เพียงรักร้อยบุปผา:ฮานะ
ตำนานชินเซ็นกุมิ
หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น...
ความรัก สงครามการปฏิวัติ และหัวใจของสตรีนางหนึ่ง
ที่อุทิศทุกอย่างให้กับชายผู้ชื่อว่าเป็นปีศาจไร้น้ำใจ
Tags: ฮิจิคาตะ โทชิโซ,ฮานะ,โอคิคะ โซจิ,ชินเซ็นกุมิ,ซามูไร,เอโดะ

ตอน: บทที่ 13:ดอกไม้งามหนามแหลมคม (3)

****************************************

เมื่อก้าวเข้ามาในตัวบ้าน คิคุจังก็เผ่นแผล็วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไวจากนั้นก็แอบออกจากบ้านทางด้านหลังโดยปีนกำแพงออกไป แต่ก็มีสำนึกดีพอที่จะตะโกนขอบคุณข้าเป็นการทิ้งท้าย ข้าได้แต่ส่ายหัวอย่างไม่ทราบว่าควรจะซึ้งใจดีหรือว่าควรจะขำนางดี ที่แน่ๆ เมื่อนางจากไป ข้ารู้สึกอาลัยอาวรณ์แม่แมวหลงตัวนี้อยู่นิดๆ แต่พอคิดว่าเดี๋ยวนางกับโซจิซังก็คงปรับความเข้าใจกันได้ ข้ากับนางก็คงได้คุยกันอีกแน่นอน

‘ไหนๆ วันนี้ก็ลางานทั้งวัน แถมยายหนูคิคุก็ดันจากไปเร็วกว่าที่คิดอีก เช่นนี้ก็ทำขนมไปเซ่นไหว้โซจิซังเพื่อเป็นการแก้ตัวข้อหาช่วยพาเมียของเขาหลบหนีไปดีไหมนะ’

ข้าเคาะนิ้วลงบนเตาไปมาระหว่างสรรหาหนทางเอาตัวรอดไว้ก่อน พลางคิดว่า จะมีคนที่เป็นเหมือนข้าหรือไม่นะ? ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่จะทำมันผิดแต่ก็ยังทำลงไป แถมเมื่อทำเสร็จแล้วแทนที่จะสำนึกกลับหาวิธีที่ทำให้ตัวเองรอดร่างแหอีก

‘ไม่สิ ไม่ดี ...ต้องพูดว่าข้าเป็นคนที่พอรู้ว่าตนทำผิดก็พร้อมที่จะชดเชยให้ถึงจะถูก... ประเสริฐแท้ ท่านมีข้าเป็นเพื่อนได้นี่ต้องขอบคุณฟ้าดินให้มากๆ นะโซจิซัง’

ช่วงที่ข้าหันรีหันขวางในครัวเพื่อดูว่าเหลือวัตถุดิบอะไรบ้างสำหรับการทำขนม ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเสียก่อน ข้านึกงงอยู่ในใจเพราะว่าคนที่มาหาข้านั้นไม่ค่อยมีใครวิ่งกัน ไม่ว่าจะเป็นฮิจิคาตะซัง เท็ตสึโนสึเกะคุง และฟุยุซังหรือว่าจะเป็นคิคุจังย้อนกลับมา?

แล้วข้าไม่ต้องคิดต่อเพราะเมื่อประตูห้องครัวเลื่อนออกอย่างแรงจนข้าเกรงว่ามันอาจกระเด็นหลุดมาก็ได้ ข้าก็เห็นฮิจิคาตะซังในสภาพเหงื่อท่วมตัว ท่าทางเหมือนจะหอบอยู่ไม่น้อย เขามาพร้อมกับประโยคหนึ่งที่ทำให้ข้างงงันไปบ้าง

“ฮานะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ข้า? ข้าจะเป็นอะไรล่ะเจ้าคะ? คนที่จะเป็นอะไรน่ะท่านต่างหาก มีเรื่องเร่งด่วนอะไรกันเจ้าคะ” ข้าถามกลับอย่างสงสัย ฮิจิคาตะซังเข้ามาประชิดตัวข้าแล้วอธิบาย

“ลูกน้องข้ารายงานว่า มีคนกล้าลวนลามเจ้าที่ตลาด! มันทำอะไรเจ้าหรือเปล่า” ดวงตาคมกริบนั้นวาววับปรากฎเปลวไฟแห่งโทสะลุกโหมจนข้าหวั่นใจแทนเจ้าสามคนนั่นจริงๆ แต่กระนั้นข้ากลับพอใจอยู่ลึกๆ

ฮิจิคาตะซังที่มีท่วงท่างามสง่านั่นถึงกับยอมเสียกิริยาวิ่งมาหาข้าเชียวนะ!!! เขาต้องเป็นห่วงข้าจนลืมเก๊กแน่ๆ แหม ข้าล่ะปลื้มใจจริงๆ ที่ได้เห็นด้านนี้ของเขา

“ลวนลามอะไรกันเจ้าคะ? แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง” เนื่องจากตัวข้าไม่ได้เสียหายอันใดและเจ้าพวกนั้นทำให้ข้าได้เห็นภาพของฮิจิคาตะซังที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าจึงไม่ถือสาเรื่องชายอันธพาลเหล่านั้น เดิมทีก็ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจด้วย ข้าไม่นิยมทำเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างหากพูดให้ฮิจิคาตะซังรู้ไป เกรงว่าจุดจบทั้งสามอาจจะไม่ตายดี แม้ว่ากลุ่มชินเซ็นจะมีกฎว่าห้ามต่อสู้เพราะเรื่องส่วนตัวก็ตาม แต่ข้ารู้ว่าชายตรงหน้าข้าคนนี้สามารถทำเรื่องส่วนตัวให้กลายเป็นส่วนรวมได้อย่างแนบเนียน

...อันที่จริงตัวข้าเองก็ยังสามารถหาเรื่องคนเหล่านั้นได้เลย เพียงแต่ข้าไม่ทำ

“เข้าใจผิด?” เขาทวนคำตอบโดยมีสีหน้าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด หน้าผากของฮิจิคาตะซังแปะคำว่า ‘ไปหลอกเด็กเถอะ’ แต่กระนั้นข้าก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิม

“อื้ม” ข้าพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มหวานให้อีกฝ่ายวางใจ เขาเปลี่ยนเป็นสนใจเรื่องอื่นโดยไม่ถามไถ่ต่อแต่ข้ารู้ว่าเขาไม่เชื่อเลย

“แล้วเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม?” คนเป็นกังวล จับตัวข้าหันซ้ายหันขวา กวาดตาขึ้นลงอยู่หลายเที่ยวก่อนจะถอนหายใจโล่งอก

