สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2

เสียงกำไลข้อมือโลหะหลากสีกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง เมื่อมือเรียวจับผ้ามัสลินพาดพันไปบนหุ่นซึ่งตั้งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวใหญ่ยาวกลางห้องและกลัดหมุดไว้อย่างว่องไว ร่างบางถอยออกมาก้าวหนึ่ง คว้ากรรไกร ดวงตาโตดำขลับล้อมด้วยขนตาหนาเป็นแพที่เคยทำให้ชายหลายต่อหลายคนเพ้อหากวาดมองผลงานตรงหน้า คิ้วคมขมวดเข้า ปากเคลือบสีสดขยับเม้ม แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับทำอะไรได้มากไปกว่านั้น มือของใครอีกคนก็คว้าไหล่เธอจากด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งจนเกือบร้องวี้ด ถ้าเสียงถามเป็นชุดจะไม่ดังขึ้นก่อน

“วันนี้เป็นอะไรน่ะเชรี ท่าทางมู้ดดี้เชียว ข่าวสังคมที่ไหนลงรูปแกไม่สวยหรือหนุ่มที่ไหนตื๊อแกไม่เลิก โยนมาทางนี้มั่งก็ได้นะ”

“ยัยแพท! มาก็ให้สุ้มให้เสียงหน่อยสิยะ” รวิสราแหว หมุนตัวไปมองเจ้าของเสียงตาเขียว มือกระแทกกรรไกรลงบนโต๊ะข้างตัวก่อนจะเท้าเอว แว้ดต่อเสียงสูง “เกิดฉันบ้าจี้กว่านี้เอากรรไกรกระซวกแกจะทำไงเนี่ย”

“เดี๋ยวแกก็พาฉันไปหาหมอเองแหละ” พันธิตราตอบเสียงใส กระพือขนตาทำหน้า ‘แบ๊ว’ เจ้าตัวดึงเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ใกล้กันนั้นมา ลงนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าด้วยท่าทีเหมือนเด็กๆ ซึ่งเมื่อบวกกับหน้าใสๆ ที่แต่งไว้แค่เบาบาง เสื้อแขนกุดและกระโปรงลูกไม้ยาวสีส้มสดที่เธอสวมอยู่วันนี้ก็ทำให้ดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงมาก จนเกือบไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตัวเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งของแบรนด์แฟชั่นที่กำลังประสบความสำเร็จแห่งนี้ร่วมกับรวิสรา โดยรับผิดชอบด้านการเงินและการจัดการขณะที่รวิสราเป็นนักออกแบบและออกหน้าประชาสัมพันธ์แบรนด์

คนฟังกลอกตาขึ้นฟ้า ถอนใจออกมายาวเหยียดเมื่อได้ยินคำตอบ นึกอยากสวนว่าเธอกลัวจะต้องเรียกปอเต๊กตึ๊งเสียมากกว่าหมอ แล้วคอลเลคชั่นหน้าของ ‘มา เชรี’ ก็คงได้ไปอวดโฉมที่ห้องกรงแทนฮ่องกง แต่คนพูดไม่มีท่าทีจะสลดลงเลยเมื่อถามต่อ

“ว่าไงล่ะ ตกลงแกยังไม่บอกเลยว่าแกหัวเสียเรื่องอะไร มีหนุ่มในสังกัดจะยกให้ฉันมั้ย”

“พูดยังกับที่แกมีอยู่ตอนนี้แกสับรางทัน แล้วใครบอกฮึว่าฉันหัวเสีย”

พันธิตราแค่เลิกคิ้ว มองตรงมาอย่างทองไม่รู้ร้อน ทำให้ ‘คนหัวเสีย’ อยากจะกรี๊ดออกมาสุดความแรงปอด ก็ได้ เธอยอมรับว่าเธออารมณ์ไม่ปกติ และใครจะเชื่อว่าเป็นเพราะเขา

เพราะ ‘ก้อนหินในสวนเซน’ อย่างที่เธอเคยแอบตั้งฉายาไว้!

