เสน่หาลาวา
เขาคือนักเขียนหนุ่มเพลย์บอยที่หวังจ้างเลขานุการคนใหม่มาเป็นหนูทดลองงานเขียนอันแสนพิสดาร แต่สวรรค์กลับเล่นตลกดลให้เธอความจำเสื่อมและปั่นป่วนเขาด้วยการคิดว่าตัวเองเป็นเด็กสาววัยสิบเจ็ดปี มันควรจะสร้างความรำคาญใจให้เขา แต่หมาป่าหนุ่มนักล่าสวาทกลับพบว่าความไร้เดียงสาของลูกแกะน้อยช่างเย้ายวนชวนชิมอย่างประหลาด ปฏิบัติการพิชิตใจ(และกาย)ของเลขานุการคนใหม่จึงอุบัติขึ้นท่ามกลางความทะเล้น ฮา หื่น ที่รับประกันความฟินเว่อร์ทั่วราชอาณาจักร

ขอเชิญร่วมหรรษาไปกับหมาป่าหนุ่มและลูกแกะน้อยได้ใน...เสน่หาลาวา ไฟป่าที่ว่าแน่ ยังต้องแพ้ไฟรักของเขา!!!

Tags: โรแมนซ์ คอมเมดี้

ตอน: หัวใจที่วุ่นวายของสาวขายขนม

ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ชีวิตของคนเราจะพบจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่ออายุครบยี่สิบห้าปี

ธารใสสงสัยนักว่าคนที่พูดนั้นเป็นใคร คิดอะไรถึงได้พูดออกมา จะรู้หรือเปล่าเถอะว่าได้สร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ให้ใครบางคนที่เบื่อสถานะความเป็นอยู่ ณ ปัจจุบันของตัวเองแทบแย่...แหงล่ะ ใครคนนั้นก็คือตัวเธอเองไม่ใช่ใครอื่น

ธารใสอายุครบเบญจเพสมาได้สองสัปดาห์แล้ว เธอยังคงเป็นลูกสาวเจ้าของร้านขนมหวานเล็กๆ ข้างถนนที่ยังหางานทำไม่ได้ แต่งตัวก็ยังเชยๆ หน้าตาก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเครื่องสำอางสักนิด เสื้อผ้าหรือก็ยังใส่แต่เสื้อยืดกางเกงยีนส์สามส่วนหนีบรองเท้าแตะฟองน้ำราคาถูก และจุดเปลี่ยนเดียวที่เธอพบก็คือการบอกเลิกจากแฟนหนุ่มที่คบหากันมาได้สองปี

คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ

เหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนที่ผ่านมานี่เอง...



++++++



“จิบสักหน่อยเถอะน่าธารใส มาเที่ยวผับทั้งทีกินแต่น้ำส้มได้ไง เป็นนางเอกในละครเรอะ” วรริทธิ์แฟนหนุ่มพูดพลางยื่นแก้วใส่น้ำสีอำพันมาตรงหน้าหญิงสาว เขาไม่ได้สนใจเลยว่าแสงไฟที่วอบแวบวูบวาบผนวกกับเสียงดนตรีอึกทึกและผู้คนที่ดีดดิ้นวาดลวดลายการเต้นเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้าทำให้คนที่ไม่ค่อยคุ้นชินกับสถานที่อโคจรอย่างธารใสรู้สึกวิงเวียนศีรษะขนาดไหน

“ไม่เอาหรอก ธารใสกินไม่เป็น ตัวเองกินเถอะ” เจ้าของโครงหน้าสวยหวานที่ฝืนใจแต้มเครื่องสำอางเพื่อเอาใจเขาบอกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล มันเป็นความจริงที่เธอดื่มแอลกอฮอลล์ไม่เป็น แต่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ธารใสปฏิเสธเครื่องดื่มจากแฟนหนุ่มก็คือ เธอไม่ไว้ใจว่าเขาจะแอบใส่อะไรลงไปบ้างก่อนจะนำแก้วมาส่งให้เธอ

