อาญาซาตาน
ชาครีย์ หรือเสือ จากอดีตเคยเป็นคนจนๆ กลับกลายมาเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวย เพราะได้เงินจากการขายที่ดินแถวหนองงูเห่าที่เมื่อก่อนราคาไร่ละไม่กี่แสน แต่พอสร้างสนามบินขึ้นมากลายเป็นราคาหลายสิบล้าน และเขาก็สร้างฐานะให้มั่นคงด้วยการจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีเพื่อนๆ ที่เป็นลูกคนรวยทั้งหมอ ทั้งนักการเมืองคอยช่วยเหลือด้วย ทำให้สร้างตัวได้ในเวลาแค่สิบกว่าปีเท่านั้น
เขาจึงตามมาแก้แค้นคอบครัวของยุพาพร ซึ่งเป็นแม่ของวิโรจน์เจ้านายเก่าของพ่อเขา และมีเคยมีคดีความกันมาตั้งแต่สมัยเขายังเรียนไม่จบ เพราะวีรดา (มิว) ในวัยแปดขวบซึ่งเป็นลูกสาวของวิโรจน์กับเสาวรส และเป็นเด็กสปอยมาก วันนั้นไปเล่นที่ท่าน้ำ น้องของเสือก็ไปเล่นด้วย เพราะพ่อแม่ของเขาอยู่ห้องแถวในโรงงานของวิโรจน์ เลยรู้จักมักคุ้นกับลูกเจ้านายดี
แต่เพราะความสปอยของมิว จึงผลักน้องสาวเสือตกน้ำต่อหน้าต่อตาเขา และเขากับพ่อแม่ก็แจ้งตำรวจเอาเรื่องพ่อแม่ของมิว ยุพาพรใช้เงินอุดให้เรื่องเงียบ เสือกับพ่อแม่เสียใจมากเลยออกจากงานย้ายกลับบ้านที่หนองงูเห่า ปีต่อมาพ่อของเสือมาหาเพื่อนที่โรงงานเลยถูกวิโรจน์ขับรถชน เสือเสียใจมากฟ้องตามเคย และแพ้คดีตามเคย เพราะยุพาพรใช้เงินอุด ทำให้เสือโกรธมาก
เลยกลับมาเล่นงานครอบครัวนี้ด้วยการช้อนซื้อบริษัทส่งออกอาหารกระป๋องของวิโรจน์ที่จะเจ้งแหล่ไม่เจ้งแหล่ รวมทั้งคฤหาสน์ราคาเป็นร้อยล้าน เสือก็ซื้อมาในราคาแค่เจ็ดสิบล้าน เพราะวิโรจน์ติดการพนัน ติดหญิง ไม่สนใจจะทำงานสานต่อกิจการครอบครัวเหมือนเมื่อก่อน ลูกชายก็ไม่ได้เรื่อง ลูกสาวคือมิวก็ถูกส่งไปเรียบต่อเมืองนอกตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งก่อน