“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรไงเจ้าคะ” ข้าตอบพลางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่ใบหน้าให้เขา

“แล้วคนที่เดินข้างเจ้าน่ะใคร? ไปก่อเรื่องอะไรไว้ใช่ไหม?” น้ำเสียงเข้มๆ ของเขาแสดงชัดว่าจะไม่ยอมผ่อนปรนให้ คิดให้ข้าคายความจริงออกมา มาคิดๆ ดูแล้ว หากคิคุจังหายไป โซจิซังก็ต้องร้อนใจ ฮิจิคาตะซังก็คงต้องช่วยน้องชายตามหาด้วย แล้วถ้าเขารู้ว่าข้าเล่นสนุกไม่ยอมรั้งคิคุจังแถมยังให้ที่อยู่ที่พักเสร็จสรรพล่ะก็ ข้าก็คงจะโดนเทศนายาวเหยียดแหงๆ

งั้นไม่บอกแล้วกัน!

เมื่อตกลงใจได้ ข้าก็ทำตาใสซื่อ ถามฮิจิคาตะซังไปว่า “ก่อเรื่อง? หมายถึงเรื่องใดหรือเจ้าคะ?”

“ฮานะ คนที่อยู่ข้างเจ้าเป็นใคร?” เขาหรี่ตามอง ข้ารู้ว่าเขากำลังใคร่ครวญและสังเกตทุกอิริยาบถของข้า เหงื่อเย็นๆ จึงผุดขึ้นใจกลางฝ่ามือ แต่ข้ายังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และกล่าวว่า

“เป็นเด็กสาวที่ข้ารู้จักเจ้าค่ะ ข้าพานางไปเปิดหูเปิดตานิดๆ หน่อยๆ เอง จะถึงขั้นเรียกว่าก่อเรื่องเชียวหรือเจ้าคะ? หรือว่าท่านสนใจเด็กสาวคนนี้เจ้าคะ? นางสวยมากเสียด้วย ก็ไม่แปลกหรอกที่ท่านจะสนใจ” ข้าแสร้งตีหน้าเศร้า ก้มหน้าลงมองพื้น สองมือกำชายกระโปรงกิโมโนแน่น แท้จริงแล้วข้าอาศัยผ้ามาซับเหงื่อที่มือต่างหาก

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” ฮิจิคาตะซังขมวดคิ้วมุ่นทำหน้ายุ่ง ข้าจึงเงยหน้าขึ้นมาน้ำตาคลอเบ้า

“ก็ท่านพูดเหมือนสนใจหญิงอื่นนี่นา ข้าย่อมรู้สึก...หึงหวงเป็นธรรมดา” เขาถอนหายใจออกมาแรงๆ ต่อท้ายคำพูดของข้า

“เฮ้อ ข้าอยากรู้แค่ว่านางใช่คนที่ข้ากับคนอื่นค้นหาอยู่หรือไม่ต่างหาก ไม่ได้สนใจนางด้านชู้สาว” เพื่อไม่ให้เขาถาม ข้าจำเป็นต้องใช้ลูกไม้สกปรก

“ถ้าไม่สนใจจริงก็จูบข้าสิ” ตามธรรมดาข้าจะไม่พูดอะไรทำนองนี้เด็ดขาด ยิ่งเป็นตอนกลางวันแสกๆ ข้ายิ่งไม่เอ่ยถึง แต่ข้ารู้ว่ามีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ฮิจิคาตะซังจะไม่ซักข้าต่อ

เขามีสีหน้าประหลาดใจมาก ข้าเดาได้ว่าเขาคงเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติ

“ข้าไม่มั่นใจเลย...” ข้าหันหลังหนีสายตาคมกริบนั้นไป แสร้งเป็นน้อยอกน้อยใจต่อไป

“ไม่เอาน่ะ เจ้าจะมางอนอะไรข้าเล่า ไม่เข้าเรื่องแท้ๆ” ฮิจิคาตะซังสวมกอดข้าจากทางด้านหลัง ข้าเลยหันมาอ้อน ยกมือขึ้นลูบไล้แก้มของเขาเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “งั้นก็จูบข้าสิ”

ฮิจิคาตะซังจ้องข้านิ่ง ก่อนจะบอกว่า

“ยกให้เจ้าครั้งนี้เท่านั้นนะ คราวหน้าจะไม่ยอมให้เฉไฉอีกแล้ว”

ข้ายิ้มหวาน..แต่มุมปากตกไปสักหน่อย

‘เอ่อ ลูกไม้นี้ท่าจะใช้ซ้ำอีกไม่ได้แล้วแฮะ’

ตอนนี้ฮิจิคาตะซังคิดว่าข้ากำลังเฉไฉอยู่ ถ้าข้าไม่แก้ตัวเสียบ้าง เขาก็จะมั่นใจครบสิบส่วนว่าข้าโกหก ฉะนั้นคิดแล้วข้าก็อ้าปากจะเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเองแต่กลับกลายเป็นว่าริมฝีปากของข้าต้องรับมือกับเรียวปากของเขาที่บดจูบลงมาอย่างแรง

‘เขาโมโหอยู่’

ข้าจับอารมณ์ได้จากรอยจุมพิตที่เหมือนจะลงทัณฑ์ข้ากลายๆ มันทำให้ข้าเจ็บอยู่บ้างแต่ข้าก็หาได้สำนึกไม่...เมื่อเขาทำรุนแรงใส่ ข้าก็ไม่ยอมเป็นเชลยให้เขากระทำเพียงฝ่ายเดียว ครั้นเขาทำท่าจะผละออกข้าก็กัดริมฝีปากล่างของเขานิดๆ เป็นการตอบโต้แล้วเป็นฝ่ายกระชากฮิจิคาตะซังเข้ามาจูบต่อ

การทะเลาะของเราสองคนลุกลามบานปลาย เพราะมือซ้ายของเขาไต่ลงมาจากท้ายทอยของข้า ดึงคอเสื้อยูคาตะของข้าให้แยกออกมากกว่าเก่า มือขวาก็ช่างร้ายนักดึงทึ้งสายโอะบิออก ก่อนที่ฮิจิคาตะซังจะรุกรานร่างกายข้ามากไปกว่านี้ ข้าจับมือหนาของเขาเอาไว้ แต่เขาก็หาได้รับรู้ถึงความต้องการของข้าไม่ ฝ่ามืออุ่นร้อนยังกอบกุมทรวงอกของข้าไว้และบีบเคล้นเบาๆ ทำให้ข้าจนปัญญาจะต่อต้าน ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างต้องการจะควบคุมตัวเอง

ข้าไม่มีความคิดจะปฏิเสธความต้องการของฮิจิคาตะซังอยู่แล้ว เพียงแต่ติดขัดกับสถานที่ สำหรับข้าแล้วการร่วมรักควรอยู่ในสถานที่มิดชิดและในเวลาที่สมควร เช่น ห้องนอนในเวลากลางคืนเป็นต้น...แต่ฮิจิคาตะซังคงไม่ได้คิดแบบข้า เพราะเท่าที่เขาทำมานั้น...มันช่างประเจิดประเจ้อและผิดกับวัตถุประสงค์สำหรับห้องนั้นๆ ไปหมด

อย่างน้อยห้องน้ำก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับ...การร่วมอภิรมย์ และตอนนี้เราอยู่กันในห้องครัวกลางวันแสกๆ นะ!!

