รักเล่ห์ เสน่ห์ร้าย
เมื่อสาวโสดแสนสวยอยากสละคาน มาพบกับคุณหมอหนุ่มรูปงามแสนจะเคร่งขรึม เรื่องรั่วๆ ที่มีแต่เสียงหัวเราะก็เกิดขึ้น เพราะเธออยากจะจับคุณหมอมาทำสามีจนตัวสั่นตัวคลอน!!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 6. เหตุเกิดที่กองเพลิง


หลังจากวันนั้นที่หน้าแตกยับเยิน หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อแผนการของตัวเองก็ไม่กล้าโผล่หน้าไปหาคุณหมอหนุ่มเสียหลายวัน สิตางศุ์ครุ่นคิดหนักถึงแผนการขั้นต่อไป บ้านก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน ที่ทำงานก็รู้แล้ว เบอร์โทรก็รู้แล้ว มีอะไรที่เธอยังไม่รู้อีกไหม... เผื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนขั้นต่อไป

แต่เมื่อนึกถึงสายตาวิบวับราวกับรู้ทันไปเสียหมดทุกเรื่องของหมอหนุ่มแล้วก็ต้องหน้าชาด้วยความอับอายขึ้นมาอีกรอบ เอาเถอะ...สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วผู้หญิงอย่างเธอที่มีทั้งความฉลาดและความสวยจะไม่พลั้งพลาดได้อย่างไรกัน

หญิงสาวยักไหล่ พยายามจะไม่ใส่ใจขณะรวบรวมสมาธิเสียใหม่เพ่งไปยังจอคอมพิวเตอร์ที่มีงานออกแบบเปิดค้างอยู่ ทำงานต่อไปได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น สิตางศุ์หยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาดูก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง

“ฮัลโล ว่าไงจ๊ะน้องมิว” เสียงหวานเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง แต่แล้วสีหน้าของคนที่ยิ้มอยู่ก็ต้องเผือดลงทันใด ละล่ำละลักเอ่ยถามทันควัน

“แล้วเป็นยังไงบ้าง! หนักมากมั้ย!”

“ได้ๆๆ พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

พูดเสร็จก็ลุกพรวดขึ้นมา เดินตรงไปยังห้องกระจกอีกด้านหนึ่งของชั้นอันเป็นที่สิงสถิตของเจ้านายที่มีลูกน้องเกลียดเยอะที่สุดในประเทศไทย

“อ้าว มีอะไรรึเปล่าจ๊ะหนูตังเรื่องด่วนเหรอ ธรรมดาไม่ค่อยมาหาผมเลยถ้าผมไม่เรียก” ชายวัยสี่สิบสามผู้เก็บงูไว้บนหัวไม่มิดพูดขึ้นมาอย่างกรุ้มกริ่มเมื่อเห็นสาวสวยที่เขาได้แต่เมียงมองเปิดประตูห้องเข้ามาหน้าตาตื่น

“วันนี้ตังลานะคะ” สิตางศุ์พูดรัวเร็ว สีหน้าตื่นตระหนก

“มีอะ...”

“หัวหน้าอย่าเพิ่งถาม เพราะนี่เป็นเรื่องด่วนคอขาดบาดตาย ถึงหัวหน้าไม่ให้ลาตังก็จะลาอยู่ดี”

“ผมยะ...”

“ตังไม่ได้มาขออนุญาตค่ะ แต่ตังมาบอก หวังว่าหัวหน้าคงจะเข้าใจนะคะ และก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพราะตังไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว” พูดเสร็จคนที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ยิงคำถามก็จ้ำพรวดออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผู้ชายที่มีป้ายชื่อวางหราอยู่บนโต๊ะว่า ‘มนัส สันติภาพ’ ได้แต่อ้าปากค้าง อึ้งไปหลายอึดใจเพราะไม่สามารถเปิดปากพูดแทรกสาวสวยผู้นี้ได้แม้แต่ประโยคเดียว

“อะไรของเค้าวะ” มนัสเกาหัวล้านแกรกๆ กับพฤติกรรมประหลาดของลูกน้องสาว



เสียงหวอรถดับเพลิงดังก้องไปทั้งบริเวณเมื่อได้รับเหตุเพลิงไหม้แถวบริเวณมูลนิธิสุนัขจรจัด ผู้คนมายืนมุงดูมากมาย บ้างใจกล้าเข้าไปช่วยสาดน้ำ บ้างก็ยืนให้กำลังใจอยู่ห่างๆ แต่ที่น่าจะดูสร้างความกังวลใจให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นทั้งหมดก็คือเสียงโหยโหนของบรรดาสุนัขจรจัดไม่ต่ำกว่าห้าสิบชีวิตที่ยังคงติดอยู่ในเปลวเพลิง...