เสือยื่นข้อเสนอให้ยุพาพรกับวิโรจน์ว่าจะให้หุ้นในบริษัท 25% ถ้าวิโรจน์ยอมทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทต่อ และยกหนี้ให้ 25ล้านบาท ถ้าวิโรจน์ส่งมิวที่กำลังเรียนอยู่เมืองนอกให้มาเป็นนางบำเรอเขาสองปี วิโรจน์ยอมทำตาม แต่ยุพาพรกับเสาวรสไม่ยอม และให้วิโรจน์ไปหาลูกเมียน้อยที่วิโรจน์เคยมีอะไรด้วยมาแทนมิว
กัณหา(นิ่ม) ที่เป็นลูกของวิโรจน์ที่เกิดจากกันยาเด็กรับใช้ในบ้าน และถูกยุพาพรไล่ออกจากบ้านตั้งแต่รู้ว่าท้องแล้ว และวิโรจน์ก็ไม่เคยสนใจจะติดตาม แต่ยุพาพรกับเสาวรสคอยจับตามองเสมอๆ ว่ากันยาพาลูกไปอยู่ที่ไหนกับใคร และกันยาก็มีลูกชายกับผัวใหม่คือ ชาลี อีกคนแล้วทิ้งลูกทั้งสองให้แม่ (ยายจำปา) เลี้ยงดูตามลำพังจนโตเป็นสาว
และเป็นช่วงที่ยายจำปาเกิดป่วยหนัก หลานทั้งสองต้องหาเงินเป็นล้านไปจ่ายให้โรงพยาบาล กัณหาต้องยอมตามที่พ่อกับย่าขอร้องเพื่อแลกกับการรักษายายให้หาย และให้บ้านฟรีๆ อีกหนึ่งหลังจะได้ไม่ต้องเช่าห้องแถวในสลัมอยู่ และมีเงินเดือนให้สี่หมื่นตลอดสองปี กัณหาจึงได้เข้าไปอยู่กับเสือในคราบของมิว เด็กสปอยที่เสือเกลียดมาก และคิดจะเล่นงานกลับคืนให้สาสม
และเสือก็ทำอย่างนั้นจริงๆ แม้จะแปลกใจว่าทำไมเด็กนอกอย่างมิวถึงยังบริสุทธิ์อยู่ และทำไมถึงยอมอยู่บ้านหลังเล็กๆ ที่เขาเตรียมให้แทนตึกใหญ่ ทำไมถึงทำกับข้าวกินเองได้ งานบ้านก็ทำได้ เดินออกไปปากซอยไกลๆ ก็ทำได้ เขาสงสัยแต่ก็คิดว่าความยากจนทำให้คนเปลี่ยนไป เลยไม่คิดจะหาคำตอบจริงๆ จังๆ

Tags: พระเอกโหด เศร้า รัดทด

ตอน: อยู่คนละฟากฟ้า

“โรงพยาบาลนี่ดีนะหล่อน ใครเจ็บบางตายส่งมาที่นี่รอดทุกราย เรื่องค่ารักษาไว้ค่อยคิดทีหลัง เอาชีวิตคนไว้ก่อน ลูกชายเพื่อนฉันเกิดอุบัติเหตุเมื่อสามเดือนก่อน จะตายแหล่ไม่ตายแหล่แล้ว พวกกู้ภัยหามมาส่งที่นี่รอดอย่างปาฏิหาริย์ จำไว้นะหล่อนถ้าคนในบ้านเป็นอะไรเอามาที่นี่เลย อ้อ!!! ห้างนั้นก็จะมีซัมเมอร์เซลพรุ่งนี้นะหล่อน อย่าลืมเตรียมเงินไว้ล่ะ ร้านข้าวต้มนั่นก็อร่อยมาก ฉันกินประจำไว้วันหลังเรามากินกันนะ...”
