หวานรักในลมหนาว
หวานรักในลมหนาวเป็นหนึ่งนิยายใน ชุดลัดฟ้าไปหารัก โปรเจ็กล่าสุดของ สนพ.กรีนมายด์ค่ะ โดยธีมเรื่องจะเกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยลาฌีนุสได้เลือกประเทศภูฏานและญี่ปุ่นมาเป็นโจทย์ความรักในครั้งนี้ของพระ-นาง สไตล์เรื่องจะเป็นแนวรักหวานๆ ค่ะ
ปล.พระเอกเป็นลูกครึ่งหนุ่มไทย-ภูฎานค่ะ หล่อลื้มมม คริๆ
+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus
ปล.พระเอกเป็นลูกครึ่งหนุ่มไทย-ภูฎานค่ะ หล่อลื้มมม คริๆ
+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus
Tags: หวานรักในลมหนาว,ภูฎาน
ตอน: บทที่ 8 เราสองสามคนกับกระรอก 1 ตัว
บทที่ 8 เราสองสามคนกับกระรอก 1 ตัว
ชายหนุ่มคิดเล่นๆ ว่ามันคงเป็นทริปที่สนุกพิลึก หากนึกไม่ถึงว่าการที่มีสมาชิกเพิ่มเข้ามาอีก 1 คนจะสร้างความอึดอัดให้กับเขาและอาจจะเธอด้วยได้ถึงขนาดนี้ สมาชิกใหม่อย่างโซแนมกำลังทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวดีๆ อย่างเมื่อวานหายไปโดยการเปิดฉากเสนอตัวนั่งข้างคนขับตั้งแต่เขายังไม่ทันได้เปิดประตูรถ แล้วกะเกณฑ์ให้อีกคนไปนั่งด้านหลัง โดยไม่ถามความสมัครใจของเขาสักนิดว่าต้องการหรือเปล่า
ทางด้านโซแนมนั้นรู้สึกหมั่นไส้ตั้งแต่เห็นผู้หญิงต่างชาติยืนหัวร่อต่อกระซิกออดอ้อนพี่ชายข้างบ้านของเธอด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจมา พูดคุยกันราวกับโลกนี้มีพวกเขาแค่สองคนทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน
ไม่ยอม ในชีวิตลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านเธอคือจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวของทุกคน ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้รับการปฏิบัติเหมือนอากาศธาตุอย่างนี้
เจ็บใจนัก ทำเป็นพูดภาษาที่เธอไม่เข้าใจน่าหมั่นไส้ ไม่เห็นหัวเธอที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้สักนิด เสียมารยาทที่สุด
ดวงตาตี่เล็กปรายตามองไปที่นั่งด้านหลัง ความรู้สึกไม่ชอบใจไม่พอใจมีมากจนอกเธอแทบระเบิด ผู้หญิงคนนี้ทำเป็นไม่สนใจสิ่งรอบข้างนอกจากกระรอกน้อยในมือ หล่อนดูไม่สะทกสะท้านผิดกับเธอที่ภายในใจเดือดดาล
ไปๆ มาๆ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนบ้าที่อารมณ์เดือดอยู่ฝ่ายเดียว
ยิ่งคิดยิ่งโมโห
“พี่พาโรทานอะไรรึยังค่ะ โซแนมเอาข้าวเกรียบมาด้วย ชิมไหม” หญิงสาวตั้งใจพูดภาษาซองคาเพื่อให้อีกฝ่ายที่ฟังไม่รู้เรื่องรู้สึกเป็นส่วนเกิน แต่หารู้ไม่ว่าไม่ใช่ภาษาที่เธอใช้สนทนาหรอกที่ทำให้อีกสองคนที่เหลืออึดอัด แต่เป็นกิริยายื่นขนมเข้าไปจ่อที่ปากคนขับในขณะที่เอนร่างเข้าหาจนแทบจะสิงกันนั่นแหละที่ทำให้ชนมนกระอักกระอ่วนใจและรู้สึกเป็นส่วนเกินเข้าจริงๆ
พอลขยับห่างอย่างสุภาพเพื่อรักษาน้ำใจน้องสาวข้างบ้านที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ร่างสูงถอนหายใจส่ายหน้าให้แทนคำตอบ ดวงตาคมกริบเหลือบมองกระจกหลังเห็นท่าทีไม่สนอกสนใจอะไรนอกจากกระรอกน้อยบนฝ่ามือก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
อย่างน้อยกิริยาของโซแนมก็ไม่อาจเรียกความสนใจจากเธอได้ เขาคิดว่าในจะจบแค่นั้น แต่เปล่าเลยโซแนมยังคงเล่นสงครามประสาทด้วยการเจื้อยแจ้วภาษาประจำชาติกับเขาจนเขารู้สึกเกรงใจชนมน
“คุณมินนี่ลองชิมข้าวเกรียบของโซแนมไหมครับ โซแนมแบ่งให้คุณมินนี่ชิมบ้างสิ” เขาตัดบทเจื้อยแจ้วของน้องสาวข้างบ้านที่หน้าบูดบึ้งด้วยการสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะตามมาด้วยข้อตกลงที่เขากำหนดขึ้นให้ตลอดการเดินทางต้องสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อตัดปัญหาในการสื่อสาร
คนถูกขอให้แสดงน้ำใจกลายๆ ยื่นถุงข้าวเกรียบให้อีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักซึ่งแน่นอนว่าชนมนไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหารเหมือนนางเอกแสนซื่อถึงจะแปลความหมายของอาการเหล่านี้ไม่ออก
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณโซแนมตามสบายเลยค่ะ” คนหนึ่งอยากจบปัญหาเพราะเป็นคนไม่ชอบมีเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้โซแนมเข้าใจว่าเธอหยิ่ง หักหน้าไม่ยอมกินข้าวเกรียบของเธอทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพราะความคิดที่มีอคติล้วนๆ
“ของถูกๆ อย่างนี้คงจะไม่ถูกปากคุณสินะคะ คงจะเคยกินแต่อะไรแพงๆ หรูๆ ใช่ไหมคะ” โซแนมกล่าวหา
ชนมนคิดจะแย้ง แต่ดูแล้วต่อให้เธออธิบายจนปากจะฉีกไปถึงหูอีกฝ่ายก็คงไม่สนใจจะเชื่ออยู่แล้ว ดังนั้นจึงเลือกที่จะเงียบแทน
หญิงสาวผู้มาใหม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ถูกชะตากับชนมน และเธอยังมีอาการสนอกสนใจเขาเกินเหตุเสียจนเขาอยากจะจอดรถกลางคันแล้วดุเธอสักสองสามประโยคให้เลิกทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตที่เที่ยวแต่ระรานคนอื่นไปทั่ว
“จริงๆ คุณมินนี่น่าจะรอให้พี่เดยุลกลับมาก่อนนะคะ ไม่เห็นจะต้องรีบเที่ยวอะไรขนาดนั้น” ผู้มาใหม่จีบปากจีบคอถามเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่จัดว่าดีที่เดียว
