ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 1

“กรี๊ดดด!!! พี่ศิวาของฉันเห็นกี่ครั้งหล่อลากกระชากใจ หล่อไม่ปรึกษาใครจริงๆ เลย”

“ใช่ คนอะไรก็ไม่รู้ ตาทั้งคมทั้งหวาน ถ้าได้สบตามีหวังฉันละลายแน่ๆ เลยเธอ”

“ถ้าได้เจอตัวเป็นๆ ฉันจะกระโดดกอดแล้วหอมแก้มพี่ศิวาสักฟอด”

“แต่สำหรับฉันถ้าได้เป็นแฟนเดินควงแขนพี่ศิวาสักวัน ฉันคงตายตาหลับแล้วล่ะเธอ”

เสียงของเด็กสาววัยรุ่นกลุ่มใหญ่ซึ่งกำลังนั่งรับประทานขนมเค้กและเครื่องดื่ม อยู่ภายในร้านเบเกอรี่ขนาดกะทัดรัด ซึ่งจัดตกแต่งร้านแบบเรียบง่าย สบายตาและน่านั่ง ด้วยโต๊ะไม้ทรงกลมและเก้าอี้ไม้เข้าชุดกัน จากนั้นคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีหวานลายน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม แล้ววางแจกันทรงสูงขนาดเล็กใส่ดอกกุหลาบหนึ่งดอกตั้งเอาไว้ตรงกลางโต๊ะช่วยสร้างบรรยากาศหวานๆ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งรสชาติของขนมก็อร่อย จึงทำให้ร้านเบเกอรี่แห่งนี้กลายเป็นที่นิยมของเด็กวัยรุ่นในย่านนี้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วหลังจากที่เปิดร้านมาได้เพียงปีเศษๆ พากันร้องกรี๊ดกร๊าดเสียงดัง เมื่อเห็นรายงานข่าวบันเทิงสัมภาษณ์ดาราหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งจากโทรทัศน์ที่ทางร้านเปิดเอาไว้ให้ลูกค้าดู

“เฮ้อ! เด็กวัยรุ่นสมัยนี้พูดจาถึงผู้ชายได้แก่แดดแก่ลมจริงๆ เล้ย”

เสียงบ่นพึมพำเบาๆ ของหญิงสาวใหญ่วัยสามสิบปลายๆ ซึ่งกำลังยืนจัดเค้กเรียงใส่ถาดอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ ทำให้หญิงสาวร่างระหงในชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปลายสก็อตสีชมพูอ่อนสลับขาวพับแขนขึ้นเหนือข้อศอกกับกางเกงยีนส์ขายาวสีเข้มแล้วคาดทับด้วยผ้ากันเปื้อน ซึ่งมีใบหน้าเรียวรูปไข่สวยคมไร้เครื่องสำอาง ไว้ผมซอยสั้นอย่างน่ารักซึ่งยืนอยู่คู่กันถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างขบขันก่อนจะพูดว่า

“ก็เด็กพวกนั้นเค้ากำลังกรี๊ดหนุ่มหล่อดาราขวัญใจของพวกเค้ากันอยู่นี่คะพี่พราว”

“พี่ก็เข้าใจอยู่หรอกนะคะคุณตอง ว่าคุณศิวาคนนี้หล่อมาก แล้วก็กำลังดังมาก แต่แหม...ไอ้เราก็สงสัยจะแก่แล้ว พอฟังเด็กสาวๆ สมัยนี้พูดถึงผู้ชายแบบนี้มันก็อดจะบ่นไม่ได้ ถ้าเป็นลูกเป็นหลานพี่ได้โดนหยิกเนื้อเขียวกันบ้างล่ะค่ะ”

พราวตายังคงบ่นพึมพำต่อไป ในขณะที่คนฟังอย่างกานต์พิชชายังคงอมยิ้มอย่างขบขัน เธอเข้าใจอุปนิสัยใจคอของหญิงสาวรุ่นพี่อย่างพราวตาดี เพราะทำงานด้วยกันมาปีเศษๆ แล้ว พราวตาเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ ถ้าหากว่าไปเป็นครูรับรองว่าเด็กนักเรียนของหญิงสาวรุ่นพี่ต้องเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ทุกคนเป็นแน่

