สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 9

“นี่คุณพยายามจะทำอะไรไม่ทราบครับ”

เสียงทุ้มที่ถามขึ้นข้างหลังอย่างเหน็ดเหนื่อยปนระอาทำให้ปุษยาซึ่งกำลังแอบเสาเฝ้ามองพี่ชายตัวเองคุยกับพันธิตราอย่างใจจดใจจ่อสมาธิแตกซ่าน เธอขมวดคิ้ว หันไปส่งเสียง ‘ชู่ว์!’ ใส่ผู้ชายที่สวมแว่นกันแดดสีชายืนหลบมุมอยู่เยื้องๆ กัน แต่คนถูกปรามกลับไม่ยอมเงียบ ชายหนุ่มดึงแว่นนั้นลงนิด (ทำให้เธอมองเห็นรอบเขียวปื้นเป็นวงรอบกระบอกตาบนหน้าหล่อๆ นั่น) มองมาด้วยสายตากึ่งเวทนาและขยายความต่อ

“อย่างคุณน่ะเข้าไปฟังใกล้กว่านี้ก็ได้มั้ง ไม่ต้องหลบเสาคอยสปายเหมือนในละครทีวีหรอก ยังไงคนทั่วไปเขาก็ไม่เห็นผีกันพร่ำเพรื่อกลางวันแสกๆ” ประโยคท้ายนั้นเบาลงก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเหมือนกัดฟัน “ถ้าเขาไม่ดวงกุดขนาดผม”

“คุณว่าไงนะ?”

เด็กสาวหน้าคว่ำ ลืมเรื่องพี่ชายไปเสียสนิทยามหันขวับกลับไปมองผู้ชายที่ทำท่าเหมือนไม่รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไปตรงไหนนั่น ถลึงตาใส่ ทว่าสีหน้าไตรยังไม่เปลี่ยน กลับดูคล้ายปลงอนิจจังขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำเมื่อเจ้าตัวลอยหน้านับนิ้ว

“จะให้ผมทวนตรงไหน ตรงที่บอกว่าคุณไม่ต้องหลบเสา ตรงที่บอกว่าคนทั่วไปไม่เห็นผีพร่ำเพรื่อเรี่ยราด หรือว่าตรงดวงกุด”

ปุษยารู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงก่ำ (ถึงแม้มันอาจสังเกตไม่เห็นในภาวะ ‘ตัวใส’ อย่างที่ไตรเคยบอก) อยากระเบิดเสียงกรี๊ดออกมา แต่พอเห็นรอยยิ้มเยาะๆ ที่มุมปากคนตรงหน้าก็รู้ตัวว่าหลงกล เธอจึงแหวใส่

“ไม่ต้องมาหลอกกันซะให้ยากเลยย่ะ คุณแกล้งหาเรื่องยั่วปิ๊งให้วีน เสร็จแล้วก็จะอ้างว่าปิ๊งผิดข้อตกลง จะไล่ปิ๊งกลับไปให้พ้นๆ หน้าคุณใช่ไหม”

ไตรทำหน้าซื่อใสสุดขีด แต่เสียงหัวเราะที่หลุดพรืดออกมานิดบ่งบอกความจริง และเด็กสาวก็ยิ่งเดือดขึ้นไปอีกเมื่อเขาตอบหน้าตาเฉย

“สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะรู้ตัวเมื่อไร เร็วดีนะครับคุณปิ๊ง”

“ฝันไปเลยไป ปิ๊งไม่หลุดวงโคจรไปง่ายๆ งั้นหรอกค่ะ”

“ก็คิดอยู่” เขาถอนใจออกมา “ระเบิดลงไปแล้วมันกู้สถานการณ์ยาก”

แวบหนึ่งเธอนึกอยากยกนิ้วแบบไม่สุภาพให้เขาแล้วเชียว แต่ทางบ้านเธอไม่ได้อบรมมาให้หยาบคายและเสียมารยาทขนาดนั้น ปุษยาจึงกัดฟันทำเป็นยิ้มหวาน พยายามเปลี่ยนเรื่อง

“มาต่อปากต่อคำกับปิ๊งแบบนี้ ไม่กลัวใครเขาเห็นคุณพูดคนเดียวจะหาว่าบ้างั้นเหรอคะ”

เขาแค่เลิกคิ้ว หันมองไปรอบตัวอย่างจงใจ แล้วจึงตอบสั้นๆ ง่ายๆ

“ผมไม่แคร์”

อิ๊!

