สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1

วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่สิบแปดของเธอ

ปุษยาหย่อนเท้าลงจากเตียงคนไข้ นั่งรอให้พี่ชายเธอเข้ามาในห้องเหมือนเคย ปุรณะมาเยี่ยมเธอทุกวัน...ไม่เคยขาด นับตั้งแต่เธอถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ถ้าเป็นวันหยุดก็หอบงานมานั่งทำ ยิ่งเป็นวันสำคัญแบบนี้เขายิ่งต้องมา

ไม่เหมือนพี่ชายน้องสาวคู่อื่นบางคู่ที่ห่างเหินกัน ปุรณะกับเธอใกล้ชิดสนิทสนมกันมากแม้อายุจะต่างกันถึงสิบสามปี และนั่นทำให้เหตุที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อเดือนก่อนเป็นเหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางบ้าน เธอมองเห็นรอยหมองในสีหน้าของพี่ชายทุกครั้งที่เขาก้าวเข้าประตูมา และทุกครั้งเธอก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าปิดปาก ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น

อยากปลอบเขา...แต่ไม่สามารถปลอบได้

เด็กสาวกัดริมฝีปาก มองไปรอบห้องสีขาวที่ตนอยู่ มันเงียบสงัด เว้นเพียงเสียงเบาๆ จากอุปกรณ์การแพทย์แทรกขึ้นมาเป็นฉากหลัง เธอไม่ควรต้องมาติดอยู่ที่นี่ เธอควรได้ไปเฮฮากับเพื่อนๆ ได้อ่านหนังสือนิยายที่ซื้อดองไว้ และได้เที่ยวเสียให้ฉ่ำใจตามที่วางแผนไว้ว่าจะทำในช่วงปิดเทอม

...ทุกอย่างเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!

ความโกรธทำให้เธออยากจะลิ่วออกจากห้องไปเสียเดี๋ยวนี้ ไปดูว่าแม่นั่นชดใช้สิ่งที่ทำกับเธอไปแล้วแค่ไหน แต่แล้วเสียงกริ๊กของมือจับประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงประตูเปิดแง้มออก

เจ้าของร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในห้องดูล้าและอิดโรย เห็นรอยคล้ำเป็นวงดำอยู่ใต้ตาที่เคยส่งประกายเข้มแพรวพราย...แฝงรอยหัวเราะอยู่เสมอ คิ้วเข้มยังขมวดมุ่นยามเขาลากเก้าอี้เข้ามาข้างเตียงและนั่งลง แม้ว่าริมฝีปากหยักได้รูปคู่นั้นจะพยายามเปิดออกเป็นรอยยิ้ม ชายหนุ่มรูดเนคไทลงให้ปมคลายออก ทิ้งมันคล้องอยู่หลวมๆ ที่คอ ไหล่กว้างห่อลงเล็กน้อย

อากัปนั้นทำให้ปุษยาใจวูบลง เธอลุกจากเตียง เอื้อมมือไปวางบนไหล่พี่ชาย ทว่าเหมือนเคย...สัมผัสนั้นทะลุผ่านไป เขาไม่มีทีท่าจะรับรู้ ปุรณะเพียงไหวร่างไปนิดหนึ่งเหมือนรู้สึกหนาวขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะตวัดตามองเธออย่างเป็นห่วง

...หรือจะพูดให้ถูก มอง ‘ร่าง’ ของเธอ...

...ร่างที่นอนนิ่งบนเตียง ไม่รับรู้โลกรอบตัวใดๆ ...ถูกยึดติดอยู่กับอุปกรณ์การแพทย์ทั้งหลายด้วยสายระโยงระยางนั่น...

ปุษยากำมือที่ตกลงข้างกายแน่นเข้า โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มขยับผ้าห่มที่คลุมร่างเธอ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“สุขสันต์วันเกิดนะ ปิ๊ง...”

หางเสียงทุ้มนั้นขาดไป เหมือนกับเขาเองก็รู้สึกได้ว่าประโยคนั้นขัดแย้งกับความจริงอย่างตลกร้าย ปุรณะกัดกราม ล้วงมือลงในกระเป๋าและดึงกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งขึ้นมาเปิด วางลงใกล้มือที่ทอดนิ่งบนเตียง

“จำได้ไหม พี่สัญญาว่าวันเกิดปีนี้พี่จะให้ของขวัญพิเศษ”

“จำได้สิคะ ปิ๊งจำได้...”