ปกติแล้วปุรณะนิ่งขนาดนั้นนั่นแหละ เขาทำให้เธอนึกถึงก้อนหินใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางผืนทรายอันกวาดไล่เป็นรูปเรขาคณิตในสวนหินของวัดญี่ปุ่น ดูเผินๆ เรียบแล้ง แต่ก็หนักแน่น มั่นคง และให้ความรู้สึกสงบนิ่งอย่างประหลาด สงบจนบางครั้งเธอนึกแผลงๆ ว่าอยากบุกเข้าไปใน ‘สวนเซน’ ของเขาแล้วเอาสีสเปรย์สดๆ พ่นให้กลายเป็นศิลปะแบบเอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์ ลองทำลายความสงบนั้นดูสักทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีเธออาจก่อกวนความสงบเขาไปแล้วก็ได้แค่ด้วยการเลือกเป็นฝ่ายรุก ก้าวเข้าไปในชีวิตเขา แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็ไม่เคยแสดงความรังเกียจอะไรออกมา

อันที่จริงเธอคิดด้วยซ้ำ ว่าเขาเหมือนจะมีทีท่าตอบสนองเธออยู่นิดๆ
บางครั้งรวิสราก็สงสัยว่าเธอชอบเขาที่ตรงไหน (ถ้าไม่นับความหล่อ ความรวย และหน้าที่การงาน ซึ่งแน่ละ...เขาผ่านมาตรฐานทุกข้อแบบลอยลำไปหลายช่วงตัว) ในเมื่อวิถีชีวิตของเธอและเขาออกจะตรงกันข้าม แฟชั่นนิสต้าตัวแม่ที่ใช้ชีวิตล้ำสังคมอย่างเธอกับผู้ชายนิ่งๆ จนเกือบเป็นอนุรักษ์นิยมอย่างเขา เธอคิดว่าอาจจะเพราะรอยยิ้มพรายในตาเมื่อเขามองโลก เหมือนเจ้าตัวเห็นเรื่องน่าขันอยู่ในนั้นแต่ไม่ได้บอกใคร

หรืออาจจะเพราะความรักมากมายและความทุ่มเทที่เขามีให้ปุษยา

...น้องสาวเขาที่กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ในตอนนี้ เพราะเธอ...

แค่คิดถึงเรื่องนั้นรวิสราก็รู้สึกปวดมวนขึ้นมาในท้อง (และเธอแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะอาหารเป็นพิษ) เธอไม่ใช่นางงามมิตรภาพ ไม่ใช่คนเอ็นดูเด็ก และยอมรับว่าเธอไม่เคยชอบหน้าปุษยา น้องสาววัยรุ่นตัวแสบที่ถูกสปอยล์จนเหลิงของเขา แต่เธอสาบานว่าไม่เคยอยากให้เด็กสาวคนนั้นตกอยู่ในสภาพแบบนี้ สภาพที่ดีกว่าตายนิดเดียว!

สิ่งที่เกิดเมื่อเดือนก่อนเป็นอุบัติเหตุ และมันก็หลอนเธอแทบทุกคืนที่หลับตาลง... คืนนั้นปุษยาไปเที่ยวกับเพื่อน...ไม่มีอะไรมาก แค่ดูหนังรอบสองทุ่มที่ได้ตั๋วฟรีมาจากการชิงโชคทางอินเทอร์เนตเท่านั้น หนังค่อนข้างยาวและกว่าเด็กสาวจะแยกย้ายกับเพื่อนก็ดึกแล้ว... ปุรณะบ่นเป็นห่วงประสาคนหวงน้อง เธอมีนัดไปปาร์ตี้ในละแวกใกล้กันพอดี และในเมื่อมีโอกาส ‘ทำคะแนน’ เลยอาสาจะไปรับปุษยากลับหลังหนังจบ

ใครจะรู้...ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ

เธอออกจากงานเลี้ยงมาช้าไปหน่อย... ปกติรวิสราไม่นิยมเป็นซินเดอเรลลา แปลอีกทีคือไม่เคยรีบร้อนออกจากงานก่อนเที่ยงคืน เธอตะลุยราตรีได้ยันเช้าถ้าอยู่ในอารมณ์ และที่ยอมออกมารับปุษยาให้คราวนี้ก็ถือว่าให้เป็นกรณีพิเศษสุดๆ แล้ว ทว่าคนที่รออยู่ดูเหมือนจะไม่คิดแบบนั้น และเด็กสาวก็ทำหน้าหงิกงอ วีนเข้าใส่เธอเต็มที่ ทำให้เธอ ‘ของขึ้น’