“จะไปหาพี่ชายก็ไปซะเถอะคุณ” เขาโบกมือไล่ “ผมสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหน หรือถึงหนียังไงคุณก็ตามเจออยู่ดี ผมยังไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าตกลงคุณลากผมออกมาด้วยทำไม ครั้งสุดท้ายที่ผมเช็ก ดูเหมือนผีไม่น่าต้องการโชเฟอร์”

“คำก็ผีสองคำก็ผี คุณ...” ปุษยาเกือบเต้นงิ้วแต่นึกได้ขึ้นมาอีกรอบว่าเขาห้ามเธอกรี๊ดใส่ “ฉันลากคุณออกมาเผื่อมีสถานการณ์ต้องขัดตาทัพแบบวันก่อนต่างหากล่ะยะ”

“ที่คุณเป้เขาหน้ามืดจะปล้ำสาวอะนะ”

“ไม่ต้องตอกย้ำก็ได้ ใครได้ยินเขาจะมองพี่ชายฉันเสียๆ หายๆ”

“คุณเริ่มพูดขึ้นมาเองนี่”

...อ๊าย! ผู้ชายอะไรแบบนี้!

ตั้งแต่เด็กมาเธอเรียนโรงเรียนสหศึกษาก็จริง แต่ปุษยาก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีเพื่อนผู้ชายที่สนิทสนมกันสักเท่าไร เพื่อนหนุ่มที่มีส่วนใหญ่ตั้งหน้าจะมาจีบมากกว่าจะคบหากันแบบเพื่อน บวกกับพี่ชายที่คอยประคบประหงมเธอเหมือนไข่ในหิน โอกาสที่ว่าก็ยิ่งต่ำลงไปอีก เรื่องจะเจอผู้ชายร้ายกาจอย่างไตร ขีดฆ่าทิ้งไปได้เลย

ปุษยาวาดภาพผู้ชายไว้อีกแบบ โดยมีพี่ชายเธอเป็นบรรทัดฐาน ชายแท้จะต้องแมน (แน่ละ) เป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว ไม่พูดมากปากร้ายใส่ผู้หญิง และรับสถานการณ์ทุกอย่างได้โดยไม่พิโอดพิโอย

ชายหนุ่มตรงหน้าเธอแม้จะหล่อ นิสัยก็ตกทั้งมีนทั้งเคิร์ฟ รวมไปถึงมาตรฐานทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอตั้งไว้ หลายวันที่ผ่านมา ปุษยาค้นพบว่าถ้าลงตั้งใจเข้าจริงแล้ว เขาปากจัดกัดเจ็บจนเพื่อนเพศที่สามบางคนของเธอยังอาย

“แล้วคุณตกลงกับผมไว้ว่ายังไงอีก กฎข้อที่หนึ่งน่ะครับ ข้อหนึ่งเลย จำได้ไหม ยังไม่ยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลยละเมิดแล้วเหรอครับ”

“ฉัน...”

“คุณบอกจะไม่เรียกตัวเองว่าฉัน...”

“ฉันไม่ได้บอก นายเป็นคนยัดเยียดตั้งกฎนั่น”

“...แล้วไม่เรียกผมว่านาย”

ไตรกล่าวต่อไปแบบหูทวนลม มองมาด้วยสายตาซื่อไม่จริงที่ทำให้เด็กสาวสะอึกกึก เธอทำเสียงงึมงำในคอ ก่อนจะค้อนตากลับ เอ่ยออกมาสะบัดๆ

“เฮอะ ไม่พูดก็ได้ย่ะ”

“ไม่เอาคำว่าย่ะด้วย คะขาน่ะพูดเป็นไหม” ชายหนุ่มบอกอย่างสั่งสอน...ด้วยเสียงราวกับตนเป็นพ่อพระเสียเต็มประดา “คุณพูดจาแบบที่พูดอยู่นี่ไม่น่ารักเลยสักนิด”