รถออดี้สีเงินที่พุ่งมาด้วยความรวดเร็ว ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นไทยมุงจำนวนมาก ทันทีที่จอดรถได้หญิงสาวร่างระหงในชุดทำงานกางเกงสแล็คเข้ารูปสีน้ำตาลอ่อน ก็เดินแกมวิ่งไปยังมูลนิธิเพื่อนจรจัดที่เธอคุ้นเคยด้วยความเป็นห่วง

ภาพบ้านชั้นเดียวสีขาวล้อมรอบไปด้วยเพิงที่ต่อออกไปเพื่อใช้เป็นที่กำบังลมกำบังฝนให้กับบรรดาน้องหมาไร้บ้านทั้งหลายที่คุ้นตา กลับมีเปลวเพลิงขนาดใหญ่ไหม้ลามมาจากด้านหลังมาจนถึงปากประตูด้านหน้า ควันสีเทาราวกับเมฆหมอกพวงพุ่งขึ้นอยู่เหนือหลังคาบ้านที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง อีกแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้นก็จะลามไปจนถึงกรงหมาด้านข้าง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถฝ่าเปลวเพลิงอันร้อนระอุด้านหน้าไปได้เพราะยางรถนับสิบเส้นที่เคยใช้กั้นพื้นที่ของเหล่าสุนัขจรจัดมันติดไฟโหมกระหน่ำให้ลุกลามยิ่งขึ้น

บรรดาหมาที่โชคร้ายต่างร้องโหยโหนด้วยความกลัว บางตัวที่อยู่นอกกรงก็พากันไปยืนเบียดกันตัวสั่นตรงมุมรั้วข้างบ้าน แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็คือพวกที่อยู่ในกรงมันเพราะไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย

สิตางศุ์รู้จักกับมูลนิธินี้เป็นอย่างดี เพราะเธอชอบมาบริจาคอาหารและเงินให้แก่เจ้าหมาน่าสงสารพวกนี้อยู่บ่อยๆ จนรู้จักมักคุ้นกับสาวน้อยผู้ดูแลที่นี่ไปโดยปริยาย

“น้องมิว! เป็นยังไงบ้าง!” คนที่เพิ่งฝ่าไทยมุงเข้ามาได้เอ่ยถามหญิงสาวร่างเล็กที่ยืนร้องไห้ตัวสั่นอยู่กับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงด้วยความเป็นห่วง

“พี่ตัง!!” พูดได้แค่นั้นน้องมิวก็ปล่อยโฮขึ้นมาอีกรอบ ขณะโผมากอดพี่สาวเอาไว้อย่างไร้ที่พึ่งพิง

“แล้วน้องฟ้ากับอาจารย์หมอล่ะ รู้เรื่องรึยัง” หญิงสาวถามถึงเจ้าของมูลนิธิและผู้ช่วย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งสองก็น่าจะอยู่แถวนี้

“สองคนนั้นไปออกพื้นที่ต่างจังหวัดค่ะ ทิ้งที่นี่ให้มิวดูแล แต่มิวไม่รู้เรื่องเลยนะพี่ตัง จู่ๆ ไฟมันก็ลุกขึ้นมาจากด้านหลัง มันเร็วจนมิวเกือบจะหนีออกมาไม่ทัน ฮือๆ” สาวน้อยพูดพลางสะอึกสะอื้น สิตางศุ์จึงค่อยๆ ใช้มือลูบเบาๆ ที่ต้นแขนของน้องมิวเป็นการปลอบขวัญ

“ไม่เป็นไรนะน้องมิวตอนนี้น้องมิวอยู่กับพี่แล้วไม่ต้องห่วง พี่ว่าเรามาช่วยหาทางพาหมาพวกนั้นออกมาดีกว่านะ”

น้องมิวที่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่พยักหน้าหงึกหงัก พลางหันไปหาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ยืนอยู่ข้างๆ “พี่คนนี้เขาบอกว่ายังเข้าไปช่วยเจ้าพวกนั้นไม่ได้เพราะไฟมันยังแรงอยู่ ตอนนี้ก็ได้แต่ฉีดน้ำกันไม่ให้มันลามไปมากกว่านี้”

ได้ยินดังนั้นสิตางศุ์ที่ปล่อยน้องมิวออกจากอ้อมอกก็หันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที

“อะไรกันคะคุณ เข้าไปช่วยด้านหน้าไม่ได้แล้วทำไมถึงไม่ตัดเหล็กบนรั้วเข้าไปเอาหมาออกมาก่อน กว่าไฟมันจะดับหมาที่ติดอยู่ข้างในก็ตายพอดีน่ะสิคะ” หญิงสาวหมายถึงตาข่ายเหล็กที่โผล่พ้นรั้วขึ้นไปจรดหลังคาล้อมมูลนิธินี้ไว้ราวกับคุก เพราะต้องคอยป้องกันไม่ให้เจ้าหมาพวกนี้แอบหนีออกไปเพ่นพ่านข้างนอก

