สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน
เรื่องย่อ สายรุ้งพร่างพรายที่ปลายฝัน (บัวสุพรรณ)
มัทรีเป็นลูกสาวของ ส.ส.วันชัย ซึ่งถูกส่งไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา หล่อนใช้ชีวิตอย่างหรูหราและฟุ่มเฟือยสมกับเป็นลูกของคนมีเงินโดยไม่สนใจเรียน หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของพ่อตนเองเป็นนักค้ายาเสพติด จนวันหนึ่งระหว่างบินมาเยี่ยมมัทรีที่อเมริกาก็ถูกจับได้โทษฐานขนยาเสพติดมาด้วย และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือมัทรี ยกเว้นเริงฤทธิ์ ซึ่งเอื้อเฟื้อให้หล่อนย้ายเข้าไปอยู่ด้วยในอพาร์ทเมนท์ส่วนตัว แต่ข่าวก็รู้ถึงแม่ของเขาซึ่งเป็นสตรีหม้ายที่อยู่ในสังคมระดับสูง ทำให้แม่ของเขา และศรุตซึ่งเป็นอาของเขาต้องบินมาจัดการไล่มัทรีออกจากชีวิตของเริงฤทธิ์
ด้วยความสงสารและต้องการแก้ปัญหาศรุตจึงเสนอเงื่อนไขให้หญิงสาวด้วยการจ่ายค่าเรียนให้แต่มัทรีต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับเริงฤทธิ์เด็ดขาด
มัทรีย้ายไปเรียนต่ออีกเมืองหนึ่งเพื่อตัดปัญหาเรื่องเริงฤทธิ์ตามคำแนะนำของศรุต หล่อนเรียนจนจบและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่อเมริกา แต่กลับกลายเป็นว่า หล่อนกลับตัดสินใจใหม่ด้วยการบินกลับมาเมืองไทยด้วยเหตุผลเพียงเพราะ หล่อนอยากอยู่ใกล้กับศรุต ซึ่งบังเอิญว่าบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ได้ประกาศรับสมัครพอดี
ทันทีที่ศรุตพบหน้ามัทรีก็เข้าใจว่า หญิงสาวกลับมาแบล็คเมล์เขาอีกรอบเพราะเห็นว่าเขาจ่ายเงินให้หล่อนได้ง่าย ๆ ในรอบแรก มัทรีเจ็บใจที่ถูกเขาเข้าใจผิดและพูดจาเสียดสีเย้ยหยัน จึงบอกว่าหล่อนต้องการจะใช้นามสกุลของเริงฤทธิ์ให้ได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะหล่อนรู้อยู่แก่ใจว่าเริงฤทธิ์เป็นเกย์ แต่ต้องการตอบโต้เขา และขอค่าแลกเปลี่ยนด้วยการเรียกร้องเงิน บ้าน และรถ ซึ่งศรุตก็ตกลง แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะตัดสินใจแก้ปัญหานี้อย่างไร
มัทรีย้ายไปอยู่คอนโดที่ศรุตจัดไว้ตามคำเรียกร้อง แต่เมื่อเริงฤทธิ์กลับมาจากอเมริกา มัทรีก็ออกไปกับเขาเพราะปฏิเสธเพื่อนไม่ได้ ซึ่งทำให้ศรุตโกรธ และตัดสินใจที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับหญิงสาวในที่สุด

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 8

บทที่ 8
กลิ่นอาฟเตอร์เชพบางเบายังคงอวลอยู่ในบรรยากาศรอบข้างพอให้สัมผัสได้จาง ๆ แม้ผู้เป็นเจ้าของจะออกไปแล้ว มัทรีมองดูประตูที่เพิ่งถูกปิดไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้นิ่งอยู่อย่างนึกไม่ออกว่า ควรจะจัดการกับตัวเองอย่างไรดีนับจากนี้ไป กระเป๋าเดินทางใบย่อมยังคงวางอยู่ชิดริมผนังห้องด้านหนึ่งหลังจากถูกเขาเอื้อเฟื้อลากมาส่งให้ถึงในห้องชุดอันกว้างขวาง และหรูหราแห่งนี้ และหลังจากยื่นกุญแจห้อง และคีย์การ์ดสำหรับเข้าออกตัวอาคารและลิฟต์ให้หล่อน พร้อมกับกุญแจรถคันใหม่เอี่ยมป้ายแดงที่เขาขับรถไปรับหล่อนมาจากที่พักเดิมแล้ว เขาก็เอ่ยเพียงสั้น ๆ ว่า
“หวังว่าคุณคงจะทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้”
หล่อนไม่ได้ยื่นมือไปรับในทันที สายตาหรุบลงมองของทั้งสามอย่างที่อยู่ในมือเขาเหมือนเห็นสิ่งของที่ร้อนจัดจนเกิดอาการกลัวที่จะยื่นมือไปแตะต้อง
และเมื่อเห็นหล่อนไม่ยอมยื่นมือมารับ เขาก็เดินไปวางไว้ที่โต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับที่หล่อนยืนอยู่
“ที่นี่น่าจะสะดวกกับคุณมากกว่าบ้านเดี่ยว ทั้งการเดินทาง ความปลอดภัย และการดูแล มูลค่าของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าบ้านเดี่ยวที่คุณเรียกร้อง” เขากล่าวเรียบ ๆ แต่ความหมายของมันเชือดเฉือนความรู้สึกของหล่อนให้เจ็บแปลบได้ตามเคย “หรือว่าคุณไม่พอใจก็บอกมาได้เลย ผมยินดีจะเปลี่ยนให้ แต่คุณต้องคิดถึงการเดินทางมาทำงานที่บริษัทด้วย เพราะตามสัญญา คุณยังคงต้องทำงานต่อไปตามเดิม บ้านเดี่ยวที่ดี ๆ อย่างที่คุณอยากได้ มันหาไม่ได้ง่ายนักหรอกในใจกลางเมืองอย่างนี้ มีแต่อยู่ไกล ๆ ที่กว่าคุณจะฝ่าการจราจรเข้ามาถึงในเมืองได้ คุณอาจจะหมดแรงไปเสียก่อน”
หล่อนเหลือบตามองเขา ก็เห็นเขาจ้องมองมาอยู่แล้วเหมือนรอคำตอบจากหล่อนอยู่ หน้าตาของเขาไม่ได้บอกความไม่พอใจเหมือนเมื่อวันศุกร์ที่เรียกหล่อนลงมาคุยก็จริง แต่สีหน้านั้นก็ไม่เหมือนกับเมื่อสามปีก่อนที่เขาเคยยื่นความช่วยเหลือมาให้หล่อนเพื่อแลกเปลี่ยนกับเรื่องเดียวกัน
คราวนั้น เหมือนว่าเขาจะปราณีหล่อน
แต่คราวนี้ไม่ใช่....เหมือนเขาจะเกลียด หรือไม่ก็ โกรธ หรือรังเกียจ...ที่หล่อนไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นความรู้สึกไหนกันแน่ที่อยู่ในใจเขา แต่ที่แน่ ๆ ก็คือไม่มีความปราณีให้เห็นแม้แต่นิดเดียว
ก็แน่ล่ะ จะมีความปราณีได้อย่างไร เมื่อเปิดฉากเจรจากันได้ไม่กี่ประโยค เขาก็เหมาเอาเสียแล้วว่า หล่อนมาแบล็คเมล์เขา เมื่อเขาสามารถคิดได้ถึงขนาดนี้แล้ว หล่อนจะไปหวังได้อย่างไรว่าเขาจะปราณีหล่อน แค่เขาไม่เข้ามาบีบคอหล่อนให้สาสมกับความแค้นของเขาก็บุญเท่าไรแล้ว