เสียงตอบรับเร่งร้อนของเธอไปไม่ถึงหูพี่ชาย ปุรณะยังคงก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น เปิดกล่องออกมาเหมือนจะให้เธอดู เด็กสาวชะโงกข้ามไหล่เขาไปมอง สร้อยข้อมือ...ฝังเพชรเม็ดเล็กห่างๆ ห้อยจี้ตุ้งติ้งลงมาเป็นรูปหอไอเฟล

“พี่รู้ว่าปิ๊งอยากไปฝรั่งเศส ไว้ปิ๊งหายแล้วเราไปเที่ยวปารีสกัน โอเคไหม สร้อยนี่พี่ให้ปิ๊งเป็นมัดจำ พี่จะเก็บไว้ให้ก่อน...”

เสียงของเขาขาดหายไป และเจ้าตัวก็ปิดกล่องกำมะหยี่นั้น เก็บมันกลับเข้ากระเป๋าเหมือนรู้สึกว่าตนกำลังทำเรื่องเหลวไหลที่นั่งพูดอยู่กับคนที่ไม่ได้สติและไม่มีทางรับรู้เรื่องใด ปุษยายิ่งกำมือแน่น เธอคว้าไหล่เขา...สัมผัสที่ทะลุผ่านไปอีกครั้ง เสียงใสกรีดออกลั่น

“พี่เป้! ปิ๊งได้ยินพี่นะ ปิ๊งอยู่นี่!”

แน่นอน...เขาขยับตัวอีกครั้งคล้ายรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ได้ยินเสียงนั้นเหมือนเคย หรือถ้าได้ยิน...ชายหนุ่มก็อาจคิดว่าตนหูแว่วไป ตลอดเวลาที่ปุรณะคิดว่าเธอไม่มีวันรับรู้การกระทำของเขา เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายไม่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของเธอ ไม่รู้ว่าเธอยืนอยู่ตรงนี้
ทั้งที่ชาวบ้านเขาลือกันไปทั้งวอร์ดแล้วว่าห้องวีไอพีห้องนี้ ‘มีอะไรแปลกๆ’ แต่พี่ชายเธอกลับเป็นคนเดียวที่สะกิดเท่าไร... กรีดร้องใส่หูกี่รอบ ทุบ หรือฟาดยังไงก็ไม่สะเทือน

เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าตาย ถ้าวิญญาณเป็นบ้าได้!

“วันนี้น้องผมเป็นยังไงบ้างครับ”

ชายหนุ่มหันไปถามพยาบาลพิเศษซึ่งทางบ้านจ้างมาเฝ้าเธอ ฝ่ายนั้นตอบด้วยคำพูดที่ปุษยาฟังครึ่งไม่ฟังครึ่ง ก่อนที่เด็กสาวจะต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นพยาบาลรายนั้นยิ้มให้ปุรณะน้อยๆ เหมือนจะให้กำลังใจ

หึ ให้กำลังใจผีบ้าน่ะสิ! ส่งสายตาหวานเยิ้มออกขนาดนั้น!

พี่ชายเธอไม่เคยไปไหนได้โดยไม่มีสาวชม้อยชม้ายตาให้สักที และปุษยาก็รู้สึกอยากกรี๊ดออกมาอีกรอบ อยากตรงเข้าทึ้งผมแม่พยาบาลช่างยั่วนั้นให้สาแก่ใจ ถ้าไม่เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายนั้นเผ่นกระเจิดกระเจิงไปเหมือนรายที่แล้ว และปุรณะจะต้องหัวปั่นทิ้งงานมาเฝ้าเธอจนกว่าจะหาคนใหม่ได้อีกหนละก็

พูดจริงๆ ก็ใช่ว่ายัยพยาบาลนั่นจะทำอะไรเกินเลยขอบเขตไปจนเสื่อมเสียหรอก แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอต้องทนดูใครทำตาเล็กตาน้อยใส่ปุรณะเสียเมื่อไร เธอไม่เคยทน...แม้แต่ตอนอยู่ในสภาพปกติ...อยู่ในอารมณ์ดีๆ ไม่ต้องคิดถึงตอนอยู่ในสภาพแบบนี้เลย...

ฮึ่ย!