กัณหา ปานประธีป กับชาลี ยอดสกุล สองพี่น้องคนละพ่อต่างหันไปยิ้มให้กันน้อยๆ เมื่ออาเจ้ในรถสองแถวจ้อไม่หยุด จนคนในรถหูชาไปตามๆ กัน
“เฮ้อ!!! สบายหูจังเลยน้อพี่นิ่ม เบื่อจริงเวลานั่งรถมาเจอยายสองเจ่นั่นน่ะ”
ลงจากสองแถวได้ชาลีวัยยี่สิบปีเต็มก็บ่นน้อยๆ พลางยื่นมือไปช่วยพี่สาวถือถุงอาหารสดกับข้าวของสำหรับให้ยายทำขนมไว้ขายวันต่อไป สองพี่น้องเดินตามตรอกเล็กๆ ความมืดเริ่มเคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ เพราะใกล้จะหนึ่งทุ่ม
เกือบห้าร้อยเมตรก็ถึงย่านชุมชนที่ทั้งสองก้าวเดินไปตามสะพานไม้เก่าๆ อย่างคล่องแคล่ว ลัดเลาะไปเรื่อยอีกห้าร้อยเมตรก็ถึงบ้านหลังน้อยที่เป็นวิมานสำหรับสามชีวิตได้อยู่อาศัยมาหลายปีดีดัก จนชาชินกับกลิ่นน้ำคลำเหม็นๆ ไปโดยปริยาย
“ยายไปไหนนะ ทำไมเปิดบ้านทิ้งไว้ ไม่กลัวใครเข้ามาฆ่าข่มขืนเลยหรือไง”
ชาลีบ่นไปตามเรื่องเมื่อก้าวขึ้นระเบียงไม้เก่าๆ ไม่เห็นยายนั่งตัดใบตองรออยู่เหมือนทุกวัน
“สงสัยจะทำกับข้าวอยู่ในครัวมั้ง กลิ่นแกงเผ็ดหอมฟุ้งเชียว”
กัณหาวางกระเป๋าสะพายไว้โต๊ะกลางหน้าทีวี แล้วชะโงกคอไปหลังบ้านที่จัดสรรเป็นครัวไว้หุงหาอาหาร เพราะจำได้ว่าเย็นนี้ยายจะทำเมนูโปรดของน้องรอ ร่างสูงร้อยเจ็ดสิบในชุดกางเกงขาเดฟผ้ามันสีเทากับเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายทางสีฟ้าอ่อนต้องนิ่งอยู่กับที่เมื่อเดินเข้าครัวแล้วเห็นแกงในหม้อตั้งไฟเดือดปุดๆ อยู่
“ยาย!!! หนุ่ม! เร็วเข้า ยายเป็นอะไรไม่รู้!!!”
แล้วเห็นยายนอนฟุบอยู่กับพื้น ปากจึงร้องเรียกน้องส่วนตัวรีบวิ่งเข้าไปพลิกยายให้หงายขึ้นอย่างยากลำบาก หากไม่มีน้องวิ่งมาช่วย
“ยาย!!! จะทำไงดีล่ะพี่นิ่ม” ชาลีตกใจไม่น้อยไปกว่าพี่ และคิดไม่ออกว่าจะต้องทำยังไง
“พาไปโรงพยาบาลเร็วเข้าหนุ่ม ปิดเตาแล้วไปตามลุงเลื่อนมาช่วยเร็วๆ นะ”
แล้วบ้านหลังน้อยของสามยายหลาน ก็มีเพื่อนบ้านในระแวกใกล้เคียงต่างวิ่งมาช่วยกัณหามยายจำปาที่ไม่ได้สติส่งโรงพยาบาลที่กัณหามักจะได้ยินสองเจ้บรรยายสรรพคุณให้ฟังในสองแถวหลายรอบทันที เพราะใกล้ที่สุดและด้วยความเป็นห่วงในชีวิตยาย โดยไม่ได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะตามมาเลย
“คนไข้เส้นเลือดในสมองแตกต้องผ่าตัดด่วนครับ ญาติช่วยเซ็นเอกสารยินยอมด้วยนะครับ”