“ตอนนี้เรายังรอเครื่องมือกับรถน้ำอีกคันอยู่ คนก็ไม่พอ” เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ถือวิทยุสื่อสารอยู่ในมือพูดขึ้นมาอย่างหนักใจ

“ถ้างั้นทำไมเราไม่เกณฑ์คนที่มุงอยู่มาช่วยกันตัดล่ะคะ รอช้ากว่านี้เดี๋ยวหมามันอาจจะทนไม่ไหวก็ได้”

“มันอันตรายไปครับ ถ้าเกิดว่าหลังคาที่มันไหม้หล่นลงมาทับคนมันจะยิ่งแย่กันไปใหญ่นะคุณ รอให้เจ้าหน้าที่มาก่อนดีกว่า”

“แต่หมามันก็รอไม่ได้เหมือนกันนะคะ” สิตางศุ์ร้อนใจ เป็นห่วงเจ้าสี่ขาที่ร้องโหยหวนจนลุกลี้ลุกลน

“แต่...”

“ไม่ต้องแต่แล้วค่ะ เดี๋ยวฉันเองจะเป็นคนไปตัดเหล็กนั่น แล้วคุณก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยถ้าเกิดว่าไอ้หลังคาบ้านั่นมันจะหล่นลงมาทับฉันจริงๆ ฉันเต็มใจค่ะ!” หญิงสาวพูดเด็ดเดี่ยวเพราะงานนี้เสียเวลาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

เจ้าหน้าที่หนุ่มชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตในความดื้อแพ่งของเธอ

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมทำให้เอง คุณรออยู่ตรงนี้เถอะ” พูดเสร็จเขาก็ยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาสั่งงาน ก่อนจะเดินกลับไปยังรถดับเพลิงที่ยังคงฉีดน้ำอยู่ และกลับมาพร้อมกับคีมตัดเหล็กในมือ

“ฉันไปด้วยค่ะ” สิตางศุ์พูดขึ้นมาอย่างไม่คิด

“ไม่ได้ มันอันตรายคุณอยู่ที่นี่แหละ”

“อย่างน้อยคุณก็ต้องมีผู้ช่วย ตอนนี้เจ้าหน้าที่คนอื่นเขาก็ทำงานอยู่ไม่มีเวลามาช่วยคุณหรอก ฉะนั้นอย่ามาปฏิเสธความหวังดีของฉัน เพราะถึงคุณจะห้ามฉันก็ยังไปอยู่ดี” หญิงสาวประกาศกร้าว “ก็รีบๆ ไปสิคะจะมัวมายืนคิดอะไรกัน!”

ได้ยินเสียงแว้ดๆ ของคนสวยเจ้าหน้าที่หนุ่มจึงต้องจำยอมให้เธอเป็นผู้ช่วยไปโดยปริยาย เขาแบกบันไดลิงไปโดยมีสาวสวยและไทยมุงอีกหลายคนเข้ามาช่วยกันอย่างไม่เกี่ยงงอน

ทันทีพาดบันไดกับตาข่ายเหล็กได้แล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ลงมือตัดเหล็กเจ้าปัญหาทันทีด้วยคีม แต่ทว่ามันก็แข็งแรงมากจนเขาต้องปาดเหงื่อ

“เหล็กมันเหนียวมาก คีมมันไม่คมตัดไม่ค่อยเข้า” เขาตะโกนขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของหมาจรจัดและเสียงหวอรถที่ดังก้องไปทั้งบริเวณ

ได้ยินดังนั้นชาวบ้านที่อยู่บ้านข้างเคียงก็รีบกุลีกุจอกลับไปบ้านตัวเอง เพื่อหยิบฉวยเครื่องมือมาช่วยไม่ว่าจะเป็นเลื่อย คีม หรืออะไรก็ได้ที่พอจะตัดตาข่ายเหล็กได้

“ไม่เป็นไรคุณเจ้าหน้าที่เดี๋ยวพวกเราช่วย!” แล้วชาวบ้านที่มีจิตอาสาก็ต่างกรูกันเข้ามาคนละไม้ละมือเพื่อแข่งกับเวลา บันไดลิงอีกสองอันถูกพาดขึ้นพร้อมกับชาวบ้านที่มีอาวุธครบมือ

เจ้าหน้าที่ได้แต่ยืนมองด้วยความก้ำกึ่งระหว่างดีใจและเป็นห่วง เพราะเขาไม่รู้ว่าคานที่รับน้ำหนักของหลังคามันจะหักโค่นลงมาเมื่อใด ฉะนั้นในเมื่อตอนนี้เขาห้ามน้ำใจของชาวบ้านไม่ได้ก็คงต้องทำให้มันรีบจบลงก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป

“ขอบคุณครับทุกคน เอาเป็นว่าเรารีบทำงานกันดีกว่าครับ เพราะผมกลัวหลังคามันจะถล่มลงมาซะก่อน” เขาตะโกนลั่นเพื่อกระตุ้นชาวบ้าน

สิตางศุ์ที่มองอยู่ถึงกับน้ำตารื้นไปด้วยน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ แม้รู้ดีว่าบางส่วนทำไปเพราะไม่อยากให้เพลิงไหม้ลามไปยังบ้านตน แต่ก็อดดีใจไม่ได้เมื่อพวกเขาไม่ได้นิ่งนอนใจรอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพียงฝ่ายเดียว

ทนไว้นะลูก อีกเดี๋ยวคนใจดีก็จะเข้าไปช่วยแล้ว

“ตัดได้แล้วเว้ย!!” แล้วเสียงตะโกนร้องลั่นด้วยความดีใจมาจากชายวัยกลางคนที่ใช้เลื่อยเลื่อยตาข่ายเหล็กก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเฮที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกเมื่อเห็นว่าช่องนั้นเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถเปิดกว้างพอให้คนลอดเข้าไปด้านในได้

“เดี๋ยวผมจะเข้าไปเอง พวกคุณรอรับหมาอยู่ด้านนอกด้วย” เจ้าหน้าที่หนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม ค่อยๆ ตะกายเข้าไปตามช่องที่เพิ่งเปิดออก ก่อนจะร้องตะโกนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเข้าไปถึงแล้ว “ขอบันไดด้วย”

แล้วชาวบ้านก็ต่างกุลีกุจอส่งบันไดลิงเข้าไปให้เจ้าหน้าที่หนุ่มที่อยู่ข้างใน ก่อนชายอีกสองสามคนจะปีนตามเข้าไปเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในการขนย้ายหมาอีกแรง

เสียงเห่าหอนของบรรดาหมาจรจัดดังระงมขึ้นแข่งกับเสียงหวอรถ เมื่อเห็นคนแปลกหน้าโผล่มาจากกำแพง พร้อมกับไล่จับพวกมันลำเลียงออกไปทีละตัว

สิตางศุ์ยืนรอรับเจ้าตูบน่าสงสารอยู่อีกฝั่งพร้อมกับชาวบ้านจำนวนมาก ทันทีที่หมาถูกอุ้มออกมาจากช่องที่เปิดไว้ก็จะมีคนคอยไปรับบนบันไดและส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ จนถึงน้องมิวและชาวบ้านอีกบางส่วนที่เตรียมพื้นที่ในบ้านของคนใจดีคนหนึ่งที่มีรั้วรอบขอบชิดเพื่อกันไม่ให้เจ้าจรจัดพวกนี้หนีออกไปเร่ร่อนได้อีกครั้ง

แต่หญิงสาวคนสวยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนอยู่... ตั้งแต่เขาได้รับข่าวว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นที่มูลนิธิสุนัขจรจัดแห่งนี้ และคลินิกสัตว์ของเขาก็เป็นที่เดียวที่อยู่ใกล้ที่สุด ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือพร้อมกับผู้ช่วยที่กำลังฝึกงานกับเขาอยู่ตอนนี้เลย

คชินทร์ที่เพิ่งมาถึงรีบรุดมายังที่เกิดเหตุทันที แต่สายตาก็ต้องสะดุดอยู่กับร่างระหงของคนคุ้นหน้าในชุดทำงานที่ยืนรอรับเจ้าหมาจรจัดอยู่ด้านล่างบันไดปะปนอยู่กับชาวบ้านโดยไม่สนว่าเสื้อผ้าราคาแพงจะเปรอะเปื้อนหรือเหม็นสาบเพียงใด ใบหน้าแอร่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาเต็มไปหมดบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวคงเหนื่อยมากแค่ไหน แต่เธอกลับไม่บ่นสักคำ

“หมอชินรึเปล่าคะ?” น้องมิวเอ่ยถามเมื่อเห็นหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์ยืนมองผู้คนที่กำลังช่วยเหลือหมาจรจัดท่ามกลางเปลวเพลิงที่ยังคงประทุอยู่

คนที่ถูกทักผินหน้ากลับมามองเด็กสาวอายุไม่น่าจะเกินสิบแปดตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้ารับ “ครับ แล้วหมาที่ช่วยออกมาได้แล้วอยู่ไหน พาผมกับผู้ช่วยไปดูหน่อย”

