นิยามรักหัวใจร็อค ภาค 2 (นิยามรักของเจ้าชายเย็นชา)
เรื่องราวของอีริค หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกงอังกฤษ ที่แสนจะเงียบขรึม คนที่เป็นหัวใจหลักของการทำงานดนตรีของ Evasion ผู้มีความหลังอันลึกลับ และขมขื่น ....
Tags: สิรินดา, นิยามรัก, หัวใจร็อค, แจ่มใส, ภาค 2,นิยาย, sirinda, jamsai, novels, love story, อีริค

ตอน: 40 : บทสุดท้ายของเจ้าชายเย็นชา (final)

อีริคกดลิฟท์ปิดก่อนที่จะมีผู้โดยสารคนอื่นเดินตามเข้ามา ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั่นจึงมีผู้อาศัยอยู่เพียงสองคน รมิดาหันมาทำตาขวางใส่ชายหนุ่มร่างสูงที่ขยับไปกดหมายเลขชั้นที่ต้องการทั้งๆ ที่ยังจับมือของเธออยู่ เจ้าตัวบิดข้อมือดึงมันออกคราวนี้อีกฝ่ายปล่อยแต่โดยดี หญิงสาวถอยไปชนผนังอีกด้านหนึ่งของลิฟท์ สายตามองคนตรงข้ามอย่างเอาเรื่อง

"เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนี่ะ ฉันกำลังยุ่ง ถ้าอยากคุยก็คุยวันอื่นก็ได้"

"อย่างนายดินแต่งงานทั้งที คงมีเงินจ้างออกาไนซ์คอยมาดูแลภาพรวมในงานหรอกน่า แค่คุณหายไปคนหนึ่ง คงไม่ทันทำให้งานของมันล่มหรอก"

"แต่...พี่สาเป็นพี่สาวของฉันนะ"

"สาเป็นน้องสาวของผมเหมือนกัน ไอ้เจ้าบ่าวที่กำลังทำหน้าระรื่นนั่นก็เพื่อนผม เพื่อนสนิทมากด้วย" อีริคตอบสวนกลับทันที ราวกับจะบอกว่าเรื่องแต่งงานของสองคนที่ถือเป็นคนไกล้ชิดของเขาสำคัญน้อยกว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดกับเธอ "ผมไม่อยากให้เรื่องของเราค้างคากันอยู่อย่างนี้"

คนฟังเบือนหน้าหนี ...เรื่องของเรา...อีกฝ่ายพูดเหมือนกับว่ามีอนาคตระหว่างเธอกับเขาอย่างนั้นแหละ ภายในลิฟท์เงียบกริบ รมิดาหันหน้ามองประตูลิฟท์รอเวลาให้มันเปิด ในขณะที่อีกคนยืนพิงผนัง ใช้สายตาสำรวจร่างบางที่อยู่ในชุดไม่คุ้นตานั่นอย่างไม่ปิดบัง

เขาจำไม่ได้แล้วว่ารมิดาดูสวยผ่องขนาดนี้ ความทรงจำก่อนที่สายตาจะมีปัญหา คนตรงข้ามเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเปรี้ยวจัด นุ่งกางเกงขาสั้นอวดขาขาวๆ ทั้งๆ ที่เดินอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวที่เกาหลี แถมแต่งหน้าจัดเกินวัย ไม่ใช่เสป็คสักอย่าง

แต่วันนี้รมิดาแต่งหน้าบางๆ เผยให้เห็นผิวเกลี้ยง ผมสั้นถูกดัดเป็นลอนเล็กๆ ปัดไปมาดูเก๋หวานไปอีกแบบ ชุดที่แต่งก็ดูไม่เปรี้ยวจัดจ้านจนเกินไป ทุกอย่างดูพอเหมาะพอดีไปหมด สายตาของชายหนุ่มไล่ขึ้นมาที่ไหล่เปลือย จินตนาการถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้ชุดสีฟ้าน้ำทะเลนั้น