กัณหารีบทำตามที่แพทย์บอกทันที ปล่อยหน้าที่การเดินไปส่งเพื่อนบ้านให้เป็นของน้อง ส่วนตัวเองนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วยความกังวล
“นิ่ม!!! ยายเป็นยังไงบ้าง”
ธีระนัย นิยม รีบเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลไม่น้อยทันที เมื่อมาถึงหน้าห้อง
“เป็นไปได้ยังไงน่ะนิ่ม เมื่อเช้ายังทำขนมอยู่ดีๆ เลย”
ชลธิชา แสงชัย ที่เดินหน้าตื่นมาพร้อมกันอดสงสัยไม่ได้เมื่อกัณหาถ่ายทอดคำบอกของแพทย์ทุกอย่างไปให้คนรักและเพื่อนรู้
“ไม่รู้เหมือนกันชล มันวุ่นวายไปหมดเรายังไม่ทันได้ถามอะไรหมอเลย ยายก็ถูกพาเข้าห้องผ่าตัดแล้ว ตอนนี้ต้องรออย่างเดียวเท่านั้น” น้ำตาแห่งความหวาดกลัวว่ายายจะจากไปไหลออกมาอีกขณะบอกเล่า
“ทำใจดีๆ ไว้นะนิ่ม ทุกอย่างต้องเรียบร้อย”
ธีระนัยทรุดตัวลงนั่งข้างแฟน ดึงมือทั้งสองขึ้นมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ เพียงเท่านั้นกัณหาก็โผลเข้าไปซบอกเขาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างยากจะเก็บกดเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว วงแขนแข็งแรงโอบกอดคนรักด้วยความสงสาร มือก็ลูบแผ่นหลังไปมาเพื่อปลอบประโลม
ชาลีกับชลธิชาหันไปมองกันด้วยใบหน้าเศร้าเมื่อเห็นอาการของคู่รักที่ไม่เคยทอดทิ้งกันนับตั้งแต่ ทั้งสองเรียนอาชีวจนจบต่อปริญญาในภาคเสาร์อาทิตย์และต้องทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย รวมเวลาที่คบกันมาก็เข้าปีที่สี่แล้ว
“ผลการผ่าตัดเรียบร้อยดีครับ ต้องรอให้คนไข้ฟื้นก่อนหมอถึงจะตอบได้ว่าอาการเป็นยังไง ญาติกลับบ้านไปพักก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรด่วนทางโรงพยาบาลจะโทรแจ้ง”
ตีสองแล้วยายจำปาถูกพาเข้าไปอยู่ในห้องไอซียู แพทย์ถึงได้ออกมาแจ้งผล ธีระนัยกับชลธิชาไปส่งสองพี่น้อง และค้างที่บ้านด้วยเลย วันรุ่งขึ้นหลังกินมื้อเช้าแล้วทุกคนตรงมาโรงพยาบาลทันที เพราะเป็นวันหยุดพอดีจึงไม่ต้องไปทำงาน ส่วนชาลีก็ไม่ได้ไปเรียน แต่ต้องไปทำงานที่คาร์แคร์ ซึ่งเป็นการหารายได้พิเศษของเขาอยู่แล้ว
“ตอนนี้ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ห้าแสนเก้าค่ะ ยังไม่คิดค่ารักษาวันนี้นะคะ ไม่ทราบว่าญาติสะดวกจะชำระเลย หรือว่าจะรอให้ถึงวันเช็คเอ้าท์ทีเดียวคะ”
“เอ่อ! งั้นรอก่อนดีกว่าค่ะ”