หญิงสาวอ่านหนังสือ(แน่นอนว่าต้องเป็นนิยายโรแมนซ์ร้อยเปอร์เซ็นต์)และดูละครไทยมาเยอะพอที่จะทราบว่า ในยุคสมัยนี้ยาปลุกกำหนัดหรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “ยาปลุกเซ็กส์” หาได้ง่ายพอๆ กับยาแก้หวัด เธอจึงไม่เคยดื่มหรือรับของกินใดๆ จากเพศตรงข้าม ธารใสมีความระแวดระวังตัวในการปกป้องพรหมจรรย์ของตนเองเป็นอย่างดี และเธอก็รู้ว่าในคืนนี้เธอต้องระวังเป็นพิเศษกว่าคืนไหนๆ

ธารใสคิดว่าเธอรู้เหตุผลที่วรริทธิ์ชวนเธอมาเลี้ยงฉลองกับเขาที่นี่เพียงสองคน ไม่ได้พากลุ่มเพื่อนคนอื่นๆ ของเขามาด้วย

ชายหนุ่มหน้าตาไม่หล่อแต่ท่าทางเจ้าชู้วางแก้วลงบนโต๊ะอย่างอ่อนใจ “ก็ได้ ไม่กินก็ไม่กิน งั้นเราออกไปแดนซ์กันดีกว่าเนอะ”

คนถูกชวนมีท่าทีอิดออด แต่มือของแฟนหนุ่มก็ลากเธอออกจากโต๊ะมาเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่เบียดแน่นซึ่งกำลังโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเสียงเพลง บีตอิเลกทรอนิกหนักแน่นเร่งกระชั้นบันดาลให้ทุกคนเต้นกันอย่างบ้าคลั่ง ธารใสไม่คุ้นเคยกับการเต้นอีกเช่นกัน แม้แฟนหนุ่มจะเริ่มออกสเต็ปเหมือนคนอื่นๆ แล้ว แต่ทั้งหมดที่เธอทำได้คือยืนแกว่งแขนและโยกเท้าไปมาอย่างทำตัวไม่ถูกเท่านั้น

วรริทธิ์เห็นท่าเต้นของเธอก็หัวเราะหึๆ ก่อนเอื้อมมือมาจับแขนบางและหมุนตัวเธอหนึ่งที วินาทีต่อมาเธอก็เข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขา รู้สึกได้ว่าสองมือของแฟนหนุ่มสอดมาโอบกอดแผ่นหลังเธออย่างสบโอกาส หากเป็นยามปกติธารใสคงโวยวายไปแล้วเพราะมีนิสัยเป็นคนหวงเนื้อหวงตัวเอาการ แต่วันนี้วันเกิดเขา เธอจะอนุโลมในสิ่งที่พออนุโลมได้เสียหนึ่งวัน

“กลับจากที่นี่เราไปต่อกันที่ห้องของเค้าเถอะนะธารใส” วรริทธิ์กระซิบใส่หูเธอ

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างไม่อยากเชื่อ แม้เตรียมใจว่าในคืนนี้ต้องเจอคำชวนทำนองนี้มาแล้วก็ตาม “อะไรนะ?”

แฟนหนุ่มพูดอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้นเพื่อแข่งกับเสียงเพลง “กลับจากที่นี่เราไปต่อกันที่ห้องเค้านะ แต่ตอนนี้อ้ะ เค้าขอจูบมัดจำสักทีได้มั้ย?”

ว่าจบวรริทธิ์ก็โน้มใบหน้าลงมาอย่างรวดเร็ว คิดจะใช้จังหวะที่ธารใสยืนอึ้งประทับริมฝีปากลงไปบนเรียวปากเธอ แต่ก็ยังไม่เร็วเท่าธารใสที่มุดตัวหลบและผละออกมาจากอ้อมกอดของเขาว่องไวราวเสือสาวโยกหลบคมธนูจากนายพราน

“ไม่ได้นะ! ตัวเองจะทำอะไรธารใสไม่ได้ ลืมไปแล้วหรือไงว่าข้อตกลงตั้งแต่วันแรกที่เราคบกันคืออะไร?” หญิงสาวแผดเสียงลั่นจนคนที่เต้นอยู่รอบๆ หันมามอง

“โหย ธารใส ข้อตกลงแบบนั้นน่ะมันไม่มีผู้ชายคนไหนทำได้หรอก” วรริทธิ์เดินเข้ามาพูดกับเธอใกล้ๆ “นี่เค้าอดทนมาตั้งสองปีมันก็นานมากแล้วนะ หอมแก้มสักฟอดก็ยังไม่เคยเลย เรื่องจูบยิ่งไม่ต้องพูดถึง เต็มที่ก็ได้แค่จับมือ คนเป็นแฟนเค้าทำกันแบบนี้เรอะ?”