หลายครั้งที่หญิงสาวเองก็รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเด็กเล็กหรือนักเรียนนักศึกษาพ่อค้าประชาชนชาวภูฏานมีการใช้ภาษาอังกฤษที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งที่ไม่เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของชาติใดมาก่อน
“ว่ายังไงค่ะ มีอะไรที่ทำให้คุณรอพี่เดยุลไม่ได้”
คนถูกถามเหล่มองไปทางคนขับที่นั่งคู่กันกับเจ้าของคำถามที่มองผ่านกระจกหลังมาอย่างอึดอัด
“เราเองเถอะ ไม่เบื่อหรือไง ที่ๆ พี่จะไปนี่เราเองก็เคยไปมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
คนถูกย้อนหน้างอ มองหญิงสาวที่นั่งด้านหลังตาขวาง ยิ่งชายหนุ่มออกรับแทนเธอยิ่งหมั่นไส้
“พี่พาโรก็เหมือนกันแหละ ไม่เบื่อหรือไง”
“เบื่ออะไร พี่เองไม่ได้มาบ่อยเหมือนเราเสียหน่อย เราเองที่บ้านขายผ้ามาแทบจะทุกสัปดาห์สิน่าจะเบื่อ” คนถูกย้อนถามทำหน้างอแต่ก็ยังไม่ละความพยายาม
“น้องก็ไม่เบื่อ ถ้าพี่พาโรมาด้วยอีกน้องก็จะมา” คำตอบของคนอยากเอาชนะทำเอาคนขับรถถึงกับส่ายหน้าลอบถอนหายใจ
เส้นทางไปหมู่บ้านโคมาเลวร้ายกว่าที่ชนมนคิด ทั้งพื้นถนนที่ยังเป็นดินลูกรังบวกกับเส้นทางที่คดโค้งลาดชัน ทำเอาคนไม่ชินกับเส้นทางทรหดถึงกลับเก็บสีหน้าอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าซีดเซียวอาการพะอืดพะอมที่ของเหลววิ่งมาจุกอยู่ที่คอ มือบางแตะลงบนไหล่คนขับรถหน้าตาดี
ทันทีที่รถหยุดร่างบางไม่รอช้ารีบลงจากรถพุ่งไปที่ข้างทางที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้งก่อนจะปลดปล่อยทุกสิ่งออกมา ชายหนุ่มหน้าตาตื่นตกใจวิ่งตามลงมา เมื่อเห็นอาการอีกฝ่ายก็รีบหันหลับไปที่รถค้นเอายาหอมผ้าเช็ดหน้าและน้ำดื่มติดมือมาด้วย
มือหนาลูบหลังบอบบางของหญิงสาวที่หน้าซีดไร้สีสัน ใจเขาเต้นตุบๆ คิ้วหนาขมวดแน่นรู้สึกตกใจและโกรธตัวเองที่ไม่ทันสังเกตเห็นอาการเมารถของเธอ เป็นเพราะชะล่าใจว่าเธอทานยาแก้แพ้มาแล้วคงไม่เป็นอะไร แต่เขาคงจะลืมคิดไปว่าสภาพภูมิประเทศของที่นี่ที่หาถนนเส้นตรงยาวเกิน 200 เมตรแทบไม่ได้นั้นยาแก้แพ้แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย
“เป็นอย่างไรบ้างครับ ไหวรึเปล่า” หญิงสาวรับขวดน้ำจากมือหนามาบ้วนปากและดื่มเพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้น เธอพยักหน้าแทนคำตอบว่ายังไหว
ถึงทีของคนถามที่รู้สึกผิดและกำลังโทษตัวเองที่ทำให้เธอต้องอยู่ในสภาพนี้
สายตาห่วงใยที่ส่งมาให้มากเกินกว่าปกติของคนถามทำให้คนที่หนาซีดอยู่รู้สึกหน้าร้อนวูบจนต้องเสมองลงไปเบื้องล่าง
ภาพทิวทัศน์เบื้องล่างที่เขียวขจี มีหมอกปกคลุมชั้นบรรยากาศบางๆ แปลงนาเป็นขั้นบันไดไม่ต่างจากภาคเหนือของไทยทำให้ชนมนสดชื่นขึ้นท่ามกลางอากาศที่ระดับความสูงของน้ำทะลกว่าสามพันเมตรไม่แปลกหากเธอจะรู้สึกหนาวจนต้องลูบแขนตัวเองเพราะเสื้อที่สวมใส่เริ่มจะกันความเย็นไม่ได้ การเดินทางขึ้นเขามากกว่า 5 ชั่วโมงนับว่าหนักหนาสาหัสสำหรับคนที่ชินทางเรียบและทางตรงอย่างเธอทีเดียว
“อย่าทำหน้าเหมือนมินนี่เป็นตัวภาระอย่างนั้นสิคะ นี่คงไม่ได้จะคิดผลักมินนี่ลงไปข้างล่างใช่ไหม” เธอหันมาบอกเจ้าของใบหน้าเคร่งที่มองเธออยู่เงียบๆ แววตามีความกังวล
“ยังจะมาตลกอีก ต่อไปไม่ไหวให้รีบบอกนะครับ อย่าฝืนแบบนี้อีก” แทนที่เขาจะรับมุกเธอกลับมาดุเธอแทน หญิงสาวหน้าจ๋อยสนิท พยักหน้าซีดเสียวที่ดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นิดหน่อยให้เขา
พอลถอนหายใจ แต่ยิ่งถอนยิ่งเหมือนจะอึดอัดใจมากกว่าเก่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะดุเธอด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเจ้าตัวเห็นเรื่องของตัวเองเป็นเรื่องขำขันก็อดที่จะโกรธไม่ได้ เขารึเป็นห่วงแทบแย่
“ขอโทษค่ะ”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรแต่ประคองเธอไปที่รถแล้วสั่งให้โซแนมย้ายไปนั่งเบาะหลัง แน่นอนว่าคนถูกสั่งย้ายกะทันหันไม่ยอม แต่พอเห็นแววตาเอาจริงของเขาและเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้เธอจึงต้องยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ มินนี่นั่งที่เดิมได้” คนไม่อยากมีปัญหารีบบอกเมื่อเห็นสายตาสาปแช่งมองมาที่เธอ
“เห็นไหมค่ะ คุณมินนี่ไม่ได้เป็นอะไร”
“อย่าดื้อกับผม นั่งหน้านี่แหละจะได้ปรับเบาะนอนพักได้สบาย นั่งข้างหลังเดี๋ยวได้อ้วกออกมาอีก เราก็เหมือนกันถ้าอยากไปด้วยกันก็หัดฟังพี่พูดบ้าง”
คนดื้อเหลือบมองโซแนมที่ทำได้แค่เม้มปากแน่น พอเห็นว่าเธอมองเจ้าหล่อนก็สะบัดหน้าพรืด ย้ายตัวเองไปนั่งเบาะหลังด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด
เจ้าลักกี้ที่นั่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่บนเบาะรีบกระโดดข้ามมานั่งเบาะคนขับทันทีที่โซแนมย้ายตัวเองมานั่งเบาะหลัง
ส่วนตัวต้นเรื่องกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จัดแจงยัดเธอเข้าไปนั่งเบาะหน้ายื่นร่างหนาบึกบึนเข้ามาโน้มตัวลงใกล้เธอ ใบหน้าคมโน้มลงหา...ที่ปรับเบาะ เล่นเอาเธอแทบลืมหายใจในความใกล้ชิดโดยบริสุทธิ์ใจของเขา ใบหน้าที่ซีดเมื่อครู่เริ่มดีขึ้น เผลอๆ อาจดีขึ้นจนแก้มชมพูเลยด้วยเมื่อแผ่นอกของเข้าเฉียดใบหน้าเธอไปนิดเดียว และแย่มากเพราะมันส่งผลให้เธอได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่เต้นตุบๆ อยู่ในหู
เอ๊ะ รึจริงๆ มันจะเป็นเสียงหัวใจของเธอกันแน่?