“ทางนี้ค่ะ” น้องมิวพูดพลางพาคุณหมอหนุ่มหน้าเข้มและผู้ช่วยสาวที่ถือกล่องยาติดมือมาด้วย เดินไปยังบ้านสองชั้นหลังไม่ใหญ่มากซึ่งอยู่ถัดไปจากมูลนิธิที่เกิดเพลิงไหม้ไปไม่กี่หลัง “โชคดีนะคะที่หมอชินติดต่อมา เพราะแถบนี้ไม่มีโรงพยาบาลหรือว่าคลินิกสัตว์เลยน่ะค่ะ”

“ผมต้องมาช่วยอยู่แล้วครับ” แล้วชายหนุ่มก็เห็นสุนัขจรจัดจำนวนไม่น้อยที่ถูกขังเอาไว้หลังรั้วบ้านหลังนี้ “ข้างในยังเหลืออีกเยอะมั้ย”

“คงอีกประมาณสิบกว่าตัวค่ะ โชคดีที่เราช่วยออกมาได้ก่อน”

“แล้วมันไหม้ได้ยังไงคะน้อง” ใบเฟิร์นที่เงียบฟังมานานเอ่ยถามอย่างข้องใจ

“มิวก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ จู่ๆ ไฟมันก็ลุกขึ้นมา ไม่ได้จุดไฟ หรือว่าเสียบปลั๊กอะไรทิ้งเอาไว้เลยค่ะ” ได้ยินดังนั้นคชินทร์ก็ครุ่นคิดถึงเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้เงียบๆ

“คิดอะไรอยู่คะพี่หมอ” ใบเฟิร์นเอ่ยถามรุ่นพี่ที่นิ่งไปนาน

“ไม่มีอะไรหรอก ทำงานดีกว่า พี่อยากดูว่าหมาพวกนี้มันโดนไฟลวกรึเปล่า” ชายหนุ่มไม่ตอบ ขณะเดินเข้าไปหาฝูงหมาที่ยังคงสั่นกลัวอยู่ตอนนี้

สองสัตวแพทย์ลงมือตรวจเช็คร่างกายของเจ้าหมาจรจัดอย่างถี่ถ้วน ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก เมื่อไม่พบว่ามีตัวไหนที่ได้รับบาดเจ็บจนหนักหนาสาหัสเลยสักตัว แล้วน้องหมาที่ติดอยู่ในรั้วของมูลนิธิก็ค่อยๆ ทยอยมาไม่ขาดสายจนถึงตัวสุดท้ายที่ทำให้เขาต้องอมยิ้ม

สิตางศุ์ในสภาพที่ดูไม่จืด เสื้อผ้ายับย่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง กำลังอุ้มเจ้าหมาสีด่างตัวไม่ใหญ่มากเข้ามาหาเขาด้วยความทุลักทุเล อันที่จริงเธอจะปล่อยให้มันเดินเองก็ได้ แต่ด้วยความสงสารที่ตัวมันยังสั่นงันงกอยู่ หญิงสาวจึงอาสาอุ้มมันมาส่งด้วยตัวเอง เพราะยังไงเสียมันก็เป็นตัวสุดท้ายแล้วสำหรับภารกิจช่วยชีวิตหมาในครั้งนี้

“หมอชินมาได้ยังไงคะ!” ทันทีที่เห็นว่าสัตวแพทย์อาสาที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้ในบ้านที่จัดไว้เป็นที่อยู่ของหมาจรจัดชั่วคราวเป็นใคร หญิงสาวก็อุทานลั่น

คชินทร์ยิ้มให้น้อยๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปช่วยประคองเจ้าด่างในมือของเธอขึ้นมาบนโต๊ะอย่างทะมัดทะแมง “แล้วคุณล่ะครับมาได้ยังไง”

“ก็ตังรู้จักกับน้องที่ดูแลที่นี่ พอรู้ข่าวก็เลยรีบมาแล้วหมอล่ะคะ” คนผมเผ้ายุ่งเหยิงถามอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น

“แถวนี้ไม่มีโรงพยาบาลสัตว์แล้วคลินิกของผมก็อยู่ใกล้ที่สุด ผมเลยอาสามาเอง”

“โชคดีจังเลยเจอกันด้วย” สิตางศุ์ยิ้มแป้น และคชินทร์ก็ยิ้มตอบ เมื่อเห็นสภาพมอมแมมของคนตรงหน้า

“คุณมานานแล้วเหรอครับ”

“ค่ะ” อีกฝ่ายตอบทันควัน “ว่าแต่คลินิกหมอชินอยู่ที่ไหนเหรอ”