ปุษยายกแขนขึ้นกอดอก ทำตาขวาง ถ้าปุรณะรู้เข้า และถ้าทุกอย่างเป็นปกติ...เขาคงว่าเธอพาล คงหัวเราะและขยี้ผมเธอ ล้อว่า ‘หวงพี่ชายไม่เข้าท่า’ เหมือนที่เคยพูดกับเธอตอนเธออาละวาดใส่ยัยเชรีสุดรักของเขานั่น เขาบอกว่า ‘ไม่มีอะไร’ และบอกว่าเธอคิดมากไปเอง
น้อยไปน่ะสิ ปุรณะน่ะมองมารยาหญิงไม่ออกหรอก และยัยรวิสราผู้มีชื่อเล่นเก๋ไก๋เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า ‘เชรี’ นั่นก็เป็นเจ้าของมารยาไม่ใช่แค่ร้อยเล่มเกวียน แต่ขนมาเต็มเครื่องโบอิ้งเจ็ดสี่เจ็ดสักพันลำเห็นจะได้ ดูยังไง...ยัยนั่นก็พยายาม ‘จับ’ พี่ชายเธอชัดๆ

แน่ละว่ารวิสราไม่ชอบหน้าเธอนัก และเคยปรามาสใส่เธอซึ่งๆ หน้า...แม้จะลับหลังปุรณะว่า ‘ปิ๊งน่ะไม่รู้จักโตเสียที วันๆ ฝันเพ้ออยู่กับนิยายน้ำเน่าอะไรก็ไม่รู้’ คำพูดที่ทำให้เธอกรีดร้อง วีนกลับไปเต็มๆ และทำให้ปุรณะดุเธอว่าเสียมารยาทกับผู้ใหญ่

ฮึ เธออยากรู้ว่าตอนนี้พี่ชายเธอจะยังอยากปกป้องฝ่ายนั้นอยู่อีกแค่ไหน ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นเป็นคนทำให้เธอต้องมานอนแบ็บเป็นร่างกลวงๆ ในโรงพยาบาลแบบนี้!

ราวกับปุรณะจะจับความคิดของเธอได้ เขาบอกให้พยาบาลพิเศษออกไปพัก และเมื่อฝ่ายนั้นไปพ้นห้อง...จับมือเธอแน่นขึ้น เอ่ยออกมากึ่งบอกเล่า ทว่าด้วยเสียงที่เด็กสาวฟังว่า ‘มีพิรุธ’ เต็มที่

“ปิ๊ง วันนี้พี่เจอเชรี มีเรื่องอะไรนิดหน่อย...”

“ว่าไงนะพี่เป้?”

ปุษยาแทบจะจับตัวพี่ชายมาเขย่าๆ...ถ้าทำได้ ทว่าเจ้าตัวยังไม่รู้ถึงความร้อนรนอยากรู้อยากเห็นของเธอ เขาก้มหน้ามองร่างบนเตียง ยกมือขึ้นลูบต้นคอ ผิวแก้มเรื่อสีขึ้นเหมือนกึ่งอายกึ่งลำบากใจ

“พี่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง พี่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น...”

“พี่เป้! อะไรกันคะ! มีอะไร!”

“พี่ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงพี่...”

“จะพูดอะไรก็พูดมาสิคะ!”

ปุษยาแผดเสียงออกอย่างเหลืออด มือปัดไปโดนแก้วน้ำที่ทางโรงพยาบาลคว่ำไว้บนโต๊ะใกล้เตียง เกือบจะกระเด็นลงจากโต๊ะ แต่เธอคว้าไว้ทัน ไม่ใช่เธอกลัวพี่ชายจะตกใจหรอก ปุรณะคงหาเหตุผลอะไรสักอย่างมาอธิบายเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแบบนั้นได้เหมือนเคย แต่เธอกลัวว่าเขาจะไม่พูดต่อ

“เชรีเขามาหาพี่เมื่อกลางวัน...จะชวนมาเยี่ยมปิ๊ง” ชายหนุ่มก้มหน้าต่ำลงอีก สูดหายใจลึก ไม่สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ อาจเพราะกำลังหมกมุ่นกับความคิดของตัวเอง “เราคุยกัน แล้วจู่ๆ... พี่ไม่รู้ว่าทำไม พี่เริ่มโทษเชรีว่าเขาเป็นคนผิดที่ทำให้ปิ๊งเป็นแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าทำแบบนั้นมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น พี่รู้ว่าเขาประมาท เขาไม่น่าดื่มก่อนขับรถ แต่ทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ...”