บ้าน่า...แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้นแต่ก็ดันเผลอยกมือขึ้นแนบอกซ้ายของตัวเองเพื่อทดสอบ
“เป็นอะไรครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของหญิงสาวที่เอามือกุมอกซ้าย
“หะ อุ๊ย เปล่าค่ะไม่มีอะไร แค่เอ่อ ไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหนดี” อา ชนมนรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่งี่เง่าสิ้นดี
“คุณไม่มีโรคประจำตัวแน่ใช่ไหมครับ” อีกฝ่ายหรี่ตามองเหมือนไม่ไว้ใจ
“ไม่มีค่ะ ฉันปกติดีค่ะ เราออกรถกันเถอะค่ะ จอดตรงนี้นานๆ เดี๋ยวรถคันอื่นที่ตามหลังมาจะว่าเอา” เธอเปลี่ยนเรื่องในทันที ซึ่งก็ดีที่ชายหนุ่มไม่ได้เซ้าซี้อะไรและเห็นด้วยกับเหตุผลของเธอเนื่องจากเส้นทางนี้เป็นทางเลนเดียว หากจอดแช่นานๆ จะสร้างความเดือนร้อนให้กับรถคันอื่น
ส่วนคนด้านหลังก็เงียบกริบไม่พูดอะไรเพราะยังคงงอนที่พอลย้ายเธอมานั่งด้านหลัง ยิ่งเห็นชายหนุ่มเอาใจใส่ชนมนยิ่งทำให้เธอไม่มีอารมณ์จะพูดจาพาที แม้ว่าพอลพยายามจะชวนพูดคุยเพื่อสลายบรรยากาศแสนอึมครึม แต่เธอเลือกที่จะประชดเขาโดยการไม่พูดไม่จานั่งเงียบๆ ให้ทั้งคู่รู้สึกอึดอัดไปโดยปริยาย
คนเมารถหลังจากได้เอนตัวสบายๆ ก็รู้สึกดีขึ้น แม้จะมีอาการวิงเวียนหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อครู่ กระรอกน้อยตัวเท่าฝ่ามือนั่งอยู่บนตักเธอมันพยายามปลอบใจเธอด้วยการเอาหางนิ่มๆ ปัดไปมาบนหลังมือที่วางประสานกันอยู่บนตัก หญิงสาวยิ้มให้ในความน่ารักของมัน
“ดูท่าเจ้าลักกี้จะติดใจคุณมินนี่แล้วล่ะครับ” คนข้างๆ เอ่ยบอกโดยที่สายตาไม่ละไปจากถนนข้างหน้า
ใบหน้าหวานเลิกคิ้วเรียวขึ้นหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ คล้ายจะถามว่าเขารู้ได้ยังไง
คนถูกถามผ่านสีหน้าอมยิ้มตอบ สายตาคมมองผ่านกระจกหลังเห็นโซแนมผล็อยหลับไปแล้ว ก็ผินหน้ามาคุยกับเธอได้อย่างสะดวกใจ
“มันไม่เคยติดใครแจขนาดนี้ไงครับ ปกติถ้านั่งรถมากับผม ก็จะโดดขึ้นไปเกาะบนคอนโซลรถดูทางเป็นเพื่อนกัน แต่นี่ตั้งแต่ออกจากบ้านมามันไม่ยอมห่างคุณเลย รำคาญรึเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ น่ารักขนาดนี้จะรำคาญได้ยังไงกัน เนอะลักกี้เนอะ” เหมือนจะฟังที่เธอพูดรู้เรื่องเจ้ากระรอกตัวน้อยกระโดดเหย็งๆ บนตักเธอสองสามทีก่อนจะไต่ขึ้นไปซบไหล่บางปัดหางยาวๆ นุ่มๆ ของตนไปมาอย่างออดอ้อน แถมตาแป๋วๆ ของมันเหลือบขึ้นมามองเขาเหมือนเยาะชอบกล จนเจ้านายหนุ่มชักจะรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว
มากไปแล้วเจ้าลักกี้ นี่มันท้าทายเขาอยู่รึเปล่าเนี่ย
โซแนมมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อถึงโรงแรมที่พักในตอนเย็น หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มที่ชะโงกหน้าข้ามเบาะปลุกเธอให้ตื่นเพื่อลงจากรถ จากโรงแรมที่พักไปที่หมู่บ้านโคมาเหลืออีกเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตรแต่ด้วยพอลเห็นว่าค่ำมากแล้วเขาไม่อยากขับรถตอนกลางคืนบวกกับอยากให้อีกคนได้พักผ่อนหลังจากที่เพลียการนั่งรถมาตลอดทั้งวัน เขาจึงตัดสินใจแวะโรงแรมเล็กๆ ข้างทางที่มักจะแวะมาพักประจำเวลาที่ต้องผ่านมาแถวนี้ดังนั้นเจ้าของโรงแรมจึงคุ้นเคยกับชายหนุ่มเป็นอย่างดี
โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมเล็กๆ แห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในระกับความสูงของน้ำทะเลกว่า 2000 เมตร อยู่ท่ามกลางหุบเขามีธรรมชาติเขียวขจีล้อมรอบ ที่นี่มีห้องพักเพียง 6 ห้อง ส่วนใหญ่จะรับนักท่องเที่ยวที่มาพักรถ เพราะไม่ที่ตรงนี้จะเป็นทางผ่านไปที่เมืองต่างๆ
“ไม่เจอกันเสียนานนะคะ” เจ้าของโรงแรมส่งยิ้มให้พอล ก่อนจะเผื่อแผ่ไปยังสองสาวด้านหลัง คิ้วหญิงสูงวัยขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นใบหน้าคุ้นตาของลูกสาวเจ้าของร้านผ้าคนดังในเมืองทิมพู
“โซแนม มาด้วยเหรอจ๊ะ”
คนถูกทักพยักหน้าแทนคำตอบ
“ตอนนี้ห้องเหลือแค่ 2 ห้องเท่านั้นนะจ๊ะ พอดีมีนักท่องเที่ยวเขาจองเอาไว้ เพิ่งมาถึงก่อนคุณพาโรไม่กี่ชั่วโมง แต่ป่านนี้คงเข้านอนกันแล้วล่ะ เพราะดูท่าจะเหนื่อยกันมาก คงต้องแบ่งให้สองสาวนอนด้วยกันที่ห้องใหญ่ ส่วนห้องเล็กก็เป็นของคุณพาโรนะคะ” เจ้าของโรงแรมอธิบาย
ชายหนุ่มพียงคนเดียวในทริปหันไปมองเพื่อนร่วมทริปทั้งสองเพื่อดูปฏิกิริยา ชนมนพยักหน้าให้เห็นว่าเธอโอเค แต่อีกคนที่ยืนทำหน้าตูมดูเหมือนคำตอบคงจะตรงกันข้ามกับเธอ แน่นอนว่าชายหนุ่มเลือกเอาคำตอบของคนที่ดูมีทั้งเหตุและผลมากกว่าอารมณ์เป็นหลักอยู่แล้ว
ภายในห้องพักขนาดย่อมที่พอจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ ให้นั้นหากเทียบกับโรงแรมที่ชนมนเคยพักที่นี่นับว่าเล็กที่สุด มีเพียงเตียงนอนคู่ที่ตั้งอยู่คนละมุม มีโต๊ะเครื่องแป้ง และห้องน้ำเท่านั้น
แต่ความเล็กของห้องไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เธออึดอัดอยู่ ณ ขณะนี้ หากเป็นรังสีความไม่พอใจของเพื่อนร่วมห้องที่แผ่กระจายออกมาจากทางด้านหลังมากกว่า