ยังไม่ทันที่คุณหมอรูปหล่อจะทันได้ตอบ เสียงเล็กๆ ของหญิงสาวในชุดกาวน์อีกคนก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“พี่หมอคะ มาดูตัวนี้หน่อยค่ะ เฟิร์นไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นปอดบวมรึเปล่า” หากเป็นในสถานการณ์ปกติสิตางศุ์คงจะต้องรู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่าสาวชุดกาวน์ผู้นี้เป็นใคร แต่ทว่าในเวลานี้เธอกลับเป็นห่วงแค่เจ้าหน้าขนเท่านั้น

หนุ่มร่างสูงเดินไปหาใบเฟิร์นที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะที่มีหมาสีดำแก่ๆ ยืนอยู่ มันมีอาการซึมๆ มีน้ำมูกสีเขียวไหลออกมาเป็นทาง อ้าปากหายใจอยู่ตลอดเวลาแต่ก็มีอาการริมฝีปากสั่นในบางครั้ง คชินทร์แนบหูฟังไปบนทรวงอกของเจ้าหมาตัวนั้น พร้อมกับนิ่วหน้า

“พี่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นปอดบวมหรือดิสเทมเปอร์* เดี๋ยวเฟิร์นให้ทางมูลนิธิส่งต่อไปโรงพยาบาลเพื่อเช็คอีกทีดีกว่านะ”

สิตางศุ์มองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความเป็นห่วง “แล้วมันจะเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”

“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้เหมือนกันค่ะ ต้องให้ทางโรงพยาบาลตรวจก่อน ถ้าเป็นปอดบวมคงไม่ต้องห่วงอะไรมาก แต่ถ้าเป็นดิสเทมเปอร์หรือไข้หัดเนี่ยอาจจะต้องทำใจ” ใบเฟิร์นหันมาตอบคำถามหญิงสาวหน้าตามอมแมมที่เดินมาดู

“จริงเหรอคะ น่าสารสารจังอุตส่าห์รอดมาได้แล้วเชียว” สิตางศุ์พูดพลางลูบหัวเจ้าตูบชราเศร้าๆ นี่สินะความจริงของชีวิต...

“ขอให้แกหายเร็วๆ นะ อย่าเป็นอะไรที่มันหนักเลย” หญิงสาวทอดมองหมาแก่ตรงหน้าอย่างปลงตก ตอนนี้คงทำอะไม่ได้นอกจากส่งกำลังใจให้มันหายดี พลางเหลือบไปมองคุณหมอหนุ่มที่กำลังเขียนอะไรบางอย่างยุกยิกบนกระดาษ โดยมีน้องมิวรอรับ

“วันนี้คุณไม่ทำงานเหรอครับ” แล้วหมอหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เขียนข้อมูลการวินิจฉัยโรคของเจ้าหมาแก่เสร็จสิ้น

“ทำค่ะ แต่ตังออกมาก่อน แล้วหมอชินล่ะคะจะต้องกลับไปคลินิกอีกรึเปล่า”

“ผมคงไม่แล้วล่ะ ว่าแต่คุณเถอะยังจะกลับไปทำงานอีกรึเปล่าครับ” เรียวปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าสภาพของตนเอง ‘เยิน’ แค่ไหน

สิตางศุ์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่กรำศึกหนักในการช่วยเหลือชีวิตน้องหมามา สภาพของเธอในตอนนี้คงดูแย่ไม่ต่างอะไรจากเจ้าหมาตาดำๆ พวกนี้สักเท่าไหร่ มือน้อยรีบจัดผมที่หลุดลุ่ยลงมาจากหางม้าให้เข้าที่เข้าทางเสียหน่อย เสื้อผ้าที่ยับย่นก็ดึงให้มันตึงๆ เสียบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

ในที่สุดหมอชินก็เห็นฉันในสภาพป้าแม่บ้านจนได้ เศร้า...

“ตังดูกระเซอะกระเซิงมากเลยใช่มั้ยคะตอนนี้” หญิงสาวพูดอย่างปวดใจ เมื่อเห็นสายตาขบขันของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรครับ ก็คุณมาช่วยหมานี่ไม่ได้มาเดินแบบ” หนุ่มหน้าเข้มพูดจากใจจริง ก็เพิ่งเคยเห็นเธอในสภาพนี้เช่นกัน จากสาวสวยที่ดูเหมือนจะคอยกระโจนเข้าหาเขาทุกครั้งที่ทำได้ กลายร่างเป็นสาวใจดีผู้ไม่คิดถึงตัวเองในยามที่เกิดเหตุกับเจ้าหน้าขนพวกนี้

ก็น่ารักดีเหมือนกัน

ได้ยินเช่นนั้น คนที่ฟังอยู่ก็ฉีกยิ้มกว้าง เออแน่ะ...ตอนแต่งตัวพริ้งก็ไม่เห็นจะเคยพูดเสียงหวาน แต่พอกลายสภาพเป็นคุณป้าแม่บ้านไปไม่กี่ชั่วโมงหมอชินกลับพูดจาน่ารักเสียนี่ อย่างนี้มันน่า...นัก