“โทชิซัง...นี่มันห้องครัว..นะ..อื้ม” หลังจากเค้นเสียงออกมาได้ ข้าก็อดกลั้นเสียงครวญครางไว้ไม่ไหวอีก มือของข้าอ่อนแรงอย่างยิ่ง แข้งขาพากันอ่อนยวบเพราะการเล้าโลมอย่างชำนาญของชายที่รัก

“แล้วยังไงหรือ?” เขากระซิบข้างหูข้าอย่างพาซื่อก่อนจะใช้เรียวปากช่างเจรจานั้นขบกัดใบหูของข้า แล้วลากไล้ปลายลิ้นลงมายังซอกคอแล้วเม้มเล่น หยอกล้อข้าเต็มที่ ลมหายใจของเขาที่ราดรดต้นคอข้าทำเอาข้าสะท้าน บัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวหนาว ไม่เข้าใจตนเองอย่างยิ่ง

“นี่มัน..กลาง..วันอยู่...อย่าทำ..เลยนะ” กว่าแต่ละคำจะออกมาได้แล้วรวมเป็นประโยคนั้นทั้งกินเวลาและยากเย็นนัก มือของข้าเปลี่ยนไปเป็นเกาะกอดเขาเอาไว้เพื่อหาหลักยึดแทนการยับยั้งหรือผลักไส

“ไม่ได้! ต้องตรงนี้ ที่นี่ เจ้าทำผิด ข้าต้องสั่งสอน” เขากล่าวอย่างดึงดัน เอาแต่ใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจเด็ดขาด

“ข้า...ผิดอะไร?” ข้าจำต้องทวนถาม แต่น้ำเสียงของข้ายิ่งมายิ่งแหบพร่าและแผ่วเบาปานเสียงผีเสื้อกระพือปีก ริมฝีปากและปลายนิ้วของฮิจิคาตะซังกำลังทำให้ข้าสูญเสียการควบคุมตนเอง ใบหน้าของข้านั้นร้อนฉ่าและคงจะขึ้นสีแดงดุจชาดแต้มปากเป็นแน่

“ผิดที่ทำให้ข้าเป็นห่วง!!!” พอคำนี้หลุดออกมา ...ใจข้าก็ละลายเหมือนหิมะเจอแดด แทนที่ด้วยสายลมฤดูใบไม้ผลิ...ข้ารู้สึกเบิกบานนักในยามที่คิดว่า เขาเป็นห่วงข้า

ความพยายามจะห้ามปรามอันน้อยนิดเพราะเรื่องกาละเทศะนั้นปลิวหายไปหมด เขาลดใบหน้าลงซุกไซ้ทรวงอกของข้า ส่วนมือหนาก็มิได้อยู่ว่าง แหวกชายผ้ายูคาตะออกหายลับเข้าไปในนั้น ข้าแหงนหน้าพลางบิดเร่าด้วยความทรมาน

ฮิจิคาตะซังผละออกไปชั่วครู่แล้วเบียดกายเข้ามาแนบชิด รุกล้ำเข้ามาในร่างของข้าอย่างรวดเร็ว ความคับแน่นบังเกิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่าน ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ ‘แบบนี้’ มาก่อน ปลายเท้าของข้ายกขึ้นทันทีกอดรัดเอวสอบเอาไว้ ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในโสตประสาท

“ฮานะจัง อยู่ไหมจ๊ะ ข้าจะชวนไปเล่นโกะกัน”

ข้าลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ ฟุยุซังร้องเรียกข้าอยู่อีกสองสามครั้งแล้วเงียบไป แต่เสียงฝีเท้านั้นเดินมาทางห้องครัว ข้าตกใจลนลานจนทำอะไรไม่ถูก สองมือกำสาบเสื้อของฮิจิคาตะซังไว้แน่น

ถ้า..ถ้ามีคนมาเห็นฉากรักของข้ากับฮิจิคาตะซัง ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? อ๊าย ตายแล้ว!

“เอ หรือว่าอยู่ที่ครัว?”

ข้าส่งสายตาเว้าวอนฮิจิคาตะซังให้หยุดรุกรานข้าได้แล้ว แต่เขามีหรือจะยอมหยุดยั้งยังคงเคลื่อนสะโพกเข้าออกอยู่นั่นแหละ ข้าที่ถูกความวาบหวามโหมกระหน่ำใส่จึงมิอาจรั้งเสียงของตัวเองไว้ได้ แต่ก่อนที่เสียงครวญครางของข้าจะหลุดรอดจากปากออกไป ฮิจิคาตะซังก็โน้มตัวเข้ามาหาและปิดปากข้าเอาไว้ทันท่วงที

“เอ เงียบเชียว สงสัยไม่อยู่กระมัง...ก็ว่าเห็นอยู่นะ ไปไหนแล้วเนี่ย?” ฟุยุซังบ่นก่อนจะเริ่มเดินออกไป เมื่อยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ถอยห่าง ข้าก็โล่งใจได้ แต่ไม่ทันไรก็ต้องรับศึกหนักกับชายคนรักต่อ สองมือของข้าจึงทุบเขาเป็นพัลวันข้อหาทำอะไรประเจิดประเจ้อ

แต่ฮิจิคาตะซังก็ยังเป็นฮิจิคาตะซัง...นอกจากไม่สำนึกแล้วยังหัวเราะใส่หูข้าอีก

แล้ว...วันนี้อากาศหน้าร้อนก็ร้อนมากกว่าที่เคยเป็น ส่วนข้าก็ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ โซจิซังจึงไม่ได้รับของเซ่นไหว้เพื่อชดเชยจากข้า แต่เป็นข้าต้องชดเชยให้ฮิจิคาตะซังแทนด้วยร่างกายของข้าเอง...

