สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 8

นักข่าวจากรายการข่าวสังคมธุรกิจของสถานีโทรทัศน์ผละไปแล้ว แต่ปุรณะยังไม่คลายรอยยิ้มบนหน้าเมื่อสอดมือเข้ากระเป๋า กวาดตาสำรวจความเรียบร้อยของงาน การเปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ชายของบริษัทดำเนินไปอย่างราบรื่นตามที่วางแผนไว้ นักแสดงหนุ่มสุดฮ็อตซึ่งรับเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์เรียกความสนใจจากสื่อได้ไม่ใช่น้อย...และความมีเสน่ห์กับชื่อเสียงแบบไม่มีข่าว ‘ฉาว’ ของเจ้าตัวก็ช่วยให้ภาพลักษณ์ของสินค้าดูดีมีระดับ ความจริงปุรณะไม่จำเป็นต้องมาดูงานนี้เองด้วยซ้ำ ทีมพีอาร์ก็ทำงานเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ทว่าการมาก็ไม่เสียหาย เพราะงานแบบนี้...รวมถึงการต้องสนทนากับใครต่อใครช่วยไม่ให้เขาคิดมาก

...อย่างน้อยก็จนกระทั่งนักข่าวคนหนึ่งซึ่งพอจะคุ้นเคยกันกระเซ้าเขาว่าวันนี้รวิสราไม่มาด้วยหรือ...

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสีหน้าเขาเปลี่ยนไปบ้างไหม แสดงพิรุธบ้างหรือเปล่าเมื่อหัวเราะและตอบว่าเธอก็มีงานของตัวเองต้องทำ อาจไม่ เพราะคนถามดูเหมือนจะไม่สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติ มีแต่เขาเองซึ่งรู้อยู่เต็มอกว่าเกิดอะไรขึ้น

ตอนนี้รวิสราไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาแล้ว รวมถึงเพิกเฉยไม่ตอบข้อความขอโทษที่เขาเพียรส่งไป เขาคงไปดักรอพบเธอแล้ว ถ้าแน่ใจได้ว่า ‘อาการ’ ประหลาดของตัวเองจะไม่กำเริบขึ้นมาอีก

เขารู้สึกอยากถอนใจยาวออกมา ยกมือขึ้นเสยผมแรงๆ หรือเตะอะไรสักอย่างระบายความอัดอั้น แต่บอกตัวเองว่าไม่ควรแสดงออกต่อหน้าสาธารณชนถ้าไม่อยากตกเป็นข่าวซุบซิบให้ใครสงสัย ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นหลุดออกไปคนที่จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านจะไม่ใช่แค่เขา แต่เป็นเธอ...แล้วทุกอย่างอาจสาวกลับไปถึงเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดกับปุษยา

...มันไม่ดีกับใครทั้งนั้น...

“คุณเป้คะ”

เสียงทักทำให้ปุรณะหันไปมอง ปั้นยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่แล้วความประหลาดใจก็วาบเข้ามาเมื่อเขาเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้านิดหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเขาทัก

“คุณผึ้งเหรอครับ”

“ดีจังค่ะที่คุณจำได้ด้วย” มธุกรส่งยิ้มหวานตรงมาให้ ถ้าเจ้าตัวขวัญเสียไปบ้างกับเหตุการณ์ที่เกิดในร้านอาหารวันก่อน วันนี้ขวัญนั้นก็กลับมาเรียบร้อยแล้ว และอาจจะทวีปริมาณขึ้นแบบคูณสอง เพราะทั้งสายตาและรอยยิ้มนั้นยั่วเย้าอย่างเหลือร้ายเมื่อเจ้าหล่อนขยับตัวมาใกล้ขึ้นอีกคล้ายสิงโตกำลังจะคืบเข้าล่าเหยื่อ อากัปที่ทำให้ปุรณะระวังตัวมากขึ้นเมื่อเขาทัก

“คุณเป็นตัวแทนมาจาก...” วันก่อนเธอบอกว่าเธอทำงานนิตยสารอะไรนะ “...ชิคหรือ”