“ถ้าคิดอยากเปลี่ยนแล้วจะบอกค่ะ” หล่อนอดประชดเขาไม่ได้ตามเคย
เขานิ่วหน้า มองหล่อนด้วยสายตาดุขึ้นจนหล่อนต้องเบือนหลบไป
“ผมไม่ได้พูดเรื่องเล่น ๆ กับคุณ มัทรี” น้ำเสียงของเขาห้วน ๆ “ถ้าคุณไม่พอใจที่นี่ ผมยินดีจะเปลี่ยนให้ แต่ไม่ใช่ด้วยอารมณ์อยากหาเรื่องของคุณ พูดกันด้วยเหตุผลบ้าง ผมไม่ได้มีเวลามานั่งฟังคุณยอกย้อนอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าคุณไม่มีปัญหาอะไร ก็เป็นอันว่าจบ ผมมีธุระอย่างอื่นต้องทำอีก”
โดนเขาตำหนิตรง ๆ หล่อนก็ถึงกับหน้าชา ไม่กล้ารวนเขาอีก หล่อนก้มหน้าลงไม่สบตาเขา ขณะเอ่ยสั้น ๆ ว่า
“ฉันอยู่ได้ค่ะ”
เขากลับไปแล้ว หล่อนก็ยังไม่ได้ขยับจากอิริยาบถเดิมเป็นเวลาอีกหลาย ๆ นาทีต่อมา เพียงแต่ถอยหลังไปนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาหนังแท้อย่างดีที่ตั้งอยู่ตรงโซนหน้าของห้องชุด ที่ถูกจัดเป็นห้องรับแขกกึ่ง ๆ ห้องนั่งเล่นไปในตัว โซฟาตัวที่หล่อนนั่งเป็นโซฟาเดี่ยวสีน้ำตาลไหม้ที่มีสองตัวตั้งอยู่ตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะเตี้ย ๆ ตั้งคั่นอยู่ บนโต๊ะมีแจกันดอกไม้ประดิษฐ์ประดับอย่างสวยงาม ส่วนด้านซ้ายมือเป็นโซฟาตัวยาวสีและแบบเข้าชุดกันตั้งอยู่ มีหมอนอิงใส่ปลอกผ้าไหมสีสดวางเรียงกันเล่นสีไล่โทนลดหลั่นกันอย่างสวยงาม เหมือนในแคตตาล็อคบ้านสวย ๆ ที่หล่อนเคยเห็น
หล่อนคิดว่า ข้างในห้องชุดที่หล่อนยังไม่ได้เข้าไปสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณห้องนอน หรือห้องครัวก็คงถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามเช่นเดียวกัน
ไม่ต้องแปลกใจที่ห้องชุดระดับนี้จะราคาไม่แพ้บ้านเดี่ยวหรู ๆ อย่างที่เขาบอก จริง ๆ แล้ว หล่อนคิดว่าน่าจะแพงกว่าหลายเท่าตัวเสียด้วยซ้ำไป เพราะห้องที่กว้างขวางขนาดนี้ ในทำเลกลางใจเมืองอย่างนี้ และตกแต่งหรูหราระดับนี้ หล่อนไม่กล้าเดาราคาว่ามันควรจะเป็นสักเท่าไร รู้แต่ว่า ถ้าหล่อนยังคงทำงานกินเงินเดือนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนตายก็คงไม่มีปัญญาหาเงินมาซื้อได้อย่างแน่นอน
แล้วหล่อนมีความสุขหรือเปล่าที่ได้มาอยู่ที่นี่ สมตามความปรารถนาที่เรียกร้องเอากับเขา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการออกไปจากชีวิตของเริงฤทธิ์
มัทรีถามตัวเองขณะยังคงนั่งจับเจ่าอยู่ในอิริยาบถเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปทางไหน
คำตอบก็คือ ไม่เลย ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว สำหรับความสุขอะไรนั่น หล่อนคิดว่าตัวเองมีความสุขเมื่ออยู่ที่ห้องพักเก่าที่เพิ่งจากมาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงนั้นมากกว่า มันอาจจะเป็นห้องเล็ก ๆ ที่เรียกว่าเป็นห้องสตูดิโอ ที่พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเตียงนอนแล้ว เพียงแต่มีตู้เล็ก ๆ กั้นไว้เพื่อให้เป็นสัดส่วนนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อให้ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่หล่อนก็มีความสุข หรือพูดอีกที ก็คือหล่อนยังมีความภูมิใจในศักดิ์ศรีของตัวเองที่ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม
แต่สำหรับวันนี้ วินาทีนี้ หล่อนไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเหลืออยู่ให้ภูมิใจได้อีกเลย
มันถูกเขาทลายลงจนหมดสิ้นไม่มีเหลืออีกเลยจริง ๆ นับตั้งแต่ที่หล่อนยอมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อรอเขามารับตามสัญญาที่หล่อนไปตกลงกับเขาอย่างตกกระไดพลอยโจนแท้ ๆ
อย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียก ปลาหมอตายเพราะปาก มัทรีนึกในใจอย่างอดโมโหตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ความจริง หล่อนเองก็ไม่ดี ไปโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ถ้าหล่อนไม่บ้าไปต่อปากต่อคำกับเขา ไปยอมรับบ้า ๆ อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเรื่องจริงเลยสักนิด แล้วยังไปเรียกร้องเสียมโหฬารขนาดนั้น เรื่องมันก็คงไม่บานปลายมาได้ขนาดนี้หรอก
หล่อนบ้าจริง ๆ ด้วย
สติหล่อนท่าจะฟั่นเฟือนไปแล้วแน่ ๆ
มัทรีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลดขาลงกับพื้นในที่สุด เมื่อบอกกับตัวเองว่า ชีวิตอย่างไงก็ต้องเดินไปข้างหน้า ตัดสินใจแล้วก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง หล่อนอาจจะถอยหลังกลับไปแก้ตัวไม่ได้ก็จริง
แต่หล่อนแก้ไขได้
ก็แค่หางานทำใหม่ให้ได้เร็ว ๆ มัทรีนึกหาทางแก้ไข พยายามขจัดอารมณ์หดหู่ออกไปอย่างยากเย็น
พอได้งานใหม่ หล่อนก็ย้ายกลับไปอยู่ที่เดิม คืนทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาไป เขาก็จะรู้ได้เองโดยหล่อนไม่ต้องไปแก้ตัวต่อหน้าเขาให้เหนื่อยไปเปล่า ๆ ว่า แท้จริงหล่อนไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ
แค่นั้นเองจริง ๆ หล่อนก็จะหลุดพ้น