แต่ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็เข้าใจเด็กสาววัยรุ่นกลุ่มนั้นดี เพราะว่าขณะนี้ผู้หญิงทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าจะสาวน้อย หรือสาวใหญ่ต่างก็กำลังหลงใหล คลั่งไคล้ ดาราหนุ่มหล่อที่ชื่อว่า “ศิวา ศิโรรัตน์” กันแทบทั้งนั้น เนื่องจากเขาเป็นดาราและนายแบบดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรงอยู่ในขณะนี้ด้วยวัยเพียงยี่สิบห้าปี เพราะว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลาขาวใส คิ้วเข้ม ดวงตาหวานคมซึ้ง จมูกโด่งเป็นสัน อีกทั้งรูปร่างสูงเด่นสะดุดตา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเข้าไปนั่งอยู่ภายในใจของสาวน้อยสาวใหญ่เกือบทั้งประเทศอย่างง่ายดาย

กานต์พิชชาเคยเห็นรูปของดาราหนุ่มคนนี้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และในละครโทรทัศน์ที่เขาแสดงบ้าง ซึ่งหญิงสาวก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลาสะดุดตามากจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านั้น เพราะกานต์พิชชาไม่เคยคลั่งไคล้ดารามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

สิ่งที่กานต์พิชชาสนใจและใฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมก็คือ เธออยากจะมีร้านเบเกอรี่เล็กๆ เป็นของตัวเอง ดังนั้นเมื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยหญิงสาวจึงเลือกเรียนคณะคหกรรมศาสตร์ และเน้นเรียนเฉพาะทางเกี่ยวกับการทำขนมเค้ก รวมทั้งขนมเบเกอรี่ทุกชนิด

เมื่อเรียนจบเธอก็ไปสมัครทำงานอยู่ในร้านเบเกอรี่ชื่อดังภายในโรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อเป็นการฝึกฝนตัวเองจนชำนาญ และพยายามเก็บหอมรอมริบเพื่อจะนำเงินมาเปิดร้านเบเกอรี่เป็นของตัวเองให้ได้

หลังจากทำงานเก็บเงินได้ประมาณปีเศษๆ กานต์พิชชาก็ตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วนำโฉนดที่ดินของบ้านอันเป็นที่อยู่อาศัยของเธอ ซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ยายมอบให้เธอก่อนท่านจะเสียชีวิต ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารเอามาลงทุนเปิดร้าน “Sweet Coffee & Bakery” แห่งนี้ขึ้นมา

ความจริงตอนแรกคุณปรัชญาบิดาของเธอก็จะให้เงินช่วยเหลือกานต์พิชชาในการเปิดร้านเบเกอรี่แห่งนี้ด้วยเหมือนกัน แต่หญิงสาวไม่รับ เพราะเกรงใจที่บิดายังต้องรับผิดชอบส่งเสียน้องชายหญิงของเธออีกสองคน ซึ่งเกิดจากคุณนวลนภาภรรยาใหม่ของท่านที่ยังเล็กอยู่ ในขณะที่ท่านส่งเสียเธอจนเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีงานทำแล้ว

กานต์พิชชาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับมารดาเลี้ยงเพราะคุณนวลนภาเป็นคนดี และมีน้ำใจกับเธอเสมอมา หญิงสาวรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่บิดาแต่งงานใหม่และมีคนมาช่วยดูแลท่าน แทนมารดาของเธอซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชนตั้งแต่ตอนที่กานต์พิชชายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมสาม หลังจากที่บิดาของเธอเศร้าเสียใจกับการจากไปของคุณกานดามารดาของเธอมาเนิ่นนานหลายปีท่านจึงได้พบกับคุณนวลนภาและตัดสินใจแต่งงานใหม่ เมื่อเห็นว่ากานต์พิชชาสามารถเข้ากับคุณนวลนภาได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรกัน

ความจริงตอนที่แต่งงานใหม่กับคุณนวลนภา ทั้งบิดาของเธอและมารดาเลี้ยงต่างก็ชวนให้กานต์พิชชาไปอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังใหม่ แต่หญิงสาวปฏิเสธเพราะอยากจะอยู่ดูแลยายซึ่งแก่มากแล้ว โดยหญิงสาวจะแวะไปเยี่ยมเยียนบิดา มารดาเลี้ยง และน้องๆ ทุกอาทิตย์เป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งน้องๆ ทั้งสองคนก็รักเธอมากเหมือนกัน