“อุ๊ย เปล่าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ผึ้งเคยทำงานที่นั่น แต่ย้ายออกมาแล้วละค่ะ ตอนนี้ผึ้งทำอยู่กับนิตยสารเอเลแกนซ์ จริงๆ ไม่ได้รับผิดชอบงานแบบนี้โดยตรงหรอก แต่พี่ที่เขารับผิดชอบอยู่ไม่สบาย ผึ้งก็เลยอาสามาแทนให้ ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณเป้อีก”

คิ้วเข้มของชายหนุ่มเลิกขึ้น เขาไม่เชื่อสักนิดว่าเธอไม่คิดว่าจะได้เจอเขา สายตาของมธุกรบอกความตั้งใจของเจ้าตัวอย่างไม่คิดจะปิดบัง แต่ก็อีกนั่นแหละ...เขาไม่คิดว่าการบอกไปตรงๆ ว่าตนรู้ทันนั้นเป็นเรื่องฉลาด ปุรณะจึงเพียงยิ้ม เอ่ยออกไปเรียบๆ

“โลกนี้มีเรื่องให้ประหลาดใจได้อยู่เรื่อยๆ ละครับ”

“นั่นสินะคะ” มธุกรหัวเราะ เธอกวาดสายตามองไปรอบตัวแล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น ถามด้วยเสียงเป็นห่วงเป็นใย “ว่าแต่วันนี้คุณเป้ฉายเดี่ยวเหรอคะเนี่ย เห็นวันก่อนแฟนคุณท่าทางโกรธๆ แล้วคุณกับเขาก็ปึงปังกันออกไปจากร้าน ผึ้งว่าจะเข้าไปช่วยอธิบายก็ดูท่าทางเขาจะไม่ฟัง เดี๋ยวยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ นี่คงไม่ใช่ว่าผึ้งทำคุณกับเขาทะเลาะกันนะคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เชรีเขาแค่ไม่ว่าง”

ชายหนุ่มปดหน้าตาย และคนฟังก็เลิกคิ้วขึ้นบ้าง ริมฝีปากอิ่มเต็มห่อเข้า ก่อนเจ้าตัวจะส่งสายตาเห็นอกเห็นใจมา

“แย่จัง แต่พูดไปผึ้งก็ไม่ประหลาดใจเท่าไรนะคะ ดูแฟนคุณเขาออกจะเป็นสาวมั่น ยังไงไพรออริตี้อันดับหนึ่งของเขาต้องเป็นงานอยู่แล้ว เป็นผึ้งหน่อยไม่ได้...”

“แล้วไพรออริตี้อันดับหนึ่งของคุณไม่ใช่งานหรือ”

หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ อีกครั้งกับคำถามนั้น เธอยิ้มพรายแล้วจึงว่าอย่างไม่ยอมหลงกล

“จะไปบอกเจ้านายผึ้งเหรอคะ ปกติผึ้งก็ทุ่มให้งานเต็มที่เหมือนกัน แต่คนเราต้องรู้สิคะว่าอะไรมีค่ากับตัวเองบ้าง ของสำคัญได้มาแล้วก็ต้องรักษา ถ้ามองข้าม ทิ้งไว้ไม่ดูไม่แลบ่อยๆ เข้าก็น่าเสียดายแทน คุณเป้ว่ามั้ยคะ”

มือบางขยับขึ้นเขี่ยเนคไทเขาเล่น แต่แล้วปุรณะก็ยกมือขึ้นจับมือเธอ ตรึงไว้เมื่อมันทำท่าจะเคลื่อนที่ไปมากกว่านั้น ตาสบตานิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนเขาจะดึงมือเธอลงข้างตัว เอ่ยเสียงซื่อ จงใจไม่ต่อคำหยอดเมื่อครู่ของหญิงสาว

“เนคไทผมเบี้ยวหรือครับ”

คำพูดของเขาทำให้มธุกรอดจะหัวเราะออกมานิดหนึ่งไม่ได้ แม้ตาจะค้อนและสีหน้าจะบอกความขัดใจอยู่นิดหน่อย เธอไม่ได้ออกท่าทางอะไรมากไปกว่านั้น คงเพราะรู้ว่าตนอยู่ในที่สาธารณะและอาจอยู่ในสายตาเพื่อนร่วมงานในวงการเดียวกัน จะยั่วจะเฟลิร์ตพอหอมปากหอมคอนั้นพอได้...แต่การแสดงตัวเป็นนางร้ายหนังไทยนั้นห้ามเด็ดขาด

...และอีกอย่าง เขาก็ไม่ถึงกับตัดรอนเธอเสียทีเดียวนัก...