กัณหาส่งยิ้มจางๆ ให้พยาบาลก่อนจะเดินนำทุกคนนั่งหน้าห้องไอซียูดังเดิม ชาลีเป็นกังวลไม่น้อยในอาการยายและค่ารักษาที่เขารู้ดีว่าพี่ไม่มีเงินมาจ่ายเป็นแน่
“หนุ่มจะไปทำงานก่อนนะพี่นิ่ม แล้วจะลองขอยืมเงินเถ้าแก่ด้วย เผื่อจะได้มาเพิ่มกัน”
กัณหาพยักหน้าให้น้องอย่างเสียไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าไม่มีทางที่น้องจะทำอย่างที่บอกไว้ได้ หรือถ้าได้เถ้าแก่ก็คงจะให้ยืมไม่กี่หมื่นบาทเป็นแน่
“เรามีเงินสดตอนนี้แปดหมื่นนะนิ่ม กลับไปจะขอยืมพ่อกับแม่เพิ่มอีก นิ่มไม่ต้องห่วงนะเราต้องผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้แน่”
ธีระนัยบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและไม่คิดจะเสียดายเงินที่เก็บมาตั้งแต่เริ่มทำงานควบคู่ไปกับการเรียส ปวส. และปริญญาตรี ซึ่งพอๆ กับกัณหาที่ทำแบบเดียวกัน และก็มีเงินเก็บจำนวนไม่มากเกินกันสักเท่าไหร่
“เรามีห้าหมื่นมั้งนิ่ม เอาของเราไปก่อนได้ไม่ต้องเกรงใจ”
ชลธิชาเองก็ไม่คิดจะเหนียวหรือแล้งน้ำใจกับเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เรียน ปวช. ด้วยกันแล้ว และนี่ทำให้กัณหาซาบซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก นอกจากโผลเข้าไปกอดเพื่อนแล้วร้องไห้ออกมา

“คุณแม่อย่ากังวลไปเลยครับ เขาบอกว่าจะมีข้อเสนอดีๆ จนเราปฏิเสธไม่ลงให้อีก ท่าทางเขาก็ไม่ใช่พวกใจไม้ไส้ระกำที่หวังแต่จะยึดบริษัทกับบ้านเราท่าเดียวนะครับ”
วิโรจน์ วิริยะกิจจานนท์ ปลอบใจแม่ที่ร้องห่มร้องไห้อยู่กับสะใภ้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ในใจจะรู้สึกผิดมากมายแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้แม่สบายใจไปได้มากกว่านี้แล้ว
“แกยังมีหน้ามาบอกไม่ให้ฉันกังวลอีกเหรอ! ก็ไม่ใช่เพราะไอ้ที่ฉันไม่กังวลนี่หรอกเหรอ! ที่ทำให้ลูกชายคนเดียวของฉัน ที่เคยเป็นเสาหลักแทนบรรพบุรุษกลับทำตัวเหลวแหลก ติดผู้หญิงติดการพนันจนหลอกให้ฉันเซ็นเอกสารแล้วเอาบริษัทกับบ้านหลังนี้ไปขายเอาเงินไปละเลงเล่นในบ่อนจนตอนนี้จะไม่มีที่ซุกหัวนอนอยู่แล้ว!!!”
ยุพาพร วิริยะกิจจานนท์ ตะคอกใส่ลูกชายด้วยความโกรธ หลังจากด่าลูกเรื่อยมานับตั้งแต่วันที่รู้เรื่องร้ายเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่เคยสาสมใจในความดีแตกตอนแก่ของลูกเลย
“ผมขอโทษครับคุณแม่ แต่ผมก็พยายามทำดีที่สุดแล้วนะครับ”