โทสะ รถยนต์ และ...แอลกอฮอล์ ส่วนผสมที่ไม่เคยเข้ากัน

รวิสราไม่ได้ตั้งใจแหกกฎ ‘เมาไม่ขับ’ เธอแค่คิดว่าเธอดื่มไปนิดเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คนเมาคิดเสมอ...ประมาทและเข้าข้างตัวเอง กว่าจะได้คิด... กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรผิดไป ก็เมื่อเธอยืนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยความช็อก มองตามร่างชุ่มเลือดของปุษยาที่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน

...รถด้านที่ถูกอัดกระแทกเข้าอย่างจังเมื่อเกิดอุบัติเหตุคือด้านที่เด็กสาวนั่ง เธอคงไม่มีวันลืมภาพนั้น และคงไม่มีวันลืมสีหน้าซีดเผือดของปุรณะเมื่อเขาเร่งร้อนมาที่โรงพยาบาล...

‘เกิดอะไรขึ้น’ คือคำแรกที่เขาถามเธอ ตามมาด้วยคำถามว่า ‘ปิ๊งเป็นยังไงบ้าง’

นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่คนช่างสังคมอย่างเธอพูดไม่ออก เธอส่ายหน้า และเขาก็มองเธอนิ่งนานด้วยสายตาที่รวิสราไม่อาจแปลความ ก่อนจะผละไปคุยกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแทน

หลังจากนั้น จนปุษยาออกจากห้องฉุกเฉิน แม้จะยังไม่ฟื้น เขาไม่ได้พูดอะไรกับเธออีกแม้แต่คำเดียว เธอพยายามขอโทษเขา บอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ แต่ทุกอย่างฟังเหมือนคำแก้ตัวแม้แต่ในหูเธอเอง และคำตอบของปุรณะมีเพียงประโยคสั้นๆ เรียบๆว่า ‘ผมเข้าใจ’

สิ่งที่เธอไม่แน่ใจมาจนวันนี้คือเขาเข้าใจอะไรแน่ เธอไม่อาจตีความดวงตาสีดำคู่นั้น แต่วันนี้ กับสิ่งที่เกิดขึ้น กับคำพูดของเขา เธอคิดว่าเธอเข้าใจและแน่ใจจนเกินพอ

ความปวดร้าวไหลย้อนเข้ามาในอก ไม่ใช่นิสัยของรวิสราที่จะร้องไห้ฟูมฟาย เธอจึงกลับมาทำงานเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ กับอารมณ์ที่เหมือนทะเลป่วน เธอจุก ตื้อ และความเสียใจก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ

...โกรธอะไร เธอไม่อยากได้คำตอบ...

อาจจะเพราะส่วนลึกเธอรู้ ว่าคำตอบนั้นจะไม่ทำให้เธอรู้สึกดี

“เชรี เชรี!”

เสียงเรียกทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง เธอกะพริบตาถี่ เพื่อจะเห็นว่าผู้เป็นเพื่อนกำลังแกว่งนิ้วใส่หน้าเธอ “ใจลอยไปถึงโลกไหนแล้วเนี่ย แบบนี้เหรอไม่มีอะไร อมเรื่องอะไรไว้ก็คายออกมามะ สารภาพมาให้หมดเปลือกเดี๋ยวนี้เชียว อย่าทำเป็นไก๋”

“ฉันเปล่า...”

“ถ้ามีอะไรแล้วพูดกับเพื่อนไม่ได้ แกจะมีเพื่อนไว้ทำไม ฮึ”

สีหน้าและน้ำเสียงแสนดีเกินจริงของพันธิตราทำให้คนฟังต้องกัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะ เธอตีหน้าเคร่ง ส่ายหน้า ขัดคอขึ้น “อย่ามาทำเป็นเอาดีเข้าตัวเลย ฉันรู้นะว่าแกแค่อยากรู้เรื่องชีวิตรักชาวบ้าน”

“ชีวิตรัก? ว้าวววววว” คู่สนทนาของเธอลากเสียงยาว “งั้นก็มีหนุ่มละสิ ใคร คุณเป้? ทำไม เกิดอะไรขึ้น เขาเร่าร้อนไม่ได้ดังใจแก? เรื่องบนเตียงไม่แมทช์?”