“สำหรับคนอื่นธารใสไม่รู้หรอก แต่สำหรับธารใสน่ะใช่” หญิงสาวเชิดหน้าตอบอย่างภาคภูมิใจ เธอคิดว่าคำขอของเขามันมากเกินไปแล้ว เพราะข้อตกลงที่เธอมีกับเขาก่อนจะเริ่มต้นคบหากันเมื่อสองปีที่แล้ว - เหตุผลเดียวที่วรริทธิ์จะสามารถแตะเนื้อต้องตัวเธอได้นอกเหนือจากการจับมือก็คือ เขากับเธอต้องแต่งงานกันก่อนเท่านั้น

“แต่นี่มันวันเกิดเค้านะ” แฟนหนุ่มพูด พยายามทำหน้าออดอ้อน “ขอแค่คืนเดียวเอง เค้าอ้ะรักธารใสจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ”

“งั้นตัวเองก็มาขอธารใสแต่งงานเร็วๆ สิ” ร่างบางตอบกลับเสียงดัง

“ธารใสก็รู้ว่าเค้ายังไม่พร้อม ห้องยังต้องเช่า รถยังต้องผ่อน หมายังต้องเลี้ยง ถ้าเจ้านายขึ้นเงินเดือนให้เค้าเมื่อไหร่ เค้าจะแต่งกะธารใสทันทีเลย”

“อี๋ แล้วเด็กส่งของอย่างตัวเองมันจะได้ขึ้นเงินเดือนเมื่อไหร่อ้ะ” ธารใสทำหน้าผิดหวัง

“อย่าเรียกเด็กส่งของสิ เค้าให้เรียกแมสเซนเจอร์” วรริทธิ์ทำหน้าบู้บี้

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

“ไม่เห็นจะเหมือน แมสเซนเจอร์ฟังดูดีกว่าตั้งเยอะ”

แฟนหนุ่มเอื้อมแขนมาจับมือธารใสและพยายามดึงตัวเธอเข้าไปหาอีกครั้ง “ธารใสจะไม่ไปห้องเค้าก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยๆ เค้าขอของขวัญวันเกิดเป็นจูบสักจูบเถอะน้า”

“ไม่ได้!” ธารใสตอบรับตัดบทเด็ดขาด เธอสะบัดมือของเขาออก “เรายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย ทำไม่ได้ ห้าม!”

“งั้นเปลี่ยนมาเป็นหอมแก้มก็ยังดี นะนะนะ” วรริทธิ์ทำปากจู๋และยื่นหน้าเข้ามา

หญิงสาวเหยียดสองมือออกไปยันหน้าอกของแฟนหนุ่มเอาไว้ “บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ไงเล่า!”

ในที่สุด ความอดกลั้นของวรริทธิ์ก็หมดสิ้นลง

“ตกลงว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้ใช่มั้ย?” เขาเสียงกระด้างขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้จะตกใจ แต่ธารใสก็ตอบกลับไปเสียงกระด้างยิ่งกว่า “ใช่!”

“ดี...” ใบหน้าของวรริทธิ์แสยะยิ้มเหยียดหยัน โครงหน้าที่ไม่หล่ออยู่แล้วจึงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที “...งั้นตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป เราเลิกกัน!”