“หมอชินก้อ รู้มั้ยคะตอนแรกที่รู้ข่าว ตังรีบบึ่งรถมาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น ขนาดบอสของตังยังฉุดไม่อยู่เลย สงสัยป่านนี้ก็คงยังงงๆ อยู่ว่าตังออกไปไหน คิดแล้วก็ขำ” พูดแล้วสิตางศุ์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ นาทีนี้คงไม่ต้องปั้นหน้าสวยลอยไปลอยมาให้มันเสียเวลา เพราะปั้นเท่าไหร่มันก็คงไม่พ้นสภาพป้าแม่บ้านอยู่ดี

“ผมก็พอจะเดาออก” คชินทร์กระตุกยิ้ม พร้อมกับชี้นิ้วไปยังขมับขวาของตัวเอง “หน้าคุณเลอะอยู่น่ะ”

หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบใช้มือของตัวเองปาดเอาคราบสกปรกที่ติดอยู่บนขมับด้านซ้ายออกอย่างเร็วรี่ รู้สึกขายหน้าหนุ่มผู้นี้ไม่น้อย ที่เผยสภาพสุดแย่ให้เขาเห็นอย่างไม่สามารถป้องกันได้

แต่คชินทร์กลับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นคราบดำๆ ที่หญิงสาวพยายามเช็ดอยู่อยู่ยิ่งเลอะออกไปใหญ่ ทำให้หน้าสวยๆ ที่ดูไม่จืดตอนนี้ดำไปด้วยรอยขี้เถ้าเสียครึ่งซีก

สิตางศุ์ค้อนขวับเมื่อเห็นคุณหมอรูปหล่อขำสภาพเธอในตอนนี้ ก็แน่ล่ะสิ...ทั้งเป็นป้าแม่บ้าน ทั้งหน้าดำเป็นเปาบุ้นจิ้น ใครมันไม่ขำก็ให้มันรู้ไป

หยุดหัวเราะเลยนะหมอ เดี๋ยวแม่ก็จับกดจริงๆ หรอก!

“เดี๋ยวผมเช็ดให้ดีกว่า มือคุณเปื้อนมันเลยยิ่งไปกันใหญ่” พูดเสร็จหมอหนุ่มก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาจากเสื้อกาวน์ พร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดคราบดำๆ ที่ติดอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

คนที่ยืนนิ่งให้เช็ดแทบจะละลายลงไปต่อหน้า เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอ่อนโยนของคนหน้าเข้มที่ส่งผ่านมาทางผ้าเช็ดหน้า พยายามห้ามใจตัวเองอย่างยากเย็นที่จะไม่แสดงอาการกระดี๊กระด๊าออกมาจนอีกฝ่ายจับได้

อย่างนี้สินะถึงเรียกว่า คุณค่าที่เราคู่ควร!

แต่ในขณะที่ความคิดของสาวเจ้ากำลังเตลิดไปไกล เสียงโทรศัพท์มารผจญของคุณหมอหนุ่มก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

คชินทร์ละมือจากใบหน้าของหญิงสาวที่หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข เดินปลีกตัวออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อรับสายโทรศัพท์ปริศนานั้น แต่มีหรือที่จะรอดจากเงื้อมมือของหญิงสาวที่กำลังตั้งใจฟังบทสนทนานั้นสุดชีวิต

“ครับนี...” ใครกันยัยนี

“ผมไม่เป็นอะไรครับ นีไม่ต้องเป็นห่วง” เธอเป็นใครกันมาห่วงหมอชินของฉัน!

“อ้อ โชคยังดีครับที่ไม่มีใครเจ็บใครตาย หมาก็รอดทุกตัว” อ้อ ยังมีน้ำใจถามหาหมาอยู่เหรอยะหล่อน

“ไม่ครับ วันนี้คงกลับบ้านเลย ได้ครับนี สวัสดีครับ” พูดเสร็จคุณหมอหนุ่มก็เดินกลับมาหาคนที่กำลังตีหน้าซื่อยิ้มละไมให้

“ไม่มีอะไรด่วนใช่มั้ยคะ” สิตางศุ์ถามออกไปตามประสา ทว่าในใจนั้นร้อนรุ่มยิ่งกว่าเปลวเพลิงที่กำลังไหม้มูลนิธิอยู่ด้วยความอยากรู้

ยัยคนชื่อนีนี่เป็นใครกัน บังอาจโทรหาหมอชินตัดหน้าฉัน ขนาดฉันยังไม่กล้าโทรเลยนะยะ!