มือบางวางกระเป๋าสัมภาระของเธอลงบนเตียง เธอเลือกหยิบเฉพาะของที่ต้องใช้ออกมาจากกระเป๋าเตรียมจะใช้ห้องน้ำ พอไม่มีเจ้าลักกี้อยู่เป็นเพื่อนเธอดูเหมือนว่าบรรยากาศจะเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม
รู้อย่างนี้รั้งเจ้าลักกี้เอาไว้กับตัวเสียก็ดี ดีกว่ายอมให้มันไปนอนกับเจ้านายของมัน ขณะจัดการกับของใช้ส่วนตัวเธอก็คิดว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อนดีหรือไม่ แต่พอหันไปเจอสายตาเอาเรื่องที่จับจ้องเธอไม่วางตาก็ทำให้หญิงสาวเลิกล้มความคิดนั้นทันที
“คุณคิดยังไงกับพี่พาโรกันแน่”
คนถูกถามไม่คิดว่าบทสนทนาเริ่มต้นระหว่างเธอกับโซแนมจะออกมาในรูปประโยคนี้
“ก็ไม่คิดยังไงค่ะ คุณพอลเป็นพี่ชายของเดยุล ฉันก็เคารพเขาเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง”
เหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายพอใจเห็นได้จากสีหน้าที่อ่านออกได้ว่าไม่เชื่อในคำตอบของเธอ
“แน่ใจเหรอว่าคุณคิดแค่นั้น ไม่ได้คิดอยากจะสนิทสนมไปมากกว่านั้น”
ชนมนถอนหายใจเบาๆ ตอบอย่างหนักแน่นอีกครั้งเพื่อตัดปัญหา “แน่ใจค่ะ ฉันไม่เคยคิดอะไรอย่างที่คุณระแวง”
“หึ ให้มันจริง คงไม่ใช่ว่าอกหักแล้วอยากจะให้เขารักษาแผลใจให้หรอกนะ” คำปรามาสของโซแนมกระแทกลงกลางใจของชนมนเป็นที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์ผู้ชายคนนั้น หากเป็นเพราะเกลียดจนไม่อยากจะนึกถึงมันอีก
มือบางกำแน่นสูดหายใจเข้าอย่างระงับสติที่จะไม่โพล่งใส่หน้าเจ้าของวาจาเผ็ดร้อน
“ต่อให้ฉันเป็นอย่างที่คุณพูด เขาก็ไม่ใช่คนที่ฉันจะยุ่งด้วยหรอกค่ะ ฉันมีมารยาทพอที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสมบัติของใคร ที่ฉันตัดสินใจมากับเขาเพราะต้องการเที่ยว ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“ได้ยินอย่างนี้ฉันค่อยสบายใจหน่อย งั้นก็ขอโทษแล้วกันที่เข้าใจผิด” คำขอโทษที่ไม่จริงใจถูกส่งผ่านริมฝีปากบางที่เหยียดยิ้ม
“ถ้าไม่มีอะไรคุยแล้ว ฉันขอตัวใช้ห้องน้ำก่อนแล้วกันนะคะ อ่อ ในฐานะที่ฉันอายุมากกว่าคุณพบเจออะไรมามากกว่า ฉันขออนุญาตแนะนำนะคะว่าผู้ชายเขาไม่ชอบให้ใครมาแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรอกค่ะ จากจะรักจะชอบมันจะกลายเป็นรำคาญ” ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำปล่อยให้คนด้านนอกฟาดหมอนด้วยความเจ็บใจ แม้จะโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่อีกฝ่ายยืนยันออกมาชัดเจน แต่เธอคงลืมไปว่านี่เป็นเพียงคำตอบจากชนมนไม่ใช่คำตอบของชายหนุ่มที่เธอแอบรักเขามานานปี ดังนั้นจึงไม่ควรวางใจในสิ่งที่ไม่สามารถบังคับกันได้โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ
คืนที่ผ่านมาชนมนหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ไม่สนใจว่าเพื่อนร่วมห้องจะมีท่าทีอย่างไรกับเธออีกหลังจบบทสนทนาเปิดอกแบบลูกผู้หญิง แต่เธอไม่คิดว่าตื่นเช้ามาจะพบกลับความว่างเปล่าพร้อมข่าวว่าหญิงสาวลงเขากลับบ้านไปแล้ว
นี่คงไม่ใช่เพราะสิ่งที่ฉันพูดเมื่อคืนหรอกนะ ใจอยากจะเอ่ยปากถาม แต่ก็กลัวชายหนุ่มจะสงสัยว่าเธอและโซแนมคุยกอะไรกันเธอถึงได้คิดว่าโซแนมจะกลับไปเพราะคำพูดของตัวเอง
“แล้วนี่โซแนมกลับไปยังไงคะ”
“กลับพร้อมคนที่บ้านน่ะครับ”
“เอ๋? คนที่บ้านเหรอคะ” หญิงสาวถามซ้ำเพื่อความมั่นใจว่าเธอได้ยินไม่ผิด
“ใช่ครับ พอดีเมื่อเช้ามีรถมาแวะคุยกับเจ้าของโรงแรม ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นคุณแม่ของโซแนม คุณป้าท่านเพิ่งกลับจากมาดูผ้าที่หมู่บ้านโคมา ท่านไม่รู้ว่าโซแนมมากับเราแล้วทิ้งร้านไว้ให้คุณยายเฝ้าคนเดียว ดูเหมือนเราจะถูกโซแนมหลอกนะครับ จริงๆ แล้วเธอไม่ได้บอกที่บ้านเลยว่าจะมากับเรา คราวนี้พอคุณป้ามาเจอเลยโมโหใหญ่ลากกลับไปด้วย”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สาเหตุการจากไปของโซแนมไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูดเมื่อวาน
“อย่างนั้นก็แสดงว่าเธอต้องเข้าไปเก็บของในห้องนอนน่ะสิค่ะ นี่มินนี่หลับลึกขนาดไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอเนี่ย” ชนมนยกมือทาบอกนึกทึ่งตัวเองที่ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าเพื่อนร่วมห้องเก็บเข้ามาเก็บของออกจากห้อง
ร่างสูงที่นั่งร่วมโต๊ะยกกาแฟขึ้นมาจิบก่อนจะบิขนมปังกรอบเข้าปาก มองท่าทีของเธอด้วยความขบขัน
“นั่นแสดงว่าร่างกายคุณอ่อนเพลียและเหนื่อยมากจากการเดินทางเมื่อวาน วันนี้ผมจะพยายามขับให้นิ่มที่สุดแล้วกันนะครับ แต่เราคงต้องทำเวลากันหน่อย เพราะเหลืออีกไม่กี่ร้อยกิโลก็จะถึงจุดหมายปลายทางของเราแล้ว”
ชายหนุ่มไม่ได้บอกว่าที่เร่งทำเวลาอีกอย่างก็เพราะระหว่างทางต่อจากนี้ไม่มีโรงแรมให้พักแล้ว หากจะพักก็ต้องหาที่จอดรถแล้วนอนระหว่างทาง ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ในเมื่อสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีคนกลางอย่างโซแนม มีเพียงเขาและเธอที่ต้องร่วมเดินทางกันสองคน อ้อเกือบลืมยังมีเจ้ากระรอกที่นั่งแทะขนมปังกรอบอยู่บนเก้าอี้ข้างหญิงสาวอีกตัว
++++++++
รอบนี้มาเร็วนิดหนึ่งเพราะคาดว่าเสาร์อาทิตย์นี้คงไม่ว่าง คงวุ่นกับต้นฉบับที่อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว
หวานรักในลมหนาวจะลงให้อ่านถึงบทที่ 11 นะคะ ที่เหลือไปตามกันต่อในหนังสือเนอะ^^
ใกล้จะได้ปิดต้นฉบับหวานรักในลมหนาวแล้ว อิอิ ผลงานเรื่องนี้เป็นผลงานเล่มที่10 พอดี๊พอดี
คิดว่าคงมีเล่นเกมอะไรสักอย่างแน่นอน และกำลังคิดอยู่เชียวว่าอาจมีของกำนัลไปให้ผู้อ่านที่ซื้อ
หนังสือของลาฌีนุสในงานหนังสือเดือนตุลาด้วย
ไว้เป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่จิมาบอกอีกทีนะคะว่ามีอะไรพิเศษ ^^
ตามความคืบหน้าได้ที่เพจของลาฌีนุสนะคะ
ชายหนุ่มคิดเล่นๆ ว่ามันคงเป็นทริปที่สนุกพิลึก หากนึกไม่ถึงว่าการที่มีสมาชิกเพิ่มเข้ามาอีก 1 คนจะสร้างความอึดอัดให้กับเขาและอาจจะเธอด้วยได้ถึงขนาดนี้ สมาชิกใหม่อย่างโซแนมกำลังทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวดีๆ อย่างเมื่อวานหายไปโดยการเปิดฉากเสนอตัวนั่งข้างคนขับตั้งแต่เขายังไม่ทันได้เปิดประตูรถ แล้วกะเกณฑ์ให้อีกคนไปนั่งด้านหลัง โดยไม่ถามความสมัครใจของเขาสักนิดว่าต้องการหรือเปล่า
ทางด้านโซแนมนั้นรู้สึกหมั่นไส้ตั้งแต่เห็นผู้หญิงต่างชาติยืนหัวร่อต่อกระซิกออดอ้อนพี่ชายข้างบ้านของเธอด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจมา พูดคุยกันราวกับโลกนี้มีพวกเขาแค่สองคนทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน
ไม่ยอม ในชีวิตลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านเธอคือจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวของทุกคน ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้รับการปฏิบัติเหมือนอากาศธาตุอย่างนี้
เจ็บใจนัก ทำเป็นพูดภาษาที่เธอไม่เข้าใจน่าหมั่นไส้ ไม่เห็นหัวเธอที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้สักนิด เสียมารยาทที่สุด
ดวงตาตี่เล็กปรายตามองไปที่นั่งด้านหลัง ความรู้สึกไม่ชอบใจไม่พอใจมีมากจนอกเธอแทบระเบิด ผู้หญิงคนนี้ทำเป็นไม่สนใจสิ่งรอบข้างนอกจากกระรอกน้อยในมือ หล่อนดูไม่สะทกสะท้านผิดกับเธอที่ภายในใจเดือดดาล
ไปๆ มาๆ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนบ้าที่อารมณ์เดือดอยู่ฝ่ายเดียว
ยิ่งคิดยิ่งโมโห
“พี่พาโรทานอะไรรึยังค่ะ โซแนมเอาข้าวเกรียบมาด้วย ชิมไหม” หญิงสาวตั้งใจพูดภาษาซองคาเพื่อให้อีกฝ่ายที่ฟังไม่รู้เรื่องรู้สึกเป็นส่วนเกิน แต่หารู้ไม่ว่าไม่ใช่ภาษาที่เธอใช้สนทนาหรอกที่ทำให้อีกสองคนที่เหลืออึดอัด แต่เป็นกิริยายื่นขนมเข้าไปจ่อที่ปากคนขับในขณะที่เอนร่างเข้าหาจนแทบจะสิงกันนั่นแหละที่ทำให้ชนมนกระอักกระอ่วนใจและรู้สึกเป็นส่วนเกินเข้าจริงๆ
พอลขยับห่างอย่างสุภาพเพื่อรักษาน้ำใจน้องสาวข้างบ้านที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ร่างสูงถอนหายใจส่ายหน้าให้แทนคำตอบ ดวงตาคมกริบเหลือบมองกระจกหลังเห็นท่าทีไม่สนอกสนใจอะไรนอกจากกระรอกน้อยบนฝ่ามือก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
อย่างน้อยกิริยาของโซแนมก็ไม่อาจเรียกความสนใจจากเธอได้ เขาคิดว่าในจะจบแค่นั้น แต่เปล่าเลยโซแนมยังคงเล่นสงครามประสาทด้วยการเจื้อยแจ้วภาษาประจำชาติกับเขาจนเขารู้สึกเกรงใจชนมน
“คุณมินนี่ลองชิมข้าวเกรียบของโซแนมไหมครับ โซแนมแบ่งให้คุณมินนี่ชิมบ้างสิ” เขาตัดบทเจื้อยแจ้วของน้องสาวข้างบ้านที่หน้าบูดบึ้งด้วยการสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะตามมาด้วยข้อตกลงที่เขากำหนดขึ้นให้ตลอดการเดินทางต้องสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อตัดปัญหาในการสื่อสาร
คนถูกขอให้แสดงน้ำใจกลายๆ ยื่นถุงข้าวเกรียบให้อีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักซึ่งแน่นอนว่าชนมนไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหารเหมือนนางเอกแสนซื่อถึงจะแปลความหมายของอาการเหล่านี้ไม่ออก
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณโซแนมตามสบายเลยค่ะ” คนหนึ่งอยากจบปัญหาเพราะเป็นคนไม่ชอบมีเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้โซแนมเข้าใจว่าเธอหยิ่ง หักหน้าไม่ยอมกินข้าวเกรียบของเธอทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพราะความคิดที่มีอคติล้วนๆ
“ของถูกๆ อย่างนี้คงจะไม่ถูกปากคุณสินะคะ คงจะเคยกินแต่อะไรแพงๆ หรูๆ ใช่ไหมคะ” โซแนมกล่าวหา
ชนมนคิดจะแย้ง แต่ดูแล้วต่อให้เธออธิบายจนปากจะฉีกไปถึงหูอีกฝ่ายก็คงไม่สนใจจะเชื่ออยู่แล้ว ดังนั้นจึงเลือกที่จะเงียบแทน
หญิงสาวผู้มาใหม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ถูกชะตากับชนมน และเธอยังมีอาการสนอกสนใจเขาเกินเหตุเสียจนเขาอยากจะจอดรถกลางคันแล้วดุเธอสักสองสามประโยคให้เลิกทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตที่เที่ยวแต่ระรานคนอื่นไปทั่ว
“จริงๆ คุณมินนี่น่าจะรอให้พี่เดยุลกลับมาก่อนนะคะ ไม่เห็นจะต้องรีบเที่ยวอะไรขนาดนั้น” ผู้มาใหม่จีบปากจีบคอถามเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่จัดว่าดีที่เดียว
หลายครั้งที่หญิงสาวเองก็รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเด็กเล็กหรือนักเรียนนักศึกษาพ่อค้าประชาชนชาวภูฏานมีการใช้ภาษาอังกฤษที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งที่ไม่เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของชาติใดมาก่อน