++++++



ธารใสจำได้ว่าหลังจากวินาทีที่ถูกบอกเลิก เธอยืนงงและอึ้ง สองตามองแฟนหนุ่มที่ต้องเติมคำว่าอดีตนำหน้าหันหลังเดินจ้ำพรวดๆ แหวกคนทั้งหลายออกไปพ้นสายตา ธารใสคิดว่าบางทีวรริทธิ์อาจต้องการให้เธอวิ่งตามไปง้อเขา ตามไปขอโทษเขาในความเรื่องมากของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ทำ เลิกก็เลิกสิ ผู้ชายมีคนเดียวในโลกเสียเมื่อไหร่ เขามันสำคัญตัวเองผิดไปเสียแล้ว เรื่องทั้งหมดนี่ไม่ใช่ความผิดเธอสักหน่อย

หลังจากคิดได้ดังนั้น ธารใสก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที ก่อนที่เช้าวันนี้จะตื่นมาพบกับข้อความและรูปภาพที่ส่งมาเย้ยหยันจากวรริทธิ์ให้เจ็บใจเล่นๆ ในโทรศัพท์มือถือ

มันเป็นรูปเขากำลังนอนกอดก่ายในสภาพกึ่งเปลือยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งบนเตียง ข้อความที่แนบมาใต้รูปภาพมีอยู่ว่า



เค้ากับป๊อปคอร์นเจอกันที่ผับเมื่อคืนนี้ เราตกลงเป็นแฟนกันครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น และป๊อปคอร์นก็ตามใจเค้าทุกอย่าง ไม่เหมือนคนหวงตัวอย่างธารใสหรอก ขืนทำตัวเป็นกุลสตรีอยู่อย่างนี้ เตรียมใจขัดคานไว้นั่งเล่นคนเดียวเถอะนะ ฮิฮิฮิ



เมื่ออ่านจบ ธารใสรู้สึกทั้งเจ็บใจทั้งโกรธทั้งแค้นและทั้งเสียใจ นี่วรริทธิ์ทำได้ยังไงนะ เลิกกับเธอไม่ทันไรก็หาแฟนใหม่เลยอย่างงั้นน่ะหรือ? ความจริงข้อนี้เตือนให้นึกถึงคำบอกเล่าจากบรรดาเพื่อนๆ ที่เคยเปรยว่าเห็นวรริทธิ์ไปควงผู้หญิงอยู่ที่นั่นที่นี่ตลอดระยะเวลาสองปีที่คบกับเธอ

แต่ธารใสก็เชื่อใจเขาไม่โอนเอนไปตามปากของคนอื่นโดยตลอด ตอนนี้เธอรู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าตนเองโดนความรักทำให้ตาบอดขนาดไหน เลิกกับผู้ชายเฮงซวยแบบนี้ไปได้เสียก็ดี ชีวิตเธอจะได้ดีขึ้นมาบ้าง

อันที่จริงชีวิตเธอก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก

ธารใสเป็นลูกสาวคนโตของเจ้าของร้านขายขนมหวาน ‘เจ๊เจี๊ยบ ทองหยอด’ ซึ่งเป็นตึกแถวสี่ชั้นตั้งอยู่ใกล้กับตลาดสดย่านสายห้า ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายขนมหวานทั้งปลีกและส่ง ชั้นที่สองเป็นโรงงานขนาดย่อมสำหรับทำการผลิตขนมหวานออกขายโดยไม่มีเครื่องจักรเข้ามาช่วย เพราะคนงานนอกจากมีแม่กับยายของเธอแล้ว ก็มีลูกมือเป็นเด็กสาวชาวพม่าฝาแฝดอีกสองคนเท่านั้น ส่วนอีกสองชั้นที่เหลือพวกเธอทั้งหมดใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน

ร้านขายขนมหวานของแม่ธารใส ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้ร่ำรวย แต่มันก็ไม่ทำให้เธออดตายหรือต้องพับถุงกระดาษขายแลกค่าข้าวเหมือนตอนเป็นเด็ก ธารใสหวังเพียงแต่ว่าหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยเธอจะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ แต่โชคร้ายที่เกรดเฉลี่ยของเธอออกมาไม่ดี ประกอบกับเวลาไปสัมภาษณ์งานก็มักจะตื่นตระหนกและประหม่าอยู่เสมอ ส่งผลให้สามปีผ่านไปหลังรับปริญญา เธอเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ยังหางานไม่ได้