“ยัยแพท!” คราวนี้รวิสรากรี๊ดออกมาจริงๆ “พูดงี้ใครมาได้ยินฉันเสียหายหลายแสนนะยะ ใครขึ้นเตียงกับใคร”

“เสียหายตรงไหน เผื่อแกอยากกอดตุ๊กตานอน เขาอยากกอดอย่างอื่น...” และเมื่อเห็นรวิสรามองมาอย่างเข่นเขี้ยว ทำท่าเหมือนจะเอากรรไกรขว้างได้ทุกเมื่อ พันธิตราก็หัวเราะ ยกมือยอมแพ้ “เอ๊า ก็ใครจะไปรู้ แกไม่บอก ก็ต้องเดา เห็นว่าชีวิตรักๆ”

“ชีวิตรัก ไม่ใช่ชีวิตเซ็กซ์ ฉันไม่ได้มีอะไรกับคุณเป้สักหน่อย” เจ้าตัวต่อในใจว่าอนาคตก็คงไม่มีเหมือนกัน ถ้าวัดจากพฤติกรรมเขา แต่สิ่งที่พูดต่อไปเป็นแค่คำค่อน “จะห่งจะหื่นก็ให้มันน้อยๆ หน่อยย่ะ แกนี่มันไม่ค่อยเล้ย แค่คำว่าชีวิตรักเนี่ยนะ ตีความเลยเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหน”

“ก็แกอยากทำเป็นมีลับลมคมในเองนี่” พันธิตราโต้ “ไม่มีอะไรในกอไผ่ก็บอกออกมาก็สิ้นเรื่อง หรือว่ามันมีแล้วแกล้งทำไม่มี ถึงได้พูดไม่ได้”

“คิดมากน่ะ”

“ดีกว่าคิดน้อยก็แล้วกัน ตกลงมีหรือไม่มี”

“ไม่”

“ไม่เชื่อ”

“ก็บอกว่าไม่มีไง”

“ม่ายยยย เชื่อออออ”

“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่มี”

“ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ”

“ฉันบอกว่าไม่...” รวิสราเอ่ยออกมาได้แค่นั้น ก่อนจะถอนใจ ยอมแพ้เมื่อเห็นหน้าเพื่อน “ก็ได้ ก็ได้ ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ก็แค่จูบเดียว โอเคมั้ย พอใจรึยังยะยัยคนไม่คิดน้อย”

“จูบ?” พันธิตราทำตาโต “เขาจูบแก? แกจูบเขา? ใครเริ่มก่อน ดีกรีระดับไหน อ๊ะ อย่าเพิ่งบอก ให้ฉันเดา” เจ้าตัวมองมา ก่อนจะตัดสินใจ “แกเริ่ม? เขาขัดขืน?”

“แบบนี้เองที่เขาเรียกได้คืบจะเอาศอก”

คนฟังไม่สนใจคำประชด เพียงทำหน้าซื่อใส ‘ร่าย’ ไปเรื่อย

“ไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นก็เขา? อย่างนี้ภารกิจพิชิตหนุ่มก็ใกล้สำเร็จแล้วสิแก ทำให้เขาจูบแกได้แล้วนี่ แล้วมานั่งทำหน้ายู่ยี่อยู่ทำไม” ยิ่งพูดเจ้าตัวยิ่งวาดฝันบรรเจิด “แบบนี้มันต้องฉลอง เอางี้ ไปดริงค์ที่ออทัมน์ฟอเรสต์กันมั้ย แกได้คุณเป้แล้ว หนุ่มในฮาเร็มที่เหลือของแกแกคงไม่สนแล้วมั้ง จะยกให้ฉันหรือว่ายังไง บอกม้าาา บอกมานะ มาเซ็นสัญญาเลือดกันเลย...”

“เดี๋ยว เดี๋ยว ช้าก่อน อย่าเพิ่งข้ามขั้นค่ะคุณหญิง” ดีไซเนอร์สาวยกมือขึ้นห้ามเหมือนพระปางห้ามญาติ “ใครบอกว่าสำเร็จ ใครกันบอกว่าเขาพิศวาสฉัน แล้วไอ้เรื่องดริงค์น่ะขอบาย แค่นี้ก็นั่งใช้เวรใช้กรรมจะตายอยู่แล้ว ขืนโดนจับเมาแล้วขับอีกรอบได้เข้าตะรางของแท้ ช่วงนี้ขอถือศีลสักพักแล้วกัน”

“สาธุ” คนเป็นเพื่อนยกมือไหว้ท่วมหัว “โมทนาบุญด้วยค่า ว่าแต่ว่า...เรื่องจูบนั่นเขาเริ่มจริงใช่มั้ยล่ะ ถ้าคุณเป้เขาไม่พิศวาสแก แล้วเขาจะจูบแกทำไม”
คำถามนั้นทำให้คนฟังถอนใจยาว อารมณ์เริ่มขุ่นขึ้นมาอีกรอบ

“แกจะอยากรู้ไปทำไมเนี่ย”

“อ้าว ก็มันไม่เมคเซนส์ คนเราอยู่ดีๆ ไม่เอาปากไปชนกันเฉยๆ หรอกน่า ของแบบนี้ถ้าไม่นึกรักมันก็ต้องมีเคมีสปาร์กพึ่บพั่บกันบ้าง หรือไม่ใช่?”

“สงสัยจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” รวิสราคิดถึงคำพูดที่เขาสาดใส่เธอ ก่อนจะบิดริมฝีปากได้รูปสวยอย่างหยันๆ “แกไม่เคยได้ยินเหรอว่าอีกสุดขั้วของความรักคืออะไร”

“เอ่อ...ความใคร่?”

“ความแค้นย่ะ” รวิสราทำเสียงประชดๆ เอื้อมมือคว้าเข็มหมุดเล่มที่ตกอยู่แถวนั้นขึ้นมา และปักฉึกลงไปบนหมอนปักเข็มสีดำประจำตัวที่เย็บเป็นรูปตัวคนเหมือนตุ๊กตาวูดู ทำให้พันธิตราสะดุ้งเฮือกเหมือนโดนแทงเสียเอง “เคยอ่านนิยายหรือดูละครตบจูบมั้ย พระเอกแค้นนางเอก เลยจูบลงทัณฑ์ ถ้าเขาเป็นพระเอก ฉันก็เป็นนางเอก เรื่องมันน้ำเน่าแบบนั้น เป๊ะสุดๆ ใช่เลย”

***********

“ฮัด-เช้ย!”

ปุรณะจามออกไปเต็มรัก ควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหน้า ก่อนจะขยับจมูกฟุดฟิด นึกสงสัยว่ามีใครนินทาเขาอยู่หรือเปล่า และถ้าคนที่นินทาอยู่นั่นคือรวิสรา เขาจะไม่แปลกใจ เธอคงต้องหาทางระบายออกบ้างหรอก หลังจากเขาทำตัวสติแตกแบบนั้น

ว่าตามจริง... ผ่านมาถึงตอนนี้ เขายังสติแตกอยู่เลยด้วยซ้ำ

เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ตัวเขาเหมือนไม่ใช่ตัวเขา ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เข้าเรื่อง...หรือไม่ให้เกียรติผู้หญิง

ที่สำคัญ...เขาว่ามันไม่เข้าเรื่องแม้แต่น้อยที่จะแค้นรวิสรา แม้เธอจะมีส่วนทำให้ปุษยาต้องไปยืนอยู่ริมขอบเหวความเป็นตายแบบนี้ ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ แน่นอนว่าเธอทำผิด แต่ไม่ใช่เพราะมีเจตนาทำร้ายใคร และต่อให้เจตนา เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าการคิดแค้นให้อะไรคนเรา

ฉะนั้นปุรณะจึงไม่เข้าใจว่าอะไรเข้าสิงเขาเมื่อวาน เมื่อรวิสรามาหาเขาและถามว่าจะไปเยี่ยมปุษยาพร้อมกันไหม

‘ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงใยอะไรน้องผม คุณมันปิศาจ ปิศาจแสนสวย...แต่ก็เป็นปิศาจ....’

เสียงกร้าวของตนเองก้องกลับมาในหู ทำให้ชายหนุ่มปวดศีรษะตุบขึ้นมาอีก ตอนนั้นเขาทำอะไรลงไปนะ...เอามือจับคางเธอช้อนขึ้น...บีบบังคับให้มองหน้าเขาสบตาเขา ใช่...

‘ปิศาจที่ซาตานส่งมาทำลายล้างผม...’

ปุรณะครางลั่น หลับตา ห่อตัวงอลงบนเก้าอี้ทำงาน แค่คิดก็รู้สึกอยากดำดินหายลงไปตรงนั้นแล้วไม่ต้องโผล่ออกไปเจอหน้าใครอีกสามสิบปี นี่เขาเป็นบ้าอะไรไป พูดจางี่เง่าไร้เหตุผลเป็นละครแบบนั้น

‘อย่าคิดว่าจะรอดไปได้...เชรี...’ เขาหัวเราะหึๆ

ใช่เลย...หัวเราะหึๆ! ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยทำอะไรประเภทนั้น หัวเราะหึๆ ตอนขู่ผู้หญิง นี่เขาเป็นผู้ร้ายหนังไทยหรือไงวะ?