เขาถามตัวเองถึงอนาคตข้างหน้า คำถามที่ปฐพีถามเสมอๆ ว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องของรมิดา

ปฐพีไม่อยากให้เขาทำเล่นๆ กับเรื่องนี้ ...พอได้หญิงสาวตรงหน้าแล้วก็หายหน้าไปเลย เขากำชับว่าอีริคจะต้องทำอะไรสักอย่าง

'ฉันคิดว่ารมิดาอาจจะท้อง นายต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับเธอ ถ้านายไม่ต้องการเค้า ไม่ต้องการลูก ก็กลับมาตกลงกันเสียให้เรียบร้อย ผู้หญิงเค้าจะได้หาทางเลือกทางอื่น' ปฐพีเคยบอกเขาแบบนั้น นั่นทำให้อีริคตัดสินใจกลับมาเมืองไทย ทั้งๆ ที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้แต่ประวิงเวลา หาข้ออ้างให้ตัวเอง เพราะไม่อยากตัดสินใจ

ถ้าว่ากันด้วยเหตุผล อีริครู้ว่าตนเองควรจะตัดใจจากหญิงสาวร่างเล็กที่บังเอิญมาเผชิญชะตากรรมร่วมกัน แล้วเริ่มชีวิตใหม่ที่อังกฤษ ปิดฉากความทุกข์ความหลังที่เมืองไทยเสีย ถ้าเธอมีลูกก็ส่งเสียลูกตามสมควร เรื่องพวกนั้นไม่ได้เกินกำลังของเขาที่จะทำได้

แต่...ชีวิตม้นไม่ง่ายแบบนั้น ไม่รู้ด้วยเหตุใด เขาลืมร่างนุ่มนิ่มที่เคยกอดข้ามคืนไม่ได้ ลืมความรู้สึกยามที่กอดปลอบใจไม่ให้เธอเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เกาหลีไม่ได้...และที่สำคัญ ยังฝันถึงความรู้สึกตอนที่เธอวนเวียนอยู่ข้างกายตลอดช่วงที่สายตามองไม่เห็นอยู่บ่อยๆ

ยิ่งเห็นสินธรคู่แฝดของปฐพีมาพัวพันใกล้ชิด ใจของอีริคยิ่งหวั่นไหวแปลกๆ บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่า...อยากจะชกหน้านายตำรวจนั่นสักที...ให้ตายเถอะ

ถึงเวลาที่นายต้องทำอะไรสักอย่างแล้วอีริค...ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้ว

ประตูลิฟท์เปิดออก รมิดาก้าวออกไปก่อน เธอหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เพราะชั้นที่ลิฟท์เปิดไม่ใช่ชั้นที่เป็นห้องพัก หรือห้องเตรียมตังของเจ้าสาว

"มาทางนี้" คนพูดก้าวนำไปตามทางเดินกว้าง ตรงไปยังปีกอีกด้านหนึ่งของโรงแรม

"จะพาฉันไปไหน จริงๆ แล้วเราคุยกันข้างล่างก็ได้"

"อยากให้แขกได้ยินเรื่องที่คุยกันรึไง"

คนฟังเม้มปาก ...ก็จริง ถ้าแม่ และญาติๆ ของเธอมาได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันคงไม่ดีนัก

ร่างสูงพาหญิงสาวมาหยุดที่หน้าประตูห้องพักห้องหนึ่ง เขายกโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้น กดรหัสเปิดประตูห้อง "เข้ามาสิ"

"ห้องนี้มัน..."