****************************************

เนื่องจากว่ามันใกล้จะครบสามปีที่ข้าหนีพี่ชายมาอยู่กับฮิจิคาตะซังแล้ว ข้าที่ไม่คิดถึงกำหนดเวลาซึ่งร่นขึ้นมาเรื่อยๆ นี้ก็เปลี่ยนเป็นเริ่มร้อนรนอยู่บ้าง พอคิดมากๆ เข้า ข้าก็มีความคิดจะบอกกับฮิจิคาตะซังว่า ข้าน่ะหนีออกจากบ้านโดยขอเวลาสามปีสำหรับการทำอะไรตามใจตัวเอง แล้วพอครบกำหนดข้าก็จะกลับไปหาพี่ชายของข้าเอง แน่นอนว่าพี่ชายข้าไม่ยอมหรอก เพียงแต่ว่าข้าฉวยจังหวะที่เขากับลูกน้องที่เป็นนินจาของเขาไม่อยู่บ้าน แอบเล็ดลอดออกมาพร้อมกับทิ้งจดหมายไว้

ข้าคิดว่าในเมื่อข้ากับฮิจิคาตะซังรักกัน ข้าก็ควรจะเปิดเผยจริงใจกับเขามากกว่านี้ ด้วยการบอกเล่าให้เขารับรู้ถึงปัญหาและร่วมกันแก้ไขแล้วข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปให้จงได้

จริงๆ ข้าว่า ฮิจิคาตะซังน่าจะเต็มใจไปสู่ขอข้าอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่แท้กลับอยู่ที่ตัวพี่ชายข้ามากกว่า ว่าเขาจะยอมยกข้าให้ฮิจิคาตะซังไหม และถึงแม้ว่าข้าจะมาอยู่กินกับฮิจิคาตะซังแล้ว ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่า พี่ชายข้าจะไม่ยอมยกให้อยู่ดี

เพราะพอคิดถึงพี่ชาย ข้าจะรู้สึกปวดหัวอันเนื่องมาจากเห็นแต่ทางตัน ข้าจึงเว้นเรื่องพี่ชายเอาไว้ก่อน และขบคิดว่าข้าควรจะบอกฮิจิคาตะซังอย่างไร ข้าคิดจะว่าควรอาศัยช่วงที่เขาอารมณ์ดีๆ แล้วค่อยบอกให้เขารู้เกี่ยวกับพี่ชายข้า...แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาสบอกเขาเสียทีเพราะงานของฮิจิคาตะซังเพิ่มมากขึ้นหลังจากการเข้าพบกับกลุ่มบาคุชิน ผู้รับใช้โดยตรงของรัฐบาลโชกุน และการย้ายฐานที่มั่นจากวัดนิชิฮงกังไปอยู่ที่หมู่บ้านฟุโดโดแทน

เช้ามืด ช่วงกลางฤดูร้อน ปีเคโอที่ 3

เสียงเคาะประตูโครมๆ ทำให้ข้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เมื่อคว้าเสื้อคลุมได้ข้าก็รีบไปเปิดประตูให้ ผู้มาคือเท็ตสึโนสึเกะคุง เด็กรับใช้ของฮิจิคาตะซังนั่นเอง เขาหอบพลางปาดเหงื่ออกจากหน้าผาก แถมสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

“ขออภัยที่มารบกวนขอรับ ฮานะซัง แต่ว่าฮิจิคาตะซังบาดเจ็บ ข้าเลยมาแจ้งข่าวให้...” จากที่ยังไม่ตื่นเต็มตากลายเป็นเบิกตากว้าง ข้าพูดสวนไปทั้งที่เด็กชายยังพูดไม่จบ

“ฮิจิคาตะซังเป็นอะไร?”

“เอ่อ ถูกลอบทำร้ายขอรับ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว เหลือแค่พักรักษาตัวเท่านั้นขอรับ” ตอนแรกเหมือนหัวใจข้าดิ่งลงสู่หุบเหวแต่พอได้ยินว่าปลอดภัยดีแล้ว มันก็บินกลับขึ้นมาอยู่ที่เดิม

จริงๆ ระหว่างที่อยู่กับฮิจิคาตะซังนั้น เขามักประสบกับการลอบทำร้ายอยู่เสมอแต่ที่ต่างกันออกไปคือ เขาไม่เคยบาดเจ็บสาหัสสักครั้ง และถึงเขาจะบาดเจ็บ ข้ามักได้รู้ทีหลังเสมอเพราะเขาไม่อยากให้ข้าเป็นห่วง

“ปลอดภัยแน่แล้วใช่ไหม?” ข้านึกกังวลว่า อาการคราวนี้คงไม่ใช่เล่นๆ ไม่งั้นคงไม่ให้คนมาแจ้งข่าวให้ข้าทราบ ถึงจะปลอดภัยแล้วก็เถอะ

“ขอรับ ท่านหัวหน้าคอนโดให้ข้ามาแจ้งข่าวเพื่อไม่ให้ฮานะซังร้อนใจขอรับ”

“เท็ตสึโนสึเกะคุงรอข้าครู่เดียวนะ เดี๋ยวข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ว่าแล้วข้าก็รีบวิ่งเข้าไปเปลี่ยนจากยูคาตะเป็นชุดกิโมโนโดยไว จากนั้นก็ตรงไปที่หมู่บ้านฟุโดโด

ตอนที่ข้ามาถึงเป็นเวลาสายแล้ว ในห้องพักของฮิจิคาตะซังมีโซจิซังนั่งดวงตาแดงก่ำอยู่ด้วย สีหน้าเขาอิดโรยและมืดทะมึนอย่างเห็นได้ชัด เขาชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งแล้วกอดดาบไว้แน่น ข้าสังเกตว่าปลายนิ้วของเขากำลังสัมผัสกับผมเปียปอยหนึ่งที่มัดติดกับที่กั้นดาบเอาไว้ด้วยความอาวรณ์ ดูแล้วสภาพของเขาเหมือนคนป่วยพอๆ กับฮิจิคาตะซังซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ แต่ดวงหน้าซีดขาวคาดว่าคงเกิดจากการเสียเลือดมากเป็นแน่

พอเห็นภาพคนรักนอนอยู่ ในใจของข้ามันร้อนเร่าประหนึ่งพลัดตกไปในกองเพลิง หากว่าข้าเจ็บแทนเขาได้ ข้าก็ยินดี ...และเวลานี้ข้าอยากจะถลาเข้าไปหาฮิจิคาตะซังแล้วเลิกผ้าห่มดูว่าเขาบาดเจ็บแค่ไหน ข้าอยากเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ข้าก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะว่ามันไม่ค่อยถูกกาลเทศะ จึงได้แต่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ฟูกนอน แล้วกวาดตามองไปทั่วร่างของเขาราวกับคนโง่เง่า นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