“ไม่มีอะไรครับ” พูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้สาวร่างระหง “เดี๋ยวคุณเอาไปเช็ดต่อนะครับ ผมว่าจะไปดูหมาอีกซักหน่อย เผื่อว่ามีหลงหูหลงตาไปบ้าง”

“ไม่มีปัญหาค่ะหมอชิน ไปเถอะ” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง ขณะมองร่างสูงที่เดินแยกตัวออกไปอย่างรุ่มร้อนอยู่ในอก

ไม่บอกเราด้วย! หมอชินนะหมอชิน ก็ไหนบอกว่าไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ แล้วไอ้ที่คุยอยู่นั่นใครกัน ดูเป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกิน ไม่ได้การแล้ว...ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอเป็นใครกันแน่นี ถ้าเป็นเธอเป็นแฟนกับหมอจริงฉันจะเลิกตามตื้อเขาเด็ดขาดเพราะฉันไม่ชอบแย่งของของใคร แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะก้อ...งานนี้คงต้องรีบลงมือก่อนที่หมอชินจะถูกใครคว้าไปเจี๊ยะซะก่อน ขอเอาเกียรติของคนสวยเป็นประกัน!






* โรคไข้หัด หรือดิสเทมเปอร์ : เป็นโรคฮิตติดอันดับสำหรับสุนัขโรคหนึ่ง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส มักเกิดกับลูกสุนัขอายุน้อยๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนไปต้นไป บางครั้งก็พบว่าเกิดในสุนัขอาวุโสได้เช่นกัน หากเป็นแล้วโอกาสหายสำหรับสุนัขที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ค่อนข้างต่ำ น้อยตัวนักที่จะหาย ถึงจะหายแต่ก็ไม่ปกติ มักแสดงอาการทางประสาท คือ กระตุกหรือชักตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วตายอย่างค่อนข้างทรมาน อาการของโรคนี้มักแสดงออกทางระบบหายใจก่อน คือมีขี้มูกสีเขียวไหลย้อย ดูเหมือนเป็นปอดบวม มีไข้ เบื่ออาหาร ซึม มีตุ่มหนองขึ้นใต้ท้อง มีขี้ตาสีเขียวๆ เกรอะกรังตลอดเวลา เมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้น จะพบว่ามีอาการทางประสาท คือ ริมฝีปากสั่น กระตุก และจะลามไปที่บริเวณหนังหัว ใบหน้า ขาหลัง อาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ากระด้างขึ้น บางรายพบว่ามีท้องร่วงร่วมด้วย สุดท้ายของโรคมักตาย นับเป็นภัยใหญ่หลวงชนิดหนึ่งของลูกสุนัข แต่สามารถป้องกันได้โดยการ พาลูกสุนัขไปรับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หัดตั้งแต่อายุ 2 เดือน เป็นเข็มแรก หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ก็พาไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดซ้ำทุกๆปี ปีละ 1 ครั้ง





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :)
ช่วงก็ยังปั่นกระหน่ำเช่นเคย

( ดารานิล )
www.facebook.com/daranil

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2554, 09:46:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2554, 09:46:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2602





<< 5. คุณหมอขา หมาหนูป่วย II   
นิชาภา 7 มิ.ย. 2554, 10:52:43 น.
นางเอกเธอว์แลดูพูดมากสุดขีดไปเลยเมื่อเทียบกับนางเอกชั้น 555555


ดารานิล 7 มิ.ย. 2554, 10:56:30 น.
นางเอกเธอว์น่ะมันไม่พูดผิดมนุษย์มนาเค้าย่ะ!!! กร๊ากๆๆ


saralun 7 มิ.ย. 2554, 11:46:00 น.
มาให้กำลังใจค่าา


kraten 7 มิ.ย. 2554, 12:30:51 น.
ชอบนางเอกเรื่องนี้จริงๆ ถูกใจ๊ถูกใจ อยากกด LIKEซัก 500 ครั้ง!


anOO 7 มิ.ย. 2554, 15:06:43 น.
ยัยตังเนี้ย ทำอะไรที่มันไม่ fake ก็เป็นนี่นา


มะดัน 7 มิ.ย. 2554, 15:14:40 น.
ป้าแม่บ้านก้นางเอกได้ 555


ปูสีน้ำเงิน 8 มิ.ย. 2554, 00:04:36 น.
อ่านแล้วคิดถึงหมาตัวแรกของปูที่เคยเลี้ยงแล้วก็ตายเพราะไข้หัดเหมือนกัน


รัมไพชน 28 มิ.ย. 2554, 00:44:15 น.
ยัยตังกะเซาะกะเซิงแบบนี้คงจะโดนใจหมอน่าดู ดูหมออ่อนโยนกับตังมากตอนเช็ดหน้าให้อ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account