‘สิ่งที่คุณทำให้ครอบครัวผมเสียไป...ทุกสิ่งทุกอย่าง ผมจะเรียกคืนให้หมด คุณต้องชดใช้ ผมจะทำให้คุณชดใช้ทุกนาทีที่เหลือของคุณเชียวละ ทุกนาทีที่ปิ๊งควรจะได้มี...’

‘คุณบ้าไปแล้วเหรอ!’ รวิสราดิ้นรน แหวใส่หน้าเขา แต่เขาไม่ปล่อย ทำไมเขาไม่ปล่อย? ปุรณะมองไม่เห็นเหตุผลในตอนนี้...ตอนที่เขาเห็นด้วยกับเธอเต็มประตู เขาบ้าไปแล้ว ใช่ ใช่ และใช่

‘คุณทำให้ผมบ้าคลั่งเองนี่...ที่รัก อยากได้ยินคำนั้นนักใช่ไหม’ เขาหัวเราะเสียงต่ำออกมาอีกรอบ จับแขนเธอกระชากเข้ามา แล้ว... แล้ว...

“อ๊าก อ๊าก อ๊าก นี่มันอะไรกันโว้ย!”

ชายหนุ่มโขกศีรษะลงกับโต๊ะสามครั้งรวด เผื่อความทรงจำจะละลายออกไปกับเลือดบ้าได้บ้าง แต่สิ่งที่เกิดคือเขาแค่เจ็บศีรษะมากขึ้น

และเมื่อปุรณะเงยหน้ามอง เขาก็เห็นเลขานุการของตนยืนอยู่ที่ช่องประตูด้วยสีหน้าหวาดๆ เหมือนกำลังสงสัยว่าเขาเสียสติไปเรียบร้อยครบถ้วนกระบวนความแล้ว

ชายหนุ่มกะพริบตา กระแอม ก่อนจะดึงเนคไทให้ตรง ปั้นหน้าตาย...แม้จะรู้สึกสังหรณ์ว่าป่านนี้หน้าตัวเองคงแดงไปตั้งแต่คอจรดใบหู และไม่ใช่เพราะแรงโขกเมื่อครู่ด้วย

“ไม่มีอะไรหรอกเมย์ ผม...เอิ่ม...เอ่อ...”

“อ่า...เมย์แค่...ได้ยินเสียงร้องเลยเข้ามาดูค่ะ ขอโทษที่รบกวน”

ละล่ำละลักจบคำเจ้าหล่อนก็ผลุบหายวับออกไปจากห้อง ชายหนุ่มหวังว่าจะไม่ใช่เพื่อไปโทรหาโรงพยาบาลประสาทให้มารับตัวเขา

แม้ว่ายามนี้เขาจะเริ่มคิดว่าการทำอย่างนั้นอาจจะถูกต้องก็ได้ บางทีอาจควรมีใครพาเขาไปปรึกษาจิตแพทย์ หรือถ้าไม่มี เขาอาจควรไปเอง

เพราะถ้าจิตเขายังปกติอยู่ เขาคงไม่คิดปล้ำจูบรวิสรา

...จูบเธอ...

ปุรณะครางออกมาอีกรอบอย่างกลัดกลุ้มระคนว้าวุ่น เขาเอนหลังพิงพนักโดยแรง หลับตาลง พยายามไม่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิด แต่มันก็เด่นชัดจนเก็บไว้ไม่อยู่ ความทรงจำถึงริมฝีปากนุ่มที่สั่นระริกอยู่แทบริมฝีปากเขา เขายังคงได้กลิ่นผิวเนื้อที่ระคนกลิ่นน้ำหอมเย้ายวนติดจมูก รู้สึกได้ถึงรสสัมผัสอันอ่อนหวานอย่างน่าแปลกใจ หวานราวกับน้ำผึ้ง

...ตั้งแต่คบกันมา เขาคิดถึงรวิสราว่าเป็นมะนาวมากกว่า เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่เปรี้ยวเปรียวด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่หวาน