ระหว่างทางเท็ตสึโนสึเกะคุงบอกให้ข้าฟังว่า ตอนนั้นฮิจิคาตะซังอยู่ที่ตรอกมาสะกับยามาซากิซัง แล้วก็ถูกคนร้ายลอบจู่โจมเข้ามาทางด้านหลัง ฮิจิคาตะซังโดนฟันที่หลังไปเต็มๆ กับถูกแทงที่ต้นขา ด้านยามาซากิซังก็อาการสาหัสไม่แพ้กัน เขาถูกแทงที่ท้องไปสองแผล ส่วนคนร้ายหนีไปได้...เนื่องจากเป็นการถูกลอบทำร้ายและฮิจิคาตะซังกับยามาซากิซังได้สู้สุดความสามารถแล้ว ทั้งคู่จึงไม่ต้องคว้านท้องตัวเองตามกฎที่ว่า ยามเผชิญหน้ากับศัตรู ห้ามปล่อยอีกฝ่ายให้รอดชีวิตไป...

พอคิดว่าฮิจิคาตะซังต้องเจ็บแค่ไหน หัวใจข้าก็ปวดร้าวไปหมดแล้ว ถึงเขาจะไม่ตายแต่ข้าก็เหมือนกลายเป็นคนตาบอดกะทันหัน มันมืดมนไปหมดทั้งหนทางข้างหน้าของเราสองคนและความรู้สึกของข้า แถมเจ้าคนร้ายนั่นยังลอยนวลไปอีก ข้ายอมไม่ได้จริงๆ น้ำตาของข้าเอ่อขึ้นมาจวนแจจะไหลร่วง แต่ข้าก็เงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้ตนเองร้องไห้

‘นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้คร่ำครวญ!’ ข้าบอกตัวเองเช่นนั้น จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็เข้ามาครอบงำข้าเอาไว้ ข้าถามเท็ตสึโนสึเกะคุงซึ่งอยู่ด้านหลังว่า

“เจ้าพอรู้ไหมว่า ใครทำร้ายฮิจิคาตะซัง เป็นคนกลุ่มไหนกัน ฝ่ายปฏิวัติงั้นรึ?”

“เอ่อ คือข้าไม่..ทราบขอรับ ฮานะซัง” คำพูดที่ตอบไม่เต็มเสียงนั้นทำให้ข้าเอะใจว่าเขาต้องรู้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่ยอมบอกข้า

“หากเจ้าไม่รู้ ข้าจะไปถามท่านหัวหน้าเอง” ข้าพูดจบก็ตระเตรียมจะลุกขึ้น ถึงอยู่ที่นี่ต่อไป ฮิจิคาตะซังก็ยังหลับอยู่ ข้าไม่มีความจำเป็นต้องนั่งเฝ้าเขาในขณะนี้

“คนที่ทำร้ายฮิจิคาตะซังคือคิคุ” โซจิซังซึ่งนั่งนิ่งเงียบอยู่ตลอด บทจะเพิ่งเปิดปากพูดออกมา ก็พูดเรื่องที่น่าตกตะลึงนัก

“หือ?” ข้าค่อยๆ หันกลับมาให้ความสนใจโซจิซังซึ่งเขาเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับข้าพอดี ความรวดร้าวฉายชัดในแววตาของเขาและข้ามองไม่เห็นคำลวงหลอก มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ข้าไม่รู้และข้าควรจะได้รู้ในเวลานี้ ข้าหลับตาลงเพื่อระงับความแค้นทั้งหมดทั้งมวลแล้วจึงนั่งลงช้าๆ ก่อนจะสั่งให้เท็ตสึโนสึเกะคุงออกไป

“เท็ตสึโนสึเกะคุง ช่วยออกไปหน่อยได้ไหม ข้ามีเรื่องจะคุยกับโซจิซังตามลำพัง” เด็กชายมีทีท่าจะไม่ทำตาม เขาอึกอักอยู่หลายนาที ไม่ยอมออกไปเสียทีจนโซจิซังต้องออกปากว่า

“ไม่ต้องห่วง เราสองคนแค่คุยกันและข้าไม่เคยทำร้ายผู้หญิง” ข้าเลิกคิ้วสูงเพราะโซจิซังพูดด้วยเสียงห้วนกระด้างอันเปี่ยมไปด้วยความกดดันอย่างที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แววตาของเขาที่ตวัดไปยังเท็ตสึโนะสุเกะคุงนั้นราบเรียบเย็นชานัก หลังจากที่ไม่ได้พบเขามานานข้าเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าเขาดูเปลี่ยนไปเหมือน... นักฆ่า... หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไร้หัวใจจนข้าอดสะท้อนใจไม่ได้ แต่ดูเหมือนเด็กรับใช้จะคุ้นกับท่าทางนี้ของโซจิซังอยู่บ้างเพราะเขาทำเพียงแค่หลุบตาหนีแล้วปรายตามองมายังข้าแทน ราวกับต้องการจะบอกว่า โซจิซังน่ะไม่ใช่ปัญหา แต่ข้ากลัวฮานะซังอาละวาดทำเรื่องมากกว่า

ข้าผินหน้ากลับไปหาเด็กรับใช้แล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำร้ายโซจิซังหรอก แค่อยากคุยให้รู้เรื่องเท่านั้น ข้าไม่เคยทำร้ายโซจิซังอยู่แล้วนี่”

เท็ตสึโนสึเกะคุงหน้าซีดหลังจากได้เห็นรอยยิ้มหวานของข้า เขาพกพาสีหน้าเป็นกังวลออกไปด้วย แค่เขาล่าถอยไปข้าก็รู้แล้วว่า อีกไม่นานเขาจะต้องพากรรมการห้ามทัพมาแน่ๆ ฉะนั้นข้าควรสะสางเรื่องราวให้เรียบร้อยก่อนคอนโดซังหรือใครก็ตามจะมา

ข้ามองโซจิซังตรงๆ ระหว่างเราถูกกั้นด้วยร่างของฮิจิคาตะซัง บรรยากาศที่เงียบสนิทชนิดแค่หายใจดังๆ ก็ได้ยินทั่วทั้งห้องนี้ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดหนัก ข้าไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าจะมีวันที่ข้าต้องเผชิญหน้ากับสหายสนิทด้วยลักษณาการที่ไม่ต่างจากอริศัตรู ข้าเป็นฝ่ายเปิดฉากสนทนาขึ้นมาเสียก่อน

“คิคุจังเป็นคนทำงั้นหรือ โซจิซัง”