ดังนั้นงานของเธอที่ทำได้ในตอนนี้ก็คืออยู่กับบ้านช่วยแม่ขายขนมนั่นเอง

วันนี้ร้านขนมค่อนข้างเงียบเหงา แม่กับเด็กพม่าไปส่งขนมให้ร้านหมูกระทะที่สั่งไว้แถวมหาวิทยาลัยเก่าของเธอ ส่วนยายก็หมกตัวอยู่ที่วงไพ่บนตึกแถวข้างๆ กัน ด้านน้องสาววัยสิบสี่ก็ไปเรียนพิเศษประจำวันเสาร์ที่โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังในตัวเมือง จึงเหลือธารใสอยู่เฝ้าร้านเพียงคนเดียวอย่างซังกะตาย

หญิงสาวไล่ความคิดว้าวุ่นออกจากสมอง บรรยากาศมันชักจะเงียบเกินไปแล้ว เธอหมุนตัวไปยังชั้นวางของหลังตู้กระจกแก้วใส่ขนมหวานชนิดต่างๆ เหมือนร้านขนมเค้ก ธารใสเอื้อมมือไปที่วิทยุเครื่องเก่าและพยายามจะเปิดมัน แต่เสียงที่ดังออกมากลับมีแต่เสียงซ่าๆ ฟังไม่รู้เรื่อง

“เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย เฮ้อ...”

เธอกำลังใช้มือตบๆ วิทยุอันเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลมานักต่อนักพอดีเมื่อประตูร้านเปิดออก เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊ง ธารใสรีบหมุนตัวกลับมาปั้นหน้ายิ้มรับลูกค้า คนที่เดินเข้ามาเป็นชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาหล่อเหล่า สวมแว่นตากรอบดำทำให้ดูเหมือนคนคงแก่เรียน เสื้อผ้าที่ใส่ก็แสนจะดูดี ธารใสตกตะลึงในความหล่อของเขาไปชั่วขณะ บรรยากาศที่น่าเบื่อรอบกายพลันสดใสขึ้นมาทันที

รู้สึกไม่ต่างจากตัวเองเป็นนางเอกในนิยายที่ได้พบหน้ากับพระเอกเป็นครั้งแรก แว่วเสียงเพลงรักคลอขึ้นในหูของเธอ รู้สึกเหมือนมีสายลมแผ่วเบาพัดเป่าผมของเธอให้ฟุ้งกระจาย ธารใสยืนบิดมือเอียงอาย สบตามองเขาแล้วก็ต้องหลุบตามองพื้น สองแก้มแดงระเรื่อ ไม่ทันเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์และข้างกายของเขามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามมาด้วย

หญิงสาวคนนั้นตบฝ่ามือลงบนเคาน์เตอร์เพื่อเรียกสติคนสวย

“ยัยธารใส เป็นอะไรไปยะ” หล่อนว่าเสียงดัง ถ้อยคำที่ใช้เรียกเป็นกันเองบ่งบอกได้ดีถึงความสนิทสนม

ธารใสสะดุ้งโหยงได้สติและเหลือบตามามองที่หญิงสาวรุ่นพี่ “อ้าว พี่ดาวเองหรอ? ไปยังไงมายังไงล่ะพี่?”

พี่ดาวเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยคณะวารสารศาสตร์ของเธอ ธารใสติดต่อด้วยอยู่บ่อยๆ เพราะฝากให้พี่ดาวหางานให้ หล่อนทำงานเป็นฟรีแลนซ์โปรโมทหนังสือให้สำนักพิมพ์ต่างๆ จึงมีหูตากว้างไกลอยู่พอควร แถมยังรู้ดีอีกว่านิยายเรื่องไหนน่าอ่านหรือไม่น่าอ่าน ธารใสเคยฝันเหมือนกันว่าอยากเป็นนักเขียน แต่ลองเขียนเมื่อไหร่ก็จอดสนิทตั้งแต่สองย่อหน้าแรกเมื่อนั้น