หลังจากที่ยายของเธอเสียชีวิตลงเมื่อสองปีก่อนทั้งบิดา มารดาเลี้ยง และน้องๆ ต่างก็ชวนให้กานต์พิชชาไปอยู่ด้วยกันเพราะความเป็นห่วงไม่อยากให้เธออาศัยอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวภายในบ้าน แต่หญิงสาวก็ยืนยันว่าบ้านของยายไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กจนโต อีกทั้งเพื่อนบ้านทุกคนก็เป็นคนเก่าแก่ที่รู้จักกันดีทั้งนั้น แล้วจากบ้านยายมาที่ทำงานของเธอก็เดินทางใกล้และสะดวกกว่าเดินทางมาจากบ้านของบิดาซึ่งอยู่ชานเมืองมาก เมื่อเห็นกานต์พิชชายืนยันหนักแน่นอย่างนี้ บิดาของเธอจึงต้องยินยอมให้หญิงสาวอาศัยอยู่ในบ้านของยายตามใจเธอต่อไป

กานต์พิชชาเป็นคนใช้ชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ประหยัดและสบายๆ อยู่แล้ว หลังจากกู้เงินธนาคารมาลงทุนเปิดร้านได้ไม่นานเธอก็สามารถเก็บเงินผ่อนชำระหนี้ธนาคารไปได้กว่าครึ่ง ซึ่งไม่เกินสิ้นปีหน้าหญิงสาวคิดว่าเธอน่าจะสามารถใช้หนี้ธนาคารได้หมด แล้วร้านนี้ก็จะกลายเป็นของเธออย่างเต็มภาคภูมิเสียที

“ก็เพราะว่าพี่พราวดุแบบนี้สิคะ ถึงได้ไม่มีหนุ่มคนไหนกล้าเข้ามาจีบซะที”

เสียงของหญิงสาววัยเดียวกับกานต์พิชชาที่เพิ่งจะเก็บจานขนมและแก้วเครื่องดื่มเดินเข้ามาทางด้านหลังเคาเตอร์ เพื่อจะผ่านเข้าไปทางหลังร้านพูดยิ้มๆ ก่อนที่หญิงสาวอีกคนซึ่งเพิ่งจะรับออเดอร์มาส่งให้กานต์พิชชาจะเสริมขึ้นอีกคน

“นั่นสิคะ อย่าดุมากนะคะพี่พราว เดี๋ยวหน้าแก่เร็วนะ จริงไหมคะคุณตอง?” ท้ายประโยคคนพูดหันมาขอความเห็นจากกานต์พิชชาด้วย แต่หญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบอะไร พราวตาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ พลางมองค้อนสองสาว

“ไม่ต้องมารุมพี่เลยยัยมน ยัยปราง พี่เห็นนะว่าเราสองคนก็ไปยืนกรี๊ดอยู่หน้าจอทีวีกับเด็กพวกนั้นด้วย”

“ก็คุณศิวาเค้าหล่อละลายใจจริงๆ นี่คะพี่พราว ใครจะไปห้ามใจไหว ไม่เชื่อถามคุณตองดูสิคะ ใช่ไหมคะคุณตอง?” ปรางทิพย์ยังคงพูดแหย่พราวตา ในระหว่างที่รอกานต์พิชชาจัดขนมเค้กและเครื่องดื่มใส่ถาดให้ตามออเดอร์อยู่ กานต์พิชชาเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบว่า

“ตองก็คิดว่าเค้าหน้าตาหล่อดีนะปราง แต่ตองไม่ค่อยสนใจดาราเท่าไหร่หรอกจ้ะ แค่เราไม่ตกข่าว รู้ว่าเค้าเป็นดาราที่หล่อแล้วก็กำลังดังมากตอนนี้ก็พอแล้วล่ะ”

“นั่นไง คุณตองไม่บ้าดาราเหมือนพวกเธอสองคนหรอกย่ะ” พราวตาพูดขึ้นทันทีเมื่อกานต์พิชชาพูดจบ

“แหม...พี่พราวก็ว่าซะมนกับปรางเสียคนเลยนะคะเนี่ย” มนตราซึ่งเพิ่งจะเดินกลับออกมาจากทางด้านหลังร้านพูดขึ้นยิ้มๆ