“ใช่” โซจิซังตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าเรียบเฉยและมืดมนไม่แพ้ความมืดมิดในดวงตาของเขาเลย

“จะพูดเรื่องตลกก็เอาไว้วันหลังเถอะ โซจิซัง คิคุจังเป็นเด็กผู้หญิงจะมาทำร้ายฮิจิคาตะซังได้อย่างไรกัน ข้าไม่เชื่อที่ท่านพูดหรอกนะ!!!” ข้ากล่าวเสียงเครียดอ้างตามเหตุและผลที่มีอยู่ แต่ในใจข้านั้นหวั่นไหวไปกว่าครึ่งว่าจะเป็นจริงอย่างที่โซจิซังว่าไว้

“นางเป็นนักฆ่า”น้ำเสียงและแววตาของโซจิซังนั้นไม่มีเค้าปรากฏว่าล้อเล่นสักนิด

“นัก..ฆ่า” ในสมองของข้านั้นปวดจี๊ดขึ้นมาฉับพลัน ทำไมผู้หญิงที่ข้ารู้จักและให้ความสนิทสนมฉันพี่น้องต้องฆ่าฮิจิคาตะซังด้วย? ทั้งพี่อากาเนะ ทั้งคิคุจัง...

“ไม่จริง!” แม้ปากข้าจะเถียงเช่นนี้แต่ข้ากลับพูดอะไรที่มันขัดแย้งในตัวเอง “...นางไม่มีเหตุผลที่จะต้องฆ่าฮิจิคาตะซังเลยนะ ถึงสองคนนี้จะไม่ถูกกันก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลใหญ่ถึงกับต้องเอาชีวิตกันสักนิด!”

"นางคงแค้นเขา" น้ำเสียงของโซจิซังดูเยาะหยันคนทั้งโลก ดวงตาของเขาร้าวลึกและมืดมิดเหมือนไม่มีแสงใดจะสามารถส่องผ่านเข้าไปได้อีก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยของความกระด้างและความระทมทุกข์ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นราบเรียบเยียบเย็นในชั่วพริบตาเดียวจนข้าตกใจ และแล้วเขาก็ก้มหัวลงขอขมาข้า

"ข้าขออภัยแทนนาง"

ข้ายังคงนิ่งเงียบ ตกใจกับปฏิกิริยาของสหายจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อโซจิซังเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ประคองดาบยื่นให้ข้าแล้วว่า “เพื่อเป็นการชดใช้แทนนาง ข้าจะรับเจ้าสองดาบเช่นที่ฮิจิคาตะซังรับไว้”

คิ้วข้าพากันขมวดมุ่นยามจ้องคนตรงหน้าเขม็ง คิดไม่ถึงว่าโซจิซังจะทำเช่นนี้ หากกระนั้นข้าก็รับดาบนั้นมา มองปอยผมเปียซึ่งข้าแน่ใจว่าต้องเป็นของคิคุจังแน่มันมัดติดอยู่กับที่กั้นดาบรูปดอกคิคุ ข้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามหยั่งเชิง

“โซจิซัง ท่านเตรียมพร้อมที่จะรับดาบของข้าแล้วใช่ไหม?” เขาไม่ตอบเพียงแต่เอาแขนออกมาทางสาบเสื้อกิโมโนทั้งสองข้าง เปลือยกายท่อนบน แล้วหันหลังให้ข้าก่อนจะกล่าวว่า “เชิญลงมือ”

“ดี! เป็นลูกผู้ชายดี แต่ก่อนที่ข้าจะฟันลงไป ท่านจงเล่ามาให้ข้าฟังก่อนว่า คิคุจังมีที่มาเป็นเช่นไร ทำไมนางต้องหนีจากท่านไปด้วย และฮิจิคาตะซังกับนางมีเรื่องร้ายแรงอะไรกัน” ข้าถามเพื่อความรอบคอบ ไม่อยากให้ตัวเองฟันผิดคน

“เมื่อครั้งที่ออกไปพบบาคุชินเราถูกโจมตีแล้วนางร่วมสู้กับเราอย่างชำนิชำนาญจึงเป็นที่ผิดสังเกต เรื่องราวจึงเปิดเผยว่านางเคยเป็นนักฆ่า พื้นเพของนางทำให้ฮิจิคาตะซังไม่ไว้วางใจและไม่อาจปล่อยนางไว้ได้ นาง...ไม่อยากให้ข้าต้องเลือกระหว่างนางกับฮิจิคาตะซังเพราะไม่ว่าจะเลือกทางใดข้าก็จะต้องเจ็บปวด นางจึงเลือกให้ข้าเจ็บปวดน้อยที่สุดด้วยการจากไปเพราะมีเพียงทางนี้เท่านั้นที่ข้าจะไม่ต้องตัดใจสังหารนางด้วยมือของตัวข้าเอง" โซจิซังเล่าด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น แล้วต่อท้ายว่า

"นางคงหมดความอดกลั้นเสียแล้วจึงได้ย้อนกลับมาล้างแค้น"

เมื่อได้ฟังแล้วข้ารู้สึกเศร้าสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งความคิดก็ยังสับสนและเต็มไปด้วยความหวั่นใจ ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระหว่างที่ดึงฝักดาบออก เนื่องมาจากข้าไม่เคยแตะดาบยาวของพวกซามูไรมาก่อน วันนี้ข้าจึงเพิ่งรู้ว่าดาบยาวมันหนักมิใช่น้อย

สิ่งที่หนักมิใช่แค่น้ำหนักของมันเท่านั้นแต่รวมไปถึงน้ำหนักของชีวิตที่ดาบเหล่านี้ได้หันปลายเข้าใส่ ฟาดฟัน และพรากเอามา

“ข้าขอถามท่านคำถามสุดท้าย คิคุจังไม่ใช่คนที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมาใช่ไหม”

“ถึงจะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ข้ารับรองสถานะนางด้วยชีวิตข้าเองว่า นางไม่ใช่คนของศัตรูแน่นอน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดุจภูผาสูงแกร่ง ส่วนข้านั้นกำลังทบทวนอย่างหนักหนาสาหัสเพราะข้าไม่เคยต้องเลือกระหว่างชายคนรักและสหาย

ที่เป็นแบบนี้เพราะข้าเป็นคนคิดแค้นอยู่ไม่น้อย หากกระทบกระทั่งนิดๆ หน่อยๆ ข้าอาจยอมปล่อยไปโดยไม่คิดอะไร แต่หากใครแตะต้องสิ่งที่ข้ารักล่ะก็...จะสุดขอบฟ้าข้าก็จะต้องเอาคืนให้ได้

