หวานรักในลมหนาว
หวานรักในลมหนาวเป็นหนึ่งนิยายใน ชุดลัดฟ้าไปหารัก โปรเจ็กล่าสุดของ สนพ.กรีนมายด์ค่ะ โดยธีมเรื่องจะเกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยลาฌีนุสได้เลือกประเทศภูฏานและญี่ปุ่นมาเป็นโจทย์ความรักในครั้งนี้ของพระ-นาง สไตล์เรื่องจะเป็นแนวรักหวานๆ ค่ะ
ปล.พระเอกเป็นลูกครึ่งหนุ่มไทย-ภูฎานค่ะ หล่อลื้มมม คริๆ
+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus
ปล.พระเอกเป็นลูกครึ่งหนุ่มไทย-ภูฎานค่ะ หล่อลื้มมม คริๆ
+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus
Tags: หวานรักในลมหนาว,ภูฎาน
ตอน: บทที่ 9 บรรยากาศเป็นใจ?
บทที่ 9 บรรยากาศเป็นใจ?
หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องพักที่มีขนาดเล็กกว่าโรงแรมที่เธอพักเมื่อวานถึง 2 เท่าด้วยจิตใจที่กำลังว้าวุ่นสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เป็นอย่างนั้น
บรรยากาศเป็นใจหรือใจเธอที่ยอมที่เป็นไปตามบรรยากาศ...
ชนมนเธอกำลังกลืนน้ำลายตัวเองอยู่หรือเปล่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเริ่มจากตรงไหนกัน…
การเดินทางที่ไร้บุคคลที่สามในวันนี้ดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างง่ายกว่าคิดเอาไว้ ความอึดอัดหรือกลุ่มควันที่ซ่อนอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวานก็สลายไปจนเจ้าตัวเองยังแปลกใจ พอลยังคงทำหน้าที่ขับรถได้ดีตามที่รับปากเอาไว้ในตอนเช้า ซึ่งชนมนเองหลังจากเผชิญกับเส้นทางทรหดมาตั้งแต่เมื่อวานวันนี้ร่างกายเธอเหมือนจะคุ้นชินกับมันมากขึ้น จึงไม่มีอาการเมาหรือวิงเวียนศีรษะให้ได้เห็น ส่วนหนึ่งนอกจากยาที่เพิ่งกินกับร่างกายที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว คงเป็นเพราะสองข้างทางที่ขับรถผ่านเต็มไปด้วยสีสันของผ้าจำนวนมากมายที่ติดเอาไว้เป็นสายตลอดเส้นทาง ดูไปก็คล้ายกับธงสีๆ ในช่วงงานวัดของไทย
“ผ้าพวกนี้เขาติดไว้ทำอะไรคะ” หญิงสาวหันหน้ามาถามชายหนุ่ม ทว่าแก้มชนเข้ากับจมูกน้อยๆ ของเจ้าลักกี้ที่เกาะไหล่เธออยู่จนเธอต้องร้องอุ๊ย ก่อนจะหัวเราะร่วนแล้วใช้นิ้วดีดหน้าผากสีน้ำตาลเบามือ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คนขับรถสุดหล่อทันเห็นเขาพอดีถึงกับเม้มปากนึกฉุนเจ้ากระรอกน้อยจอมฉวยโอกาส อยากจะวางมือจากกระปุกเกียร์โบกหัวมันสักทีสองทีฐานทำอะไรเกินหน้าเกินตา แต่ที่ทำได้คือตอบข้อสงสัยของหญิงสาวเท่านั้น
“มันคือธงมนต์[1]หรือ Wind Horse หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันมีทั้งหมด 5 สีครับหมายถึงธาตุทั้ง 5 คนที่นี่จะผูกเอาไว้ในบริเวณใกล้ๆ สถานที่สำคัญทางศาสนา และนิยมผูกไว้บนยอดเขาสูงที่มีลมพัดแรง เราเชื่อกันว่าลมจะพัดเอาบทสวดบนผืนธงให้กระจายออกไปเพื่อเปลี่ยนสิ่งชั่วร้ายให้กลายเป็นความโชคดีครับ”
ผู้ฟังสาวพยักหน้าทำความเข้าใจก่อนจะหันไปชื่นชมความงามของธงหลากสีอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเราเข้าใกล้สถานที่สำคัญทางศาสนาหรือคะ”
“ครับ แต่เอาไว้ผมจะพาแวะตอนขากลับแล้วกันนะครับ ดูจะสะดวกกว่า” เมื่อคนขับเอ่ยออกมาอย่างนั้น ผู้โดยสารอย่างเธอจะอย่างอะไรได้อีก แม้ใจจริงอยากจะให้เขาพาแวะไปชมสักหน่อยก็เถอะ
พอลทำตามอย่างที่พูดเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เขาไม่แวะที่ไหนเลยนอกจาตั้งใจบึ่งรถให้ถึงที่หมายก่อนพลบค่ำ ระหว่างทางในช่วงเที่ยงเขาแค่แวะพักรถและจอดรถเพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ซื้อจากโรงแรมเมื่อเช้า
จุดพักรถของทั้งคู่ไม่ใช่ปั้มน้ำมันที่ไหน หากเป็นไหล่ทางขึ้นเขาที่พอจะมีพื้นที่ให้เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดใต้ร่มไม้ใหญ่โดยไม่เกะกะรถคันอื่นที่สัญจรไปมา และแน่นอนว่าโต๊ะอาหารของเขาและเธอคือท้ายกระบะท้ายที่ถูกยกลง
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชนมนผู้รักการท่องเที่ยวรู้สึกลำบากแม้แต้น้อย เธอสนุกและดูมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตกึ่งผจญภัยแบบนี้ จนคนที่เคยกังวลอย่างพอลเองก็คาดไม่ถึง แม้จะเคยร่วมทริปที่ญี่ปุ่นกับเธอมาแล้ว แต่ความลำบากของทริปนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับความสะดวกสบายในญี่ปุ่น เขายอมรับว่าหนักใจและหวั่นไม่น้อยว่าหญิงสาวอาจจะหมดความอดทนงอแงขอร้องให้เขาพากลับก่อนจะถึงจุดหมาย
กินง่าย อยู่ง่ายกว่าที่คิดแฮะ น่ารักจริงๆ ชายหนุ่มคิดไปยิ้มไปก่อนจะสะดุดกึกกับความคิดสุดท้ายจนเผลอจ้องหน้าคนในความคิดจนเธอจับได้
“มีอะไรคะ”
“เปล่าครับ เห็นว่าคุณดูอร่อยกับอาหารพื้นๆ ของที่นี่เลยรู้สึกประทับใจตามประสาเจ้าบ้านน่ะครับ”
