ในทิวากาล>The Morning Light
ไท หนุ่มเจ้าของบาร์ที่เชียงรายผู้เลิกศรัทธาในความรัก กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อเขาได้มาเจอกับนุช หญิงสาวรุ่นพี่ที่เคยพบกันในงานมินิแฟชั่นโชว์ เขาชอบเธอและเก็บเธอไว้ในใจมานาน ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าเธอนั้นมีคนอื่นอยู่แล้ว เธอมีคู่หมั้นคู่หมายที่รักกันมาก จนวันหนึ่งไทได้รู้ว่านุชถอนหมั้นและหนีมาเชียงราย เขาจึงเข้าไปช่วยเยียวยาหัวใจโดยไม่ได้บอกกล่าวทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ศรัทธาและไม่เชื่อมั่นเลยว่ารักนั้นจะสมหวัง เมื่อหัวใจสองดวงโคจรมาเจอกันในสภาพที่อ่อนแอ สองหัวใจต่างเยียวยากันและกัน เส้นทางความรักของทั้งสองเริ่มขึ้น ในแสงแห่งทิวากาล
Tags: หนุ่มเซอร์ สาวสวย ความเศร้า

ตอน: ในทิวากาล>2


พี่นาถ พี่สาวแสนดีของผมเอาตารางการซ้อมและเวลาโชว์มาให้ ต้องยอมรับว่าพี่นาถจัดการเรื่องโชว์ได้ดี ทีมงานแม้จะมีปรับเปลี่ยนบ้าง แต่ความเป็นพี่นาถยังดึงผู้ร่วมงานเก่าๆที่มีคุณภาพไว้ได้หลายคน เท่าที่ผมฟัง ทุกอย่างพร้อมสรรพยิ่งกว่าครั้งก่อน เพราะครั้งก่อนเราเจอปัญหาหลายอย่างในวันโชว์
ผมพลิกดูกำหนดการและตารางเวลาซ้อม รวมถึงคิวเดินของแต่ละคนในวันจริง มีนางแบบและนายแบบรวมกันยี่สิบคนยังไม่รวมอีกหนึ่งที่ขาดไปอีกคน ซึ่งน่าจะเป็นตัวผมเอง
“ว่างไหม”
ผมพยักหน้าตอบ สายตายังไล่ดูคิวเดินของแต่ละคนและหยุด หยุดตรงชื่อของเธอคนนั้น เธอที่มาช่วยงานแฟชั่นโชว์ของพี่นาถเหมือนครั้งที่แล้ว ผมรู้สึกร้อนวาบอย่างประหลาดและนิ่งอยู่นานเหมือนคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนพี่นาถถามย้ำมาอีก
“เอ่อ.. พอได้ วันนี้ร้านเงียบอยู่แล้ว เดี๋ยวขนลูกน้องไปช่วยงานรวดเลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้าลูกน้องด้วยเลย”
“ตกลงว่าโอเคนะ”
ผมตอบตกลงทันที
“เย็นวันศุกร์เจอกันนะไทนี่”
“อือ…เจอกัน”
ผมไม่ค่อยชอบคำลงท้ายที่ทุกคนใช้กับชื่อผม มันดูน่ารักเกินไปสำหรับคนหน้าตาเหมือนโจรแบบผม แต่พอถูกเรียกบ่อยๆเข้า พักหลังชักจะชินเสียแล้ว
หลังจากคุยกันเรื่องงานอีกสักพัก พี่นาถก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ

พี่นาถออกไปได้ไม่นาน แก๊งเพื่อนขาประจำของผมก็เข้ามา พวกเราทักทายกันตามประสา หลังจากผมและเด็กๆที่ร้านเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารเรียบร้อย ผมก็เข้าไปหาเพื่อนๆที่กำลังเตรียมตัวเปิดศักราชการเมาของคืนนี้ ตอนที่ผมเขาไป แต่ละคนยังไม่มีใครแตะต้องเหล้าในแก้ว ต่างคนต่างกดโทรศัพท์ในมือตัวเอง
“เฮ้ย…วันศุกร์นี้ปิดร้านนะ”
นุจิบเหล้าของตัวเอง เงยหน้ามองผม “จะปิดทำไมวะ วันศุกร์วันทำเงินนายเลยนะ”
“เขามาขอให้ไปเดินแบบอีกแล้วว่ะ นี่ก็กะจะชวนไปด้วยกันเนี่ย”
มาร์คละสายตาจากโทรศัพท์บ้าง “เดินที่ไหนวะ”
“รีสอร์ทแถวๆทางไปบ้านฉันนี่แหละ ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่”
“ฟรีป่าววะไท”บินยิงคำถามบ้าง
“เออ ฟรีป่าววะ”นุช่วยย้ำ
ผมลากเก้าอี้สูงสำหรับนั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์มานั่ง “ฟรี…ดิ!! มีสาวๆด้วย ไปนั่งดู เสร็จก็กินเหล้า กินข้าวกันที่นู่นเลย แล้วจะมากินต่อที่ร้านหรือยังไงก็ว่ากันอีกที”
“ว่าแต่เขาคิดไงวะ มาชวนนายไปเดินแบบเนี่ย”นุถามพร้อมติดเสียงหัวเราะมาด้วย
ผมส่ายหน้า “ไม่รู้ คงเพราะเคยเดินกับเขามั้ง ครั้งนู้นไง ที่พวกนายไม่ได้ไปกัน”
“อ๋อ….”นุลากเสียงยาว ชี้นิ้วมาที่ผม “ที่นายชวนพี่สาวแฟนฉันไปนั่นใช่ไหม”
“ใช่!!! แต่ครั้งนี้เปลี่ยนทีมงานใหม่หลายคน นางแบบ นายแบบก็ด้วย ถ้าจะไปก็บอก จะได้เตรียมที่นั่งไว้ให้”
“ฉันไปแน่ เดี๋ยวจะเอาเหล้าไปล่อนายตรงหน้าเวที”นุบอกกับผมตามด้วยเสียงหัวเราะ นิสัยการพูดของนุเป็นแบบนี้เอง พูดเสร็จก็ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะ
“ไปก็ไปกันหมดนี่เลย”มาร์คว่า
“อืม เดี๋ยวฉันจะจองที่นั่งไว้ให้ ถ้ามีใครเพิ่มเติมก็บอกนะ จะได้หาไว้”
“เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที กินเหล้าก่อน นายน่ะ”นุบังคับให้จบบทสนทนาเรื่องการเดินแบบของผมเพียงเท่านั้น