“ว่ายังไงค่ะ มีอะไรที่ทำให้คุณรอพี่เดยุลไม่ได้”
คนถูกถามเหล่มองไปทางคนขับที่นั่งคู่กันกับเจ้าของคำถามที่มองผ่านกระจกหลังมาอย่างอึดอัด
“เราเองเถอะ ไม่เบื่อหรือไง ที่ๆ พี่จะไปนี่เราเองก็เคยไปมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
คนถูกย้อนหน้างอ มองหญิงสาวที่นั่งด้านหลังตาขวาง ยิ่งชายหนุ่มออกรับแทนเธอยิ่งหมั่นไส้
“พี่พาโรก็เหมือนกันแหละ ไม่เบื่อหรือไง”
“เบื่ออะไร พี่เองไม่ได้มาบ่อยเหมือนเราเสียหน่อย เราเองที่บ้านขายผ้ามาแทบจะทุกสัปดาห์สิน่าจะเบื่อ” คนถูกย้อนถามทำหน้างอแต่ก็ยังไม่ละความพยายาม
“น้องก็ไม่เบื่อ ถ้าพี่พาโรมาด้วยอีกน้องก็จะมา” คำตอบของคนอยากเอาชนะทำเอาคนขับรถถึงกับส่ายหน้าลอบถอนหายใจ
เส้นทางไปหมู่บ้านโคมาเลวร้ายกว่าที่ชนมนคิด ทั้งพื้นถนนที่ยังเป็นดินลูกรังบวกกับเส้นทางที่คดโค้งลาดชัน ทำเอาคนไม่ชินกับเส้นทางทรหดถึงกลับเก็บสีหน้าอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าซีดเซียวอาการพะอืดพะอมที่ของเหลววิ่งมาจุกอยู่ที่คอ มือบางแตะลงบนไหล่คนขับรถหน้าตาดี
ทันทีที่รถหยุดร่างบางไม่รอช้ารีบลงจากรถพุ่งไปที่ข้างทางที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้งก่อนจะปลดปล่อยทุกสิ่งออกมา ชายหนุ่มหน้าตาตื่นตกใจวิ่งตามลงมา เมื่อเห็นอาการอีกฝ่ายก็รีบหันหลับไปที่รถค้นเอายาหอมผ้าเช็ดหน้าและน้ำดื่มติดมือมาด้วย
มือหนาลูบหลังบอบบางของหญิงสาวที่หน้าซีดไร้สีสัน ใจเขาเต้นตุบๆ คิ้วหนาขมวดแน่นรู้สึกตกใจและโกรธตัวเองที่ไม่ทันสังเกตเห็นอาการเมารถของเธอ เป็นเพราะชะล่าใจว่าเธอทานยาแก้แพ้มาแล้วคงไม่เป็นอะไร แต่เขาคงจะลืมคิดไปว่าสภาพภูมิประเทศของที่นี่ที่หาถนนเส้นตรงยาวเกิน 200 เมตรแทบไม่ได้นั้นยาแก้แพ้แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย
“เป็นอย่างไรบ้างครับ ไหวรึเปล่า” หญิงสาวรับขวดน้ำจากมือหนามาบ้วนปากและดื่มเพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้น เธอพยักหน้าแทนคำตอบว่ายังไหว
ถึงทีของคนถามที่รู้สึกผิดและกำลังโทษตัวเองที่ทำให้เธอต้องอยู่ในสภาพนี้
สายตาห่วงใยที่ส่งมาให้มากเกินกว่าปกติของคนถามทำให้คนที่หนาซีดอยู่รู้สึกหน้าร้อนวูบจนต้องเสมองลงไปเบื้องล่าง
ภาพทิวทัศน์เบื้องล่างที่เขียวขจี มีหมอกปกคลุมชั้นบรรยากาศบางๆ แปลงนาเป็นขั้นบันไดไม่ต่างจากภาคเหนือของไทยทำให้ชนมนสดชื่นขึ้นท่ามกลางอากาศที่ระดับความสูงของน้ำทะลกว่าสามพันเมตรไม่แปลกหากเธอจะรู้สึกหนาวจนต้องลูบแขนตัวเองเพราะเสื้อที่สวมใส่เริ่มจะกันความเย็นไม่ได้ การเดินทางขึ้นเขามากกว่า 5 ชั่วโมงนับว่าหนักหนาสาหัสสำหรับคนที่ชินทางเรียบและทางตรงอย่างเธอทีเดียว
“อย่าทำหน้าเหมือนมินนี่เป็นตัวภาระอย่างนั้นสิคะ นี่คงไม่ได้จะคิดผลักมินนี่ลงไปข้างล่างใช่ไหม” เธอหันมาบอกเจ้าของใบหน้าเคร่งที่มองเธออยู่เงียบๆ แววตามีความกังวล
“ยังจะมาตลกอีก ต่อไปไม่ไหวให้รีบบอกนะครับ อย่าฝืนแบบนี้อีก” แทนที่เขาจะรับมุกเธอกลับมาดุเธอแทน หญิงสาวหน้าจ๋อยสนิท พยักหน้าซีดเสียวที่ดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นิดหน่อยให้เขา
พอลถอนหายใจ แต่ยิ่งถอนยิ่งเหมือนจะอึดอัดใจมากกว่าเก่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะดุเธอด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเจ้าตัวเห็นเรื่องของตัวเองเป็นเรื่องขำขันก็อดที่จะโกรธไม่ได้ เขารึเป็นห่วงแทบแย่
“ขอโทษค่ะ”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรแต่ประคองเธอไปที่รถแล้วสั่งให้โซแนมย้ายไปนั่งเบาะหลัง แน่นอนว่าคนถูกสั่งย้ายกะทันหันไม่ยอม แต่พอเห็นแววตาเอาจริงของเขาและเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้เธอจึงต้องยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ มินนี่นั่งที่เดิมได้” คนไม่อยากมีปัญหารีบบอกเมื่อเห็นสายตาสาปแช่งมองมาที่เธอ
“เห็นไหมค่ะ คุณมินนี่ไม่ได้เป็นอะไร”
“อย่าดื้อกับผม นั่งหน้านี่แหละจะได้ปรับเบาะนอนพักได้สบาย นั่งข้างหลังเดี๋ยวได้อ้วกออกมาอีก เราก็เหมือนกันถ้าอยากไปด้วยกันก็หัดฟังพี่พูดบ้าง”
คนดื้อเหลือบมองโซแนมที่ทำได้แค่เม้มปากแน่น พอเห็นว่าเธอมองเจ้าหล่อนก็สะบัดหน้าพรืด ย้ายตัวเองไปนั่งเบาะหลังด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด
เจ้าลักกี้ที่นั่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่บนเบาะรีบกระโดดข้ามมานั่งเบาะคนขับทันทีที่โซแนมย้ายตัวเองมานั่งเบาะหลัง
ส่วนตัวต้นเรื่องกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จัดแจงยัดเธอเข้าไปนั่งเบาะหน้ายื่นร่างหนาบึกบึนเข้ามาโน้มตัวลงใกล้เธอ ใบหน้าคมโน้มลงหา...ที่ปรับเบาะ เล่นเอาเธอแทบลืมหายใจในความใกล้ชิดโดยบริสุทธิ์ใจของเขา ใบหน้าที่ซีดเมื่อครู่เริ่มดีขึ้น เผลอๆ อาจดีขึ้นจนแก้มชมพูเลยด้วยเมื่อแผ่นอกของเข้าเฉียดใบหน้าเธอไปนิดเดียว และแย่มากเพราะมันส่งผลให้เธอได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่เต้นตุบๆ อยู่ในหู
เอ๊ะ รึจริงๆ มันจะเป็นเสียงหัวใจของเธอกันแน่?