แล้วนี่เขาเป็นคนสารเลวชนิดไหน...ที่ยังมานั่งวิเคราะห์รสชาติเธอว่าเป็นน้ำผึ้งหรือมะนาว? ที่ยังรู้สึกรู้สากับจูบนั้นได้ทั้งที่รู้ว่าทำให้เธอตกใจขนาดนั้น? ภาพอีกภาพที่ยังชัดในความทรงจำของปุรณะคือเมื่อเธอผลักอกเขาออกอย่างช็อกๆ ถอยไปสองสามก้าวเหมือนยังตั้งสติไม่ได้ ก่อนจะส่ายหน้า หันหลังคว้ากระเป๋า...วิ่งออกประตูไปเหมือนถูกผีร้ายไล่หลัง

เขาคงโทษเธอไม่ได้ เพราะเขาเองก็ช็อกไม่แพ้กัน ช็อกจนได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและปล่อยให้เธอวิ่งหนีออกไปเฉยๆ แบบนั้น ช็อกจนอยากแผดเสียงร้องและวิ่งออกไปอีกทาง

เพราะนั่นเป็นครั้งแรกในรอบหกปี...ที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้

เขาเคยได้ยินคนบอกว่าตัวเองหน้ามืดไปด้วยแรงโทสะ ได้ยินว่าบางทีเวลาโกรธเคืองหนักเข้า คนเราอาจ ‘วูบ’ หูตาพร่ามัวและทำอะไรลงไปโดยสัญชาตญาณอย่างไม่รู้สึกตน บางคน...กว่าจะรู้อีกทีก็ยืนอยู่ด้วยมือเปื้อนเลือด

กรณีของเขาไม่ใช่แบบนั้น เขานิ่งอย่างที่สุด...ไม่มีอะไรมาจุดชนวนสักนิดก่อนเกิดเหตุ เขายังยิ้มให้รวิสราตอนเธอก้าวเข้าประตูมา จนกระทั่งเธอเข้าใกล้
แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?

ส่วนนั้นละ ที่เขามองไม่ออกเอาจริงๆ ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ มันเป็นแบบที่เขาสารภาพกับปุษยาไปนั่นแหละ ร่างกายของเขาเหมือนไม่อยู่ในความควบคุมของเขา ราวกับมีอะไรเข้าสิง เหมือนถูกใครเขียนบท...จับยัดปาก

เพียงแต่เขารู้สึกตัวอยู่ตลอด จำได้ทุกบททุกตอน ทุกความรู้สึก

หรือบางทีในส่วนลึก...เขาจะยังโกรธแค้นและไม่สามารถอภัยให้รวิสราได้?

ปุรณะยกมือขึ้นกดสันจมูก พยายามสะกดอาการปวดศีรษะ นี่เขาจะนั่งเดาให้มันได้อะไรขึ้นมา? ถ้าทุกคนเข้าใจพฤติกรรมตัวเองทะลุปรุโปร่งขนาดนั้น จิตแพทย์คงตกงานกันทั้งโลกแล้ว เขาควรคิดสิ่งที่มีประโยชน์กว่านั้น เช่นเขาจะแก้สถานการณ์นี้ได้อย่างไร

ปัญหาคือแค่หลับตา ชายหนุ่มก็เห็นภาพที่พฤติกรรม ‘พระเอกหนังไทย’ ของเขาทำให้ทุกอย่างล้มตามกันลงมาเหมือนโดมิโน ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างรวิสรากับเขาเลย เรื่องนั้นเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ถ้าเธอฉุนจัดนัก เธออาจบอกผู้ใหญ่ทางบ้านเรื่องนี้ แล้วจากนั้น ‘เครดิต’ ของเขาในสายตาผู้ใหญ่หลายๆ คนคงไม่เหลือ และถ้าเรื่องรั่วออกไปเกินนั้น...ถ้า ‘ญาติผู้ใหญ่’ คนเดียวของเขารู้เข้า...

...เขาไม่อยากจินตนาการด้วยซ้ำ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

...ไปขอโทษเสียก่อน... ชายหนุ่มบอกตัวเอง ...อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ไม่ว่าอะไรจะเกิด สิ่งที่เป็นความจริงก็คือเขาก้าวล้ำเส้นและควรต้องขอโทษ
เขาไม่ด้านหนาพอจะ ‘ทำหน้ามึน’ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

แต่คนเราจะขอโทษสิ่งที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจได้ยังไงกันวะ? เขาจะตอบเธอว่ายังไงถ้าเธอถามว่าเขาคิดบ้าอะไรอยู่ ในเมื่อคำตอบคือ...เขาไม่รู้

...โอ๊ย ปวดหัวโว้ย!