แล้วก็.....ปิดฉากความฝันของตัวเองลงได้เสียที....ความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง จะมีประโยชน์อะไร ...ปล่อยความฝันให้เป็นความฝันต่อไปน่าจะดีกว่า...มัทรีคิดพลางเดินไปที่กระเป๋าของตัวเอง หล่อนหยิบกรอบรูปที่เอาติดตัวมาจากที่อเมริกาขึ้นมาดู
ความฝันที่ยังเป็นแค่ความฝันมันไม่ทำร้ายหล่อน แต่ความฝันที่หล่อนพยายามจะให้เป็นความจริงนี่สิ มันทำร้ายหัวใจของหล่อนอย่างน่าเจ็บปวดสิ้นดี แล้วหล่อนจะไปทำมันทำไม

มันเป็นเช้าวันจันทร์ที่แย่ที่สุดนับจากที่หล่อนกลับมาเมืองไทย มัทรีนึกในใจขณะพยายามแต่งหน้าตัวเองอย่างบรรจงที่สุดเพื่อปกปิดร่องรอยอิดโรยบนใบหน้าตัวเอง เมื่อคืนหล่อนนอนกระสับกระส่ายบนที่นอนใหม่เอี่ยม ที่ปูทับด้วยผ้าปูที่นอนเนื้อลินินอย่างดีในห้องนอนเล็กที่หล่อนเลือกใช้ แทนที่จะไปนอนในห้องนอนใหญ่ ทั้งสองห้องถูกตกแต่งอย่างสวยงาม หรูหราไม่แพ้กัน ผิดแผกกันตรงขนาดของห้องและขนาดของที่นอนเท่านั้น ห้องนอนใหญ่เป็นเตียงคู่ขนาดใหญ่ ขณะที่ห้องนอนเล็กเป็นเตียงเดี่ยว
หล่อนแค่เพียงเดินดูรอบ ๆ แล้วตัดสินใจใช้ห้องนอนเล็ก มันดูเหมาะสมกับหล่อนมากกว่า หล่อนคิดว่าตัวเองคงนอนไม่หลับเป็นแน่ ถ้าต้องนอนอยู่ในเตียงใหญ่ ๆ ขนาดนั้น มันดูอ้างว้างเหลือทน
แต่ห้องนอนเล็กก็ไม่ได้ช่วยให้หล่อนหลับตาลงได้อย่างง่ายดาย แม้จะไม่ดูอ้างว้างเท่า และแม้จะอยู่บนที่นอนที่นุ่มสบายก็เถอะ หล่อนนึกแช่งชักหักกระดูกตัวเองที่รนหาเรื่องแท้ ๆ ถ้าสามารถหมุนเข็มนาฬิกาให้ย้อนกลับได้ หล่อนก็นึกอยากจะหมุนให้ถอยหลังไปในวันที่หล่อนออกไปหาข้าวกินกับเพื่อน ๆ ที่เซ็นทรัล แล้วหล่อนก็จะได้ไม่ตามเพื่อนไปกินให้ไกลเสียอย่างนั้น หล่อนจะเลือกกินที่ร้าน ๆ ข้าง ๆ บริษัท เพื่อที่จะกลับขึ้นมาได้ทันเวลาเข้างาน แล้วหล่อนจะได้ไม่ต้องเจอเขาในวันนั้น ชีวิตหล่อนก็จะได้ปกติสุขเหมือนเดิม
หรือถ้าจะให้ดีที่สุด หล่อนก็น่าจะหมุนย้อนไปให้ถึงเมื่อตอนที่หล่อนยังคงทำงานอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรียโน่นเลยทีเดียว เพื่อที่หล่อนจะได้ตัดสินใจใหม่ ไม่กลับมาเมืองไทย
หล่อนจะได้ไม่ต้องเจอเขาเสียเลย
แต่เมื่อชีวิตมันหมุนกลับไม่ได้หล่อนก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป
หญิงสาวยังคงใช้รถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปทำงานเหมือนเดิม หล่อนไม่คิดจะใช้รถที่เขาให้มา เพราะหล่อนไม่ได้ตั้งใจอยากได้จริง ๆ อย่างหนึ่ง กับสภาพการจราจรในช่วงเวลาเร่งด่วนอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เอื้ออำนวยให้หล่อนสมควรใช้รถส่วนตัวต่อให้มันเป็นรถของหล่อนเองด้วยซ้ำ
“เป็นอะไรไป ใยมัท หน้าตาอย่างกับคนไม่สบาย” สุธาสินีเป็นคนแรกที่หล่อนเจอในเช้าวันนั้น ทักขึ้นเมื่อเห็นหน้าหล่อนชัด ๆ
มัทรียกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเผลอๆ เครื่องสำอางไม่ได้ช่วยหล่อนเอาเสียเลยเชียวหรือนี่
“ไม่ค่อยสบายเลยค่ะ” หล่อนบอก รู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบายจริง ๆ คงจะเป็นเพราะอดนอนนั่นแหละ
“ตัวร้อนจริง ๆ ด้วย” อีกฝ่ายเอามือมาแตะที่หน้าผาก “กินยามาหรือยัง”
มัทรีส่ายหน้า หล่อนไม่คิดว่าตัวเองจะไม่สบาย และบังเอิญว่าหล่อนก็ไม่มียาลดไข้ติดตัวเสียด้วย
“พี่มี เอาของพี่ไปกิน ว่าแต่กินอะไรรองท้องมาหรือยัง”
“กินขนมปังกับกาแฟมาแล้วค่ะ” ท่าทางกุลีกุจอของเพื่อนร่วมงานทำให้หล่อนอดน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันในความเอื้อเฟื้อนั้นไม่ได้ หล่อนยังไม่อยากลาออกจากที่นี่เลย ไม่น่าเลย...หล่อนไม่น่าจะเจอเขาเลยจริง ๆ
ในขณะที่สุธาสินีเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองเพื่อหยิบยาลดไข้ เพื่อน ๆ ในกลุ่มอีกสามคนก็เดินเข้ามาพร้อม ๆกัน แล้วต่างก็ทักทายไปในทำนองเดียวกันว่า ท่าทางหล่อนเหมือนคนไม่สบาย
“เอ้า กินยาก่อน” สุธาสินีเดินกลับมาพร้อมทั้งมีแก้วน้ำมาพร้อมสรรพ “เดี๋ยวเป็นอะไรมาก พี่จะไม่มีคนช่วยทำงาน งานยิ่งยุ่ง ๆ อยู่ ตอนนี้”
“แหม..ใจคอพี่สินีจะใช้งานใยมัททั้ง ๆ ที่ไม่สบายนี่เหรอ”
“ก็กำลังโด๊บให้หายอยู่นี่ไง ไปนอนห้องพยาบาลก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรค่ะ” มัทรีพยายามฝืนยิ้ม รับยากับแก้วน้ำตรงหน้ามากินอย่างไม่ชักช้า “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แต่กินยากันไว้ก่อนก็จะดีกว่า มัททำงานได้”
“พักก่อนก็ได้ สาย ๆ ค่อยทำ อากาศช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นอะไรก็ไม่รู้”
“นั่นน่ะซี นี่ก็ยังไม่แปดโมงครึ่ง ไปนอนก่อนก็ได้ เดี๋ยวพาไป ให้พี่สินีบอกหัวหน้าไว้”
“ไม่เป็นไร” หล่อนรีบปฏิเสธ หน้าตาหล่อนคงจะแย่เอามาก ๆ จนเพื่อนร่วมงานถึงกับผิดสังเกต ทั้งที่ความจริงมันเป็นแค่ไข้ทางใจมากกว่าไข้ทางกาย “นั่งพักสักสิบนาทีก็น่าจะดีขึ้น” หล่อนลูบหน้าตัวเองอีกครั้งอย่างเผลอตัว ซึ่งเท่ากับย้ำอาการอิดโรยให้เห็นชัดขึ้น
หญิงสาวเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเป็นการแสดงว่าหล่อนไม่ได้เป็นอะไร ซึ่งเพื่อน ๆ ของหล่อนก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง และเริ่มต้นก้มหน้าก้มตาเตรียมทำงาน เพราะใกล้เวลาทำงานแล้ว หล่อนต้องใช้กำลังใจอย่างมากเพื่อที่จะรวบรวมสติให้อยู่กับเนื้อกับตัวเพื่อที่จะทำงานให้ได้