“ผ่านมาทำธุระแถวนี้ เลยพาลูกค้ามาหาขนมกินน่ะ ช่วยโปรโมทร้านให้แกไปด้วยเลยไง” พี่ดาวตอบอย่างยิ้มแย้ม จากหน้าตาที่อ่อนเยาว์และร่างกายที่เพรียวบางบอกไปใครจะเชื่อว่าหล่อนน่ะลูกสองเข้าไปแล้ว ธารใสมองหุ่นของเธอแล้วก้มมองหุ่นตัวเองอย่างอ่อนใจ ที่จริงแล้วเธอก็ไม่ใช่คนอ้วนเลย แต่ผู้หญิงคนไหนก็อยากมีหุ่นโค้งเว้าเหมือนนางแบบกันทั้งนั้น แม้ตอนนี้เธอจะผอมอยู่แล้ว ทว่ามันก็เป็นความผอมแบบไม้เสียบลูกชิ้น ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเหมือนพี่ดาวเลย

เสียงพูดของหญิงสาวรุ่นพี่ดึงธารใสออกจากภวังค์

“คุณอัคคีเลือกชมดูได้นะคะ ดาวรับประกันว่าร้านนี้อร่อยเหาะจนต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ”

หนุ่มหล่อนามอัคคีผงกศีรษะและก้มตัวลงมองตู้ขนมหวานด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่ง เขาก็ยืดตัวขึ้นสอบถามกับธารใสว่า

“ข้าวเหนียวมูนสีสันต่างๆ พวกนี้ใช้สีอะไรทำหรือครับ มีพวกปองโซ โฟร์ อาร์,เออริโธรซิน, ตาร์ตาซีน, ซันเซต เยลโลว์ เอฟ ซี เอฟ,ฟาสต์ กรีน เอฟ ซี เอฟและอินดิโกคาร์มีนหรือเปล่า?”

“อะ...อะไรนะคะ?” ร่างบางกระพริบตาปริบๆ เหมือนอีกฝ่ายเพิ่งพูดภาษาต่างดาวออกมาก็ไม่ปาน

อัคคีทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “ผมหมายถึงสีผสมอาหารน่ะครับ”

“อ๋อ” ธารใสอ้าปากผงกศีรษะหงึกๆ ก่อนสั่นหน้าในวินาทีต่อมา “ไม่มีหรอกค่ะ ร้านเราใช้สีที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น สีแดงได้จากกระเจี๊ยบ สีเหลืองได้จากฟักทอง สีเขียวจากใบเตยและสีน้ำเงินจากดอกอัญชันค่ะ ไม่ใส่สารกันบูด ขนมหวานร้านเราปลอดสารเคมีร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”

“อย่างนั้นหรือครับ” ชายหนุ่มยกมือขยับแว่น พยักหน้าหงึกหงักมองขนมในตู้ด้วยดวงตาครุ่นคิด “ขอผมชิมก่อนสักหน่อยได้ไหมครับ?”

“ได้ค่ะ” ธารใสตอบโดยเร็ว ทั้งที่ไม่เคยมีใครเคยขอทดลองชิมก่อนซื้อมาก่อน และร้านของแม่เธอก็ไม่เคยอนุญาตให้ใครทำเช่นนั้นเพราะต้องการป้องกันพวกลูกค้าปลอมๆ ที่เตร่เข้ามาก่อกวนขอกินฟรี แต่นี่อนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษเพราะคนขอออกจะหล่อลากดินขนาดนั้น และท่าทางก็ไม่น่าจะใช่พวกที่มีนิสัยก่อกวนด้วย

เมื่อเขาชี้บอกเธอว่าต้องการชิมขนมชิ้นไหน ธารใสก็ใช้ที่หนีบคีบใส่จานขึ้นมาวางให้ชิมพร้อมกับวางช้อนพลาสติกเล็กๆ ที่ปกติจะแถมใส่ถุงขนมให้ลูกค้าวางคู่กัน หนุ่มแว่นตักขนมเข้าปากคำหนึ่ง เคี้ยวหยับๆ สองสามครั้งก็วางช้อนลง ก่อนพยักหน้าพึมพำ

“ใช้สีธรรมชาติจริงแฮะ...โอเคครับ ผมขอข้าวเหนียวมูลสิบชิ้น แล้วก็ทุกอย่างที่ร้านคุณคิดว่าอร่อย เอามาให้หมดเลยครับ...คุณดาวช่วยจ่ายเงินให้ก่อนด้วยนะครับ”