ปุษยาอยากกรี๊ด...ว่าใครกันยะที่อยากน่ารักในสายตานาย แต่ด้วยความที่กลัวไตรจะเฉดเธอออกจากคอนโดมิเนียม (จริงๆ ก็ใช่ว่าเขาจะบังคับเธอได้ แต่เธอยังอยากให้เขาให้ความร่วมมือเรื่องช่วยปุรณะอยู่นี่นา) วิญญาณสาวจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตอบกลับไปแบบไม่เต็มใจเลยสักนิด

“ฉัน...เอ๊ย ปิ๊งตกลงไว้แค่นั้นนี่...คะ ไม่ได้ตกลงเรื่องย่ะหรือไม่ย่ะซักหน่อย”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมแก่กว่าคุณเยอะ สิบปีได้ บ้านนี้เมืองนี้เขาถือกันไม่ใช่รึคุณ เรื่องอาวุโส สัมมาคารวะ” คนแก่กว่าส่ายหน้าดิกด้วยท่าทางยียวนกว่าเด็กแสบวัยห้าขวบ “คุณควรเรียกคนที่แก่กว่าขนาดนั้นว่านาย แล้วลงท้ายว่าย่ะเหรอ”

เธอคงไม่อยากเรียกแบบนั้นหรอก ถ้าเขาจะทำตัวให้สมวัย และไม่ยั่วโมโหเธอ! หากเด็กสาวก็กลั้นใจนับหนึ่งถึงสิบ ยี่สิบ สามสิบ บอกตัวเองว่าเย็นไว้...เย็นไว้

“ค่ะ ค่ะ รับทราบค่ะ ไม่ย่ะแล้วค่ะ” และเพราะอดไม่อยู่ เธอจึงลงท้ายอย่างเข่นเขี้ยว “ท่านผู้อาวุโส”

ชายหนุ่มมองตรงมาอยู่ชั่วขณะด้วยสายตาที่เธออ่านไม่ออก แล้วเขาจึงโบกมือไปข้างหลังปุษยา บอกหน้าตาเฉย

“พี่คุณไปแล้วนะนั่น ไม่ตามหรือ”

“ฮ้า?” ปุษยาร้องเสียงหลง หันหลังกลับไปมอง และเมื่อเห็นผู้เป็นพี่ชายสาวเท้าลิ่วๆ เหมือนจะออกจากบริเวณงาน เธอก็คว้าแขนคนข้างตัวหมับ “ตามค่ะ ตาม ไปกันเดี๋ยวนี้เลย”

ไตรสะดุ้งโหยงเมื่อมือใสๆ ของเธอทะลุวืดผ่านแขนเขาไป เขาหน้าซีดลง ทำท่าเหมือนจะแหกปากร้อง แต่แล้วก็กลับปิดปากลงเสียทัน ชายหนุ่มถอยไปก้าวและถลึงตาจ้องเธอ เอ่ยลอดไรฟัน

“จะบ้าหรือคุณ ให้ผมสะกดรอยเผาขนแบบนี้พี่ชายคุณก็รู้ตัวหมดซี่ แล้วคุณจำได้ไหม คุณปิ๊ง กฎข้อสอง อย่าคว้าตัวผม แตะตัวผม ลูบตัวผมแบบไม่บอกไม่กล่าว ผมจักจี้”

“จำได้ค่ะ อย่าตบ อย่าตี อย่าแตะ อย่าจิ้ม อย่าลูบ” เธอย่นจมูก ทำหน้า ‘หยะแหยง’ “อย่างกับใครเขาอยากลูบตัวคุณนักนี่”

“อ้าว เฮ้ย”

ไตรอ้าปากค้าง ทำหน้าเหวอเหมือนเสียเชิงขึ้นมาหน่อยๆ ปฏิกิริยาที่ทำให้ปุษยา ‘ฮึด’ ขึ้นมานิด เธอจึงสำทับซ้ำ

“จริงๆ นะคะ ปิ๊งไม่ต้องฟังกฎบ้าๆ อะไรของคุณสักข้อก็ได้ ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือกับปิ๊ง ปิ๊งจะเข้าไปหลอกคุณก่อนนอนทุกคืนๆ ให้หัวโกร๋นไปเลย ดูซิจะว่าไง”