แต่ก็ไม่นานเท่าไรนักที่หล่อนเริ่มจะทำงานได้ เสียงโทรศัพท์สายในก็ดังขึ้นที่โต๊ะทำงานของหล่อน และมัทรีถึงกับสะดุ้งอย่างคนขวัญอ่อน
“สวัสดีค่ะ” หล่อนรีบยกหูขึ้นรับเพราะกลัวจะทำให้คนอื่นรำคาญ
“คุณมัทรีนะครับ” เสียงทักมานั้นเหมือนจะคุ้นหู แต่หล่อนก็นึกไม่ออกว่าใคร แต่หล่อนไม่ต้องสงสัยนานนักเพราะอีกฝ่ายบอกมาโดยไม่ต้องรอให้ถามว่า
“ผม โอภาสนะครับ ฝ่ายบุคคล”
“อ๋อ..ค่ะ” หล่อนพึมพำ ในขณะที่ในใจเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาฉับพลันทันใด ฝ่ายบุคคลคงไม่โทรมาคุยเรื่องงานปกติกับหล่อนเหมือนแผนกอื่นแน่ ๆ “มีอะไรหรือคะ”
“คุณติดงานด่วนอะไรอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่ด่วนมากนัก ผมขอเชิญลงมาที่แผนกบุคคลก่อนได้ไหม”
“ต้องตอนนี้เลยหรือคะ”
“ครับ”
คำพูดสั้น ๆ นั้นไม่ได้เปิดโอกาสให้หล่อนเดาได้เลยว่า เรื่องด่วนที่เขาอยากพบหล่อน น่าจะเป็นเรื่องอะไร และเขาก็คงไม่คิดจะอธิบายให้หล่อนรับรู้ทางโทรศัพท์แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดออกมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกหล่อนขึ้นไปพบหรอก ว่าแต่มันเป็นเรื่องอะไรกันที่เขาจะคุย จะดีหรือร้ายก็ไม่รู้
“ค่ะ เดี๋ยวฉันลงไปค่ะ”
พอหล่อนวางหูลง สุธาสินีซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ หล่อนก็หันมามองเป็นเชิงถาม
“ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรียกมัทไปพบ”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เอ๊ะ มีอะไรเหรอ”
“ไม่รู้ค่ะ มัทก็..ยังงง.. มัทจะไม่พ้นโปรหรือเปล่าคะ คุณโอภาสถึงเรียกไปพบ” หล่อนถามอย่างไม่แน่ใจในสถานะตัวเองนัก หล่อนมาทำงานที่นี่ เดือนนี้นับเป็นเดือนที่สาม ซึ่งยังอยู่ในช่วงทดลองงาน ถ้าพ้นสามเดือนไปแล้ว และหัวหน้าแผนกเห็นว่าการทำงานของหล่อนไม่มีปัญหาอะไร หล่อนก็จะถูกบรรจุเป็นพนักงานของที่นี่เต็มตัว แต่ถ้าไม่ผ่านหล่อนก็จะถูกเชิญออกไป
“ไม่น่านะ” สุธาสินีให้ความเห็น “ชีก็ไม่เห็นติอะไรมัทนี่” ชีที่อีกฝ่ายพูดก็คือหัวหน้าแผนกที่หล่อนทำงานอยู่นั่นเอง เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกลับหลังเสมอ เป็นอันรู้กันว่าหมายถึงใคร “มัทเข้ามาแล้วงานหายยุ่งไปตั้งเยอะ แล้วก็ไม่เห็นชีขวางหูขวางตาอะไรมัท ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราต้องรู้สึกแล้ว แต่นี่ก็เห็นยิ้มแย้มแจ่มใสดี ฝ่ายบุคคลอาจจะเรียกขึ้นไปบอกว่าพ้นโปรก็ได้”
มัทรีส่ายหน้า “ยังไม่ถึงสิ้นเดือน อีกตั้งหลายวัน ไม่น่าจะเป็นเรื่องนั้น” หล่อนนึกไปถึงเจ้านายใหญ่ ที่หล่อนเพิ่งปะทะกับเขามาหมาด ๆ ถ้าให้เดา..หล่อนคิดว่าน่าจะมาจากคำสั่งของฝ่ายนั้นมากกว่าอย่างอื่น เพียงแต่มันคืออะไรเท่านั้น
จะว่า เขาไล่หล่อนไม่ให้ทำงานที่นี่ ก็ไม่น่าใช่
ก็เขาเอง เป็นคนตั้งเงื่อนไขให้หล่อนต้องทำงานที่นี่ต่อไป ไม่ให้ออกไปไหน ซึ่งหล่อนก็รู้เท่าทันว่าเขาต้องการควบคุมหล่อนไว้ไม่ให้ไกลสายตา จะได้รู้ว่าหล่อนทำตามสัญญาหรือเปล่า ถ้าหล่อนไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาจะไม่รู้เห็นความเป็นไปของหล่อน
หญิงสาวถอนหายใจ แล้วขยับลุกขึ้น บอกผู้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า “ มัทไปหาเลยดีกว่า จะได้รู้แล้วรู้รอดไป เดาไปก็ไร้ประโยชน์”
“พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ โชคดีนะ”
หล่อนฝืนยิ้ม แล้วลุกออกไปจากห้องนั้นอย่างไม่อ้อยอิ่ง หล่อนกดลิฟต์ลงไปชั้นสิบ เพื่อพบผู้จัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งฝ่ายนั้นก็ดูเหมือนจะกำลังนั่งรอหล่อนอย่างใจจดใจจ่อ
“เชิญนั่ง คุณมัทรี” โอภาสยิ้มให้หญิงสาวอย่างเป็นกันเอง แต่แววตาที่มองมาดูแปลก ๆ ไปชอบกล เหมือนจะแฝงความอยากรู้อยากเห็นแกมสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ในที “เป็นอย่างไงบ้าง ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ มีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร”
อย่าบอกนะว่าเรียกหล่อนมาถามสารทุกข์สุกดิบแค่นี้ มัทรีนึกอยู่ในใจ
“ดี ดี” เขาพูดแล้วก็หยุดไปไม่พูดอะไรต่อ และพอหล่อนมองหน้าเขาเหมือนจะสงสัยในเรื่องที่เรียกหล่อนมาพบอย่างเร่งด่วนขนาดนี้ เขาก็มีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อไปว่า
“คุณจะมีปัญหาอะไรมั้ย ถ้าเราจะย้ายคุณขึ้นไปทำงานอยู่ชั้นยี่สิบเจ็ด”
“ชั้นยี่สิบเจ็ดหรือคะ” หล่อนทวนคำอย่างพิศวง หล่อนนึกไม่ออกว่าเป็นแผนกอะไรที่อยู่ชั้นนั้น
“ครับ ชั้นยี่สิบเจ็ด เป็นชั้นที่บอสใหญ่นั่งทำงานอยู่ คุณศรุตสั่งลงมาให้คุณขึ้นไปช่วยงานคุณเบญจมาศ เลขาของท่าน”
หล่อนเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึงในคำสั่งนั้น มันเกินความคาดหมายไปแบบสิ้นเชิง เขานึกอย่างไรขึ้นมาถึงย้ายหล่อนอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่างนี้ หรือว่า..หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งนั้น...