ชายหนุ่มพูดกับธารใสในประโยคที่สอง แล้วหันมากล่าวกับสาวฟรีแลนซ์ในประโยคสุดท้าย พี่ดาวของธารใสพยักหน้ารับอย่างยินดี ธารใสจึงคีบทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าใส่กล่องและบรรจุลงถุงซึ่งรวมแล้วได้ถึงสี่ถุงใหญ่ที่เขากับพี่ดาวต้องช่วยกันหอบพะรุงพะรัง

“ซื้อเยอะขนาดนี้ ที่บ้านมีงานเลี้ยงหรอคะ?” สาวเฝ้าร้านถามอย่างสงสัยขณะช่วยพี่ดาวถือถุงขนมและเดินมาส่งพวกเขาที่หน้าร้าน

“ผมจะเอาไปแจกเด็กๆ ที่สถานพักพิงสตรีไร้บ้านน่ะครับ” หนุ่มแว่นตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นระหว่างรอให้พี่ดาวไขกุญแจเปิดประตูรถโตโยต้าคันงามสีขาวหิมะ

“แหม หล่อแล้วยังจะใจบุญอีกนะคะ” ธารใสพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอมองหนุ่มแว่นตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเพ้อฝัน บังเกิดเสียงใสๆ ของเธอเองกึกก้องอยู่ในสมองว่า นี่มันเทพบุตรบนดินชัดๆ หน้าตาก็ดี พูดจาก็สุภาพ หัวใจก็ประเสริฐ สวรรค์คงส่งเขาให้มาพบเราแน่แล้ว...

“ยัยธารใส! วันนี้แกเป็นอะไรของแกเนี่ย” เสียงแหวของพี่ดาวกระชากหญิงสาวให้หลุดออกจากโลกจินตนาการ ธารใสสะดุ้งก่อนพบว่าพี่ดาวกำลังพยายามแกะถุงขนมออกจากมือเธอที่เธอบิดมันไปมาด้วยความขวยเขิน

“ขอโทษค่ะพี่ ใจลอยไปหน่อย” ธารใสปล่อยมือออกจากถุงใส่ขนมและค้อมศีรษะขอโทษขอโพยยกใหญ่ ก่อนจะชำเลืองมองไปที่เทพบุตรหนุ่มของเธออีกเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็พบกับอากาศธาตุ เขาเปิดประตูเข้าไปนั่งรอพี่ดาวในรถแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้...เข้าไปโดยไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อยอีกต่างหาก

“เลอะๆ เลือนๆ แบบนี้ เพิ่งโดนผู้ชายทิ้งรึไงฮึ” พี่ดาวพูดอย่างเจตนาเย้าแหย่

สีหน้าของหญิงสาวสลดวูบลงทันที “อื้อ พี่รู้ได้ไงอ้ะ”

“อ้าว พูดเล่นนะยะ เป็นจริงได้ไง...” พี่ดาวใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือถุงขนมเกาศีรษะแกรกๆ แล้วจึงค่อยเอื้อมมาบีบไหล่สาวรุ่นน้องให้กำลังใจ “...เอาน่า ทิ้งแล้วก็ให้มันทิ้งไป ผู้ชายดีๆ ยังมีอีกเยอะ เอ้อ! ลืมไปเลย ไปส่งลูกค้าคนนี้เสร็จพี่มีนัดสำคัญต่อด้วย ขอตัวก่อนนะธารใส”

“ค่า ตามสบายค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ” ร่างบางถอยหลังและค้อมศีรษะอำลาสาวรุ่นพี่ คิดจะถามว่าลูกค้าสุดหล่อของพี่ดาวเป็นใครแต่ก็อายเกินกว่าจะพูดไป ดังนั้น ธารใสจึงทำได้แค่ยืนมองรถของพี่ดาวเคลื่อนออกจากที่พร้อมกับภาวนาว่า

ขอให้คุณอัคคีคนนั้นกลับมาซื้อขนมร้านเราบ่อยๆ เถอะ เพี้ยง!








โภควินต์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ย. 2556, 18:44:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ย. 2556, 18:44:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 2839





   บทที่ 2 – ข่าวดี >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account