“แต่มันยังดีไม่พอ!!! ถ้าแกอยากจะทำให้ฉันไม่ต้องกังวลหรือไม่ต้องมานั่งด่าแกอยู่อย่างนี้!!! มีทางเดียวที่แกจะทำได้นั่นคือเอาทุกอย่างของวงศ์ตระกูลเรากลับมา!!! แล้วไล่ไอ้บ้าที่มันกำลังจะมาเสนอหน้าในบ้านฉันออกไปให้พ้นๆ แกทำได้หรือเปล่า!!! ถ้าทำไม่ได้ก็จงไปตายซะ!!! โอ้ย!!! แม่รสฉันจะเป็นลม”
“ไปเอายาดมมาเร็วเข้า”
เสาวรสต้องรีบหันไปสั่งเด็กรับใช้อย่างเร่งด่วนเมื่อแม่สามีโกรธจัดจนหน้ามืด วิโรจน์ทำท่าจะวิ่งไปประคองแม่ แต่ก็ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้านก่อน จึงเปลี่ยนใจเดินออกไปต้อนรับแขกสำคัญแทน เมอร์ซิเดส-เบนซ์ป้ายแดงจอดกึกตรงหน้าบันไดที่เขายืนอยู่พอดี ทัตเทพ วงศ์วิวัฒน์ ก้าวลงจากประตูหน้าคู่กับคนขับ
ส่วนคนที่นั่งอยู่เบาะหลังที่ทัตเทพรีบก้าวไปเปิดประตูให้ก็คงจะเป็น ชาครีย์ อัครเมธาสกุล ในความคิดของวิโรจน์เป็นแน่ ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยและลึกลับจนเขาสืบเสาะหาที่มาของนามสกุลอันหรูหราไม่ได้เลย ว่ารากเง้ามาจากไหน แส้ไหน ก๊กแก๊งไหนกันแน่ แม้แต่ตัวจริงก็เพิ่งจะได้เห็นวันนี้ หลังจากที่ดูรูปในอินเตอร์เน็ทเท่านั้น และก็เพิ่งจะเห็นเมื่อไม่กี่วันมานี้ด้วย
“สวัสดีครับคุณทัต นี่คงจะเป็น” เจ้าของบ้านทักทายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นยิ้มที่ฝืนแต่ก็พยายามจะปกปิดไว้
“คุณชาครีย์ อัครเมธาสกุล เจ้านายผมเองครับ ต้องขอโทษด้วยที่มาช้าถึงสิบนาที พอดีมีอุบัติเหตุตรงปากซายนี่ล่ะครับ” ทัตเทพรีบแนะนำ หนุ่มผิวเข้มรูปร่างสูงโปร่งในสูทราคาแพงกับแว่นดำอันใหญ่ปกปิดใบหน้าคมเข้มเอาไว้ไม่ยอมถอด
“สวัสดีครับคุณชาครีย์ได้เจอหน้ากันสักทีนะครับ ได้ยินแต่ชื่อคุณมาหลายวันแล้ว”
แขกไม่เอ่ยหรือยิ้มตอบเจ้าของบ้านเลยสักนิด นอกจากยืนนิ่งจ้องมองผ่านแว่นไปหาเท่านั้น ก่อนจะเดินตามไปห้องรับแขกที่มีหญิงใบหน้าหม่นหมองนั่งรออยู่ถึงสองคน เขาพยักหน้าให้ลูกน้องเริ่มงานที่นัดแนะกันไว้แล้วโดยไม่ยอมให้เสียเวลา
“ก็อย่างที่เกริ่นไว้ครับว่าคุณเสือจะคืนหุ้นให้คุณโรจน์ยี่สิบห้าเปอร์เซ็น ถ้าตกลงจะทำงานในตำแหน่งบริหารต่อ ภายใต้การควบคุมของผมกับคุณเสืออีกทอด เงินเดือนสองแสนบาทพร้อมปันผลสิ้นปี ถ้าเราโชคดีทำกำไรได้ในเวลาอันใกล้นี้นะครับ ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าสถานะการย่ำแย่แค่ไหน...”