“จริงด้วย แรงค่ะแรง” ปรางทิพย์สนับสนุนคำพูดของเพื่อน เลยโดนพราวตาค้อนวงใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากไล่ให้สองสาวรีบไปทำงานต่อ ในขณะที่กานต์พิชชายืนหัวเราะเบาๆ อย่างขบขันเมื่อฟังการโต้เถียงของทั้งสามคนอันเป็นกิจวัตรประจำวันของพนักงานในร้านแห่งนี้ซึ่งอยู่ด้วยกันเหมือนพี่เหมือนน้อง

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นในตอนเกือบสี่ทุ่ม ทำให้กานต์พิชชาซึ่งกำลังนั่งทำบัญชีรายรับรายจ่ายของร้านอยู่ต้องวางมือจากงานตรงหน้า แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่หน้าจอว่าใครโทร.มาหาเธอ ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วกดรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอคือเบอร์ของ ปราณปรียา เพื่อนรักของเธอนั่นเอง

“ยัยก้านตอง!!!” เสียงคนทางปลายสายร้องเรียกชื่อเล่นของกานต์พิชชามาเต็มยศด้วยเสียงอันดัง ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้งก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับไปว่า

“อู๊ย!!! อะไรของเธอเนี่ยยัยปุยฝ้าย ตะโกนเรียกชื่อฉันซะเต็มยศ แถมยังเสียงดังจนหูฉันแทบแตกเลยนะเนี่ย”

“เออๆ ฉันขอโทษที พอดีฉันกำลังตกใจอยู่” ปราณปรียาพูดมาจากปลายสาย กานต์พิชชาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนจะถามเพื่อนรัก

“เธอตกใจอะไรเหรอฝ้าย?”

“ก็เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะดูดวงให้เธอเสร็จน่ะสิ”

พอเพื่อนรักตอบกลับมา กานต์พิชชาก็หัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขันทันทีเมื่อรู้สาเหตุ ปราณปรียาเป็นเพื่อนรักกับเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้ดีว่าครอบครัวของเพื่อนรักเชี่ยวชาญเรื่องโหราศาสตร์ทุกแขนง รวมทั้งมีความสามารถพิเศษที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งก็คือสัมผัสที่หกทำให้สามารถมองเห็นสิ่งเร้นลับต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็นได้ ตามที่เพื่อนรักของเธอบอกมานะ

อีกทั้งคุณปานดาว มารดาของปราณปรียาก็เป็นนักพยากรณ์ชื่อดัง ซึ่งมีผู้คนรู้จัก เชื่อถือ และศรัทธามาก จนมีการตั้ง “ตำหนักปานดาวพยากรณ์” ซึ่งเป็นทั้งสถาบันสอนเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์โดยเฉพาะ และรับพยากรณ์ ทำนาย ทายทัก ดวงชะตาให้ผู้คนด้วย

และในเมื่อปราณปรียามาจากครอบครัวซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านโหราศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เพื่อนรักของเธอจะทำหน้าที่เป็นแม่หมอคอยดูดวงชะตาให้เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น และเป็นแม่หมอประจำตัวกานต์พิชชา คอยดูดวงให้เธอโดยที่หญิงสาวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าขณะนี้ปราณปรียาจะเป็นเจ้าของกิจการขายเสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อหนึ่งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เพื่อนรักของเธอก็ไม่เคยลืมที่จะตรวจดูดวงชะตาให้เธอเป็นประจำทุกเดือน

“เธอดูดวงให้ฉันเพิ่งเสร็จ แล้วดวงฉันมีอะไรทำไมเธอถึงได้ตกใจขนาดนั้น ฉันจะถูกหวยรวยเบอร์รึเปล่าฝ้าย?” กานต์พิชชาถามเพื่อนรักกลับไปด้วยน้ำเสียงขบขัน เธอไม่ได้คิดจะลบหลู่เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์หรอกนะ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดจะเชื่อจนเก็บเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังมากมายเหมือนกัน

“ยัยขี้ตืดก้านตอง อย่างเธอน่ะไม่ยอมเสียเงินซื้อหวยหรือล็อตเตอรี่หรอกย่ะฉันรู้ดี แล้วเธอจะไปถูกหวยรวยเบอร์ได้ยังไง แล้วถ้าดวงเธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็คงจะไม่ตกใจแบบนี้หรอก” ปราณปรียาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ กานต์พิชชาหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะถามไปว่า

“แล้วตกลงดวงฉันมันดีหรือไม่ดีล่ะจ๊ะแม่หมอปุยฝ้าย เธอก็พยากรณ์มาสิ ฉันกำลังรอฟังอยู่”

“เดือนนี้เธอจะมีอายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ ซึ่งก็หมายถึงการย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส กิจการงานของเธอจะเจริญรุ่งเรือง เธอจะได้พบความรักแบบคาดไม่ถึง...”