“ค่ะ ก็ทำนองนั้น ผึ้งดูแล้วอดไม่อยู่ อยากช่วยจัดให้”

“งั้นก็ไปสมัครงานใหม่ที่ร้านขายเสื้อผ้าเอาไหมล่ะคะ รับรองได้จัดเสื้อทุกวั้น ทุกวัน ถ้าไม่รู้จักเดี๋ยวแพทช่วยแนะนำ”

เสียงหวานหยดที่แทรกเข้ามาทำให้หญิงสาวหน้าคว่ำลงฉับพลัน เธอหันไปมอง...เพื่อจะพบกับพันธิตราในชุดแต่งกายเปรี้ยวเก๋จัดจนดารานางแบบหลายคนคงต้องอายม้วน เจ้าหล่อนสืบเท้าฉับๆ เข้ามาด้วยท่าทางมั่นใจและส่วนสูงระดับเดียวกับสุดยอดนางแบบบนแคทวอล์กในปารีส ทำเอามธุกรโดนข่มจน ‘ดับ’ ไปในพริบตา

“นึกว่าใคร คุณแพทเองหรือคะ”

เสียงทักของมธุกรออกมะนาวไม่มีน้ำนัก แน่ละ...ในเมื่อพันธิตรามาขัดจังหวะการ ‘ล่าเหยื่อ’ ของเธอ แถม ‘จิก’ เข้าให้เต็มรัก แต่มีสื่ออยู่เต็มขนาดนี้ จะกรีดร้องด่าทอ ตอบโต้ออกไปตรงๆ ก็คงเป็นเรื่องเปล่าๆ ดีไม่ดีกลายเป็นข่าวจะโดนเขี่ยออกจากงาน หญิงสาวจึงฝืนยิ้มหวานและ ‘ชม’ ออกไปแบบที่ทำให้ปุรณะเกือบสำลัก

...พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าเธอ ‘ทำไปได้’...

“โอ้โห ชุดแปลกมากเลยนะคะคุณแพท ผึ้งเคยเห็นอะไรสไตล์นี้แต่บนแคทวอล์ก ยังคิดว่าดีไซเนอร์เขากล๊ากล้า แต่ละชิ้นๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าแคลชกันสุดๆ เหมือนไปแรนดอมหยิบขยะรีไซเคิลมามิกซ์ ของแบบนี้ถ้าไม่ใช่นางแบบนุ่งละมีแต่ดับกับดับ”

“จริงค่ะ” พันธิตราสนับสนุนเอาดื้อๆ ด้วยรอยยิ้มพราย ปรายตามาทางปุรณะอีกนิด ก่อนจะหัวเราะแบบไม่สะทกสะท้าน “นี่มันชุดสำหรับคนสวยโอนลี่ค่ะ ต้องสวยต้องมั่นระดับนางแบบถึงเอาอยู่ เชรีเค้าก็บอกค่ะว่าเค้าดีไซน์ชุดนี้ให้แพทโดยเฉพาะ ใส่ปุ๊บรับรองเกิด...” เจ้าตัวยักไหล่ด้วยท่าทีน่ารักน่าชัง “เท่าที่ดูปฏิกิริยาชาวบ้านมาก็สอบผ่านอยู่นะคะ คนเหลียวมองแล้วเคลิ้มตะลึง ไม่เหมือนบางคน ดันก็แล้วโกยก็แล้ว กระแซะแล้วกระแซะอีก ผู้ชายยังไม่อยากรับประทาน”