"ห้องของผมเอง"

คนฟังถอยหลังไปสองก้าว เบิกตากว้าง

"กลัว...อะไร" คำถามนั้นมาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำ และสายตาที่คนฟังไม่กล้าค้นหาความหมาย

รมิดาอยากบอกว่า ไม่กลัว แต่คำพูดหล่านั้นมาติดอยู่ที่คอ เธอไม่สามารถโกหกสายตานิ่งๆ จริงจังของอีกฝ่ายได้ อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เธอคิดมากกว่านั้น เปิดประตูและก้าวนำเข้าไป พร้อมกับเปิดประตูรอให้ผู้อยู่เบื้องหลังก้าวตาม

ภาพรวมภายในห้องพักสามารถใช้คำนิยามง่ายๆ ได้ว่า "เรียบแต่หรู" บริเวณห้องกินพื้นที่กว้างราวห้าห้องของห้องพักปกติในโรงแรม ด้านหนึ่งเป็นผนังกระจกทั้งด้าน เผยให้เห็นระเบียงกว้างด้านนอกที่มีสวนหย่อมส่วนตัว และไกลออกไปเป็นวิวท้องฟ้าของกรุงเทพมหานครพลบค่ำ

ภายในห้องตกแต่งด้วยไสตล์เรียบๆ ใช้ไม้สีทึมกับสีขาวเป็นหลัก ทุกอย่างล้วนบอกความเรียบง่ายแต่หรูหรา บรรยากาศของห้องดูไม่อึดอัดอย่างที่เธอคิด หญิงสาวหันไปรอบตัว มองหาอะไรสักอย่างที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ในที่สุดก็พบเป้าหมาย เจ้าตัวเดินตรงไปที่ตู้เย็นขนาดเล็กเปิดออกแล้วหยิบน้ำเปล่ามารินใส่แก้ว

"เอาน้ำไหมคะ" เธอถามโดยไม่หันกลับมา

"ไม่"

"มีเครื่องดื่มอยู่หลายชนิดนะคะ เบียร์ก็มี...อ้อ ลืมไปนี่มันห้องของคุณนี่นา"

"ไม่" เสียงตอบจากเบื้องหลังของหญิงสาวแบบที่ไกล้ชิดมากจนเจ้าตัวคิดว่าเขายืนห่างจากเธอไม่เกินครึ่งก้าว นั่นมันทำให้คนฟังต้องกลั้นหายใจ ไม่กล้าหันกลับไปเพราะกลัวจะชนเข้ากับร่างสูง

เธอรินน้ำให้ตัวเองด้วยมือที่สั่นนิดๆ แล้วก็ดื่มลงไปอย่างที่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ามีสายตาของคนที่อยู่เบื้องหลังมองตามทุกขณะ

ในที่สุดเธอก็วางแก้วน้ำ กำลังชั่งใจว่าจะหันกลับมาดีหรือไม่

"เราต้องคุยกัน" ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดที่ข้างหู ร่างของเขาก้าวเข้ามาชิดอีกนิดจนได้ไออุ่นของอีกฝ่าย มือหนาดึงแก้วน้ำออกจากมือของหญิงสาววางกลับไว้ที่บนโต๊ะ "มานี่สิ" เขาถือวิสาสะดึงร่างบางให้เดินตามกลับมาที่เก้าอี้รับแขก

แต่ชายหนุ่มคงดึงแรงไป หรือไม่หญิงสาวก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบางจึงเซหลุนๆ ตามแรง และทำท่าว่าทรุดตัวลงในไม่ช้าเพราะรองเท้าส้นสูงเกินสองนิ้วนั่นทำให้การทรงตัวยากว่าปรกติดหลายเท่า

มือแข็งแรงถือวิสาสะยืดต้นแขนทั้งสองข้าง และดึงเธอเข้าหาตัวเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้น ร่างบางปะทะเข้ากับอกของชายหนุ่มเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาแตะจมูก

"ฉะ...ฉันขอโทษค่ะ" รมิดาเกร็งตัว

ลมหายใจของชายหนุ่มสะดุด ผิวนุ่มที่เขายังจำความรู้สึกได้ดี กลิ่นหอมอ่อนที่เป็นกลิ่นเฉพาะของอีกฝ่าย...ถึงเวลานี้เหตผลทุกอย่างมลายหายไปทันทีเมื่อร่างสองร่างใกล้ชิดกัน อีริครวบร่างบางเข้าชิดตัวมากยิ่งขึ้น และทำในสิ่งที่เขาควรจะทำตั้งแต่แรกที่พบกันด้วยการใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนร่างเล็ก และก้มลงจรดริมฝีปากลงหาริมฝีปากบาง