“แล้วข้อเสนออื่นที่บอกว่าจะให้ล่ะมันคืออะไร”
ยุพาพรรีบแทรกด้วยความใจร้อนและไม่ชอบหน้าพ่อเศรษฐีใหม่ที่ไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้านด้วยการไม่ยอมถอดแว่นเลย ทัตเทพที่กำลังจะพูดต่อต้องหยุดกึกกับคำถามนี้ แล้วหันไปมองหน้าเจ้านาย ที่นั่งนิ่งแล้วค่อยๆ เปิดเผยดวงตาคู่คมออกให้คนในห้องได้เห็น อาการนิ่งอึ้งเงียบงันจึงเกิดขึ้นกับคนทั้งสาม
เพราะความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ หรือข้อปฏิเสธอื่นๆ ที่ต่างหลั่งไหลเข้ามาในความคิดจนไม่กล้าเอ่ยปากถามออกมาตรงๆ ยังผลให้เจ้าของใบหน้าคมเข้ม ผิวสีแทนผิดจากลูกคนจีนโดยทั่วไปที่มักจะขาวในความคิดของคนในบ้านวิริยะกิจจานนท์ ที่เหมาว่าเขาเป็นคนจีนเพราะนามสกุลยาวเฟื้อย
“ใจร้อนเหมือนเดิมนะครับคุณนายใหญ่”
เสียงนี้กับคำนี้ช่วยขจัดข้อสงสัยออกจากใจคนทั้งสามจนแทบจะหมดสิ้น หากก็ยังมีความไม่อยากเชื่อหลงเหลืออยู่มากมายนัก เพราะมันแทบจะหาความเป็นไปได้ยากเย็นเสียเหลือเกินที่จากคนไม่มีอะไรแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอนอย่างนายชาตรี ใหญ่นาม จะกลายมาเป็นเศรษฐีพันล้านได้
“จำผมไม่ได้เหรอครับคุณนายใหญ่ อะไรกันแค่สิบกว่าปีเอง ก็ลืมแล้วเหรอครับ ผิดกับผมที่ไม่เคยคิดจะลืมแม้แต่วินาทีเดียว คงคิดไม่ถึงสินะครับว่านายชาตรี หรือไอ้สิงห์ กับคุณชาครีย์ หรือคุณเสือจะเป็นคนคนเดียวกัน ก็อย่างว่าล่ะครับอะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ จากไม่มีจะกินก็กลายมาเป็นเหลือจะกินได้ และจากคนที่เหลือกินเหลือใช้จะกลายมาเป็นคนที่กำลังจะไม่มีแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอน ชีวิตนี่มันก็น่าแปลกอย่างนี้ล่ะครับ”
“แกต้องการอะไรไอ้สิงห์!!! ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!!! พวกฉันไม่ต้อนรับคนอย่างแก!!! ออกไปให้พ้น!!!”
ยุพาพรถึงกับลุกขึ้นชี้หน้าด่าคู่อริเก่าทันทีเมื่อแน่ใจแล้ว แต่อีกคนกลับนั่งนิ่งจ้องมองคนแก่ไร้ทางสู้ด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ อย่างมีคนถือชัยชนะไว้ในมือและอารมณ์เย็นอยู่อย่างนั้น
“ผมก็ไม่ได้อยากได้ไอ้บ้านเฮงซวยหลังนี้ของคุณนายใหญ่นักหรอกครับ แต่โชคร้ายจริงที่มันกลายมาเป็นของผมเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งบริษัทเน่าๆ ของคุณนายด้วย คิดอีกทีผมก็ว่าจะเก็บบ้านนี้ไว้ทำเป็นโรงเรียนสอนเด็กๆ ให้โตมาเป็นคนดี ไม่เอาเปรียบไม่กดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่าเหมือนเจ้าของบ้านเก่าทำไงล่ะครับ”
“แก!!! ไอ้ชั่ว!!! แกตั้งใจจะเล่นงานฉัน!!! แกหลอกลูกฉันให้หลงกลแกจนขายทุกอย่างให้!!! เพื่อที่แกจะได้กลับมาเยาะเย้ยฉัน!!! ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!!! ตาโรจน์!!! ไล่มันออกจากบ้านไป!!!”