และที่น่าฉุนเฉียวที่สุดคือระหว่างที่เขามานั่งปวดหัวอยู่อย่างนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเธออาจไม่ได้คิดมากขนาดเขาก็ได้ กับสาวเปรี้ยวเปรียวที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตั้งแต่วัยรุ่นอย่างรวิสรา เขาคงไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่เธอจูบ เธออาจไม่พอใจที่เขาจาบจ้วง และคงไม่อยากคบเขาต่อถ้าเขาเป็นบ้า แต่คงไม่มานั่งคิดทั้งวันทั้งคืนเรื่องจูบของเขาว่ามันจะเป็นน้ำผึ้ง มะนาว หรือบอระเพ็ด ก็อย่างที่บางคนเขาพูดกัน มันไม่สึกไม่หรออะไร

ความคิดนี้ทำให้อุณหภูมิอารมณ์ของปุรณะดีดสูงขึ้นไปอีกสิบเท่า นึกอยากเค้นคอใครสักคน...อาจจะเป็นผู้ชายที่เธอเคยจูบให้ตายคามือ เสียงคำรามซึ่งหลุดจากคอทำให้เลขานุการของเขาผู้ทำท่าจะก้าวผ่านประตูเข้ามาอีกรอบชะงักกึก ปุรณะขยับจะเรียก แต่ไม่ทัน เธอหันหลังกลับฟึ่บ ล่าถอยกลับไปที่โต๊ะด้วยความเร็วแสง คงหวังว่าเขาจะไม่ทันเห็น และภาพนั้นทำให้ชายหนุ่มกะพริบตา รู้สึกตัวขึ้นมาอีกรอบ

เมื่อกี้เขาเป็นอะไรไป?

บ้า บ้าไปแล้ว บ้าชัดๆ ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาเริ่มคำรามใส่ลมใส่แล้ง? บางทีทั้งงานหนัก ทั้งเรื่องของปุษยาที่โถมเข้ามาอาจทำให้เส้นสติของเขาเปื่อยยุ่ยจนใกล้ขาด ควรรีบเคลียร์งานแล้วหยุดพักไปดูแลน้องสาวอย่างเดียว ก่อนจะอาการหนักจนกู่ไม่กลับและไม่มีใครช่วยอะไรได้

...น้องสาวยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแท้ๆ ตัวเขาเองก็ดันทำท่าจะเสียสติ คนเรามันจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดได้ถึงขนาดไหน...

...เฮ่อ นี่ถ้าเขาเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติละก็ เขาคงคิดว่าเขาโดนคำสาปอะไรเข้าไปแน่เชียว...


/////

@ sugar ขอบคุณค่ะ ฝากติดตามตอนต่อๆ ไปด้วยนะคะ ^^
@ Chii ใช่แล้วค่า อันนี้เป็นนามปากกาใหม่ ไม่ได้เป็นคนอื่นลอกงานปลอมตัวมาค่ะ ^^"

////

คุยกันสักนิดนะคะ คนอ่านที่ตามข่าวกันอยู่แล้วที่เฟซอาจจะทราบหรือเดาได้ว่านี่เป็นนามปากกาใหม่ของวัสส์ (เหมือนที่เคยบอกไว้ว่าจะเปลี่ยน) ส่วนถ้าใครไม่ทราบและไม่รู้จักว่ายัยวัสส์นี่คือใครก็ไม่เป็นไรค่ะ สามารถติดตามงานในนามปากกาใหม่นี้ต่อไปได้เลย (ถ้าอยากตาม ฮา)

ชี้แจงนิดนึงว่านิยายเรื่องนี้เขียนจบแล้ว ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าอ่านไปแล้วจะหายไปกลางอากาศและไม่จบนะคะ จะลงเวบวันเว้นวัน (ยกเว้นวันไหนไม่ว่าง) หลังจากลงจบแล้วคงจะทิ้งไว้สักพักแล้วลบออกบางส่วนค่ะ เนื่องจากตามที่บางคนคงทราบ คือตอนนี้เอาต้นฉบับส่ง สนพ. ไปแล้ว

ฝากติดตาม คอมเมนต์กันสักนิดให้ชื่นใจ และถ้าอยากเข้าไปคุยกันในเฟซ จิ้มลิงค์ได้ที่ชื่อผู้เขียนค่ะ



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2556, 15:02:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ส.ค. 2556, 15:02:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1329





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
ปอปลาตากลม 19 ต.ค. 2556, 19:17:02 น.
มาอ่านด้วยคนค่าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account