อยู่ชั้นอื่นเขาจะควบคุมหล่อนได้ไม่เต็มที่ ต้องย้ายไปให้อยู่ใกล้ ๆ จะได้เห็นกันทั้งวี่ทั้งวัน ไม่ว่าหล่อนจะทำอะไรอย่างไงจะได้ไม่เล็ดลอดสายตาเขาออกไปได้ ก็ทำไมเขาถึงไม่เอาโซ่ล่ามหล่อนเอาไว้เสียเลยเล่า จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป หญิงสาวนึกอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
“ถ้าฉันบอกว่ามีปัญหาล่ะคะ” หล่อนมองหน้าผู้จัดการฝ่ายบุคคลตรง ๆ สีหน้าเคร่งขรึมบอกให้รู้ว่าหล่อนไม่ได้พูดเล่น
โอภาสอึกอักหาคำตอบไม่ได้ในทันที เพราะเขานึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะมีปัญหา เขาคิดแต่ว่า หล่อนควรจะดีใจด้วยซ้ำไปที่ได้ย้ายขึ้นไปนั่งทำงานที่ชั้นยี่สิบเจ็ด อันเป็นชั้นที่ใคร ๆ ก็อยากจะขึ้นไปนั่งทำงานกันเพราะเป็นชั้นที่บอสใหญ่นั่งอยู่ และเป็นชั้นที่คัดเอาแต่พนักงานชั้นหัวกะทิเท่านั้นขึ้นไปทำงาน หล่อนคนเดียวที่ไม่ได้เป็นหัวกะทิ แต่ถูกเลือกอย่างระบุชัดเจนโดยตรงมาจากคุณศรุต บิ๊กบอสของที่นี่ เป็นคำสั่งลงมาสด ๆ ร้อน ๆ ที่เขาเองผู้รับคำสั่งก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกันว่า ทำไมถึงระบุว่าต้องเป็นหล่อนผู้นี้
เขามองหญิงสาวตรงหน้า เขาเห็นตั้งแต่วันแรกแล้วว่า หล่อนเป็นคนสวยคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สวยจัดจนสะดุดตาถึงขั้นดาราหรือนางงาม ทรวดทรงองค์เอวของหล่อนก็ผอม ๆ บาง ๆ ไม่ได้มีความเย้ายวนอะไรนักหนา ถ้าบอสใหญ่ของเขาสนใจหล่อนถึงขนาดย้ายหล่อนไปนั่งทำงานใกล้ ๆ ก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าหล่อนมีเสน่ห์อะไรนักถึงดึงดูดความสนใจของคุณศรุตได้ถึงขนาดนั้น
แต่..เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า คุณศรุตเป็นคนเจ้าชู้ พูดก็พูดเถิด มีแต่คนนินทาว่าเขาเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ยอมให้ใครเข้าถึงตัวได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะลูกน้องสาว ๆ ไม่มีใครเคยเห็นเขามองพนักงานผู้หญิงไปในทำนองชู้สาวเลยสักครั้ง ได้ยินแต่ว่าเขากวาดสายตามองไปทางไหน ลูกน้องก็กลัวหัวหดกันเป็นแถว ๆ มากกว่า
มันถึงเป็นเรื่องแปลก ที่อยู่ ๆ ก็มีการเรียกตัวพนักงานหญิงสาวผู้นี้ขึ้นไปทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของเขา โดยไม่ได้ให้ฝ่ายบุคคลจัดหาให้เหมือนแผนกอื่น ๆ ที่เรียกมา แถมยังเป็นพนักงานใหม่ที่ยังอยู่ในขั้นทดลองงานด้วยซ้ำไป
หรือว่าหล่อนจะมีเส้นสายใหญ่ขนาดที่เจ้าของบริษัทยังต้องเกรงใจหรือเปล่า ถึงได้ยอมให้หล่อนขึ้นไปทำงานบนนั้นได้ โดยไม่ต้องผ่านฝ่ายบุคคล
หล่อนยังคงมองตอบสายตาสงสัยของเขาโดยไม่หลบ
“หมายความว่า คุณไม่อยากย้ายอย่างนั้นหรือครับ”
“ค่ะ” หล่อนก้มศีรษะเป็นเชิงย้ำคำพูดของตัวเอง “ถ้าเป็นการถามความสมัครใจ ฉันก็ขอตอบตรง ๆ ว่า ไม่อยากย้ายค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ฉันชอบงานที่ทำอยู่ในเวลานี้แล้วนี่คะ มันตรงกับความถนัดของฉัน”
“แต่คุณมีโอกาสจะก้าวหน้าได้มากกว่า ถ้าทำงานใกล้ชิดกับคุณศรุตนะครับ คุณอาจจะแทนที่คุณเบญจมาศได้ในอนาคต เพราะคุณเบญจมาศก็อายุมากแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องเกษียณ”
“ฉันไม่ถนัดหรอกค่ะ งานเลขา ฉันไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้”
พอหล่อนพูดออกไปอย่างนั้น ก็ดูเหมือนโอภาสจะเข้าใจว่าหล่อนดูถูกอาชีพเลขา ท่าทางเขาไม่ค่อยจะพอใจ เมื่อตอบหล่อนว่า
“งานเลขาของคุณศรุตนี่ไม่ธรรมดานะครับ คุณมัทรี เลขาของคุณศรุตนี่ต้องเก่งรอบตัว เลขานี่เป็นแค่ตำแหน่งเรียกเฉย ๆ แค่นั้น แต่หน้าที่น่ะ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของบอสใหญ่เลยก็ว่าได้ คุณเบญจมาศน่ะจบปริญญาโทด้านบริหารมาจากอังกฤษนะครับ และคุณศรุตก็ไม่เคยเปลี่ยนเลขาเลยตั้งแต่เริ่มทำงานมา ผมถึงบอกว่าเป็นโอกาสที่ดีมากที่คุณจะได้ย้ายไปทำงานคู่กับคุณเบญจมาส ถ้าคุณทำงานผ่านมาตรฐานคุณเบญจมาสได้ ก็แปลว่าคุณมีโอกาสได้แทนที่ในอนาคตแน่ ๆ”
มัทรียิ้มนิด ๆ หล่อนรู้ตัวดีว่า วันนั้นคงมาไม่ถึงหล่อนแน่นอน เจ้านายของเขาคงไม่คิดจะเอาหล่อนนั่งในตำแหน่งนั้นอย่างถาวรหรอก
เขามีแผนที่จะเขี่ยหล่อนให้กระเด็นออกไปอยู่แล้วทั้งจากชีวิตของหลานชายเขา และตัวเขาเองด้วย เพียงแต่ด้วยวิธีไหน และเมื่อไรเท่านั้นเอง
“แล้วทำไมไม่เลือกคนอื่นล่ะคะ ทำไมต้องมาเลือกฉัน ฉันเพิ่งมาทำงานที่นี่ไม่ถึงสามเดือน ยังไม่พ้นโปรเลยด้วยซ้ำ น่าจะมีคนที่ทำงานเก่งแล้วก็เหมาะสมกว่านะคะ”
เขามีสีหน้ายุ่งยากใจอีกครั้ง แล้วก็เลยหลุดปากออกมาว่า
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คุณศรุตระบุให้เรียกคุณขึ้นไป”