คราวนี้มธุกรหน้าแดงก่ำเสียจนปุรณะกลัวว่าหัวเธอจะระเบิดออกมา เจ้าหล่อนเปิดปาก ทำท่าเหมือนอยากตอบโต้ แต่พันธิตราก็ชิงพูดขึ้นก่อน...หลังจากห่อปากน้อยๆ อย่างเซ็กซี่ ทำหน้าตกใจเหมือนเพิ่งนึกได้

“อุ๊ย ตายจริง คุยกันมาจนป่านนี้ยังไม่รู้ชื่อคุณเลย ขอโทษนะคะ แพทไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่ไม่รู้ทำไม ลืมอยู่เรื่อยว่าต้องถาม แหม สมองแพทเนี่ยแย้แย่ เวลาเจอใครบ้านๆ ชอบสั่งการแบบอัตโนมัติเรื่อยว่าเนี่ยน่ะ โนเนม โนบอดี้ ไม่ต้องไปสนชื่อก็ได้”

ชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นเริ่มร้อนๆ หนาวๆ เพราะยังไม่อยากประชาสัมพันธ์งานด้วยการมีสาวสวยสองคนมาตบตีกันจนขึ้นข่าวหน้าหนึ่ง เขาเหลียวซ้ายแลขวา มองหาพนักงานรักษาความปลอดภัยเพื่อจะ ‘ส่งซิก’ ทว่าดูเหมือนแม้มธุกรจะแค้นจนแทบกระอักเลือดออกมาตรงนั้น เธอก็รู้ตัวดีว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่คิดเอาอนาคตการงานของตัวเองมาแลก หญิงสาวจึงเพียงร้อง “อึ๊ย!” เม้มปากเข้า ทำเสียงคั่งแค้นในคออีกครั้งคล้ายจะบอกว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ แล้วจึงหันมาบอกเขาว่า “ผึ้งไปก่อนนะคะ จะคุยกับคุณดีๆ ไม่มี...ใคร...มาผจญไม่ได้เลยเชียว”

พันธิตรายิ้มหวานขึ้นไปอีก ไม่ใส่ใจคำพูดอ้างอิงเป็นนัยๆ ว่าเธอเป็นมารนั้น อาจด้วยถือว่าเธอกับคู่กรณียังคนละชั้น ทำให้มธุกรได้แต่สะบัดหน้าพึ่บ สาวเท้าจากไปอีกทาง ทิ้งให้ปุรณะยืนยิ้มเหนื่อยๆ พลางเอามือถูต้นคอลดอาการขนลุกอยู่ไปมา

เป็นครู่...กว่าเขาจะหันไปหาเพื่อนสนิทของรวิสรา พึมพำอย่างที่ได้ยินกันเพียงสองคน

“คุณนี่สมเป็นเพื่อนเชรีจริงนะครับคุณแพท แรงได้อีก”

“เฉพาะกับคนที่ควรแรงหรอกค่ะ ผู้หญิงพรรค์นั้น...” พันธิตราย่นจมูก เธอยังตีสีหน้าเชิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มละไมออกมา ดวงตาวาบประกายพราว แต่เป็นประกายตาและรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้ทันทีว่า ‘งานเข้า’ “แล้วก็จะแรงเป็นพิเศษด้วยกับคนที่ทำไม่ดีกับเพื่อนแพท”

“เชรีเล่าอะไรให้คุณฟังล่ะครับ”

ปุรณะถาม รอยยิ้มบนหน้าจางไป ขณะที่ความหงุดหงิดแล่นเข้ามาเป็นริ้วบางๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เขารู้สึกผิดและเครียดกับเรื่องที่เกิดมากพออยู่แล้วโดยไม่ต้องมีใครมาตอกย้ำ และไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะตกเป็นจำเลยให้ใครมาสอบสวนตอนนี้

แต่พันธิตราคล้ายจะจับอารมณ์เขาไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่ใส่ใจ เพราะเธอหัวเราะออกมานิดหนึ่งด้วยท่าทีที่ถ้าคนรอบตัวดูก็คงคิดว่าเธอกำลังอารมณ์ดี แม้แววตาของเจ้าตัวจะไม่บ่งบอกเช่นนั้นเลย