ค่ำคืนยาวนานผ่านไป ทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน ถนนเงียบเชียบและโล่งจนเล่นตะกร้อวงกลางถนนได้ ผมยกประตูร้านมาปิดด้วยสภาพมึนๆ ความมึนทำให้ประตูหนักขึ้นกว่าเดิมมากโข ฝนที่ตกใส่บานประตูไม้ทั้งคืนช่วยให้มันหนักขึ้นอีก หลังจากพักพอหายเมื่อยแขน ไล่ความมึนออกจากตัวเอง หลังจากได้โค้กมากลบดีกรีของเหล้าที่กระหน่ำยกกันมาตั้งแต่ค่ำ น่าแปลกที่ผมยังอยู่มาจนถึงตอนปิดร้านและทำกับข้าวได้และไปตลาดได้ทุกวัน
ตลาดสดที่เชียงรายจะเริ่มลงของกันตั้งแต่หลังเที่ยงคืน พวกเนื้อหมู เนื้อไก่จะมาก่อน ของสดใหม่(ยกเว้นวันพระ) หลังจากนั้นพ่อค้าแม่ค้าผักจะทยอยกันลงของและตั้งแผง ผมจะจอดรถแถวนั้นแล้วเดินซื้อหมูและไก่ตามรายการที่จดก่อนออกมาจากบาร์ จากนั้นเดินเลือกผักที่สดและถูก เมื่อก่อนตอนผมเรียนมัธยม ผมไม่เคยชอบการไปตลาดเลย ผมมักจะถูกใช้ให้ไปตลาดก่อนผมไปเตะฟุตบอล และตอนนั้นผมเสพติดการไปเล่นฟุตบอลตอนเย็นมากจนไม่อยากทำอะไร หลังจากจัดการภาระหน้าที่อย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกัน ผมชอบเดินเลือกผัก คุยกับพ่อค้าแม่ค้าในเรื่องที่บางครั้งผมเองไม่ได้สนใจจะเรียนรู้มันเลย กลายเป็นว่าตอนนี้ผมมีคนรู้จักมากมายในตลาด พวกเขากล่าวทักทายไถ่ถามทุกข์สุขเมื่อพบหน้า ทุกคนยิ้มแย้มให้กันแม้ชีวิตจะลำบาก ต้องตื่นแต่เช้ามานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ข้างถนนและที่แผงของตัวเอง บรรยากาศแสนดีแบบนี้ บางทีหาไม่ได้ตามบาร์ที่เรานั่งหรือห้างใหญ่โตที่หลายๆคนชอบเดินกัน(ผมเป็นคนไม่ชอบเดินห้างเท่าไหร่)
ด้วยสภาพมึนในฤทธิ์แอลกอฮอล์เล็กน้อยหลังจากจ่ายตลาดและได้รับโจ๊กร้อนๆจากแผงข้างทางเข้าสู่ร่างกาย ผมกลับมาถึงบาร์ เก็บของเข้าตู้แช่ พรุ่งนี้พนักงานในครัวจะมาจัดการของเหล่านั้นตามหน้าที่ ผมแยกทุกอย่างใส่ที่เรียบร้อยแล้ว ผมหยิบปลาดุกย่างที่ซื้อมาจากตลาด ฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วเอาวางในถาดอาหารของแมว ซึ่งผมเลี้ยงไว้ที่บาร์ พวกมันคลอเคลียขา ผมอุ้มเจ้าตัวสีขาวที่ผมตั้งชื่อมันใหม่ว่าเจ้าขาว เดิมทีมันมีชื่อสวยมาก คือสโนว์ไวท์ แต่ผมว่ามันเรียกยากไปหน่อย เลยเรียกอีขาวดีกว่า อีกตัวเป็นแมวสีน้ำผึ้งซึ่งผมตั้งชื่อใหม่ว่าเจ้าส้มน้อย
เมื่อหมดภารกิจ ผมอาบน้ำในโอ่งดินอันแสนเย็นที่อยู่ในห้องน้ำของบาร์ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สบายที่สุด ตั้งท่าจะนอน ผมตั้งใจจะนอนเพราะทั้งเหนื่อยและมึน แต่จะหลับตาลงและหลับไปเลยนั้นไม่ได้ ผมไม่อาจทำได้เลย ช่วงเวลาที่ผมผ่านมันไปยากที่สุดมาถึงแล้ว เป็นเช่นนี้ทุกวัน แม้สมองหนักอึ้งแค่ไหน
เจ้าเหมียวสองตัวกระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ยาวที่ผมใช้นอนเฝ้าบาร์ ผมเปิดแลปท๊อปคู่ใจที่มีอายุอานามเกือบ8 ปีเข้าให้แล้ว ผมมองมันอย่างเหม่อลอย มองทะลุเลยหน้าจอสว่างจ้าตรงหน้าออกไป ไปยังที่ไหนสักที่หนึ่ง เหม่อลอย ไร้จุดหมาย จนพบแต่ความเคว้งคว้างว่างเปล่าอันมืดทะมึน