“มินนี่ไม่ใช่คนเรื่องมากนะคะ ประเทศฉันกินอะไรกันแปลกกว่านี้อีก ไว้ลองไปเที่ยวสิคะฉันจะพาไปลองกินอาหารขึ้นชื่อของไทย” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถือว่าเป็นคำชวนนะครับ” ชายหนุ่มสบโอกาสรีบโมเมทันที
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มวางแก้วน้ำที่ดื่มจนหมดลงบนพื้นกระบะรถ ทั้งคู่คุยอะไรกันอีกสองสามประโยค ก่อนจะชวนกันไปดูวิวจากมุมสูงใต้ต้นไม้ริมผาฆ่าเวลาให้อาหารย่อยก่อนจะเดินทางต่อในเส้นทางวิบากอีกหลายสิบกิโลเมตร
ขณะที่ทั้งคู่ยืนชมความงามในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อยู่นั้นเจ้าลักกี้ที่กระโดดไปมาระหว่างกิ่งไม้ตรงหน้าก็ก้าวพลาด เกือบร่วงลงไปเบื้องล่างหากไม่ได้มือหนาคว้าเอาหางฟูฟ่องไว้ได้ทัน เสียงกรี๊ดของหญิงสาวเพียงคนเดียวหวีดขึ้นด้วยความตกใจขณะที่สองมือของเธอรวบเอาชายเสื้อหนาวชายหนุ่มไว้พอดีด้วยอาการใจหายใจคว่ำ
ชนมนตกใจจริงจัง เธอใจหายวาบเมื่อเห็นเขาทำท่าจะร่วงตามเจ้าลักกี้ มือเธอที่คว้าเอาชายเสื้อเขาไว้ยังคงสั่น ใบหน้าซีดเผือดมองหน้าชายหนุ่มอย่างตกใจ
ผิดกลับคนตัวโตที่หันมาเผล่ยิ้มทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ ทั้งที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายแท้ๆ
“คุณทำฉันตกใจนะคะคุณพอล” เธอรู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่น มือบางค่อยๆ ปล่อยชายเสื้อของชายหนุ่มให้เป็นอิสระเมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพรอดพ้นอันตรายแล้ว
สาเหตุที่คนตัวโตไม่ตื่นตกใจนั้นเพราะว่าเขารู้ดีว่าไม่มีทางที่ตัวเองจะตกลงไปด้านล่างที่ความสูงระดับเชิงเขาแน่ๆ เนื่องจากตรงจุดที่เขายืนนี้ด้านล่างเป็นเพียงทางลาดชันที่มีหญ้าหนารองรับและต่อให้ตกลงไปเขาก็สามารถปีนขึ้นมาได้สบายๆ โดยไม่มีส่วนไหนแตกหัก เพียงแต่ที่เขาต้องรีบคว้าเอาเจ้าตัวจุ้นไว้เมื่อครู่เพราะกลัวว่าหากมันตกลงไปแล้วจะตกใจเตลิดหนีหายเข้าไปในป่า ไม่ทันคิดว่าจะทำให้คนไม่รู้เรื่องอย่างชนมนต้องพลอยตกใจ
หากจะว่าเขานิสัยไม่ดีก็ไม่ผิดนัก เพราะในขณะที่รู้สึกผิดที่ทำให้หญิงสาวต้องมีสีหน้าเช่นนั้น ลึกๆ เขากลับดีใจที่เธอเป็นห่วง และมันไม่ใช่ห่วงธรรมดาแต่ดูจะเป็นห่วงมากด้วย ความรู้สึกเหมือนต้นกล้ากำลังผลิใบอยู่ในอกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“ผมขอโทษ ผมไม่คิดว่าจะทำให้คุณตกใจขนาดนี้” ชายหนุ่มบอกเสียงอ่อย มองแผ่นหลังบางที่ยืนหันหลังให้ตั้งแต่ปล่อยมือออกจากเสื้อของเขา “ผมขอโทษจริงๆ ครับ”
ชนมนก้มมองมือที่ยังคงสั่นกับใจจังหวะหัวใจเต้นถี่ เมื่อครู่เธอใจหายวาบเมื่อคิดว่าเขากำลังจะตกลงไปข้างล่าง จริงๆ มันก็ไม่แปลก เพราะเป็นใครเห็นคนกำลังตกหน้าผาไปต่อหน้าต่อตาก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น แต่ในชั่ววินาทีที่เธอคว้าเอาชายเสื้อเขาไว้มันมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น ความรู้สึกที่เธอไม่อยากจะขุดคุ้ยให้มันฟุ้งกระจาย ความรู้สึกที่เธอพอใจจะเก็บมันไว้ให้มิดชิด
“ไม่เป็นไรค่ะ มินนี่ขอตัวไปที่รถก่อนนะคะ” เธอบอกโดยไม่ยอมหันหลังกับมามองหน้าตัวต้นเหตุของเหตุการณ์หวาดเสียวเมื่อครู่
พอลถอนหายใจมองตามไหล่เล็กที่เดินห่างออกไป มือหนาที่ประคองกระรอกน้อยยกขึ้นมาวางตรงหน้า บ่นกับเจ้าตัวเล็กปอดแปด “เพราะแกแท้ๆ ดูสิ สาวงอนฉันแล้วเนี่ย” ปกติเจ้าลักกี้จะทำตัวฉลาดคล้ายเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่รอบนี้มันกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันซ้ายแลขวาทำตาแป๋วแล้วกระโดดลงจากมือเขาวิ่งจู๊ดไปที่รถ หางเป็นพุ่มผลุบหายเข้าไปในเบาะหน้า
“หน็อย ไอ้กระรอกเห็นแก่ตัว ชิงเอาตัวรอดแล้วทิ้งขว้างเจ้านายอย่างนี้เลยหรือ” เจ้าของที่ถูกทิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับลมกับต้นไม้
หลังจากมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะอารมณ์เย็นขึ้นพอลจึงกลับขึ้นรถแล้วออกเดินทาง สายตาคมเหลือบมองคนที่นั่งเงียบลูบหัวเจ้ากระรอกเห็นแก่ตัวอยู่เป็นพักๆ
ดูเหมือนพอหายตกใจแล้วเธอจะเปลี่ยนมาโกรธเขาแทน ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่หายโกรธ
แม้ว่าสายตาจะมองไปข้างหน้า มือจะลูบเนื้อตัวเจ้าลักกี้อยู่ แต่อารมณ์ขุ่นมัวในใจก็ยังคงไม่จางหายไปไหน หลังความตกใจมันกลายเป็นความโกรธ เธอโกรธที่เขาเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น โกรธที่เขาทำตัวประมาท
“โกรธผมหรือครับ”
ไม่ผิดจากที่คนถามคิด มีเพียงความเงียบแทนคำตอบ
นานกว่า 10 นาทีเขาถึงได้ยินเสียงหวานของคนนั่งข้างๆ ตอบกลับมา “ถ้าจะบอกว่าไม่โกรธก็คงโกหกค่ะ”
“ผมเข้าใจครับ ผมอาจจะคิดน้อยไปหน่อย ไม่ทันคิดว่าจะทำให้คุณเป็นห่วงมากขนาดนี้”