“คุณแม่ครับใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เรายังคุยธุระไม่เสร็จเลย ลืมไปแล้วเหรอครับว่าตอนนี้เราไม่เหลืออะไรแล้วนะ ถ้าคุณแม่โกรธแล้วด่าเขาแบบนี้เราจะไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่นะครับ”
แม้วิโรจน์จะโกรธไม่แพ้แม่ แต่ยังมีความใจเย็นหลงเหลืออยู่จึงพยายามเตือนสติ และนั่นก็ทำให้ยุพาพรเริ่มได้คิดขึ้นมา จนต้องเงียบและพยายามควบคุมตัวเองให้กลับไปอยู่ในท่าทีสงบนิ่งจนเกือบจะเป็นปกติ นั่นทำให้หนุ่มหล่อถึงกับยิ้มที่มุมปากด้วยความพอใจ ก่อนจะเริ่มต้นอีกครั้ง
“ลูกชายคุณนายใหญ่พูดถูกทุกอย่างนะ เอาล่ะ! ถ้าพวกคุณสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็มาฟังข้อเสนอที่ผมจะให้ได้เลย เพราะผมเองก็ไม่อยากจะนั่งอยู่บ้านนี้นานๆ หรอก กลัวเสนียดมันเกาะจนพลอยซวยไปอีกหลายปี”
เจ้าของบ้านต่างหันมาจ้องมองเขาเป็นตาเดียวกัน พร้อมด้วยอาการโกรธแต่ก็ต้องพยายามนิ่งเพื่อรอฟังเขา เพราะเป็นหนทางรอดเดียวที่หลงเหลืออยู่ ชาครีย์จึงยิ้มที่มุมปากอย่างเกลียดชังคู่อริเก่าอย่างที่สุดอีกครั้งก่อนจะเอ่ยต่อ
“นอกจากหุ้นที่ผมจะคืนให้แล้ว ผมจะยอมให้พวกคุณหาเงินมาไถ่บ้านหลังนี้กลับในราคาเดิมได้ด้วย แต่ต้องภายในเวลาสองปีนับจากนี้ หรืออีกข้อเสนอหนึ่งก็คือ ผมจะลดหนี้จากเจ็ดสิบห้าล้านเหลือเป็นห้าสิบล้าน ถ้าคุณวิโรจน์จะยอมให้ลูกสาวคนโตมาเป็นคู่นอนผมสองปี และพวกคุณยังสามารถอยู่บ้านหลังนี้ได้โดยที่ผมจะไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย
แต่ถ้าเลยสองปีไปแล้วยังหาเงินมาไถ่บ้านคืนไม่ได้ ผมก็คงจะต้องให้ย้ายออกไป ผมไม่บีบบังคับพวกคุณหรอกนะ แต่หนึ่งอาทิตย์สำหรับเวลาในการตัดสินใจ ถ้าตกลงอีกหนึ่งเดือนก็เรียกคุณหนูมิวกลับจากเมืองนอกแล้วพาไปประเคนให้ผมที่บ้าน หรือถ้าไม่ตกลงคุณวิโรจน์ก็ไม่ต้องไปทำงานอีก
หนึ่งเดือนนับจากนี้ก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และต้องไปแบบตัวเปล่าๆ ไม่มีสิทธิ์หยิบของมีค่าไปแม้แต่ชิ้นเดียว อีกชั่วโมงกว่าๆ คนของผมจะมานับและเก็บหลักฐานข้าวของทุกอย่างไว้ คงจะขายเป็นของเก่าหรือเศษเหล็กได้หลายบาทเป็นค่าโต๊ะจีนเลี้ยงพนักงานในบริษัทเนื่องในโอกาสต้อนรับเจ้านายคนใหม่อย่างผม ตัดสินใจยังไงติดต่อกลับไป”
ร่างสูงใหญ่ดีดตัวจากโซฟาแล้วก้าวเดินอย่างองอาจออกไปโดยไม่มีคำล่ำลาใดๆ ทัตเทพเองก็หอบเอกสารวิ่งตามเจ้านายแทบไม่ทัน ทิ้งให้เจ้าของบ้านนั่งงวยงงและไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินไปตามๆ กัน



กันเกราธัญญรัตน์วรนัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ย. 2556, 23:07:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.ย. 2556, 07:57:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 2178





   เหยี่อความกตัญญู >>
คิมหันตุ์ 27 ก.ย. 2556, 09:19:05 น.
โหดดีแท้


กันเกราธัญญรัตน์วรนัน 27 ก.ย. 2556, 19:59:27 น.
โหด หื่น ฮา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account