“เปล่าค่ะ ไม่ได้เล่าอะไรเลย ปิดปากแน่นเหมือนเย็บ แต่ใครดูแวบเดียวก็รู้ว่าต้องมีเรื่อง ตอนนี้ใครๆ เข้าหน้าเขาไม่ติดทั้งวัน ชวนไปไหนก็ไม่ไป เอาแต่ทำงานเหมือนคนบ้า แม่เขาโทรมาถามแพทเลยด้วยซ้ำว่าพอรู้ไหมว่าลูกสาวเป็นอะไร”

หัวใจปุรณะถ่วงหนักลงไปอีก เขาห้ามตัวเองไม่ให้หลบตาคู่สนทนา แต่ยังเกรง...ว่าความรู้สึกผิดนั้นจะฉายออกไปให้อีกฝ่ายเห็น

“แล้วอะไรทำให้คุณนึกล่ะครับว่ามันเกี่ยวกับผม”

“จะมีอะไรได้อีกคะ เรื่องครอบครัวก็โอเค เรื่องงานแพทก็รู้ว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็เหลือเรื่องผู้ชาย”

“ก็อาจจะไม่ใช่ผม”

“คุณคิดจริงๆ หรือคะว่าเชรีจริงจังกับใครนอกจากคุณ?”

“ผมไม่รู้”

ปุรณะถอนใจเฮือก และเขาพูดจริง เขารู้ว่ารวิสราชอบเขา แต่ที่เขาไม่แน่ใจคือ...จริงจังแค่ไหน เขากับเธออาจ ‘ดูๆ กันอยู่’ ตามที่ทุกคนรอบตัวรับรู้ แต่เขายังห่างไกลจากการเป็นผู้ชายคนเดียวในวงโคจรรอบตัวเธอ

และเขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตอนนี้เธอคิดยังไงกับเขา เพราะหลังจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาคาดว่ามันจะไม่สวยนัก

แต่ทั้งสองข้อนั้นเป็นเพียงเรื่องรอง เธอจะคิดยังไงกับเขาก็ไม่สำคัญเท่าคำถามว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป สัญชาตญาณส่วนลึกกระตุ้นเขาให้รุกเข้าใกล้ แต่สติเตือนเขาว่าในสภาพที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ เขาควรถอยห่างจากเธอ ก่อนทุกอย่างจะพังลงไปมากกว่าเดิม

ถ้าเขาก้าวพลาดหนักเข้า เขาอาจไม่แค่สูญเสียเธอ แต่เป็นสิ่งมีค่าทุกสิ่งที่เขาพยายามรักษาไว้ในชีวิตด้วย ความคิดนั้นทำให้เขาตัวเย็นเฉียบ ชายหนุ่มจึงฝืนยิ้มออกมา บอกกับพันธิตรา “บางทีผมอาจควรอยู่ห่างๆ เชรีสักพัก ให้เราเย็นลงกว่านี้”

“งั้นคุณก็ทะเลาะกับเชรีจริงๆ”

“มันมี...ปัญหาบางอย่างที่ทำใจยากระหว่างเรา”

“เรื่องน้องสาวคุณหรือคะ”

เขาก้มศีรษะลงนิดกึ่งยอมรับ “ก่อนนี้ผมคิดว่าผมทำใจได้ แต่แผลอาจจะยังสดเกินไป” ปุรณะถอนใจออกมาอีกรอบ ก่อนจะบอกด้วยความจริงใจที่ทำให้อีกฝ่ายต้องนิ่ง “ผมไม่อยากทำร้ายเชรีมากไปกว่านี้”

พันธิตราเงียบไปนาน แล้วที่สุดเธอจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงอ่อนลง

“ถ้าคุณคิดว่าแบบนั้นจะดีกว่า แพทก็เคารพการตัดสินใจของคุณค่ะ แต่เชรี...”