มือที่จับพวงมาลัยรถยังคงนิ่งในขณะที่ในใจลุ้นคำตอบจนอยากจะจิกเล็บลงบนพวงมาลัยตรงหน้า
ถ้าเกิดเธอตอกกลับมาว่าที่โกรธไม่ใช่เพราะห่วง เขาจะกลายเป็นพวกหลงตัวเองสุดกู่เลยสินะ
คนถูกจี้ใจดำเหมือนจะหายใจสะดุดในจังหวะหนึ่ง เธอเม้มปากลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดมันออกมา “ใครจะไม่ห่วงค่ะ คนทำท่าจะตกลงไปทั้งคน ไม่ใช่แค่คุณ เจ้าลักกี้มินนี่ก็ห่วงเหมือนกันค่ะ” น้ำเสียงที่ตอบกระแทกกระทั้นด้วยอารมณ์เคืองที่ยังหลงเหลืออยู่ประกอบกับรู้สึกขัดเขินแปลกเมื่อเขาเน้นคำว่า ห่วงมาก ไม่ใช่อะไรแค่จะบอกว่าเขาพูดถูก เธอห่วงเขามาก ไม่งั้นเธอคงไม่มือไม้สั่นใจหายวาบขนาดนี้
“ผมขอโทษคร้าบ ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเจ้าลักกี้จะซนจนเกิดเรื่องผมก็จะปล่อยมัน โอเคไหมครับ” คนมีความผิดหวังจะพูดคุยเพื่อลดความเครียดภายในห้องโดยสารลง
ได้ผลพูดจบปุ๊บตาโตๆ มองค้อนทันที หนำซ้ำยังยกเจ้าลักกี้มากอดแนบอกประคบประหงมอย่างหวงแหนเสียอีก ไม่รู้ว่าเพราะเริ่มอคติหรือว่าคิดไปเองเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของเจ้าขนปุกปุยสีน้ำตาลดูเยาะเย้ยสมน้ำหน้าเขาพิกล
ตกลงมันเป็นสัตว์เลี้ยงของใครกันแน่เนี่ย
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงหมูบ้ายโคมา หมู่บ้านที่เป็นแหล่งทอผ้าสำคัญของภูฏาน ขนาดราชวงศ์เองยังต้องมาเลือกใช้ผ้าจากที่นี่ เพราะงั้นไม่แปลกเลยที่คนในหมูบ้านจะมีอาชีพทอผ้ากันเสียส่วนใหญ่
“แล้วคืนนี้เราจะพักที่ไหนกันคะ” เธอเอ่ยปากถามเมื่อชายหนุ่มหยุดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าโรงแรมเลย
“บ้านหลังนี้แหละครับ ที่นี่ไม่มีโรงแรม มีแต่บ้านคน หากจะพักต้องขออาศัยเจ้าบ้านเขาเอา”
ชนมนอยากจะถามซ้ำอีกครั้งว่าจริงหรือ แต่ในเมื่อเธอได้ยินชัดเต็มสองรูหูขนาดนี้ก็เลยไม่รู้จะถามซ้ำให้ได้อะไรขึ้นมา
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นครับ ผมพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง ที่บ้านนี้ก็เป็นบ้านของคนที่ทอผ้าส่งให้วัง เขาก็พอจะคุ้นหน้าผมบ้าง ไปครับไปกันเถอะ มืดแล้วเข้าไปพักเอาแรงกันก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะให้คุณใช้เวลาที่โคมาทั้งวัน”
คนที่มีสิทธ์ได้แค่เดินตามอย่างเธอจะไปออกความเห็นอะไรได้ ก็ทำได้แค่หิ้วประเป๋าเป้เดินตามเขาต้อยๆ เท่านั้นแหละ
ชนมนรู้สึกเกรงใจมากที่ต้องมาขอแบ่งห้องนอนกับภรรยาเจ้าของบ้าน เมื่อไกด์จำเป็นของเธอบอกหล่อนว่าจะขอรบกวน 1 คืน ซึ่งบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มาก มีห้องนอนเพียง 1 ห้อง ห้องเก็บผ้าและห้องทออยู่ในห้องเดียวกันที่เหลือก็เป็นห้องครัวและห้องน้ำ ไม่ได้มีห้องรับแขกห้องนั่นนี่เหมือนบ้านของเธอ
ดวงตากลมโตมองไปเห็นกระรอกขนฟูนอนหมดฤทธิ์อยู่บนกระเป๋าเดินทางแล้วนึกขำ เธอไม่เคยเห็นกระรอกที่ไหนที่จะทรหดอดทนได้มากขนาดนี้ ทนทั้งการเดินทางทั้งอากาศหนาวเย็น พอละสายตาจากเจ้าลักกี้เธอก็มองสำรวจทั่วห้อง
แวบแรกหญิงสาวลองนึกเล่นๆ หากคนที่นี่ไปเห็นบ้านเมืองของเธอที่มีห้องหับมากมายจะไม่ตกใจกันแย่หรือ แล้วอยู่กันในบ้านหลังเล็กๆ พื้นที่แคบๆ อย่างนี้ไม่อึดอัดหรือ แต่ดูจากรอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาของเจ้าของบ้านนั้นบ่งบอกว่าพวกเขาพอใจและมีความสุขกับบ้านหลังเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรมากอย่างนี้
เธอลองคุยกับภรรยาเจ้าของบ้านหลังจากพวกเขาตกลงกันว่าจะให้เธอนอนที่ห้องนอนกับภรรยาเจ้าของบ้าน ส่วนสามีผู้เป็นเจ้าบ้านและไกด์จำเป็นของเธอจะเสียสละไปนอนที่ห้องทอ หญิงสาวสื่อสารกับภรรยาเจ้าของบ้านด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอเข้าใจและสามารถตอบโต้กับเธอได้ หญิงสาวจึงได้เอ่ยถามในข้อสงสัยที่ค้างคาใจมานาน เหตุใดคนที่นี่ถึงได้เก่งภาษาอังกฤษกันนัก เมื่อสอบถามไปก็ได้คำตอบกลับมาว่า
“ที่นี่เขาให้สอนให้เด็กรู้จักภาษาอังกฤษตั้งแต่เข้าโรงเรียน เด็กทุกคนจะพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่งค่ะ ตอนนี้คุณพาโรเองก็กำลังริเริ่มโครงการเปิดสอนภาษาอังกฤษในวันหยุด สอนให้ฟรีโดยเรียกคนตัวแทนหมู่บ้านไปเรียนก่อน แล้วให้นำมาถ่ายทอดคนในหมู่บ้านของตัวเองอีกครั้ง เขาเก่งมากเลยนะ เพราะเขารู้ว่าการจะมาตามสอนในแต่ละที่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยการคมนาคมและลักษณะภูมิประเทศของเรามันไม่ค่อยสะดวก นี่ลูกชายของฉันก็กำลังเข้ารับการเรียนอยู่ที่ทิมพูเหมือนกันค่ะ”