ปากของเขากระกบปากบาง จูบเธออย่างดูดดื่มราวกับจะกลืนกิน ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายผละหนีด้วยการเลื่อนมืออีกข้างขึ้นมาทาบทับหลังของเธอไว้ และดึงเข้าชิดตัวมากขึ้น มือของเขาเคล้าคลึงไหล่และแผ่นหลังของเธอ ตั้งใจเต็มที่ที่จะพาหญิงสาวในอ้อมกอดให้หมุนคว้างไปสู่โลกแห่งความปรารถณา โลกที่ทำให้เขาเองก็ทรมานมาหลายคืนนับแต่แยกห่างจากกัน

ถ้ารมิดาเป็นเครื่องดื่ม หล่อนคงเป็นไวน์ชั้นเลิศที่ชายหนุ่มดื่มแล้วอยากดื่มอีก ยิ่งดื่ม ยิ่งมัวเมา และติดใจ

"ผมคิดถึงคุณ" ริมฝีปากเลื่อนขึ้นไปที่ข้างแก้ม ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่่ข้างหูของรมิดา คนพูดกดริมฝีปากลงที่ข้างใบหูของอีกฝ่าย

"..." คนฟังเบี่ยงหน้าหลบ ขนลุกเกรียว

"ไม่เชื่อรึ"

"ถ้าคิดถึง แล้วทำไมปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นดือนแบบนี้ล่ะคะ ถ้าคุณดินไม่เรียกตัวคุณกลับ คุณคงไม่มา..." หญิงสาวตอบเสียงเบา

"ผมไม่เคยโกหก...แค่ต้องการเวลาคิด"

รมิดานิ่งคิด ก็จริง ตั้งแต่รู้จักกันมาอีริคตรงไปตรงมากับทุกเรื่องเสมอ

ก่อนที่เธอจะคิดอะไรมากกว่านั้น ริมฝีปากบางก็ถูกครอบครองด้วยปากช่างเรียกร้องของอีกฝ่ายอีกครั้ง หญิงสาวคิดว่าตอนนี้ทั้งตัวของเธอคงร้อนเป็นไฟไปหมดแล้ว เธอคิดอะไรไม่ออก นอกจากเลื่อนมือขึ้นทาบลงบนแผ่นหลังกว้างแข็งแรง และยึดมันไว้เพื่อไม่ให้ทรุดตัวลงไป

ในที่สุดเขาก็ผละริมฝีปากออก "เราต้องคุยกันจริงๆ แล้วล่ะ ก่อนที่ผมจะลากคุณขึ้นเตียงแล้วไม่ได้คุยอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราวน่ะ" ชายหนุ่มดึงร่างบางมาที่เก้าอี้ พร้อมกับกดเบาๆ ให้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง และดึงเก้าอี้อีกตัวมาวางไว้ตรงข้าม นั่งลงโดยที่เข่าเกยเข่า

คนฟังยังนั่งก้มหน้า ริมฝีปากระอุด้วยความรู้สึกใกล้ชิดที่เขามอบให้ ไม่อยากพูดซ้ำว่าระหว่างเธอและเขามันไม่มีอนาคต ไม่มีอะไรต้องคุยกัน

"ฝน คุณวางแผนไว้หรือยัง ว่าถ้าพี่สาวแต่งงานแล้ว คุณจะทำอะไรต่อ จะอยู่ที่ไหน"

"ไปเรียนต่อมั้งคะ" คนฟังตอบ "ยังไม่ได้คิดจริงจัง แต่คงต้องเรียนให้จบสักปริญญา แล้วก็หางานทำเป็นเรื่องเป็นราว"

"ที่ไหน"

"ไม่เกี่ยวกับคุณ" หญิงสาวตอบ "คุณสายตาดีแล้ว ก็กลับไปทำงานได้แล้ว เราก็สมควรต่างมีชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่หรือคะ"

ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กอดออก มองตรงมายังใบหน้าเก๋

"จำสิ่งที่คุณพูดไว้ตอนที่ผมสายตายังไม่ดีที่บ้านพักตากอากาศชายทะเลของผมได้ไหม" น้ำเสียงนั้นเหมือนจะโกรธแบบไม่จริงจังนัก

"เรื่องอะไรคะ"

"คุณเคยบอกว่าอยากอยู่ข้างผมเสมอ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ จะคอยดูแลผมถ้าผมสายตามองไม่เห็นตลอดชีวิต คุณเคยบอกว่ากลัวผู้ชาย...แต่ไม่กลัวผม"

เขาทบทวนสิ่งที่จำได้ทั้งหมดด้วยแววตานิ่งลึก

"แต่...นั่นมันก่อนที่ คุณจะสายตาดีนี่คะ ตอนนี้ คุณไม่ต้องการคนดูแลแล้ว"

"ถามผมหรือเปล่าว่าผมต้องการอะไร" อีริคสวนกลับมาทันที แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้โกรธธเกรี้ยว ชายหนุ่มเปิดยิ้มที่มุมปาก "ผมกลับมาทวงสัญญา"

"...."

"คุณ..."

"ที่ผ่านมา ผมใช้เวลาคิด ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองดี ทางเลือกมันมีหลายทางเหลือเกิน จนวันนี้ ผมคิดว่าผมเลือกได้แล้ว"

"..." หญิงสาวคิดว่าปล่อยให้คนตรงข้ามพูดไปเรื่อยๆ ดีกว่า เพราะความคิด และความต้องการของเขายากจะเดาได้

ชายหนุ่มรวบและดึงมือเล็กมากุมไว้ทั้งสองข้าง

"ผมเลือกที่จะมีใครสักคนที่บอกว่าจะดูแลผมตลอดชีวิต..."

แทนที่จะเห็นรมิดายิ้มกว้างแบบดีใจสุดๆ พร้อมกับผวาเข้ามาในอ้อมกอด อีริคกลับเห็นอีกฝ่ายก้มหน้านิ่ง เงียบไปพักใหญ่เจ้าตัวก็รู้สึกเหมือนมือที่อยู่ในอุ้งมือของเขาสั่น

"ฝน คุณเป็นอะไร"

"คุณ...แค่ต้องการใครสักคน ใช่ไหมคะ" น้ำเสียงของคนพูดเบาหวิว

คนฟังหรี่ตา ไม่เข้าใจประโยคนั้นในครั้งแรก

"คุณต้องการคนดูแล ต้องการคนที่ยอมทำอะไรให้คุณทุกอย่าง...ตามที่คุณต้องการ ใช่ไหมคะ"

"ใช่ และผมต้องการคนที่จะมาไถ่บาปทุกเรื่องที่พ่อคุณทำไว้กับผมด้วย..." น้ำเสียงคนพูดห้วนสั้น นิ่งและดูห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงกระชากร่างบางเข้าหาตัว ดึงร่างเล็กให้นั่งลงบนตักของตัวเอง "ผมจะทรมานคุณ ไม่ให้ไปไหน ต้องอยู่รับใช้จนผมจะพอใจ"

ชายหนุ่มเชยคางคนในตักขึ้น บังคับให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้น สบตา เขามีโอกาสได้เห็นน้ำตาที่เอ่ออยู่ที่ปลายหางตาของเธอ นิ้วเรียวยาวของเขาเกลี่ยมันออกก่อนลูบไล้ลงมาที่ข้างแก้มเนียน

"ผมจะทำให้คุณมีลูกกับผมสักสามคน ทำให้คุณไม่มีเวลาว่างไปไหน แล้วก็จะทรมานลูกๆ ที่มีพ่อที่เอาแต่รังแกพวกเขาด้วยความรัก ความอบอุ่นแบบที่เขาจะไม่ได้รับจากที่ไหน แต่ก่อนอื่น ผมต้องส่งเสียให้คุณเรียนจนจบ แต่ผมจะไม่ปล่อยคุณไปเรียนคนเดียวหรอกนะ ผมจะตามไปด้วย อาจจะไปเรียนต่อ แล้วก็ทำงานเพลงไปด้วย ไม่ปล่อยให้คุณคลาดสายตาสักก้าว ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะถูกหนุ่มๆ อย่างเจ้าสินธรนั่นตามจีบอีกก็ได้"