“แล้วถ้าไม่ไปได้ไหมคะ ถ้าไม่ไปแล้วจะโดนไล่ออกหรือเปล่า” หล่อนตั้งคำถามโยกโย้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเล่น รู้ทั้งรู้ว่าหล่อนคงไม่สามารถขัดคำสั่งนั้นได้ ถ้ายังคิดจะทำงานที่นี่ต่อไป แต่หล่อนก็อยากจะดูซิว่า เขาจะหาคำตอบให้หล่อนอย่างไร
ความจริง เรื่องนี้ถ้าเป็นเจ้าของคำสั่งลงมาจัดการเองล่ะก็ รับรองว่าเขาคงไม่ให้โอกาสหล่อนได้โยกโย้เล่นขนาดนี้เป็นแน่ เขาคงตัดบทไปตั้งแต่แรก เพราะจากประสบการณ์ที่เคยต่อกรกับเขามาแล้ว หล่อนจะโดนเขากำราบทันทีที่หล่อนเริ่มต้น
“ก็คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ผมว่าคุณไม่ควรปิดโอกาสของตัวเอง ชั้นนั้น เป็นชั้นที่ใคร ๆ ก็พยายามหาทางโปรโมตตัวเองให้ได้ขึ้นไปทำทั้งนั้น แต่ก็ต้องหัวกะทิจริง ๆ ถึงได้ขึ้นไป”
“ก็นั่นน่ะซีคะ ฉันไม่ใช่หัวกะทิ เป็นแค่หาง ๆ ขืนขี้นไปทำงานก็คงโดนไล่ลงซักวันแน่ ๆ”
“หัวไม่หัว คุณศรุตก็เป็นคนตัดสินใจ ผมคิดว่าคุณต้องมีอะไรดีนั่นแหละคุณศรุตถึงได้เรียกขึ้นไป”
มัทรีหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นสายตาแปลก ๆ ที่อีกฝ่ายมองมาประกอบคำพูด เขาอาจจะเข้าใจอะไรผิด ๆ ไปก็ได้ แต่หล่อนก็ไม่อาจแก้ความเข้าใจของเขาให้ถูกได้ ดังนั้น หล่อนจึงตัดสินใจรับคำ
“แล้วฉันต้องย้ายเมื่อไรคะ”
“พรุ่งนี้ ความจริงถ้าเป็นวันนี้ได้ก็ยิ่งดี แต่ผมกลัวว่าคุณจะเคลียร์งานไม่ทัน”
มัทรีพยักหน้าอีกครั้ง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต่อรอง โอภาสเป็นเพียงผู้รับคำสั่งมาจากเขาอีกที ถ้าหากจะต่อรอง หล่อนก็ต้องไปต่อรองกับคนสั่งตัวจริงมากกว่า
เพียงแต่ว่า หล่อนจะไปต่อรองเพื่ออะไร

เรื่องถูกย้ายกะทันหันของหล่อนคงแพร่กระจายรู้กันไปทั้งแผนกไปแล้วแน่ ๆ เพราะทันทีที่เดินกลับเข้ามา หล่อนก็ตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานทั้งห้องโดยพร้อมเพรียงกัน
“ราชรถมาเกยแล้วไงล่ะ มัท” สุธาสินีทักยิ้ม ๆ ในขณะเพื่อนสนิทอีกสองคนซึ่งนั่งห่างออกไปลุกเดินเข้ามาหา
“ชีมาเจี๊ยวจ๊าวเมื่อกี้นี้” อโนมาบุ้ยใบ้ไปทางห้องส่วนตัวที่ปิดมิดชิดของหัวหน้าแผนก “บอกว่ามัทโดนย้ายไปทำงานกับบิ๊กบอส ให้พี่สินีเคลียร์งานกับมัทให้จบภายในวันนี้”
“บ่นกะปอดกะแปด....แน่ะ ออกมาแล้ว” วิภาวดีเหลือบเห็นจารุวรรณ ผู้เป็นหัวหน้าแผนกเดินออกมาจากห้อง หล่อนรีบเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองโดยเร็วก่อนที่จะโดนตำหนิ
“มัทรี เดี๋ยวเธอรีบเคลียร์งานกับสุธาสินีให้เรียบร้อยภายในวันนี้เลยนะ คุณโอภาสบอกแล้วใช่มั้ยว่า จะต้องย้ายไปทำงานที่ชั้นยี่สิบเจ็ด”
“ค่ะ” มัทรีรีบตอบโดยเร็ว เพราะจารุวรรณเป็นคนใจร้อน ไม่ชอบให้พนักงานของตัวเองทำอะไรอืดอาดยืดยาด ถ้าถามอะไร หรือหาอะไร ก็อยากจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างรวดเร็ว
“แล้วมันเรื่องอะไรถึงได้มาดึงเอาเธอขึ้นไปทำงานกับบิ๊กบอส ทำไมถึงไม่ประกาศรับสมัครเอาใหม่” หัวหน้าของหล่อนบ่นต่อไปด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าเจ้าตัวหงุดหงิดเต็มที มิหนำซ้ำยังคงมองมาที่หล่อนด้วยสายตาแปลก ๆ เหมือนกับสายตาของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่หล่อนเจอมาเมื่อครู่
“แล้วดูซิ แผนกเราก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว กว่าจะได้คนมาทำงานก็แสนยากเร่งแล้วเร่งอีก พอจะเข้าที่เข้าทางก็มาหายไปซะอีก นี่ก็ต้องให้คุณโอภาสประกาศรับสมัครใหม่อีก คราวนี้ ฉันเลยบอกไปว่า เอาแต่เก่งอย่างเดียวไม่เอาสวย ไม่งั้นเดี๋ยวโดนดูดไปอีก”
มัทรีสบตากับสุธาสินี ก็เห็นฝ่ายนั้นย่นจมูกใส่จารุวรรณ ซึ่งยืนหันหลังให้อยู่ มัทรีเกือบจะเผลอยิ้ม แต่ยั้งไว้ได้ทัน
“แล้วนี่จะเคลียร์กันเรียบร้อยมั้ย เย็นนี้ เกิดจะใจร้อน ต้องให้ย้ายไปพรุ่งนี้อีก ฉันต่อรองให้หาคนใหม่มาแทนก่อนก็ไม่ยอม บอกว่าคุณศรุตสั่งมาด่วน ทำไมต้องด่วนถึงขนาดนั้น ป้าเบญทำงานเป็นเลขาอยู่คนเดียวมาตั้งนมตั้งนาน ไม่เห็นต้องมีผู้ช่วยมาก่อน อยู่ ๆ ก็ต้องการผู้ช่วยขึ้นมากะทันหัน มันแปลว่าอะไรกัน”
หัวหน้าของหล่อนยังคงบ่นต่ออย่างอารมณ์เสีย ท่าทางไม่พอใจเอามาก ๆ ที่ลูกน้องถูกย้ายกะทันหัน ทั้ง ๆ ที่คนต้องเหนื่อยกว่าใคร น่าจะเป็นสุธาสินี ที่ต้องมารับงานต่อจากหล่อนมากกว่า ถ้าสุธาสินีบ่น หล่อนคงไม่ว่าอะไร เพราะมันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่ว่าน่าจะบ่น
แล้วที่จารุวรรณมายืนบ่นอย่างยืดยาวอยู่อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ แทนที่จะได้ส่งงานให้กันและกันได้เลย กลับต้องมาชะงักรอว่าเมื่อไรหัวหน้าจะเดินกลับไปเสียที จะได้ลงมือทำงาน