ได้ฟังอย่างนี้ไม่ให้เธอรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างไรไหว นี่สินะที่เขาเปรยๆ ว่าอยากกลับมาทำอะไรเพื่อแผ่นดินเกิดของตนเองเมื่อครั้งที่เธอเคยถามเขาตอนอยู่ญี่ปุ่นด้วยกันว่าเขาจะกลับไปทำอะไรที่บ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้นชนมนออกไปช่วยเก็บพริกและผักเพื่อมาช่วยประกอบอาหารเป็นค่าตอบแทนสำหรับที่พัก ส่วนพอลนั้นเธอเห็นเขาเดินตามเจ้าของที่พักอยู่แวบๆ
เจ้าบ้านหญิงพาหญิงสาวเข้าครัวปรุงอาหารเช้าสำหรับวันนี้ ซึ่งเมนูที่หล่อนนำมาสอนในวันนี้ก็คือ Ema Datsi ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติ มีส่วนประกอบสำคัญคือพริกและชีสสด หน้าตาของมันจะคล้ายๆ แกงกะทิสีน้ำซุปจะขาวขุ่นที่มาจากชีสสด
ชนมนที่พอจะทักษะในการทำอาหารอยู่บ้างช่วยเหลือคอยหยิบจับเป็นลูกมือให้แม่ครัวมืออาชีพได้ดีพอควร ขณะที่กำลังขมีขมันกับการทำ Ema Datsi อยู่นั้นเสียงทุ้มคุ้นหูก็เอ่ยทักพร้อมกับร่างหนาที่ปรากฏตัวขึ้นในครัว
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ อื้ม หอมเชียวฝีมือใครครับเนี่ย”
“ฝีมือมินนี่เองค่ะ แต่แค่ช่วยหั่นพริกนะคะ” หญิงสาวยิ้มเขินๆ
“ช่วยชิมดีไหมคะ” แม่ครัวบอก ขณะที่เอื้อมมือไปยกหม้อออกจากเตาถ่าน เธอใช้ทัพพีตกน้ำซุปขึ้นมาแล้วหยดมันลงกลางฝ่ามือขณะที่ร้อนๆ แล้วตวัดลิ้นชิมรสชาติ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ชนมนเองมองตามแทบไม่ทัน
ให้ตาย เกิดมายังไม่เคยเจอการชิมอาหารได้ประหลาดขนาดนี้มาก่อน หญิงสาวตาโตยังคงคาดไม่ถึงกับวิธีการชิมอาหารของคนที่นี่
“ชิมกันอย่างนี้เลยหรือคะ แล้วไม่ร้อนหรือ” แม่ครัวหัวเราะครึกครื้นก่อนจะบอกให้เธอลองเพื่อค้นหาคำตอบเอาเอง
คนถูกท้าทายมองควันร้อนๆ ที่ลอยกรุ่นอยู่รอบๆ ปากหม้อ แววตาสีเข้มดูลังเล กล้าๆ กลัวๆ แต่ก็อยากลอง เธอหันไปหาชายหนุ่มอีกคนคล้ายจะถามความเห็น เขาทำแค่ยิ้มแล้วยักไหล่ เธออดจะบุ้ยปากใส่เขาไม่ได้
ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“งั้นขอฉันชิมบ้างนะคะ” เอ่ยขอพร้อมยื่นฝ่ามือขาวออกไปรอ หยดน้ำซุกสีข่าวที่หล่นลงมาจากทัพพีมันไม่ร้อนอย่างที่คิดมันอุ่นๆ เธอรีบแตะฝ่ามือเข้ากับริมฝีปากดูดเอาน้ำซุปเข้าไปลิ้มรส รสชาติเผ็ดๆ มันๆ ออกเค็มนิดๆ แม้จะไม่ใช่รสชาติที่ถูกปากคนไทย แต่สำหรับเธอมันอร่อยใช้ได้ทีเดียว
ร่างสูงที่ยินดูอยู่ตลอดยิ้มเอ็นดูร่างบางที่คุยจ้อถึงรสชาติที่เพิ่งได้ชิม
“ท่าทางจะอร่อยนะครับ”
“อร่อยกว่าที่คิดค่ะ ตอนเห็นส่วนผสมในตอนแรกยังนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาเป็นยังไง” ชนมนหันไปเล่าให้ชายหนุ่มฟังด้วยสีหน้าตื่นเต้น เธอตกใจแทบผงะไม่คิดว่าเขาจะมายินซ้อนด้านหลังในระยะประชิดขนาดนี้
“ขอผมชิมได้บ้างได้ไหมครับ” รอยยิ้มพิสุทธิ์ที่สว่างยิ่งกว่าแสงแดดข้างนอกทำให้เธอเกือบต้องหรี่ตามอง เธอรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มไม่น่าไว้ว่างใจอย่างไรพิกล เธอเคยเห็นเขาใช้รอยยิ้มแบบนี้เมื่อครั้งไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกันก็ตอนที่เขาใช้ต่อราคาและขอของแถมจากร้านขายของฝากที่เมืองโอซาก้า
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอนุญาตชายหนุ่มถือวิสาสะคว้าข้อมือเล็กเข้ามาหาก่อนจะตวัดปลายลิ้นเข้าชิมน้ำซุปบนฝ่ามือของอีกฝ่ายหน้าตาเฉย “อื้ม อร่อยจริงๆ ด้วยครับ” ชายหนุ่มเอียงหน้ามาบอกก่อนจะปล่อยให้ข้อมือเล็กเป็นอิสระ ทิ้งความร้อนวูบวาบไว้บนฝ่ามือเล็ก แม่ครัวหญิงได้แต่มองทั้งคู่อย่างเอ็นดู
ดูเหมือนเขาจะไม่คิดว่าการทำแบบนั้นเป็นอันตรายต่อจิตใจของเธอเลย เขาทำเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งๆ ที่เธอไข้จะขึ้นอยู่แล้ว กลางฝ่ามือที่หยดน้ำซุปขาวลงไปที่เธอลองชิมรสชาติไปก่อนแล้ว เขากล้าดีอย่างไรมาทับรอยเธอแถมยังใช้มือเธอแทนที่จะใช้มือตัวเองอีกต่างหาก
นี่มันยืมมือคนอื่นชัดๆ บ้าที่สุด แล้วยังมีหน้ามายิ้มตาใสทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
[1] ธงมนต์ หรือWind horse มีทั้งหมด 5 สี ได้แก่น้ำเงิน เหลือง เขียว แดงและขาว หมายถึงธาตุทั้ง 5ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟและไม้ บนธงจะมีบทสวดต่างๆ และสัตว์ 5 ประเภทคือมังกร ครุฑ สิงโตภูเขา เสือและม้า โดยชาวภูฏานเชื่อว่าธงนี้จะขจัดสิ่งชั่วร้ายนำมาซึ่งโชคดี
+++++++ตอนนี้ต้นฉบับจบแล้วนะคะ กำลังอยู่ในช่วงรีไรท์ สู้ๆ พบกันมนงานหนังสือฯตุลานี้นะคะ ลาฌีนุสมีของพรีเมี่ยมให้นักอ่านที่ไปอุดหนุนผลงานนามปากกาลาฌีนุสด้วย จะเป็นอะไรติดตามได้ที่เพจเร็วๆ นี้ค่ะ +++++
หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องพักที่มีขนาดเล็กกว่าโรงแรมที่เธอพักเมื่อวานถึง 2 เท่าด้วยจิตใจที่กำลังว้าวุ่นสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เป็นอย่างนั้น
บรรยากาศเป็นใจหรือใจเธอที่ยอมที่เป็นไปตามบรรยากาศ...