รมิดาขมวดคิ้วในครั้งแรก งุนงงกับประโยคยาวๆ น้ำเสียงจริงจังของเขา

ลูกสามคน...ไม่ทิ้งไปไหน...ตามทุกฝีก้าว...ไปเรียนด้วยกัน

"คุณ..."

"เข้าใจยากไปหรือไง ทำหน้านิ่วเชียว"

ริมฝีปากของรมิดาสั่น เจ้าตัวค่อยคลี่ยิ้ม แก้มเรื่อเมื่อสมองรับรู้ความหมายในทุกๆ ข้อความที่อีกฝ่ายเพิ่งบอกมา เธอซุกตัวลงในอ้อมกอดของชายหนุ่ม พร้อมๆ กับที่อ้อมแขนแข็งแรงของเขาโอบรอบตัวเธอไว้

"ผมไม่อยากเหงา ไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบไร้จุดหมายอีกต่อไป"

"ฉัน....ขอบคุณค่ะ"

"ขอบคุณเรื่องอะไร" คนพูดจรดจมูกลงกลางกระหม่อมของคนในอ้อมกอด

"ที่คุณยอมให้อภัยคุณพ่อ ยอมเปิดใจกับฉัน ยอมที่จะ..."

คนฟังหัวเราะในลำคอ "บอกไว้ก่อนนะว่า...ผมเป็นคนอารมณ์ร้ายในบางเวลา เอาแต่ใจบ่อยๆ ช่างเรียกร้องในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง คุณอาจจะทนผมไม่ได้ในหนึ่งเดือนแรกที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ได้"

"หมายความว่าคุณให้ฉันเลือกได้ ว่าจะตัดสินใจยังไงหรือคะ"

"เปล่า"

"อ้าว"

"ผมบอกให้รู้ไว้ แต่ยังไงๆ ผมไม่ปล่อยคุณไปแน่...เพราะ คุณเป็นของผมแล้ว"

คนฟังย่นจมูก ทุบเบาๆ เข้าที่ไหล่ของอีกฝ่าย "ใจร้าย"

"บอกแล้วไง จะทรมาณให้สมกับที่ผมทรมาณเพราะพ่อคุณมาหลายปีเลย" คนพูดตอบด้วยเสียงที่เจือความรื่นรมย์ ถึงตอนนี้ เขาพูดถึงเรื่องอดีตของตัวเองได้อย่างเต็มปากเต็มคำอย่างไม่น่าเชื่อ พอเขาตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ทุกอย่างก็ดูจะถูกจัดการได้

เสียงโทรศัพท์มือถือของอีริคดังขึ้น รมิดาหยิบมันออกมาจากกระเป๋าสูท

"คุณดินโทรมา"

อีริคมองที่หน้าจอ ก่อนจะรับโทรศัพท์ "ว่างมากหรือไงคุณเจ้าบ่าว"

"เจ้าสาวของฉันเป็นห่วงน้องของเธอ กลัวนายทำอะไรมิดีมิราย ดังนั้น ช่วยตอบมาหน่อยว่าคุณฝนยังสบายดี ไม่อย่างนั้นเจ้าสาวอาจไม่ยอมขึ้นเวทีกับฉันได้"

คนฟังหัวเราะในลำคอ "ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอ เราตกลงกันได้ด้วยดี แต่ว่า ฉันกับฝนอาจจะไม่ว่างลงไปฉลองแต่งงานให้นาย เจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้า โอเคไหม"

คนที่อยู่ในอ้อมกอดของอีริคอ้าปากค้าง เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มตอบเจ้าบ่าวกลับไป