แต่บัดนี้คนที่แตะต้องฮิจิคาตะซังของข้าดันเป็นคิคุจังซึ่งเป็นภรรยาของโซจิซัง และหากพิจารณาดีๆ แล้วปัญหาหลักดันมาจากฮิจิคาตะซังที่ไม่ยอมผ่อนปรนให้กับเรื่องเหล่านี้อีกด้วย

โซจิซังเองก็คงลำบากใจไม่น้อย คนหนึ่งก็พี่ อีกคนหนึ่งก็เมีย แต่ทั้งสองดันหันมาห้ำหั่นกันเสียเอง พอคิดมาถึงตรงนี้ข้าก็ยิ่งปวดขมับเข้าไปกันใหญ่

‘เจ้าพวกบ้าเลือด! ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา!!!’ ข้าสบถด่าในใจ เคืองทั้งคนต้นเรื่องและคนก่อเหตุ ช่างเป็นมนุษย์ที่เอาแต่ใจตัวเองยิ่งนัก ไม่รับรู้เสียบ้างว่าคนใกล้ตัวต้องลำบากใจเพียงใด คิคุจังกับฮิจิคาตะซังไม่รู้บ้างเลยหรือไงว่า ข้ากับโซจิซังอาจจะมองหน้ากันไม่ติดเพราะเรื่องแบบนี้

‘โอ๊ย ถ้าอยู่ใกล้ๆ ข้าจะจับคิคุมานั่งฟังคำสอนของขงจื๊อ เอาให้ขึ้นใจเลยว่าภรรยาไม่ควรทำเรื่องให้สามีลำบากใจ!’

ใจจริงข้าอยากจะสอนฮิจิคาตะซังด้วยแต่ข้าคงสอนไม่ได้เพราะตัวคนรักข้าเป็นผู้คุมกฎ หากยอมให้นักฆ่าอยู่กับสมาชิกกลุ่ม แล้วความปลอดภัยในตัวสมาชิกจะไปเรียกหามาจากไหน?

“โซจิซัง ข้าไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งตัวเองต้องมาหันดาบใส่ท่าน!” ข้ามองดาบเปลือยฝักในมือแล้วเปรยออกมาพร้อมถอนหายใจยาว

“หึ! ฟันลงมาเสียเถอะ ฮานะ อย่าร่ำไร!” โซจิสั่งข้าเสียงห้วนก่อนจะหัวเราะ ข้ารู้สึกทั้งพรั่นพรึงทั้งอ่อนใจว่าในนาทีนี้แล้ว เขายังขำได้อีก ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วจิตใจของเขาเข้มแข็งหรืออ่อนแอกันแน่ แต่ข้าก็นับถือใจสหายข้าผู้นี้จริงๆ

แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ข้าก็ตัดสินใจได้ว่าควรทำเช่นไรดี ระหว่างนั้นข้าก็ลุกขึ้นพร้อมกับจับด้ามดาบไว้ในมือ น้ำหนักของมันทำให้ข้าต้องปล่อยปลายดาบชี้กับพื้นไปก่อน

ตอนนั้นเองเท็ตสึโนสึเกะคุงก็โผล่พรวดพราดเข้ามาในห้องแล้วมากอดข้าเอาไว้

“ฮานะซัง! อย่าทำอะไรนะขอรับ” เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่มาพร้อมกับท่านหัวหน้าคอนโดซังและสมาชิกระดับสูงสองคน นั่นคือ ฮาราดะซังกับนางาคุระซัง ท่านหัวหน้าปรี่เข้ามาดึงดาบออกไปจากมือข้า

“ฮานะ อย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ!!!” ตอนนี้มีสมาชิกกลุ่มชินเซ็นระดับสูงยืนกั้นข้ากับโซจิซังเอาไว้ ทำราวกับว่ากลัวหญิงอ่อนแอเช่นข้าจะโผเข้าไปทำร้ายโซจิซังกระนั้นแหละ

“เท็ตสึโนสึเกะคุงปล่อยข้าได้แล้วนะ” ข้าก้มหน้าลงเอ่ยเสียงดุกับเด็กชายวัยสิบสามปี เสียงของข้านั้นห้วนสนิทเป็นเพราะอาการคงค้างของความโกรธเคืองซึ่งหาทางออกมิได้ เขามองข้าตาแป๋วราวกับจะมองลึกไปให้ถึงใจข้าว่าถ้าปล่อยแล้ว ข้าจะไม่คลุ้มคลั่งใช่หรือไม่

“ไม่มีดาบในมือข้าแล้ว ถึงข้าอยากจะทำอะไร แต่มีร่างผู้ชายขวางอยู่ถึงสองคนแบบนี้ ข้าทำอะไรไม่ได้หรอก” พอถูกข้าชี้ให้เห็นถึงความจริง เขาก็ยอมปล่อยมือที่กอดเอวไว้ ข้าจึงกลับไปเจรจากับคอนโดซังว่า

“คอนโดซัง ข้ากำลังจะเก็บดาบ ไม่ได้จะทำร้ายโซจิซังหรอกเจ้าค่ะ” ข้ายื่นฝักดาบที่หลงเหลืออยู่ในมืออีกข้างให้ดู

ข้าลงมือกับโซจิซังไม่ได้หรอก! ลำพังแรงจะยกดาบขึ้นยังไม่มีเลย นับประสาอะไรกับการฟันเขา ฉะนั้นแม้จะอยากทำก็จนใจที่ไร้กำลัง!

“อ้าว!” คอนโดซังร้องด้วยความประหลาดใจขึ้นมาพร้อมๆ กับทุกๆ คนในห้อง แต่สายตาทั้งสี่คู่ยังปรากฏความไม่เชื่อใจอยู่

“ข้าไม่มีเหตุผลอะไรต้องทำร้ายโซจิซังนี่เจ้าคะ? หรือท่านหัวหน้าคิดว่าข้ามี?” ข้าคลี่ยิ้มอ่อนๆ ให้คอนโดซังพร้อมกับส่งสายตาขอร้องเป็นนัยว่า เรื่องนี้ขอข้าตกลงกับโซจิซังเอง ท่านไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาข้องเกี่ยวให้วุ่นวายไป

“เอ่อ นั่นสินะ ข้าก็คิดมากไปได้” ระหว่างที่คอนโดซังพยายามไกล่เกลี่ยบรรยากาศให้เข้าที่เข้าทาง โซจิซังก็เอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน

"ฮิจิคาตะซังต้องบาดเจ็บเพราะเมียของข้า เป็นเรื่องอันถูกต้องแล้วที่ข้าต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นพวกท่านอย่าได้ขัดขวาง"