ชนมนเธอกำลังกลืนน้ำลายตัวเองอยู่หรือเปล่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเริ่มจากตรงไหนกัน…
การเดินทางที่ไร้บุคคลที่สามในวันนี้ดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างง่ายกว่าคิดเอาไว้ ความอึดอัดหรือกลุ่มควันที่ซ่อนอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวานก็สลายไปจนเจ้าตัวเองยังแปลกใจ พอลยังคงทำหน้าที่ขับรถได้ดีตามที่รับปากเอาไว้ในตอนเช้า ซึ่งชนมนเองหลังจากเผชิญกับเส้นทางทรหดมาตั้งแต่เมื่อวานวันนี้ร่างกายเธอเหมือนจะคุ้นชินกับมันมากขึ้น จึงไม่มีอาการเมาหรือวิงเวียนศีรษะให้ได้เห็น ส่วนหนึ่งนอกจากยาที่เพิ่งกินกับร่างกายที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว คงเป็นเพราะสองข้างทางที่ขับรถผ่านเต็มไปด้วยสีสันของผ้าจำนวนมากมายที่ติดเอาไว้เป็นสายตลอดเส้นทาง ดูไปก็คล้ายกับธงสีๆ ในช่วงงานวัดของไทย
“ผ้าพวกนี้เขาติดไว้ทำอะไรคะ” หญิงสาวหันหน้ามาถามชายหนุ่ม ทว่าแก้มชนเข้ากับจมูกน้อยๆ ของเจ้าลักกี้ที่เกาะไหล่เธออยู่จนเธอต้องร้องอุ๊ย ก่อนจะหัวเราะร่วนแล้วใช้นิ้วดีดหน้าผากสีน้ำตาลเบามือ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คนขับรถสุดหล่อทันเห็นเขาพอดีถึงกับเม้มปากนึกฉุนเจ้ากระรอกน้อยจอมฉวยโอกาส อยากจะวางมือจากกระปุกเกียร์โบกหัวมันสักทีสองทีฐานทำอะไรเกินหน้าเกินตา แต่ที่ทำได้คือตอบข้อสงสัยของหญิงสาวเท่านั้น
“มันคือธงมนต์[1]หรือ Wind Horse หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันมีทั้งหมด 5 สีครับหมายถึงธาตุทั้ง 5 คนที่นี่จะผูกเอาไว้ในบริเวณใกล้ๆ สถานที่สำคัญทางศาสนา และนิยมผูกไว้บนยอดเขาสูงที่มีลมพัดแรง เราเชื่อกันว่าลมจะพัดเอาบทสวดบนผืนธงให้กระจายออกไปเพื่อเปลี่ยนสิ่งชั่วร้ายให้กลายเป็นความโชคดีครับ”
ผู้ฟังสาวพยักหน้าทำความเข้าใจก่อนจะหันไปชื่นชมความงามของธงหลากสีอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเราเข้าใกล้สถานที่สำคัญทางศาสนาหรือคะ”
“ครับ แต่เอาไว้ผมจะพาแวะตอนขากลับแล้วกันนะครับ ดูจะสะดวกกว่า” เมื่อคนขับเอ่ยออกมาอย่างนั้น ผู้โดยสารอย่างเธอจะอย่างอะไรได้อีก แม้ใจจริงอยากจะให้เขาพาแวะไปชมสักหน่อยก็เถอะ
พอลทำตามอย่างที่พูดเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เขาไม่แวะที่ไหนเลยนอกจาตั้งใจบึ่งรถให้ถึงที่หมายก่อนพลบค่ำ ระหว่างทางในช่วงเที่ยงเขาแค่แวะพักรถและจอดรถเพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ซื้อจากโรงแรมเมื่อเช้า
จุดพักรถของทั้งคู่ไม่ใช่ปั้มน้ำมันที่ไหน หากเป็นไหล่ทางขึ้นเขาที่พอจะมีพื้นที่ให้เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดใต้ร่มไม้ใหญ่โดยไม่เกะกะรถคันอื่นที่สัญจรไปมา และแน่นอนว่าโต๊ะอาหารของเขาและเธอคือท้ายกระบะท้ายที่ถูกยกลง
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชนมนผู้รักการท่องเที่ยวรู้สึกลำบากแม้แต้น้อย เธอสนุกและดูมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตกึ่งผจญภัยแบบนี้ จนคนที่เคยกังวลอย่างพอลเองก็คาดไม่ถึง แม้จะเคยร่วมทริปที่ญี่ปุ่นกับเธอมาแล้ว แต่ความลำบากของทริปนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับความสะดวกสบายในญี่ปุ่น เขายอมรับว่าหนักใจและหวั่นไม่น้อยว่าหญิงสาวอาจจะหมดความอดทนงอแงขอร้องให้เขาพากลับก่อนจะถึงจุดหมาย
กินง่าย อยู่ง่ายกว่าที่คิดแฮะ น่ารักจริงๆ ชายหนุ่มคิดไปยิ้มไปก่อนจะสะดุดกึกกับความคิดสุดท้ายจนเผลอจ้องหน้าคนในความคิดจนเธอจับได้
“มีอะไรคะ”
“เปล่าครับ เห็นว่าคุณดูอร่อยกับอาหารพื้นๆ ของที่นี่เลยรู้สึกประทับใจตามประสาเจ้าบ้านน่ะครับ”
“มินนี่ไม่ใช่คนเรื่องมากนะคะ ประเทศฉันกินอะไรกันแปลกกว่านี้อีก ไว้ลองไปเที่ยวสิคะฉันจะพาไปลองกินอาหารขึ้นชื่อของไทย” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถือว่าเป็นคำชวนนะครับ” ชายหนุ่มสบโอกาสรีบโมเมทันที
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มวางแก้วน้ำที่ดื่มจนหมดลงบนพื้นกระบะรถ ทั้งคู่คุยอะไรกันอีกสองสามประโยค ก่อนจะชวนกันไปดูวิวจากมุมสูงใต้ต้นไม้ริมผาฆ่าเวลาให้อาหารย่อยก่อนจะเดินทางต่อในเส้นทางวิบากอีกหลายสิบกิโลเมตร
ขณะที่ทั้งคู่ยืนชมความงามในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อยู่นั้นเจ้าลักกี้ที่กระโดดไปมาระหว่างกิ่งไม้ตรงหน้าก็ก้าวพลาด เกือบร่วงลงไปเบื้องล่างหากไม่ได้มือหนาคว้าเอาหางฟูฟ่องไว้ได้ทัน เสียงกรี๊ดของหญิงสาวเพียงคนเดียวหวีดขึ้นด้วยความตกใจขณะที่สองมือของเธอรวบเอาชายเสื้อหนาวชายหนุ่มไว้พอดีด้วยอาการใจหายใจคว่ำ