“ผมไม่คิดว่าเขาเองจะอยากให้ผมเข้าใกล้นักตอนนี้”

เสียงหัวเราะเบาๆ ของปุรณะฟังดูปนขื่นแม้แต่ในหูเขาเอง มันทำให้พันธิตรามองมาด้วยแววตาเห็นใจมากขึ้น

“เอาเถอะค่ะ ถ้ามีอะไรให้แพทช่วยก็บอกแล้วกัน ส่วนรายตะกี้ ยังไงคุณก็ระวังไว้บ้างนะคะ ท่าทางชีติดหนึบเหมือนหมากฝรั่ง ยืดเก่งเสียยิ่งกว่ามอสซาเรลล่าชีส” เพื่อนสาวของรวิสราสั่นศีรษะ แล้วจึงออกปากวิจารณ์ต่อแบบไม่ไว้หน้าคนถูกวิจารณ์ “ของแบบนี้ไม่รีบตัดฉับไป สงสัยจะไม่ยอมขาดหรอกค่ะ ขว้างไปก็คงหวนมาเหมือนบูมเมอแรง เด้งกลับมาเหมือนโยโย่ หรือจริงๆ คุณไม่อยากตัดกันล่ะคะ”

ชายหนุ่มหัวเราะในคอออกมาพรืดหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขาคราง “โธ่...คุณแพท” และอีกฝ่ายก็สวนกลับมา

“ไม่โธ่ไม่เธ่อละค่ะ พูดจริง”

“ผมไม่ได้คิดจะยุ่งอะไรกับเขาหรอกครับ ชีวิตผมยุ่งพออยู่แล้วตอนนี้ แต่คุณคงเข้าใจ คนเดี๋ยวนี้น่ากลัว ผมไม่อยากสร้างศัตรู”

“เข้าใจน่ะก็เข้าใจหรอกค่ะ แต่กลัวมันจะไม่จบก็เท่านั้น” พันธิตราถอนใจเฮือก เปรยขึ้นลอยๆ “แต่ก็เชื่อละค่ะว่าคุณเอาตัวรอดอยู่แล้ว คงไม่โดนใครโดดเกาะง่ายๆ ห่วงแต่ถ้าเขามามีรายการนัวเนียกับคุณมากจะไปกระทบอะไรเชรีอีกหรือเปล่า”

ปุรณะยิ้มฝืด...ด้วยรู้เต็มอกว่าถ้าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องมธุกร เขากับรวิสราคงไม่มีปัญหาอะไรนักหรอก ดูจากเหตุการณ์ที่ร้านไฟร์ฟลายนั่น เขาบอกได้เลยว่าเพื่อนสาวของพันธิตราจัดการ ‘ส่วนเกิน’ อย่างมธุกรได้อยู่หมัด...หรือยิ่งกว่าอยู่หมัด ปัญหาระหว่างเขากับเธออยู่ลึกกว่านั้น

แต่เรื่องบางเรื่อง พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ของบางอย่างถ้าไม่มีใครอื่นรู้เสียจะดีกว่า ชายหนุ่มจึงเพียงตอบไปกลางๆ

“คงไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ผมจะระวังก็แล้วกัน”

...และทั้งที่พูดออกไปเหมือนมั่นใจเต็มที่แบบนั้น ปุรณะก็ยังนึกสงสัย...

...ที่ว่า ‘ไม่มีอะไร’ จะไม่มีจริงแน่หรือ เพราะในส่วนลึก...เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนเรื่องบ้าๆ ทั้งหมดนี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

และเขาควรระวังใครกันแน่...ระหว่างระวัง ‘คนนอก’ อย่างมธุกร หรือว่าระวังตัวเอง?


+++

ตอบคุณ ree จากตอนที่แล้วนะคะ เรื่องนี้จะลงทุกวันอังคารและศุกร์ ครั้งละสองบทค่ะ :)



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2556, 18:24:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ย. 2556, 18:24:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1000





<< บทที่ 7   บทที่ 9 >>
ree 10 ก.ย. 2556, 20:53:14 น.
บทที่8 นี่เหมือนจะบอกว่าคุณผึ่งจะมีบทบาทต่อไปอย่างงั้นแหละ ถ้าตามสูตรนิยายน้ำเน่าต้องมีการตบกันกับนางเอกหรือเปล่าเอ่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account