“อืม...ก็ฟังดูดีนะ แล้วอะไรทำให้เธอตกใจเหรอฝ้าย?” กานต์พิชชาถาม

“แต่...ความรักของเธอจะต้องเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ ความเป็นความตาย และสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ ถ้าเธอสามารถผ่านพ้นเรื่องราวพวกนี้ไปได้ ชีวิตรักของเธอก็จะมีแต่ความสุข...” ปราณปรียาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดกว่าเดิม

“เอ...ทำไมคราวนี้ดวงของฉันมันฟังดูแปลกๆ พิลึกแบบนี้ล่ะฝ้าย?” กานต์พิชชาถามเพื่อนรักพลางเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เพราะตั้งแต่ปราณปรียาเคยดูดวงให้เธอมาหลายครั้งหลายหน เพื่อนรักของเธอไม่เคยทำนายอะไรแปลกประหลาดเหมือนครั้งนี้มาก่อนเลย

“ฉันก็ดูตามวัน เดือน ปีเกิด แล้วก็เวลาตกฟากของเธอเหมือนทุกทีนะ แต่ว่าปีนี้เธอย่างเข้าเบญจเพสด้วย แล้วดวงเธอก็ออกมาแบบนี้อีก ฉันไม่สบายใจเลยนะตอง ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ เอาอย่างนี้ดีมั้ย วันมะรืนนี้วันเกิดเธอ ฉันจะพาเธอไปถวายสังฆทาน ทำบุญเก้าวัด ให้พระท่านสวดสะเดาะเคราะห์แล้วก็รดน้ำมนต์ให้เธอ แล้วเราก็ไปทำบุญโรงศพที่มูลนิธิป่อเต๊กตึ้งเป็นการแก้เคล็ดกันต่อ เธอว่าดีมั้ยตอง?”

ปราณปรียาพูดมายาวเหยียด ในขณะที่กานต์พิชชากำลังอึ้งกับโปรแกรมเดินสายทำบุญเก้าวัดภายในวันเดียวของเพื่อนรัก ซึ่งคงต้องรีบเร่งกันน่าดู ตามปกติในวันเกิดของเธอ หญิงสาวก็จะทำบุญวันเกิดด้วยการถวายภัตตาหารเพลและสังฆทานเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว แต่ปีนี้ถ้าหากปราณปรียาจะพาเธอเดินสายทำบุญเก้าวัดเห็นทีว่ากานต์พิชชาคงต้องงดการถวายภัตตาหารเพลเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาทั้งวันก็คงจะไม่พออย่างแน่นอน

ในที่สุดหญิงสาวก็ตอบตกลงจะไปเดินสายทำบุญกับปราณปรียา เพราะไม่อยากให้เสียความตั้งใจของเพื่อนรักที่เป็นห่วงเป็นใย พลางคิดอยู่ในใจว่าเดี๋ยวพอถึงวันนั้นเธอก็คงจะได้รู้เอง ว่าปราณปรียาจะสามารถพาเธอเดินสายทำบุญครบเก้าวัดได้ครบตามโปรแกรมที่เจ้าตัววางเอาไว้หรือเปล่า

ปราณปรียาจึงนัดกับกานต์พิชชาว่าพรุ่งนี้จะแวะมารับเธอที่ร้านเบเกอรี่ เพื่อไปหาซื้อข้าวของเตรียมเอาไว้สำหรับถวายสังฆทานก่อนจะวางสายไป ในขณะที่กานต์พิชชานั่งทำบัญชีรายรับรายจ่ายของร้านจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงรีบเข้านอน

ในตอนเช้าวันเกิดของกานต์พิชชา ปราณปรียาขับรถมารับหญิงสาวถึงบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า จากนั้นทั้งสองสาวก็ไปตระเวนทำบุญทีละวัดตามที่ปราณปรียาได้จัดโปรแกรมเอาไว้