ชนมนตกใจจริงจัง เธอใจหายวาบเมื่อเห็นเขาทำท่าจะร่วงตามเจ้าลักกี้ มือเธอที่คว้าเอาชายเสื้อเขาไว้ยังคงสั่น ใบหน้าซีดเผือดมองหน้าชายหนุ่มอย่างตกใจ
ผิดกลับคนตัวโตที่หันมาเผล่ยิ้มทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ ทั้งที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายแท้ๆ
“คุณทำฉันตกใจนะคะคุณพอล” เธอรู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่น มือบางค่อยๆ ปล่อยชายเสื้อของชายหนุ่มให้เป็นอิสระเมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพรอดพ้นอันตรายแล้ว
สาเหตุที่คนตัวโตไม่ตื่นตกใจนั้นเพราะว่าเขารู้ดีว่าไม่มีทางที่ตัวเองจะตกลงไปด้านล่างที่ความสูงระดับเชิงเขาแน่ๆ เนื่องจากตรงจุดที่เขายืนนี้ด้านล่างเป็นเพียงทางลาดชันที่มีหญ้าหนารองรับและต่อให้ตกลงไปเขาก็สามารถปีนขึ้นมาได้สบายๆ โดยไม่มีส่วนไหนแตกหัก เพียงแต่ที่เขาต้องรีบคว้าเอาเจ้าตัวจุ้นไว้เมื่อครู่เพราะกลัวว่าหากมันตกลงไปแล้วจะตกใจเตลิดหนีหายเข้าไปในป่า ไม่ทันคิดว่าจะทำให้คนไม่รู้เรื่องอย่างชนมนต้องพลอยตกใจ
หากจะว่าเขานิสัยไม่ดีก็ไม่ผิดนัก เพราะในขณะที่รู้สึกผิดที่ทำให้หญิงสาวต้องมีสีหน้าเช่นนั้น ลึกๆ เขากลับดีใจที่เธอเป็นห่วง และมันไม่ใช่ห่วงธรรมดาแต่ดูจะเป็นห่วงมากด้วย ความรู้สึกเหมือนต้นกล้ากำลังผลิใบอยู่ในอกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“ผมขอโทษ ผมไม่คิดว่าจะทำให้คุณตกใจขนาดนี้” ชายหนุ่มบอกเสียงอ่อย มองแผ่นหลังบางที่ยืนหันหลังให้ตั้งแต่ปล่อยมือออกจากเสื้อของเขา “ผมขอโทษจริงๆ ครับ”
ชนมนก้มมองมือที่ยังคงสั่นกับใจจังหวะหัวใจเต้นถี่ เมื่อครู่เธอใจหายวาบเมื่อคิดว่าเขากำลังจะตกลงไปข้างล่าง จริงๆ มันก็ไม่แปลก เพราะเป็นใครเห็นคนกำลังตกหน้าผาไปต่อหน้าต่อตาก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น แต่ในชั่ววินาทีที่เธอคว้าเอาชายเสื้อเขาไว้มันมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น ความรู้สึกที่เธอไม่อยากจะขุดคุ้ยให้มันฟุ้งกระจาย ความรู้สึกที่เธอพอใจจะเก็บมันไว้ให้มิดชิด
“ไม่เป็นไรค่ะ มินนี่ขอตัวไปที่รถก่อนนะคะ” เธอบอกโดยไม่ยอมหันหลังกับมามองหน้าตัวต้นเหตุของเหตุการณ์หวาดเสียวเมื่อครู่
พอลถอนหายใจมองตามไหล่เล็กที่เดินห่างออกไป มือหนาที่ประคองกระรอกน้อยยกขึ้นมาวางตรงหน้า บ่นกับเจ้าตัวเล็กปอดแปด “เพราะแกแท้ๆ ดูสิ สาวงอนฉันแล้วเนี่ย” ปกติเจ้าลักกี้จะทำตัวฉลาดคล้ายเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่รอบนี้มันกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันซ้ายแลขวาทำตาแป๋วแล้วกระโดดลงจากมือเขาวิ่งจู๊ดไปที่รถ หางเป็นพุ่มผลุบหายเข้าไปในเบาะหน้า
“หน็อย ไอ้กระรอกเห็นแก่ตัว ชิงเอาตัวรอดแล้วทิ้งขว้างเจ้านายอย่างนี้เลยหรือ” เจ้าของที่ถูกทิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับลมกับต้นไม้
หลังจากมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะอารมณ์เย็นขึ้นพอลจึงกลับขึ้นรถแล้วออกเดินทาง สายตาคมเหลือบมองคนที่นั่งเงียบลูบหัวเจ้ากระรอกเห็นแก่ตัวอยู่เป็นพักๆ
ดูเหมือนพอหายตกใจแล้วเธอจะเปลี่ยนมาโกรธเขาแทน ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่หายโกรธ
แม้ว่าสายตาจะมองไปข้างหน้า มือจะลูบเนื้อตัวเจ้าลักกี้อยู่ แต่อารมณ์ขุ่นมัวในใจก็ยังคงไม่จางหายไปไหน หลังความตกใจมันกลายเป็นความโกรธ เธอโกรธที่เขาเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น โกรธที่เขาทำตัวประมาท
“โกรธผมหรือครับ”
ไม่ผิดจากที่คนถามคิด มีเพียงความเงียบแทนคำตอบ
นานกว่า 10 นาทีเขาถึงได้ยินเสียงหวานของคนนั่งข้างๆ ตอบกลับมา “ถ้าจะบอกว่าไม่โกรธก็คงโกหกค่ะ”
“ผมเข้าใจครับ ผมอาจจะคิดน้อยไปหน่อย ไม่ทันคิดว่าจะทำให้คุณเป็นห่วงมากขนาดนี้”
มือที่จับพวงมาลัยรถยังคงนิ่งในขณะที่ในใจลุ้นคำตอบจนอยากจะจิกเล็บลงบนพวงมาลัยตรงหน้า
ถ้าเกิดเธอตอกกลับมาว่าที่โกรธไม่ใช่เพราะห่วง เขาจะกลายเป็นพวกหลงตัวเองสุดกู่เลยสินะ
คนถูกจี้ใจดำเหมือนจะหายใจสะดุดในจังหวะหนึ่ง เธอเม้มปากลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดมันออกมา “ใครจะไม่ห่วงค่ะ คนทำท่าจะตกลงไปทั้งคน ไม่ใช่แค่คุณ เจ้าลักกี้มินนี่ก็ห่วงเหมือนกันค่ะ” น้ำเสียงที่ตอบกระแทกกระทั้นด้วยอารมณ์เคืองที่ยังหลงเหลืออยู่ประกอบกับรู้สึกขัดเขินแปลกเมื่อเขาเน้นคำว่า ห่วงมาก ไม่ใช่อะไรแค่จะบอกว่าเขาพูดถูก เธอห่วงเขามาก ไม่งั้นเธอคงไม่มือไม้สั่นใจหายวาบขนาดนี้