“ไม่ต้องไปแก้ตัวแทนยัยนั่นหรอกพี่เป้ ยัยนั่นมันผิดเต็มประตู ร้อยทั้งร้อย...”

“แต่ตรงนี้แหละที่แปลกที่สุด...” ปุรณะสั่นศีรษะ ทำเสียงเหมือนสำลัก คล้ายรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดนั้นน่าขันในบางแง่มุม อยากหัวเราะ แต่ก็หัวเราะไม่ออก “พี่รู้...รู้ทุกอย่างในสมอง แต่คุมตัวเองไม่ได้ มันเหมือนมีใครเขียนบทมายัดใส่ปากพี่เฉยๆ บทงี่เง่าอีเดียทเสียด้วย เราทะเลาะกัน ใจหนึ่งพี่ยังรู้ว่าไม่ควรโทษเขา... เขาเองก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว แต่ปากพี่มันไม่ฟัง มือพี่มันไม่ฟัง...”

“พี่เป้คงไม่ได้ตบยัยนั่นใช่มั้ย?”

เด็กสาวทำตาโตเท่าไข่ห่าน เธอคงสะใจดีอยู่หรอกถ้าปุรณะจะทำแบบนั้น แต่ใครจะรู้ว่ารวิสราจะเอาเรื่องอะไรพี่ชายเธอบ้าง วิ่งไปฟ้องทางบ้าน? กรีดน้ำตาออกข่าวสังคม? แจ้งตำรวจฐานทำร้ายร่างกาย?

ยังไม่นับว่าพี่ชายเธอคงยอมตัดมือตัวเองทิ้งดีกว่าทำร้ายผู้หญิง เขาไม่เคยนิยมใช้กำลังทำร้ายคนอ่อนแอกว่าแบบนั้น และปุษยาก็คิดว่าเขาคงไม่มีวันทำได้...

...แหม น่าเสียดาย...

“พี่จูบเขา”

อะไรนะ?

ปุษยาชะงักกึก รู้สึกเหมือนถูกต่อยท้องเข้าจนจุก

“พี่ดึงเขาเข้ามา กระชากจูบ...อย่างกับพระเอกละครน้ำเน่า ให้ตาย!” ชายหนุ่มหลุดคำสบถออกมา อาการที่บอกความวุ่นวายใจจัด เพราะปุรณะเป็นคนสุภาพและรักษาท่าทีเสมอ แม้ยามนี้เธอจะไม่เห็นความสุภาพหรือเยือกเย็นอยู่ในตัวเขานัก พี่ชายเธอทำท่าเหมือนอยากโขกหัวตัวเองลงกับขอบเตียงให้ดับจิตไปเลยมากกว่า “พี่ไม่รู้ว่าพี่คิดอะไรของพี่อยู่ ไม่สิ พี่สาบานว่าพี่ไม่ได้คิด ไม่ได้อยากทำอย่างนั้นเลยนะ”
ยิ่งฟัง เด็กสาวยิ่งรู้สึกวิงเวียนเหมือนจะเป็นลม...

...วิญญาณหน้ามืดได้หรือเปล่าน่ะ...

เด็กสาวดุตัวเองว่าคิดอะไรบ้าๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอควรห่วงตอนนี้ ที่เธอควรห่วงคือพฤติกรรมของพี่ชายมากกว่า พฤติกรรมที่ทำให้เธอนึกแวบขึ้นถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

...การที่ปุรณะเป็นแบบนี้ คงไม่ใช่เพราะ...

...เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอกน่า!