"แต่ฮานะก็ไม่เอาเรื่องเจ้าแล้ว ยังจะหาเรื่องใส่ตัวทำไมอีกหรือเจ้าบ้าโซจิ!" ฮาราดะซังตีมือตีไม้ให้วุ่นด้วยความยุ่งยากใจ "ตั้งแต่ไอ้หนูโอกาวะหนีไป เจ้าก็ทำตัวแปลกขึ้นทุกวัน ถามหน่อยเถิดว่าเดี๋ยวนี้หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายแล้วมีสักเรื่องหรือไม่ที่เจ้าไม่วอนหาที่ตายด้วยการกระโจนเข้าไปกลางวงนั่น"

"เจ้ากำลังทำให้ความตั้งใจของเจ้าหนูนั่นเสียเปล่า!" นางาคุระซังเองก็เอ่ยออกมาเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำ ท่าทางเขาจะโกรธโซจิซังจริงๆ ข้าไม่คาดเลยว่า... คิคุจัง... เจ้าเด็กเมื่อวานซืนที่ทำร้ายสามีของข้าจะเป็นที่รักมากถึงเพียงนี้

“พวกเจ้ามาเอะอะมะเทิ่งอะไรกันในห้องโทชิเนี่ย ไม่สงสารคนเจ็บเลย เอ้า โซจิเองก็เหมือนกันไม่มีมารยาทเลยนะ เวลานี้คนที่อยู่ในห้องได้นอกจากท่านหมอแล้วก็มีแต่ฮานะเท่านั้น ซาโนะ,ชิมปาจิพาโซจิออกไปซิ ปล่อยให้รบกวนฮานะอยู่ได้” คอนโดซังหันไปส่งสัญญาณกะพริบตาให้ ฮาราดะซังและนางาคุระซังก็พากันจับแขนของโซจิซังคนละข้างแล้วหิ้วออกไปทั้งแบบนั้นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมและเตรียมจะอ้าปากทักท้วง

“โซจิซัง ไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านเองก็เหนื่อยใจไม่น้อย เราสองคนก็เหนื่อยพอๆ กันนั่นแหละ” ข้านึกรู้ว่าท่านหัวหน้าต้องการสงบศึก ฉะนั้นข้าจึงสบตากับโซจิซังอีกครั้ง เนื่องจากเราเป็นสหายกันมานาน จึงต่างก็รู้นิสัยกันดี เราสองคนจึงได้ข้อสรุปว่า ไม่มีใครต้องขอโทษใครทั้งสิ้น ในเมื่อคนของเราน่ะเป็นตัวปัญหาช่างก่อเรื่องทั้งนั้น!!!!

ครั้งสบายใจขึ้นเล็กน้อย โซจิซังจึงสงบลง ยอมเดินออกไปจากห้องโดยดีแต่สีหน้ายังคงขรึมเครียดดุจเดิม

เมื่อเขาถูกพาตัวไปแล้วข้าจึงค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ข้าไม่กังวลว่าฮิจิคาตะซังจะเคืองโกรธโซจิซังเพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพวกอาฆาตมาดร้ายไม่ต่างจากอสรพิษ แต่กับน้องชายคนเดียวคนนี้ ฮิจิคาตะซังจะใจอ่อนยิ่งกว่าแป้งเปียกเสียอีก ต่อให้มีแผลเยอะกว่านี้บนตัว ฮิจิคาตะซังก็ยกโทษให้โซจิซังโดยดี...

ใช่! เฉพาะโซจิหรอกนะ แต่กับคิคุนี่ ข้ารับรองได้เลยว่า ฮิจิคาตะซังคิดแยกบัญชีกันแน่นอน น้องชายส่วนน้องชาย เมียน้องชายก็ส่วนเมียน้องชาย...

ครั้นผันหน้ากลับมาก็เจอะกับคอนโดซังที่มองข้าอยู่ ข้าจึงประคองมอบฝักดาบให้คอนโดซังพร้อมกล่าวขอบคุณ ท่านหัวหน้ามีทีท่าลำบากใจไม่น้อย ท่านพยายามจะอธิบายถึงความจำเป็นที่เกิดขึ้น เข้าทำนองหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ ทำประการใดก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น...

“ฮานะจัง ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ปกป้องโทชิ เพียงแต่...” พูดได้แค่นี้ก็ต้องหยุดไปโดยปริยาย

“ข้าเข้าใจถึงความลำบากใจของท่านหัวหน้าดีเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ในเรื่องที่ฮิจิคาตะซังบาดเจ็บเพราะมีนักฆ่ามาลอบทำร้ายนั้น ข้าไม่ติดใจอะไรทั้งสิ้นเจ้าค่ะ แต่ทั้งนี้ต้องขออนุญาตท่านหัวหน้าอยู่ดูแลฮิจิคาตะซังจนกว่าเขาจะหายเป็นปกติดีด้วยนะเจ้าคะ” ข้าหมอบลงจนหน้าผากจรดกับพื้น

“ได้สิ เรื่องแค่นี้จะเป็นอะไรไป” ท่านกล่าวอย่างโล่งอกพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ข้า

ข้าจึงยิ้มส่งท่านหัวหน้าจากไปพร้อมกับเท็ตสึโนสึเกะคุง ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด นึกในใจว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องมีบทสรุปที่ชัดเจนเข้าสักวัน แต่เป็นบทสรุปว่าฮิจิคาตะซังกับยายหนูคิคุจะเข้าใจกันได้ไหม? จะยอมให้อภัยไม่พยาบาทต่อกันหรือเปล่า? จะญาติดีกันได้ไหม?

เรื่องในอนาคตนั้น...ยังมีเวลาอีกมาก หนทางอีกยาวไกลแต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ ข้าไม่กล้าบอกเรื่องพี่ชายให้ฮิจิคาตะซังรู้

ขนาดเมียของน้องชายเขายังไม่ละเว้น แล้วพี่ชายของภรรยามีหรือเขาจะยอมยกให้?

****************************************

ขอเมนท์ด้วยจ้ะ ขอบคุณค่ะ



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2554, 14:26:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ส.ค. 2554, 14:26:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 2258





<< บทที่ 12:ดอกไม้บานใต้แสงจันทร์ (1)   
Siang 9 ส.ค. 2554, 15:50:41 น.
ไหงคิคุทำอย่างนั้นกับฮิจิคาตะหล่ะนี่


Pat 11 ส.ค. 2554, 08:10:58 น.
เดาว่าพี่ชายฮานะ อยู่ฝ่ายตรงข้ามกันแน่เลย เฮ้อ สงสารทุกคนเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account