“จะให้หลวงตาสวดสะเดาะเคราะห์ให้ด้วยหรือโยม?” พระภิกษุชราถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา เมื่อรับสังฆทานที่กานต์พิชชาถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ค่ะหลวงตา พอดีว่าปีนี้เพื่อนหนูเค้าย่างเข้าเบญจเพส ดวงของเค้ามีเกณฑ์ต้องเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุด้วย วันนี้หนูก็เลยพาเค้ามาทำบุญสะเดาะเคราะห์เก้าวัด ที่นี่เป็นวัดที่เก้าพอดีค่ะหลวงตา หลวงตาช่วยสวดสะเดาะเคราะห์ให้เพื่อนหนูหน่อยนะคะ” ปราณปรียาตอบคำถามของพระภิกษุชรา

ในขณะที่กานต์พิชชานั่งฟังเพื่อนรักอยู่เงียบๆ หญิงสาวต้องยอมรับว่าวันนี้ปราณปรียาเก่งมากที่สามารถพาเธอเดินสายทำบุญได้จนครบเก้าวัดก่อนบ่ายสามโมงเย็นจริงๆ ตามที่อีกฝ่ายวางโปรแกรมเอาไว้

พระภิกษุชราอธิบายให้ทั้งสองสาวว่าการทำบุญหรือการสวดสะเดาะเคราะห์อาจจะช่วยผ่อนเคราะห์หนักให้เป็นเบาได้ หรืออาจจะช่วยให้คนทำรู้สึกสบายใจขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนเราได้ ดวงชะตาของมนุษย์ทุกคนถูกกำหนดมาแล้วตามผลบุญและผลกรรมที่เคยกระทำมาตั้งแต่อดีตชาติ เคราะห์กรรมทั้งหลายจะไม่สามารถทำอะไรเราได้ ถ้าหากว่าเราหมั่นทำบุญ สร้างกุศล และกระทำแต่ความดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กุศลและความดีที่ทำก็จะช่วยปกป้องคุ้มครองตัวเราเองให้ปราศจากทุกข์ภัยทั้งปวง
หลังจากนั้นท่านจึงสวดสะเดาะเคราะห์ให้กับกานต์พิชชา เมื่อเสร็จพิธีสวดสะเดาะเคราะห์แล้ว ปราณปรียาก็ขับรถพากานต์พิชชาไปทำบุญโลงศพที่มูลนิธิป่อเต๊กตึ๊งจึงเป็นอันครบตามโปรแกรมที่วางเอาไว้

ประมาณห้าโมงเย็นปราณปรียาก็ขับรถมาส่งกานต์พิชชาที่บ้านบิดาของหญิงสาว เนื่องจากวันนี้คุณปรัชญาบิดาของเธอและคุณนวลนภาผู้เป็นมารดาเลี้ยงจัดงานปาร์ตี้วันเกิดเล็กๆ ให้กานต์พิชชาด้วย

“เธอไม่เปลี่ยนใจอยู่ฉลองงานวันเกิดกับฉันจริงๆ เหรอฝ้าย?” กานต์พิชชาถามเพื่อนรักอีกครั้ง ปราณปรียาส่ายหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงแสนเสียดาย

“ขอโทษจริงๆ นะตอง ที่ฉันอยู่ฉลองวันเกิดกับเธอไม่ได้ พอดีว่าวันนี้แม่ฉันถูกเชิญไปออกรายการสดทางทีวีตอนหนึ่งทุ่ม ฉันต้องขับรถไปส่งแล้วก็รอรับแม่กลับด้วย”

“อืม...ไม่เป็นไร ถ้างั้นเธอก็รีบไปรับแม่เธอเถอะ เดี๋ยวท่านจะรอนาน” กานต์พิชชาบอกเพื่อนรัก พลางทำท่าจะผลักประตูรถก้าวลงไป หากแต่ปราณปรียาเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิตอง เธอต้องรับของขวัญจากฉันไปด้วย แฮปปี้เบิร์ธเดย์จ้าเพื่อนรัก” ปราณปรียาพูดพลางส่งกล่องของขวัญขนาดใหญ่พอควรให้กานต์พิชชา หญิงสาวยื่นมือไปรับกล่องของขวัญมาจากเพื่อนรัก พลางพูดว่า

“ขอบใจมากนะฝ้าย”