ปุษยาสั่นศีรษะแรงๆ อย่างจะไล่ความคิดนั้นออกไป ไม่มีทาง เธอไม่ใช่แม่มดหมอผี เทวดาอะไรสักหน่อย แค่วิญญาณ และพูดตามตรงก็ไม่ใช่ ‘ผี’ เต็มรูปแบบด้วยซ้ำ ในเมื่อเธอยังไม่ได้ตายไปจริงๆ ร่างเธอยังนอนทนโท่อยู่นี่ชัดๆ

นั่นแปลว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คำพูดพล่อยๆ ของเธอจะทำให้พฤติกรรมของใครผิดเพี้ยนไปได้ ทำให้เกิดผลอะไรบางอย่างตามมา
โดยเฉพาะคำพูดหลุดโลกที่เกิดจากเหตุผลหลุดโลกแบบนั้น

แต่เมื่อเธอมองดูชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ตรงหน้า…หันหลังให้เธอ เห็นท่าทีสับสนของเขา เด็กสาวก็เริ่มไม่แน่ใจ เมื่อก่อนเธอไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ หัวเราะใส่ทีวีเวลาเห็นคนมาเล่าเรื่องประสบการณ์เฉียดตายว่าวิญญาณออกจากร่าง แต่พอมาเจอเข้ากับตัวเอง เธอก็หัวเราะไม่ออก ไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นไปได้หรือไม่

ปุษยาเริ่มสาวเท้ากลับไปกลับมา กัดริมฝีปากจนถ้ายังมีร่างอยู่ก็คงได้เลือดไปแล้ว...ความคิดปั่นป่วนเมื่อเธอหันมองปุรณะเป็นระยะ
เรื่องมันเหมือนเป็นไปไม่ได้...แต่ถ้าเป็นไปแล้วล่ะ

ซวยแล้ว...อาจเป็นคำที่เธอใช้สรุปเรื่องได้สั้นๆ เธอไม่สนใจว่ายัยเชรีนั่นจะไปเป็นตายที่ไหน ไม่สนเลย... แต่ถ้าพี่ชายเธอเข้าไปติดอยู่ในวังวนนั้นด้วย...

แค่คิดถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิด ปุษยาก็ตัวสั่น

ไม่! เธอต้องหยุดเรื่องนี้ให้ได้ ไม่ว่ามันจะเกิดเพราะอะไรก็ช่าง พี่ชายเธอไม่ใช่พระเอกเรื่องน้ำเน่า และเมื่อนี่ไม่ใช่นิยายหรือละคร มันก็ไม่สนุกเลยสักนิด

...โดยเฉพาะเมื่อ ‘นางเอก’ คือยัยรวิสรา...ไม่ใช่ผู้หญิงแสนดีอ่อนแอน่าสงสารที่ไหน เธอเดาไม่ถูกเลยว่าฝ่ายนั้นจะทำยังไงถ้าเรื่องเลยเถิดไป สมมติว่าปุรณะเกิดบ้า...ปล้ำยัยนั่นตาม ‘บท’ ขึ้นมาล่ะ

รวิสราจะทำยังไง...จับพี่ชายเธอตอน คว้าปืนมายิง หนีไปแจ้งความแล้วลากพี่ชายเธอเข้าซังเต...

...หรือว่า...โดดเข้าปล้ำพี่เธอก่อนเขาจะทันได้ปล้ำเองกัน?

ปุษยาหลับตาเห็นภาพพี่ชายเธอเป็นเจ้าบ่าวจำเป็นได้ชัดแจ๋ว เห็นภาพรวิสราหัวเราะโฮะๆ ที่ทุกอย่าง ‘เข้าทาง’ เห็นว่าเมื่อทุกอย่างผ่านไปแล้ว...เขาจะกลายเป็นสามีในโอวาทที่ต้องวิ่งรอก ทำตามคำสั่งภรรยาจากนรกปีละสามร้อยหกสิบห้าวัน

“ไม่มีวันซะละย่ะ!” ปุษยากัดฟันกรอด สบถกับตัวเองหัวฟัดหัวเหวี่ยง เป็นยังไงก็เป็นกัน เธอจะไม่ยอมให้ปุรณะไปขึ้นเขียง...เป็นเหยื่อของยัยผู้หญิงจอมมารยานั่น

มันต้องมีทางแก้สิน่า เธอเชื่ออย่างนั้น...

ในเมื่อเธอเป็นคนแช่งรวิสราเอง

...หรือจะเรียกว่า ‘สาป’ ดี?



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ส.ค. 2556, 22:47:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ส.ค. 2556, 22:47:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1721





   บทที่ 2 >>
sugar 28 ส.ค. 2556, 23:04:52 น.
รออ่านๆ มาตอนแรกก็ชอบแล้วค่ะ


Chii 28 ส.ค. 2556, 23:52:19 น.
คุณวัสส์?


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account