บ้าน่า...แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้นแต่ก็ดันเผลอยกมือขึ้นแนบอกซ้ายของตัวเองเพื่อทดสอบ
“เป็นอะไรครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของหญิงสาวที่เอามือกุมอกซ้าย
“หะ อุ๊ย เปล่าค่ะไม่มีอะไร แค่เอ่อ ไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหนดี” อา ชนมนรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่งี่เง่าสิ้นดี
“คุณไม่มีโรคประจำตัวแน่ใช่ไหมครับ” อีกฝ่ายหรี่ตามองเหมือนไม่ไว้ใจ
“ไม่มีค่ะ ฉันปกติดีค่ะ เราออกรถกันเถอะค่ะ จอดตรงนี้นานๆ เดี๋ยวรถคันอื่นที่ตามหลังมาจะว่าเอา” เธอเปลี่ยนเรื่องในทันที ซึ่งก็ดีที่ชายหนุ่มไม่ได้เซ้าซี้อะไรและเห็นด้วยกับเหตุผลของเธอเนื่องจากเส้นทางนี้เป็นทางเลนเดียว หากจอดแช่นานๆ จะสร้างความเดือนร้อนให้กับรถคันอื่น
ส่วนคนด้านหลังก็เงียบกริบไม่พูดอะไรเพราะยังคงงอนที่พอลย้ายเธอมานั่งด้านหลัง ยิ่งเห็นชายหนุ่มเอาใจใส่ชนมนยิ่งทำให้เธอไม่มีอารมณ์จะพูดจาพาที แม้ว่าพอลพยายามจะชวนพูดคุยเพื่อสลายบรรยากาศแสนอึมครึม แต่เธอเลือกที่จะประชดเขาโดยการไม่พูดไม่จานั่งเงียบๆ ให้ทั้งคู่รู้สึกอึดอัดไปโดยปริยาย
คนเมารถหลังจากได้เอนตัวสบายๆ ก็รู้สึกดีขึ้น แม้จะมีอาการวิงเวียนหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อครู่ กระรอกน้อยตัวเท่าฝ่ามือนั่งอยู่บนตักเธอมันพยายามปลอบใจเธอด้วยการเอาหางนิ่มๆ ปัดไปมาบนหลังมือที่วางประสานกันอยู่บนตัก หญิงสาวยิ้มให้ในความน่ารักของมัน
“ดูท่าเจ้าลักกี้จะติดใจคุณมินนี่แล้วล่ะครับ” คนข้างๆ เอ่ยบอกโดยที่สายตาไม่ละไปจากถนนข้างหน้า
ใบหน้าหวานเลิกคิ้วเรียวขึ้นหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ คล้ายจะถามว่าเขารู้ได้ยังไง
คนถูกถามผ่านสีหน้าอมยิ้มตอบ สายตาคมมองผ่านกระจกหลังเห็นโซแนมผล็อยหลับไปแล้ว ก็ผินหน้ามาคุยกับเธอได้อย่างสะดวกใจ
“มันไม่เคยติดใครแจขนาดนี้ไงครับ ปกติถ้านั่งรถมากับผม ก็จะโดดขึ้นไปเกาะบนคอนโซลรถดูทางเป็นเพื่อนกัน แต่นี่ตั้งแต่ออกจากบ้านมามันไม่ยอมห่างคุณเลย รำคาญรึเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ น่ารักขนาดนี้จะรำคาญได้ยังไงกัน เนอะลักกี้เนอะ” เหมือนจะฟังที่เธอพูดรู้เรื่องเจ้ากระรอกตัวน้อยกระโดดเหย็งๆ บนตักเธอสองสามทีก่อนจะไต่ขึ้นไปซบไหล่บางปัดหางยาวๆ นุ่มๆ ของตนไปมาอย่างออดอ้อน แถมตาแป๋วๆ ของมันเหลือบขึ้นมามองเขาเหมือนเยาะชอบกล จนเจ้านายหนุ่มชักจะรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว
มากไปแล้วเจ้าลักกี้ นี่มันท้าทายเขาอยู่รึเปล่าเนี่ย
โซแนมมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อถึงโรงแรมที่พักในตอนเย็น หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มที่ชะโงกหน้าข้ามเบาะปลุกเธอให้ตื่นเพื่อลงจากรถ จากโรงแรมที่พักไปที่หมู่บ้านโคมาเหลืออีกเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตรแต่ด้วยพอลเห็นว่าค่ำมากแล้วเขาไม่อยากขับรถตอนกลางคืนบวกกับอยากให้อีกคนได้พักผ่อนหลังจากที่เพลียการนั่งรถมาตลอดทั้งวัน เขาจึงตัดสินใจแวะโรงแรมเล็กๆ ข้างทางที่มักจะแวะมาพักประจำเวลาที่ต้องผ่านมาแถวนี้ดังนั้นเจ้าของโรงแรมจึงคุ้นเคยกับชายหนุ่มเป็นอย่างดี
โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมเล็กๆ แห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในระกับความสูงของน้ำทะเลกว่า 2000 เมตร อยู่ท่ามกลางหุบเขามีธรรมชาติเขียวขจีล้อมรอบ ที่นี่มีห้องพักเพียง 6 ห้อง ส่วนใหญ่จะรับนักท่องเที่ยวที่มาพักรถ เพราะไม่ที่ตรงนี้จะเป็นทางผ่านไปที่เมืองต่างๆ
“ไม่เจอกันเสียนานนะคะ” เจ้าของโรงแรมส่งยิ้มให้พอล ก่อนจะเผื่อแผ่ไปยังสองสาวด้านหลัง คิ้วหญิงสูงวัยขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นใบหน้าคุ้นตาของลูกสาวเจ้าของร้านผ้าคนดังในเมืองทิมพู
“โซแนม มาด้วยเหรอจ๊ะ”
คนถูกทักพยักหน้าแทนคำตอบ
“ตอนนี้ห้องเหลือแค่ 2 ห้องเท่านั้นนะจ๊ะ พอดีมีนักท่องเที่ยวเขาจองเอาไว้ เพิ่งมาถึงก่อนคุณพาโรไม่กี่ชั่วโมง แต่ป่านนี้คงเข้านอนกันแล้วล่ะ เพราะดูท่าจะเหนื่อยกันมาก คงต้องแบ่งให้สองสาวนอนด้วยกันที่ห้องใหญ่ ส่วนห้องเล็กก็เป็นของคุณพาโรนะคะ” เจ้าของโรงแรมอธิบาย
ชายหนุ่มพียงคนเดียวในทริปหันไปมองเพื่อนร่วมทริปทั้งสองเพื่อดูปฏิกิริยา ชนมนพยักหน้าให้เห็นว่าเธอโอเค แต่อีกคนที่ยืนทำหน้าตูมดูเหมือนคำตอบคงจะตรงกันข้ามกับเธอ แน่นอนว่าชายหนุ่มเลือกเอาคำตอบของคนที่ดูมีทั้งเหตุและผลมากกว่าอารมณ์เป็นหลักอยู่แล้ว
ภายในห้องพักขนาดย่อมที่พอจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ ให้นั้นหากเทียบกับโรงแรมที่ชนมนเคยพักที่นี่นับว่าเล็กที่สุด มีเพียงเตียงนอนคู่ที่ตั้งอยู่คนละมุม มีโต๊ะเครื่องแป้ง และห้องน้ำเท่านั้น
แต่ความเล็กของห้องไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เธออึดอัดอยู่ ณ ขณะนี้ หากเป็นรังสีความไม่พอใจของเพื่อนร่วมห้องที่แผ่กระจายออกมาจากทางด้านหลังมากกว่า
มือบางวางกระเป๋าสัมภาระของเธอลงบนเตียง เธอเลือกหยิบเฉพาะของที่ต้องใช้ออกมาจากกระเป๋าเตรียมจะใช้ห้องน้ำ พอไม่มีเจ้าลักกี้อยู่เป็นเพื่อนเธอดูเหมือนว่าบรรยากาศจะเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม
รู้อย่างนี้รั้งเจ้าลักกี้เอาไว้กับตัวเสียก็ดี ดีกว่ายอมให้มันไปนอนกับเจ้านายของมัน ขณะจัดการกับของใช้ส่วนตัวเธอก็คิดว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อนดีหรือไม่ แต่พอหันไปเจอสายตาเอาเรื่องที่จับจ้องเธอไม่วางตาก็ทำให้หญิงสาวเลิกล้มความคิดนั้นทันที
