จงได้ ก็ดูจะเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไปจริงๆ

ผู้หญิงที่เคยเป็นโออิรันมาก่อนและยังต่ำชั้นจะไปเป็นภรรยาของซามูไรที่มีฐานะร่ำรวยได้อย่างไร? หรือถ้าฮิจิคาตะซังยินดีรับข้าเป็นภรรยาของเขาก็ตาม แต่ฝ่ายที่มีปัญหาก็ยังเป็นข้าอยู่ดี จะมองทางไหนข้าก็ไร้ความสุข สู้อยู่กับปัจจุบันอันหอมหวานไม่ได้

เพราะฮิจิคาตะซังเข้าเวรตอนกลางวัน ในเทศกาลโอะฮานะมิ ข้ากับเขาเลยสัญญาว่าจะไปเดินชมซากุระบานยามราตรีด้วยกัน อาจสู้แสงตะวันอันอบอุ่นไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าดอกไม้ใต้แสงจันทร์ก็มีความงดงามไปอีกแบบ รอให้ผู้คนได้ชื่นชมกันเช่นกัน

ทว่าสิ่งที่ทำให้ข้ามีความสุขไม่ใช่ซากุระหรอก แต่เป็นเพราะคนที่เดินเคียงข้างกับข้าต่างหาก

เป็นค่ำคืนแห่งความทรงจำที่งดงามนัก ท่ามกลางดอกซากุระสีขาวโพลนตัดกับสีของรัตติกาล สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดแผ่วมาไม่ขาดสาย พาเอากลีบดอกไม้โปรยปรายลงมาราวกับเกล็ดหิมะในหน้าหนาว ข้ากับเขาเดินจับมือกันไปตลอดทาง เราสองคนแทบจะไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ แต่หัวใจของข้าอบอุ่นและรู้สึกอ่อนหวานนัก จนเหมือนในใจข้านั้นมีดอกซากุระบานสะพรั่งอยู่

ในราตรีนี้ข้าปรารถนาถึงคำว่าชั่วนิจนิรันดร์ ฝันหวานถึงคำว่าตราบฟ้าดินสลาย...

****************************************
เนื่องจากว่ามีงานด่วนเข้ามากะทันหัน ฟ้าเลยต้องขออภัยด้วยค่ะ...เจอกันวันศุกร์ค่ะ



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2554, 13:54:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2554, 13:54:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 2410





   บทที่ 13:ดอกไม้งามหนามแหลมคม (3) >>
Indy 6 มิ.ย. 2554, 14:43:50 น.
หวานจังเลยค่า


saralun 6 มิ.ย. 2554, 14:47:17 น.
แล้วจอคอยนะคะ!!! สนุกมากกกกกกกกกกกก ฮ๋า ๆ


Siang 6 มิ.ย. 2554, 15:23:20 น.
ตอนนี้น่ารักมาก ขออีกนะเจ้าคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account