“ผมขอโทษคร้าบ ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเจ้าลักกี้จะซนจนเกิดเรื่องผมก็จะปล่อยมัน โอเคไหมครับ” คนมีความผิดหวังจะพูดคุยเพื่อลดความเครียดภายในห้องโดยสารลง
ได้ผลพูดจบปุ๊บตาโตๆ มองค้อนทันที หนำซ้ำยังยกเจ้าลักกี้มากอดแนบอกประคบประหงมอย่างหวงแหนเสียอีก ไม่รู้ว่าเพราะเริ่มอคติหรือว่าคิดไปเองเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของเจ้าขนปุกปุยสีน้ำตาลดูเยาะเย้ยสมน้ำหน้าเขาพิกล
ตกลงมันเป็นสัตว์เลี้ยงของใครกันแน่เนี่ย
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงหมูบ้ายโคมา หมู่บ้านที่เป็นแหล่งทอผ้าสำคัญของภูฏาน ขนาดราชวงศ์เองยังต้องมาเลือกใช้ผ้าจากที่นี่ เพราะงั้นไม่แปลกเลยที่คนในหมูบ้านจะมีอาชีพทอผ้ากันเสียส่วนใหญ่
“แล้วคืนนี้เราจะพักที่ไหนกันคะ” เธอเอ่ยปากถามเมื่อชายหนุ่มหยุดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าโรงแรมเลย
“บ้านหลังนี้แหละครับ ที่นี่ไม่มีโรงแรม มีแต่บ้านคน หากจะพักต้องขออาศัยเจ้าบ้านเขาเอา”
ชนมนอยากจะถามซ้ำอีกครั้งว่าจริงหรือ แต่ในเมื่อเธอได้ยินชัดเต็มสองรูหูขนาดนี้ก็เลยไม่รู้จะถามซ้ำให้ได้อะไรขึ้นมา
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นครับ ผมพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง ที่บ้านนี้ก็เป็นบ้านของคนที่ทอผ้าส่งให้วัง เขาก็พอจะคุ้นหน้าผมบ้าง ไปครับไปกันเถอะ มืดแล้วเข้าไปพักเอาแรงกันก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะให้คุณใช้เวลาที่โคมาทั้งวัน”
คนที่มีสิทธ์ได้แค่เดินตามอย่างเธอจะไปออกความเห็นอะไรได้ ก็ทำได้แค่หิ้วประเป๋าเป้เดินตามเขาต้อยๆ เท่านั้นแหละ
ชนมนรู้สึกเกรงใจมากที่ต้องมาขอแบ่งห้องนอนกับภรรยาเจ้าของบ้าน เมื่อไกด์จำเป็นของเธอบอกหล่อนว่าจะขอรบกวน 1 คืน ซึ่งบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มาก มีห้องนอนเพียง 1 ห้อง ห้องเก็บผ้าและห้องทออยู่ในห้องเดียวกันที่เหลือก็เป็นห้องครัวและห้องน้ำ ไม่ได้มีห้องรับแขกห้องนั่นนี่เหมือนบ้านของเธอ
ดวงตากลมโตมองไปเห็นกระรอกขนฟูนอนหมดฤทธิ์อยู่บนกระเป๋าเดินทางแล้วนึกขำ เธอไม่เคยเห็นกระรอกที่ไหนที่จะทรหดอดทนได้มากขนาดนี้ ทนทั้งการเดินทางทั้งอากาศหนาวเย็น พอละสายตาจากเจ้าลักกี้เธอก็มองสำรวจทั่วห้อง
แวบแรกหญิงสาวลองนึกเล่นๆ หากคนที่นี่ไปเห็นบ้านเมืองของเธอที่มีห้องหับมากมายจะไม่ตกใจกันแย่หรือ แล้วอยู่กันในบ้านหลังเล็กๆ พื้นที่แคบๆ อย่างนี้ไม่อึดอัดหรือ แต่ดูจากรอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาของเจ้าของบ้านนั้นบ่งบอกว่าพวกเขาพอใจและมีความสุขกับบ้านหลังเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรมากอย่างนี้
เธอลองคุยกับภรรยาเจ้าของบ้านหลังจากพวกเขาตกลงกันว่าจะให้เธอนอนที่ห้องนอนกับภรรยาเจ้าของบ้าน ส่วนสามีผู้เป็นเจ้าบ้านและไกด์จำเป็นของเธอจะเสียสละไปนอนที่ห้องทอ หญิงสาวสื่อสารกับภรรยาเจ้าของบ้านด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอเข้าใจและสามารถตอบโต้กับเธอได้ หญิงสาวจึงได้เอ่ยถามในข้อสงสัยที่ค้างคาใจมานาน เหตุใดคนที่นี่ถึงได้เก่งภาษาอังกฤษกันนัก เมื่อสอบถามไปก็ได้คำตอบกลับมาว่า
“ที่นี่เขาให้สอนให้เด็กรู้จักภาษาอังกฤษตั้งแต่เข้าโรงเรียน เด็กทุกคนจะพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่งค่ะ ตอนนี้คุณพาโรเองก็กำลังริเริ่มโครงการเปิดสอนภาษาอังกฤษในวันหยุด สอนให้ฟรีโดยเรียกคนตัวแทนหมู่บ้านไปเรียนก่อน แล้วให้นำมาถ่ายทอดคนในหมู่บ้านของตัวเองอีกครั้ง เขาเก่งมากเลยนะ เพราะเขารู้ว่าการจะมาตามสอนในแต่ละที่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยการคมนาคมและลักษณะภูมิประเทศของเรามันไม่ค่อยสะดวก นี่ลูกชายของฉันก็กำลังเข้ารับการเรียนอยู่ที่ทิมพูเหมือนกันค่ะ”
ได้ฟังอย่างนี้ไม่ให้เธอรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างไรไหว นี่สินะที่เขาเปรยๆ ว่าอยากกลับมาทำอะไรเพื่อแผ่นดินเกิดของตนเองเมื่อครั้งที่เธอเคยถามเขาตอนอยู่ญี่ปุ่นด้วยกันว่าเขาจะกลับไปทำอะไรที่บ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้นชนมนออกไปช่วยเก็บพริกและผักเพื่อมาช่วยประกอบอาหารเป็นค่าตอบแทนสำหรับที่พัก ส่วนพอลนั้นเธอเห็นเขาเดินตามเจ้าของที่พักอยู่แวบๆ