“คุณคิดยังไงกับพี่พาโรกันแน่”
คนถูกถามไม่คิดว่าบทสนทนาเริ่มต้นระหว่างเธอกับโซแนมจะออกมาในรูปประโยคนี้
“ก็ไม่คิดยังไงค่ะ คุณพอลเป็นพี่ชายของเดยุล ฉันก็เคารพเขาเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง”
เหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายพอใจเห็นได้จากสีหน้าที่อ่านออกได้ว่าไม่เชื่อในคำตอบของเธอ
“แน่ใจเหรอว่าคุณคิดแค่นั้น ไม่ได้คิดอยากจะสนิทสนมไปมากกว่านั้น”
ชนมนถอนหายใจเบาๆ ตอบอย่างหนักแน่นอีกครั้งเพื่อตัดปัญหา “แน่ใจค่ะ ฉันไม่เคยคิดอะไรอย่างที่คุณระแวง”
“หึ ให้มันจริง คงไม่ใช่ว่าอกหักแล้วอยากจะให้เขารักษาแผลใจให้หรอกนะ” คำปรามาสของโซแนมกระแทกลงกลางใจของชนมนเป็นที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์ผู้ชายคนนั้น หากเป็นเพราะเกลียดจนไม่อยากจะนึกถึงมันอีก
มือบางกำแน่นสูดหายใจเข้าอย่างระงับสติที่จะไม่โพล่งใส่หน้าเจ้าของวาจาเผ็ดร้อน
“ต่อให้ฉันเป็นอย่างที่คุณพูด เขาก็ไม่ใช่คนที่ฉันจะยุ่งด้วยหรอกค่ะ ฉันมีมารยาทพอที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสมบัติของใคร ที่ฉันตัดสินใจมากับเขาเพราะต้องการเที่ยว ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“ได้ยินอย่างนี้ฉันค่อยสบายใจหน่อย งั้นก็ขอโทษแล้วกันที่เข้าใจผิด” คำขอโทษที่ไม่จริงใจถูกส่งผ่านริมฝีปากบางที่เหยียดยิ้ม
“ถ้าไม่มีอะไรคุยแล้ว ฉันขอตัวใช้ห้องน้ำก่อนแล้วกันนะคะ อ่อ ในฐานะที่ฉันอายุมากกว่าคุณพบเจออะไรมามากกว่า ฉันขออนุญาตแนะนำนะคะว่าผู้ชายเขาไม่ชอบให้ใครมาแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรอกค่ะ จากจะรักจะชอบมันจะกลายเป็นรำคาญ” ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำปล่อยให้คนด้านนอกฟาดหมอนด้วยความเจ็บใจ แม้จะโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่อีกฝ่ายยืนยันออกมาชัดเจน แต่เธอคงลืมไปว่านี่เป็นเพียงคำตอบจากชนมนไม่ใช่คำตอบของชายหนุ่มที่เธอแอบรักเขามานานปี ดังนั้นจึงไม่ควรวางใจในสิ่งที่ไม่สามารถบังคับกันได้โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ
คืนที่ผ่านมาชนมนหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ไม่สนใจว่าเพื่อนร่วมห้องจะมีท่าทีอย่างไรกับเธออีกหลังจบบทสนทนาเปิดอกแบบลูกผู้หญิง แต่เธอไม่คิดว่าตื่นเช้ามาจะพบกลับความว่างเปล่าพร้อมข่าวว่าหญิงสาวลงเขากลับบ้านไปแล้ว
นี่คงไม่ใช่เพราะสิ่งที่ฉันพูดเมื่อคืนหรอกนะ ใจอยากจะเอ่ยปากถาม แต่ก็กลัวชายหนุ่มจะสงสัยว่าเธอและโซแนมคุยกอะไรกันเธอถึงได้คิดว่าโซแนมจะกลับไปเพราะคำพูดของตัวเอง
“แล้วนี่โซแนมกลับไปยังไงคะ”
“กลับพร้อมคนที่บ้านน่ะครับ”
“เอ๋? คนที่บ้านเหรอคะ” หญิงสาวถามซ้ำเพื่อความมั่นใจว่าเธอได้ยินไม่ผิด
“ใช่ครับ พอดีเมื่อเช้ามีรถมาแวะคุยกับเจ้าของโรงแรม ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นคุณแม่ของโซแนม คุณป้าท่านเพิ่งกลับจากมาดูผ้าที่หมู่บ้านโคมา ท่านไม่รู้ว่าโซแนมมากับเราแล้วทิ้งร้านไว้ให้คุณยายเฝ้าคนเดียว ดูเหมือนเราจะถูกโซแนมหลอกนะครับ จริงๆ แล้วเธอไม่ได้บอกที่บ้านเลยว่าจะมากับเรา คราวนี้พอคุณป้ามาเจอเลยโมโหใหญ่ลากกลับไปด้วย”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สาเหตุการจากไปของโซแนมไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูดเมื่อวาน
“อย่างนั้นก็แสดงว่าเธอต้องเข้าไปเก็บของในห้องนอนน่ะสิค่ะ นี่มินนี่หลับลึกขนาดไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอเนี่ย” ชนมนยกมือทาบอกนึกทึ่งตัวเองที่ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าเพื่อนร่วมห้องเก็บเข้ามาเก็บของออกจากห้อง
ร่างสูงที่นั่งร่วมโต๊ะยกกาแฟขึ้นมาจิบก่อนจะบิขนมปังกรอบเข้าปาก มองท่าทีของเธอด้วยความขบขัน
“นั่นแสดงว่าร่างกายคุณอ่อนเพลียและเหนื่อยมากจากการเดินทางเมื่อวาน วันนี้ผมจะพยายามขับให้นิ่มที่สุดแล้วกันนะครับ แต่เราคงต้องทำเวลากันหน่อย เพราะเหลืออีกไม่กี่ร้อยกิโลก็จะถึงจุดหมายปลายทางของเราแล้ว”
ชายหนุ่มไม่ได้บอกว่าที่เร่งทำเวลาอีกอย่างก็เพราะระหว่างทางต่อจากนี้ไม่มีโรงแรมให้พักแล้ว หากจะพักก็ต้องหาที่จอดรถแล้วนอนระหว่างทาง ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ในเมื่อสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีคนกลางอย่างโซแนม มีเพียงเขาและเธอที่ต้องร่วมเดินทางกันสองคน อ้อเกือบลืมยังมีเจ้ากระรอกที่นั่งแทะขนมปังกรอบอยู่บนเก้าอี้ข้างหญิงสาวอีกตัว
++++++++
รอบนี้มาเร็วนิดหนึ่งเพราะคาดว่าเสาร์อาทิตย์นี้คงไม่ว่าง คงวุ่นกับต้นฉบับที่อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว
หวานรักในลมหนาวจะลงให้อ่านถึงบทที่ 11 นะคะ ที่เหลือไปตามกันต่อในหนังสือเนอะ^^
ใกล้จะได้ปิดต้นฉบับหวานรักในลมหนาวแล้ว อิอิ ผลงานเรื่องนี้เป็นผลงานเล่มที่10 พอดี๊พอดี
คิดว่าคงมีเล่นเกมอะไรสักอย่างแน่นอน และกำลังคิดอยู่เชียวว่าอาจมีของกำนัลไปให้ผู้อ่านที่ซื้อ
หนังสือของลาฌีนุสในงานหนังสือเดือนตุลาด้วย
ไว้เป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่จิมาบอกอีกทีนะคะว่ามีอะไรพิเศษ ^^
ตามความคืบหน้าได้ที่เพจของลาฌีนุสนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2556, 21:38:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2556, 10:55:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 1688
<< บทที่ 7 ลูกทัวร์ VIP? | บทที่ 9 บรรยากาศเป็นใจ? >> |