“เอาล่ะ รีบ ๆ หน่อยแล้วกัน ถ้าไม่ทันจริง ๆ ก็ค่อยโทรถามเอาแล้วกัน อย่างไงเขาก็จะเอาให้ได้นี่ จะทำอย่างไงได้ล่ะ” พูดจบ คนพูดก็เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดกลับไปที่ห้องของตัวเองตามเดิม สุธาสินีถอนหายเฮือกใหญ่อย่างแกล้ง ๆ หลังจากประตูห้องของหัวหน้าปิดลง
“ชีบ่นอย่างนี้แหละ บ่นมารอบหนึ่งแล้วก่อนหน้าที่มัทจะลงมาน่ะ เสียงดังบ๊งเบ๊ง ๆ ลั่นไปทั้งแผนก ว่าแต่ว่า...” คนพูดลดเสียงลง “มันเรื่องอะไรกัน ฮึ มัท ทำไมเขาถึงได้ย้ายมัทขึ้นไปทำงานข้างบน”
“ไม่รู้ค่ะ มัทยังงงอยู่นี่แหละค่ะ” หล่อนตอบ อย่างพยายามไม่ให้มีรอยพิรุธบนสีหน้า “พอขึ้นไปคุณโอภาสก็บอก ไม่ถามไม่ไถ่อะไรเลย มัทขอไม่ย้ายเขาก็ไม่ยอม”
อโนมากับวิภาวดีลุกกลับมายืนล้อมวงตามเดิมเมื่อหัวหน้าแผนกเดินกลับเข้าห้องไป ส่วนคนอื่น ๆ เพียงแต่มอง ๆ มาอย่างสนใจใคร่รู้ แต่ไม่สนิทมากพอจะมายืนล้อมวงกับกลุ่มหล่อนด้วย
“มันเรื่องอะไรกัน ฮึ” วิภาวดีถามย้ำเหมือนสุธาสินี
“นั่นสิ แปลก” อโนมาพยักหน้าสนับสนุน “ร้อยวันพันปี ไม่เคยได้ยินบนโน้นมาดึงใครไปทำงานด้วย เคสมัทน่าแปลกจริง ๆ อย่าบอกนะว่าบอสใหญ่เกิดปิ๊งมัทเข้าจริง ๆ”
มัทรีรู้สึกร้อนผ่าวที่สองข้างแก้มอย่างไม่สามารถปิดบังความรู้สึกภายในได้ หล่อนไม่อาจบอกใครถึงความนัยที่มีระหว่างเขากับหล่อนในเรื่องนี้ได้ และมันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมาปิ๊งหล่อนอย่างที่อโนมา หรือใคร ๆ ที่พากันเดารูปการณ์ว่ามันน่าจะออกมาในแนวนี้
“เอ๊ะ ทำไมหน้าแดง นี่ นี่ นี่ หมายความว่าอย่างไง หมายความว่า หนูมัทแอบไปเจอกับบิ๊กบอสโดยที่พวกเราไม่รู้อย่างนั้นหรือ” สุธาสินีตาไวพอที่จะสังเกตเห็นสีเรื่อ ๆ ที่วิ่งขึ้นสู่แก้มใส ๆ ของมัทรี
มัทรีรู้สึกว่าหน้าของหล่อนร้อนยิ่งกว่าเดิม หล่อนพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลบตาเพื่อนฝูงเพื่อไม่ให้มีอาการพิรุธแสดงออกมา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ง่ายนัก
“ไม่มี ไม่เคย” หล่อนปฏิเสธเสียงหนักแน่น “วันๆ มัทก็อยู่กับพวกพี่ ๆ ไม่เคยไปไหนคนเดียวเลย แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอได้ล่ะ”
“อ้าว ก็เสาร์อาทิตย์ไง” อโนมาแกล้งพูด และเจ้าตัวก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามันตรงกับความเป็นจริงอย่างน่ากลัว มัทรีแกล้งหัวเราะทั้งที่ใจเต้นแรงขึ้นเหมือนคนที่พยายามจะโกหก แต่ไม่เคยชินที่จะโกหกใครเป็นนิสัย
“ฮื้อ มันจะเป็นไปได้อย่างไง มัทไม่ได้รู้จัก..เอ่อ..บอส” หล่อนจำใจเรียกเขาตามที่ใคร ๆ เรียก ทั้ง ๆ ที่ไม่ชินที่จะเรียกเขาอย่างนั้นเลย จริง ๆ แล้ว หล่อนไม่แน่ใจนักว่า เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ หล่อนจะรู้สึกเกรงขามเขาเหมือนที่คนอื่น ๆ ควรมีความรู้สึกต่อหน้าเจ้านายใหญ่หรือเปล่า แต่ที่รู้ ๆ เวลาเผชิญหน้าเขาตามลำพัง หล่อนไม่รู้สึกกลัวเขาเท่าไรนัก ยิ่งเวลาที่เขาพูดจาเชือดเฉือนให้หล่อนได้โมโหแล้ว หล่อนยิ่งกล้าต่อปากต่อคำกับเขาอย่างฉาดฉานด้วยซ้ำไป
“ไม่รู้จัก แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงเรียกมัทไปทำงานอยู่ใกล้ ๆ ไม่เคยปรากฏว่า เคยมีการทำอย่างนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่พี่มาทำงานที่นี่” สุธาสินีขมวดคิ้ว สายตามองมาที่มัทรีอย่างค้นคว้าเหมือนจะหาความนัยที่แอบแฝงซ่อนอยู่ หน้าเรียว ๆ ของหญิงสาวตรงหน้ามีสีสันแปลกตาทั้ง ๆ หน้าตาก็ดูเหมือนจะยืนยันความไม่รู้ไม่เห็นจริง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัว
วันที่ปะหน้ากันที่ลิฟต์ สุธาสินีไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะตัวเองก็กลัวความผิดอยู่เหมือนกันที่เข้าทำงานสายกว่าเวลาปกติไปเกือบครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อลองย้อนคิดกลับไป หล่อนจำได้ว่ามือของมัทรีชะงักค้างอยู่ที่ปุ่มกดลิฟต์อยู่อึดใจ จนมีใครก็ไม่รู้ หล่อนจำไม่ได้แน่นัก เตือนให้มัทรีกดหมายเลขชั้น แต่คนที่กดให้กลับเป็นเจ้านายใหญ่ และเขาก็มองมัทรีอยู่นิ่ง ๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์ โดยที่ทุกคนต่างก็สังเกตุเห็น แต่ไม่ได้เป็นสายตาของผู้ชายเจ้าชู้มองหญิงสาวสวย สุธาสินีคิดอย่างนั้น คนเจ้าชู้เวลามองผู้หญิงสวย ส่วนใหญ่หูตาจะแพรวพราวระยิบระยับอย่างซ่อนไม่อยู่ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ดูแล้วจะเป็นการมองอย่างเพ่งพิศพินิจอย่างไรชอบกลมากกว่า
ที่สำคัญ ไม่มีใครเคยพูดให้หล่อนได้ยินมาก่อนเลยว่า เจ้านายใหญ่ของที่นี่เจ้าชู้ มีแต่นินทาว่า เคร่งเครียด และดุด้วยซ้ำไป