เจ้าบ้านหญิงพาหญิงสาวเข้าครัวปรุงอาหารเช้าสำหรับวันนี้ ซึ่งเมนูที่หล่อนนำมาสอนในวันนี้ก็คือ Ema Datsi ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติ มีส่วนประกอบสำคัญคือพริกและชีสสด หน้าตาของมันจะคล้ายๆ แกงกะทิสีน้ำซุปจะขาวขุ่นที่มาจากชีสสด
ชนมนที่พอจะทักษะในการทำอาหารอยู่บ้างช่วยเหลือคอยหยิบจับเป็นลูกมือให้แม่ครัวมืออาชีพได้ดีพอควร ขณะที่กำลังขมีขมันกับการทำ Ema Datsi อยู่นั้นเสียงทุ้มคุ้นหูก็เอ่ยทักพร้อมกับร่างหนาที่ปรากฏตัวขึ้นในครัว
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ อื้ม หอมเชียวฝีมือใครครับเนี่ย”
“ฝีมือมินนี่เองค่ะ แต่แค่ช่วยหั่นพริกนะคะ” หญิงสาวยิ้มเขินๆ
“ช่วยชิมดีไหมคะ” แม่ครัวบอก ขณะที่เอื้อมมือไปยกหม้อออกจากเตาถ่าน เธอใช้ทัพพีตกน้ำซุปขึ้นมาแล้วหยดมันลงกลางฝ่ามือขณะที่ร้อนๆ แล้วตวัดลิ้นชิมรสชาติ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ชนมนเองมองตามแทบไม่ทัน
ให้ตาย เกิดมายังไม่เคยเจอการชิมอาหารได้ประหลาดขนาดนี้มาก่อน หญิงสาวตาโตยังคงคาดไม่ถึงกับวิธีการชิมอาหารของคนที่นี่
“ชิมกันอย่างนี้เลยหรือคะ แล้วไม่ร้อนหรือ” แม่ครัวหัวเราะครึกครื้นก่อนจะบอกให้เธอลองเพื่อค้นหาคำตอบเอาเอง
คนถูกท้าทายมองควันร้อนๆ ที่ลอยกรุ่นอยู่รอบๆ ปากหม้อ แววตาสีเข้มดูลังเล กล้าๆ กลัวๆ แต่ก็อยากลอง เธอหันไปหาชายหนุ่มอีกคนคล้ายจะถามความเห็น เขาทำแค่ยิ้มแล้วยักไหล่ เธออดจะบุ้ยปากใส่เขาไม่ได้
ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“งั้นขอฉันชิมบ้างนะคะ” เอ่ยขอพร้อมยื่นฝ่ามือขาวออกไปรอ หยดน้ำซุกสีข่าวที่หล่นลงมาจากทัพพีมันไม่ร้อนอย่างที่คิดมันอุ่นๆ เธอรีบแตะฝ่ามือเข้ากับริมฝีปากดูดเอาน้ำซุปเข้าไปลิ้มรส รสชาติเผ็ดๆ มันๆ ออกเค็มนิดๆ แม้จะไม่ใช่รสชาติที่ถูกปากคนไทย แต่สำหรับเธอมันอร่อยใช้ได้ทีเดียว
ร่างสูงที่ยินดูอยู่ตลอดยิ้มเอ็นดูร่างบางที่คุยจ้อถึงรสชาติที่เพิ่งได้ชิม
“ท่าทางจะอร่อยนะครับ”
“อร่อยกว่าที่คิดค่ะ ตอนเห็นส่วนผสมในตอนแรกยังนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาเป็นยังไง” ชนมนหันไปเล่าให้ชายหนุ่มฟังด้วยสีหน้าตื่นเต้น เธอตกใจแทบผงะไม่คิดว่าเขาจะมายินซ้อนด้านหลังในระยะประชิดขนาดนี้
“ขอผมชิมได้บ้างได้ไหมครับ” รอยยิ้มพิสุทธิ์ที่สว่างยิ่งกว่าแสงแดดข้างนอกทำให้เธอเกือบต้องหรี่ตามอง เธอรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มไม่น่าไว้ว่างใจอย่างไรพิกล เธอเคยเห็นเขาใช้รอยยิ้มแบบนี้เมื่อครั้งไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกันก็ตอนที่เขาใช้ต่อราคาและขอของแถมจากร้านขายของฝากที่เมืองโอซาก้า
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอนุญาตชายหนุ่มถือวิสาสะคว้าข้อมือเล็กเข้ามาหาก่อนจะตวัดปลายลิ้นเข้าชิมน้ำซุปบนฝ่ามือของอีกฝ่ายหน้าตาเฉย “อื้ม อร่อยจริงๆ ด้วยครับ” ชายหนุ่มเอียงหน้ามาบอกก่อนจะปล่อยให้ข้อมือเล็กเป็นอิสระ ทิ้งความร้อนวูบวาบไว้บนฝ่ามือเล็ก แม่ครัวหญิงได้แต่มองทั้งคู่อย่างเอ็นดู
ดูเหมือนเขาจะไม่คิดว่าการทำแบบนั้นเป็นอันตรายต่อจิตใจของเธอเลย เขาทำเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งๆ ที่เธอไข้จะขึ้นอยู่แล้ว กลางฝ่ามือที่หยดน้ำซุปขาวลงไปที่เธอลองชิมรสชาติไปก่อนแล้ว เขากล้าดีอย่างไรมาทับรอยเธอแถมยังใช้มือเธอแทนที่จะใช้มือตัวเองอีกต่างหาก
นี่มันยืมมือคนอื่นชัดๆ บ้าที่สุด แล้วยังมีหน้ามายิ้มตาใสทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
[1] ธงมนต์ หรือWind horse มีทั้งหมด 5 สี ได้แก่น้ำเงิน เหลือง เขียว แดงและขาว หมายถึงธาตุทั้ง 5ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟและไม้ บนธงจะมีบทสวดต่างๆ และสัตว์ 5 ประเภทคือมังกร ครุฑ สิงโตภูเขา เสือและม้า โดยชาวภูฏานเชื่อว่าธงนี้จะขจัดสิ่งชั่วร้ายนำมาซึ่งโชคดี
+++++++ตอนนี้ต้นฉบับจบแล้วนะคะ กำลังอยู่ในช่วงรีไรท์ สู้ๆ พบกันมนงานหนังสือฯตุลานี้นะคะ ลาฌีนุสมีของพรีเมี่ยมให้นักอ่านที่ไปอุดหนุนผลงานนามปากกาลาฌีนุสด้วย จะเป็นอะไรติดตามได้ที่เพจเร็วๆ นี้ค่ะ +++++

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2556, 14:30:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2556, 14:30:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 1601
<< บทที่ 8 เราสองสามคนกับกระรอก 1 ตัว | บทที่ 10 เริ่มต้นเดินเครื่องเต็มกำลัง >> |

pkka 21 ก.ย. 2556, 18:57:37 น.
กะจะไปลองชิมงี้บ้างง อิอิ
กะจะไปลองชิมงี้บ้างง อิอิ

ลาฌีนุส 21 ก.ย. 2556, 19:52:33 น.
ต้องหาคนไปด้วยก่อนนะคะ อิอิ
ต้องหาคนไปด้วยก่อนนะคะ อิอิ