“ขู่หรือคุณ”

“เปล่าค่ะ”

เด็กสาวลอยหน้าบอก “แต่ปิ๊งจะบอกว่าปิ๊งยังเป็นคนดีตะหากถึงยอมทำตาม ตราบใดที่คุณยังดีกับปิ๊ง ปิ๊งก็ดีกับคุณ แต่ถ้าคุณทำเรื่องมากนัก ปิ๊งไม่ต้องเกรงใจก็ได้”

“ฮืม...” ชายหนุ่มทำเสียงในคอ ขมวดคิ้วเข้านิดและมองตรงมาด้วยท่าซึ่งเธอเริ่มไม่ไว้ใจ มันคล้ายเจ้าตัวกำลังดีดลูกคิดหยั่งประเมินอะไรอยู่ในหัวสวยๆ นั่น แล้วที่สุดเจ้าตัวก็ถอนใจ บอกออกมาหน้าตาย

“จะทำอะไรก็แล้วแต่คุณ แต่ถือว่าผมเตือนแล้วนะคุณปิ๊ง อย่ามาหาว่าไม่บอกกันก่อนก็แล้วกัน”

“เตือน? เตือนอะไรไม่ทราบคะ”

“ลืมแล้วหรือว่าผมให้คุณสัญญาว่าจะไม่โผล่เข้ามาในห้องผมไม่บอกไม่กล่าว ผมทำเพื่อคุณนะ ไม่เชื่อกันก็แล้วไป”

“เพื่อฉัน...เอ๊ย...ปิ๊งตรงไหนกัน”

“ผมเป็นผู้ชาย คุณเป็นผู้หญิง” เขายกมือจิ้มอกตัวเองแล้วชี้เธอเหมือนกำลังสอนเด็ก “คุณเข้าห้องผู้ชายไม่บอก รู้หรือว่าจะเจอผมอยู่ในสภาพไหน คิดว่าผมแต่งตัวเรียบร้อยตลอดเวลาแม้แต่ตอนนอนหรือไง”

“อ้อ คุณพยายามจะบอกว่าคุณแก้ผ้านอนหรือคะ”

ปุษยาลากเสียงอย่างนึกหมั่นไส้ขึ้นมาบ้าง “นี่คุณ ปิ๊งไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ จะขู่อะไรก็ให้น้อยๆ หน่อย”

“ก็เพราะไม่ใช่เด็กๆ นั่นแหละผมถึงเตือน” ไตรยิ้มแบบหมาจิ้งจอก กดเสียงหนัก “ผมไม่บ้าแล้วก็หน้ามืดพอจะปล้ำผีหรอก แต่กลัวว่าคุณเข้ามาเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นแล้วก็จะกรี๊ดวี้ดว้ายหาว่าผมลามก บอกตามตรง ปวดหัว”

“ไม่ต้องมาบลัฟฟ์ปิ๊งเลย ปิ๊งไม่เชื่อหรอก”

เธอโต้อย่างดื้อดึง และชายหนุ่มก็แสร้งถอนใจ ส่ายหน้าอีกรอบ

“ผมบอกแล้วว่าก็แล้วแต่คุณ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ ไว้คุณก็รู้เองว่าอะไรเป็นอะไร”

ปุษยาฝืนหัวเราะ แต่แล้วเธอก็ขบริมฝีปากเข้าอย่างเริ่มเคลือบแคลงขึ้นมาเสียเอง เธอเชื่อว่าเขาแกล้งเกทับเธอ แต่ถ้าเกิดเขาพูดจริงขึ้นมาล่ะ

...เธอรู้จักไตรดีแค่ไหนกันเชียว?