“พี่สินี มองอะไรมัทอย่างนั้น” มัทรีอุทธรณ์ขึ้น เมื่อโดนจับจ้องอยู่นานจนผิดสังเกตุ
สุธาสินียิ้มให้ “กำลังใช้ความคิดอยู่”
“คิดอะไร” อโนมาถามบ้าง ดูเหมือนแต่ละคนยังติดใจในเรื่องปัจจุบันทันด่วนนี้อยู่จนไม่ยอมกลับไปทำงานของตัวเองง่าย ๆ
“สงสัยว่ามันต้องมีอะไร”
“มีอะไร” คราวนี้อีกสามเสียงประสานพร้อมกัน จนเรียกความสนใจจากคนที่อยู่รอบข้างให้หันมามอง สุธาสินีต้องเอานิ้วจ่อปาก ทำเสียงจุ๊เบา ๆ
“เฮ่ย เดี๋ยวชีออกมาว๊ากอีก งานการไม่ยอมกลับไปนั่งทำกัน เกิดจะเรียกหาอะไรด่วนขึ้นมาถูกเล่นงานอีก ยิ่งอารมณ์บ่จอยอยู่ ไม่ได้ยินเมื่อกี๊หรือว่า จะให้หาคนมาแทน เอาแต่เก่งไม่เอาสวย กลัวถูกดูดไปอีก”
มีเสียงหัวเราะเบา ๆ แต่ต่างคนต่างก็ปิดปากหัวเราะ “น่าจะดูดเอาชีไปเนอะ จะได้อารมณ์ดี ได้ไปนั่งทำงานกับบอส เห็นกันทั้งวัน” วิภาวดีนินทา แต่ลดเสียงลงไม่ให้ได้ยินไปถึงหูคนอื่น
“คราวนี้กว่าจะได้คนมาช่วยคงนาน เงื่อนไขเยอะ เอาเก่งแต่ไม่เอาสวย” อโนมาว่า
“นี่ มัวแต่นินทาเดี๋ยวเถอะ คอขาด ไป ไป ไปทำงานกันได้แล้ว” สุธาสินีตัดบท
“แน้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่สินีคิดอะไรอยู่” วิภาวดีท้วงขึ้น หน้าตายังบอกว่าอยากรู้เต็มแก่
“กลางวันค่อยคุย ยังมีเวลาวิเคราะห็ได้อีกหลายชั่วโมงน่ะ พี่ต้องรีบเคลียร์งานกับใยมัทแล้ว เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน โดนด่าอีก”
“มัทไม่ได้โดนไล่ออกนะ แค่ย้ายไปข้างบน สงสัยอะไรก็ถามได้นี่” วิภาวดีบ่น “แต่ไม่เป็นไร ไว้กลางวันตอนกินข้าวก็ได้ แต่พี่สินีสงสัยอะไรต้องเล่าออกมานะ ไม่งั้นหนูอกแตกตายด้วยความอยากรู้”
สุธาสินีหัวเราะ “ถามใยมัทเองดีกว่า ใยมัทรู้ดีกว่าใคร”
“มัทไม่รู้จริง ๆ” มัทรีรีบร้อง “พี่สินีคิดอะไรอยู่ในใจต้องบอกมานะ มัทไม่รู้เรื่องจริง ๆ” หล่อนยังยืนกราน ถึงสุธาสินีจะสงสัยอย่างไง แต่สุธาสินีก็ไม่มีวันจะรู้ความจริงไปได้ ในเมื่อเขาเก็บงำเรื่องนี้อย่างระวังตัว ขนาดไปลากหล่อนออกจากคอนโดไปหาที่นั่งคุยเป็นห้องส่วนตัวแบบนั้น ไม่มีใครรู้เห็นได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เก็บเป็นความลับแล้วทำไมต้องย้ายหล่อนขึ้นไปให้โฉ่งฉ่างอย่างนี้ด้วย หล่อนไม่เข้าใจเอาเสียเลย เรื่องที่เขาอยากจะเอาตัวหล่อนไปขังไว้ใกล้ ๆ นั้นพอจะรู้อยู่หรอก แต่เขาไม่แคร์เสียงซุบซิบนินทาของพนักงานหรืออย่างไร หล่อนเสียชื่อน่ะไม่เท่าไร แต่เขาไม่กลัวเสียชื่อตัวเขาเองหรืออย่างไรกัน
“ไม่รู้ก็ไม่รู้ซี พี่จะไปว่าอะไร แต่....”
“แต่อะไรคะ”
“แต่ถ้าราชรถมาเกยจริง ๆ ก็อย่าลืมความดีของพี่สินีคนนี้นะ เพราะพี่เป็นต้นเหตุให้มัทได้เปิดตัวต่อหน้าบอสใหญ่วันนั้น จำได้หรือเปล่า พี่พูดไว้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว ไม่เอาอะไรมากหรอก แค่เลี้ยงหรู ๆ ซักมื้อก็พอ”
อีกสองคนที่รอฟังอยู่หัวเราะ ก่อนจะแยกย้ายกลับไปทำงานต่อ ส่วนมัทรีหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งอย่าง หล่อนไม่พูดอะไร แต่หันกลับไปทำงานของตัวเองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
ตอนพักกลางวัน ก็แทบไม่มีโอกาสได้คุยอะไรมากนัก เพราะร้านอาหารวันนี้ดูแน่นไปหมด จนไม่มีบรรยากาศให้นั่งซักฟอกกัน เพียงแต่พูดกันขึ้นมาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ความจ้อกแจ้กจอแจของสถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้คุยกันได้ แถมพอกลับขึ้นมาที่ห้องทำงาน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาทำงาน หัวหน้าแผนกก็ออกมาเร่งงานหลายเรื่องแทบไม่หายใจหายคอ จนวุ่นวายกันไปหมด มัทรีได้แต่แอบถอนใจอย่างโล่งอก หล่อนไม่อยากให้สุธาสินีหยิบเอาเรื่องของหล่อนขึ้นมาพูดอีกแม้จะรู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางแงะเอาความจริงออกมาจากปากของตัวเองได้
แต่หล่อนก็ไม่อยากให้พูดถึง หล่อนห้ามปากของตัวเองได้ก็จริง แต่ห้ามอาการร้อนผ่าวขึ้นมาที่หน้าของตัวเองไม่ได้ และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้สุธาสินีสงสัย




บัวสุพรรณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2556, 13:42:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2556, 13:42:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1223





<< บทที่ 7   
minafiba 17 ส.ค. 2556, 00:02:45 น.
อยากให้ลงอีกเวปหนึ่งเต็มบทแบบที่นี่น่ะค่ะ


nateetip 17 ส.ค. 2556, 19:48:13 น.
คิดถึงนะคะ


pud 29 ก.ย. 2556, 15:24:47 น.
ไม่ลงตอนต่อไปแล้วหรือคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account