"แค่นี้นะ" เขากดวางสาย แล้วก็โยนโทรศัพท์มือถือของตนเองลงบนโต๊ะ หันมายิ้มอย่างมีความหมายให้กับคนที่กำลังมองเขาตาโต

ชายหนุ่มพยุงคนในอ้อมกอดให้ยืนขึ้น ถอดสูทที่ใส่อยู่ออกพาดไว้ที่เก้าอี้ แล้วยื่นมือมาให้อีกฝ่าย "ไปนอนดูพระจันทร์ด้วยกันเถอะ" คนพูดพยักเพยิดไปที่ระเบียงกว้าง เขารอให้หญิงสาววางมือเล็กลงบนฝ่ามือของตนเอง แล้วรวบปลายนิ้วของเธอ นำไปสู่ด้านนอกที่เริ่มค่ำแล้ว

"ผมเคยมานอนดูฟ้าที่นี่ครั้งสองครั้ง มันก็สวยดี แต่ห้องกว้าง ดูคนเดียวเหงาชะมัด"

"ที่นี่..."

"เจ้าดินไม่ได้บอกสิ ว่าโรงแรมนี้เป็นของผมสามสิบเปอร์เซ็นต์ ผมเริ่มซื้อหุ้นโรงแรมนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ แล้วก็กว้านซื้อมาเรื่อยๆ"

มันหมายความว่า เขาอาจเป็นผู้ที่มีหุ้นใหญ่อันดับต้นๆ ถ้าไม่นับหุ้นต่างชาติ มิน่าเล่า เจ้าบ่าวถึงสามารถสั่งเอาโน่นเอานี่ได้ตามใจทุกอย่าง

ความคิดของรมิดาชะงัก เมื่อเห็นเก้าอี้นอนตัวใหญ่ขนาดใกล้เคียงกับเตียงเดี่ยวอยู่ด้านนอกระเบียง เจ้าตัวเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พบว่าเขามองเธอด้วยสายตาเปิดเผยอยู่ก่อนแล้ว

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคิดอะไร

"คนเจ้าเล่ห์..."

คนฟังยิ้มรับแต่โดยดี จนทำให้หญิงสาวแอบคิดไม่ได้ว่า ใครกันนะที่เรียกคนข้างๆ ว่าเจ้าชายเย็นชา...นับแต่เธอได้รู้จักกับเขา ผู้ชายคนนี้ค่อยๆ ลดความเย็นชาลงตามลำดับ

เขาไม่เคยเอ่ยคำว่ารัก ไม่เคยบอกว่ารู้สึกอย่างไรกับเธอ ... แต่จากที่เขาพูดมาทั้งหมด มันมากกว่าคำนั้นหลายเท่านัก

หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ไล่น้ำตาที่เอ่อขอบตาขึ้นมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ อุ้งมือของคนคิดอยู่ในอุ้งมือของเขา มันอบอุ่น มั่นคงเหลือเกิน นับแต่นี้ต่อไป เธอจะขอชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างสองครอบครัวให้กับคนข้างๆ ด้วยร่างกาย และหัวใจของตนเอง

สักวันหนึ่ง...เธอจะต้องได้ยินคำว่ารักจากปากผู้ชายคนนี้....สักวัน...ซึ่งอาจจะหมายถึงหลายปี แต่เธอก็พร้อมที่จะรอคอย

เธอรู้ว่ามันคุ้มค่า...



(^____^) จบซะที













สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2556, 20:04:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ส.ค. 2556, 20:04:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 6410





<< 39 : บทสุดท้ายของเจ้าชายเย็นชา (02)   
จิงโกะ 29 ส.ค. 2556, 20:36:49 น.
กรี้ดดดดด จบแล้ว

เย็นชาสมชื่อ กว่าจะตัดสินใจได้เนี่ยนะ
หวงมาก รักเขา แต่ยังไม่วาย มีเก๊ก สงสัยอยู่กันจนลูกโต ถึงจะเอ่ยปากบอกคำรัก