“คุณ...คิดว่าปิ๊งจะเห็นอะไรเหรอ”

“อยากให้ผมบอกคุณจริงๆ อ้ะ”

“อยาก...เอ๊ย ไม่!” เด็กสาวรีบกลับลำเสียทัน “ไม่ ไม่ ไม่ คุณคิดว่าปิ๊งเป็นคนประเภทไหนกัน”

“ก็เป็นเด็กดีไง ผมถึงถาม”

เสียงทุ้มของเขาซ่อนรอยหัวเราะไว้ไม่มิด และปุษยาก็ต้องหรี่ตาลง เคืองขึ้นมากรุ่นๆ นี่เขาบลัฟฟ์เธอจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

แต่เธอก็เป็น ‘เด็กดี’ จริงๆ นั่นแหละ อย่างน้อยก็ในเรื่องแบบนี้ พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่เธอเริ่มเป็นสาวก็ยังไม่เห็นใครที่เสนอตัวขอเป็นแฟน ‘เข้าตา’ เลยสักนิด กี่รายๆ ที่พอจะดูดีในทีแรก แค่แวะมาบ้านหนสองหน คุยกับปุรณะสองครั้ง แล้วพวกนั้นก็หัวหดหายไปเลย แหยซะไม่มี

และปุษยาก็มองไม่เห็นว่าตัวเองจะต้องรีบร้อนไปไหน ถ้ายังหาคนดีๆ แบบที่ฝันไว้ไม่ได้

ใครจะรู้ล่ะ ว่าเธอควรลับคมตัวเองไว้เพื่อผจญกับคนพรรค์นี้ ผู้ชายประเภทไหนกัน หาเรื่องยั่วปั่นหัวกันได้ทุกก้าว เอาความใสไร้เดียงสาของคนอื่นมาเป็นของเล่นสนุก

น่าแค้น!

“คุณนี่ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยนะคุณไตร”

แทนที่จะสะทกสะท้าน ชายหนุ่มกลับเปิดยิ้มออกมากับคำกล่าวหานั้น เขาทำหน้าซื่อ และหากนัยน์ตาคู่นั้นไม่ซ่อนอยู่หลังแว่นดำละก็ มันคงฉายรอยระยับทีเดียวเมื่อเจ้าตัวเอ่ย

“ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ผมก็แค่พูดความจริงตรงๆ แล้วการพูดความจริงมันทำให้ผมไม่เป็นสุภาพบุรุษตรงไหน”

“สาบานนะว่าจริง”

“ก็ผมบอกแล้ว...ว่าถ้าคุณไม่อยากเชื่อ ไม่ต้องเชื่อก็ได้ ก็แค่อย่ามาโทษกันทีหลัง...”

“พอเลย” ปุษยาว่าอย่างเหลืออด “เลิกปั่นหัวปิ๊งได้แล้วค่ะ ปิ๊งตกลงจะทำตามที่คุณบอก แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันฉันมิตร ไม่ใช่เชื่อไอ้ที่คุณบลัฟฟ์...”

“อือ...ฮึ”

ไตรทำเสียงในคออย่างเย็นใจสุดชีวิต และเด็กสาวก็อยากร้องกรี๊ดออกมาดังๆ ฮึ้ย ตาบ้า!

“ตามใจคุณก็แล้วกัน ยังไงคุณก็พูดถูกอยู่บ้างละนะ”

“ว่าไงนะคะ”

เด็กสาวหูผึ่งขึ้นมาทันที และชายหนุ่มก็ทำหน้าเสียใจเป็นครั้งแรก บอกเนิบๆ

“ก็ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษน่ะสิ ผมเคยบอกที่ไหนกันล่ะครับว่าผมเป็น”

และขณะที่เธอยังอ้าปากค้างกับถ้อยที่คาดไม่ถึงอยู่นั่นเอง ไตรก็ยิ้มหวานออกมาอีกรอบ...แบบใส่ขัณฑสกรท่วมท้นล้นปรี่ “ผมไม่ใช่คนแบบพี่ชายที่แสนดีของคุณหรอกนะคุณปิ๊ง ถามพ่อ ถามแม่ ถามพี่สาวผมคนไหนดูก็ได้เลย ถามเพื่อนผมก็ได้เอ้า สาบานว่าทุกคนบอกตรงกันหมดแหละ ว่าผมน่ะมันพวกแกะดำ!”




พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2556, 18:24:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ย. 2556, 18:24:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1088





<< บทที่ 8   
ree 10 ก.ย. 2556, 21:07:44 น.
คู่ผีปิ๊งกับนายไตรนี่น่ารักดีอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account