แมวตัวน้อยทั้งสองยังเล่นกันอยู่บนผ้าห่มจนเหนื่อยและหลับปุ๋ย เจ้าส้มน้อยงับมือผม ดึงผมกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ไฟสีส้มนวลตาหลอดเดียวที่ยังเปิดอยู่ตรงเสาติดกับม้ายาว ผมเอื้อมมือไปดึงปลั๊กออก อาคารที่เช่าทำบาร์มืดลง เหลือแต่แสงจากจอตรงหน้าผม เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงนี้ยาวนานเหมือนชั่วกาล ทุกอย่างดูเชื่องช้าลง ผมเกลียดมัน เกลียดความเชื่องช้า เราหยุดได้ หยุดคือพัก เดินหน้าได้ เดินหน้าเดินเต็มกำลัง แต่ช้าไม่ได้ ผมเชื่ออย่างนั้น แต่ผมกลับมีช่วงเวลาเชื่องช้า อยากหลับไปเสีย พรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาสู้กับวันใหม่ อยากจะเจอวันใหม่ ไม่ใช่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนที่นอน
ผมตัดสินใจเปิดหนังดูทางอินเตอร์เน็ต แม้จะไม่มีหนังบรรยายไทย แต่หนังพากษ์ไทยก็ยังพอถูไถ ผมไหลผ่านหนังบู๊จนเจอหนังเรื่องหนึ่ง น่าสนใจทีเดียว เดอะ ลัคกี้ วัน หนังที่สร้างจากนิยายรักของนิโคลัส สปาร์กส์คือเรื่องที่ผมเลือกในคืนนี้
หนังที่เลือกถูกใจผมไม่น้อยเลย เนื้อเรื่องและอะไรหลายๆอย่างดูดี แม้ในชีวิตจริงมันเป็นไปได้ยากหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลยที่คนสองคนซึ่งไม่เคยรู้จักกันจะมารักกันได้ในเวลาอันสั้น หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงหลงละเมอเพ้อพก ดำดิ่งสู่ความอ่อนละมุน นุ่มนวลของอารมณ์ที่หนังสื่อออกมา ผมไม่ได้บอกว่าหนังเรื่องนี้แย่ แต่เป็นผมเองต่างหากล่ะที่แย่ ผมเคยศรัทธาในความรัก ผมเชื่อในพลังของมัน ผมเชื่อว่ารักอย่างที่ดูในหนังนั้นเกิดขึ้นได้กับชีวิตเรา แต่ความจริงแล้วไม่เลย
ผมไม่ได้บอกว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่ มันมีครับ…แต่ไม่ใช่กับผม หลายอย่างเปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนตัวผมและความเชื่อในความรักของผมไปตลอดกาล

หนังที่ดูจบลงแล้ว ผมปิดทุกอย่าง ปล่อยตัวเองอยู่กับความเงียบและแมวตัวน้อยสองตัวที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน จากสมองที่ว่างเปล่าจากการดูหนัง เริ่มมีหลายอย่างทยอยเดินสวนสนามเข้ามาในหัว กลายเป็นสมองอันหนักอึ้ง แม้เรื่องที่สวนสนามเข้ามาจะไม่ค่อยมีเรื่องอดีตอันย่ำแย่ แต่เรื่องอนาคต เรื่องของวันพรุ่งนี้ หน้าที่ของเจ้าของร้านในวันพรุ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่หนักหนากว่าและต้องคิด
“เอ้า!! ยังไม่นอนอีกเรอะ”พี่ปุ๋ยคนขายน้ำแข็งเอาน้ำแข็งมาส่งแกทักผมเมื่อเปิดประตูเข้ามา ผมพยักหน้าตอบแก ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้เช้าแล้ว พึ่งมารู้ตอนที่พี่ปุ๋ยแกเข้ามาในบาร์นี่ล่ะ
“นอนไม่หลับ”ผมตอบ
“สงสัยเหล้าไม่ถึง”แกพูดกลั้วหัวเราะ
ผมหัวเราะด้วย “เยอะแล้ววันนี้ แต่ยังไงก็ไม่หลับ”
พี่ปุ๋ยหัวเราะก่อนจะเดินถือกระสอบน้ำแข็งออกไป ผมทิ้งตัวลงนอนเมื่อประตูบาร์ปิดอีกครั้ง ครั้งนี้ผมนอนพลิกไปพลิกมาได้อีกไม่นานก็หลับ