ลุ้นกันยาวนานข้ามปี ในที่สุดก็ได้บทสรุปเจ้าชายเย็นชา ขอบคุณนะคะคุณตา



Siang 29 ส.ค. 2556, 20:44:14 น.
เย้ๆๆ ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานระหว่างอีริคและรมิดาก็สิ้นสุดซักที แอบลุ้นจนเหนื่อย อยากอ่านตอนพิเศษค่ะ ( โลภอีกแล้ว ^_^!) ให้คุณอีริคตามหนูฝนไปเรียน และมีหนุ่มๆมาจีบ 5555 อยากเห็นคุณอีริคหึง ขอบคุณมากค่ะ สำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้


Zephyr 29 ส.ค. 2556, 21:09:09 น.
ช่างเป๋นคำขอแต่งงานที่โรแม้งมั่กๆ
อ่านแล้ว หัวใจจะวายนี่ขอแต่งงานรึชวนทะเลาะบ้านแตกนี555 แต่สมเป็นอีริคดีออกค่ะ หุหุ


ตุ๊งแช่ 29 ส.ค. 2556, 21:14:49 น.
ว้าววว เล่นเข้าหอก่อนนายดินซะงั้น


pkka 29 ส.ค. 2556, 21:16:15 น.
Like!


kin 29 ส.ค. 2556, 21:32:42 น.
อีริคนี่ขี้หึงนะเนี่ย

ปล.มีคำผิดค้าบพี่
คะ - เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนี่ะ
สเปค -ไม่ใช่เสป็คสักอย่าง
ใกล้ - เป็นคนไกล้ชิดของเขาสำคัญ
ทรมาน - บอกแล้วไงจะทรมาณให้สมกับที่ผมทรมาณ
ยามพลบค่ำ - ไกลออกไปเป็นวิวท้องฟ้าของกรุงเทพฯพลบค่ำ (น่าจะตกคำว่า ยาม ไปค่ะ)
สไตล์ - ตกแต่งด้วยไสตล์เรียบๆ
เดือน -ปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นเดือน



supayalak 29 ส.ค. 2556, 22:02:37 น.
แหมมม จนจบก้อยังไม่ทิ้งลายเลยนะคุณอีริคเนี่ยย


ของขวัญ 29 ส.ค. 2556, 23:00:40 น.
จบได้หวานกำลังดีค่ะ แอบเจ้าเล่ห์ทิ้งท้ายนะคะ นายอีริค


konhin 30 ส.ค. 2556, 00:42:46 น.
แหมมมมม ไม่คิดจะบอกรักซักคำ แต่ยอมค่ะ หวานลึกล้ำจริงๆเลยยยยย


คิมหันตุ์ 30 ส.ค. 2556, 01:15:42 น.
แอบลุ้นตั้งนาน ไม่ได้บอกรัก แฮะ


สิรินดา 30 ส.ค. 2556, 05:36:54 น.
(^___^) ขอบคุณทุกคอมเมนต์จ้า ขอบคุณคินมากที่แก้คำผิดมาให้ จุ๊บๆๆๆๆ


รัชต์ 30 ส.ค. 2556, 06:35:53 น.
จบด้วยความเข้าใจแม้ตัดสินใจช้าไปหน่อยนะในความรู้สึกของผู้หญิง


titirat 30 ส.ค. 2556, 09:07:41 น.
ดีจังจบแล้ว มีความสุข


phakarat 30 ส.ค. 2556, 11:10:09 น.
พี่ดาจะทำเป็นรูปเล่มหรือเปล่าคะอยากจะอุดหนุนค่ะ


ผักหวาน 30 ส.ค. 2556, 12:25:59 น.
สมหวังทั้งพี่ทั้งน้องเลยค่ะ


ree 31 ส.ค. 2556, 14:00:06 น.
จบได้น่ารักถูกใจจิงๆ


สิรินดา 4 พ.ค. 2557, 18:06:25 น.
เล่มนี้มีวางขายแล้ว ที่หน้า page ของสิรินดาค่ะ http://www.facebook.com/sirindabookstore


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account