อาจเพราะหมดแรงและเมา ผมตื่นอีกทีตอนเย็น ทั้งที่ยังงัวเงีย ผมเอื้อมมือไปเปิดโทรศัพท์มาเปิดเฟซบุ๊ค นอนอ่านเรื่องอัพเดตสักพักแล้วเปิดหน้าต่างออก ข้างนอกฝนตก ผมถอนใจเฮือกเพราะผมเกลียดฝนที่ตกตอนเย็น มันทำให้ผมลำบากหลายอย่างทีเดียว
ผมลุกจากม้ายาวอย่างเกียจคร้าน ลุกแมวสองตัวย้ายไปนอนบนบาร์ ข้างกองเศษกระดาษชำระที่พวกมันฟัดจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
น้ำในโอ่งมังกรมังกรที่เย็นพอๆกับอากาศวันฝนตกเรียกความสดชื่น ไล่ความงัวเงียให้ ผมหงิกงอเป็นลอนที่ยาวเลยบ่าต้องใช้เวลาในการสระพอสมควร หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ส่องกระจกดูหนวดเครารกครึ้มของตัวเอง ผมไม่โกนหนวดเครามาตั้งแต่มีนาคม ตอนนี้สิงหาคมเข้าให้แล้ว ผมว่ามันรกครึ้มเข้าก็ทรงผมของตัวเองดีเหลือเกิน
ผมคว้าแจ๊คเกตหนังมาใส่ ปัดต้นขากางเกงยีนส์ขาม้าตัวเก่ง คาดกระเป๋าหนังกับเอว คว้ากุญแจรถเพื่ออกไปตลาดอีกครั้งเพื่อซื้อของเพิ่มเติม มีของบางอย่างเราหาซื้อที่ตลาดเช้าไม่ได้เช่นพวกของแห้งและข้าวสารที่จะขายสายหน่อย

ฝนที่ตกลงมาปรอยๆเกาะพราวเต็มใบหน้าและแจ๊คเกต ผมถลกแขนเสื้อแจ๊คเกตขึ้น คว้ารายการซื้อของออกมาและเดินตลาดอีกครั้ง ตลาดตอนเย็นนั้นคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของ ผมทักทายแม่ค้าตามปกติแล้วส่งใบรายการให้ก่อนจะเดินไปซื้อย่างอื่นอีก ผมเจอใครอีกหลายคน ทั้งครูบาอาจารย์ ทั้งเพื่อนที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน พี่น้องที่เล่นฟุตบอลด้วยกัน หากจะพูดกันตามตรง โลกเชียงรายไม่ได้กว้างเลย
“ไท”มือหนึ่งสะกิดไหล่ ทำให้ผมหันกลับไปมอง
ผมเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว ยืนมองคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่ามันเป็นภาพฝัน หรือมันเป็นภาพฝันของผมจริงๆ เธอเริ่มเปลี่ยนสีหน้า รอยยิ้มหายไป แต่เค้าหน้ายังไม่เปลี่ยน หากเป็นความฝันเธอคงจางจากไปแล้ว แต่นี่เธอที่ผมพึ่งนึกภาพขึ้นในห้วงคิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าผม
“พี่นุช………..”
ผมเอ่ยชื่อเธอ







สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ส.ค. 2556, 13:42:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ส.ค. 2556, 13:42:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 944





<< ในทิวากาล>1   บทกวีคั่น>สมุดบันทึกแห่งความรัก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account