“จ้า...เอาล่ะเธอเข้าไปฉลองปาร์ตี้วันเกิดของเธอได้แล้ว ฝากสวัสดีพ่อเธอกับน้านวลด้วยนะ แล้วก็ฝากจุ๊บเด็กๆ ด้วย ส่วนฉันต้องรีบไปแล้วล่ะ เดี๋ยวแม่หมอปานดาวจะรอนาน” ปราณปรียาพูดยิ้มๆ

“แล้วเจอกันนะฝ้าย บายจ้า” กานต์พิชชาผลักประตูรถก้าวลงไป แล้วหันมาบอกลาพลางโบกมือให้ปราณปรียา ก่อนจะปิดประตุรถให้อีกฝ่าย แล้วยืนรอจนรถของเพื่อนรักเคลื่อนออกไป หลังจากนั้นหญิงสาวจึงเปิดประตูรั้วบานเล็กก้าวเข้าไปภายในบ้านของบิดา แล้วกานต์พิชชาก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ สองเสียงของน้องชายหญิงต่างมารดาร้องประสานเสียงแข่งกันเรียกชื่อเธอด้วยความตื่นเต้น

เช้าวันต่อมากานต์พิชชาตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเธอเดินทางกลับจากบ้านบิดามาถึงบ้านของตัวเองค่อนข้างดึกพอควร ดังนั้นวันนี้หญิงสาวเลยต้องเร่งรีบมากเป็นพิเศษทั้งอาบน้ำและแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋าสะพายใบใหม่สีครีมเก๋ไก๋แบรนด์เนมดังซึ่งได้รับเป็นของขวัญวันเกิดจากปราณปรียาเมื่อวานมาคล้องไหล่แล้วหันไปหยิบกุญแจรถคู่ชีพมาถือเอาไว้ในมือ จากนั้นร่างบางระหงก็รีบวิ่งออกไปจากบ้านทันที

“ทำไมรถมันถึงได้ติดนักนะวันนี้” กานต์พิชชาบ่นพึมพำอยู่คนเดียวภายในรถคู่ชีพคันเล็กของเธอเป็นรอบที่สาม เมื่อต้องติดสัญญาณไฟแดงอยู่บริเวณนี้นานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว พร้อมๆ กับที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น หญิงสาวรีบกดรับสายทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์จากที่ร้าน

“ค่ะพี่พราว ที่ร้านมีอะไรด่วนรึเปล่าคะ ตองยังติดอยู่แถว...อีกประมาณสักครึ่งชั่วโมงตองน่าจะถึงร้านแล้วล่ะค่ะ ถ้าหลุดไฟแดงนี้ไปได้นะคะ อุ๊ย! เท่านี้ก่อนนะคะพี่พราวสัญญาณไฟเขียวแล้วค่ะ” หญิงสาวพูดจบก็กดวางสายแล้วรีบเข้าเกียร์เตรียมออกรถทันที แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ออกรถ รถของกานต์พิชชาก็ถูกชนกระแทกอย่างแรงจากทางด้านหลัง ก่อนที่รถของเธอจะพุ่งไปชนท้ายรถคันหน้าเต็มแรงเช่นกัน

โครมมมมม!!!

“อู๊ย!!!” กานต์พิชชาร้องครางออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกเจ็บที่ต้นคอด้านหลัง ซึ่งสะบัดอย่างแรงจากการที่รถถูกชนเมื่อครู่ แล้วหญิงสาวก็นึกที่ใจที่เธอไม่เคยลืมคาดเซฟตี้เบลทุกครั้งที่ขับรถ ไม่อย่างนั้นมีหวังใบหน้าของเธอคงทิ่มไปข้างหน้ากระแทกกับกระจกหน้ารถ ส่วนหน้าอกก็คงจะกระแทกกับพวงมาลัยรถจนต้องเจ็บตัวมากกว่านี้อย่างแน่นอน

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเปิดประตูรถก้าวลงไปเพื่อพูดคุยกับคู่กรณีและเจ้าหน้าที่ตำรวจ พลางบอกตัวเองอยู่ภายในใจว่า เธอคงต้องเสียเวลาอีกเป็นชั่วโมงทีเดียวกว่าจะได้เดินทางไปที่ร้าน

กว่ากานต์พิชชาจะให้ปากคำกับตำรวจเสร็จเรียบร้อย และรอเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันภัยมาถึงก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมงทำให้เธอเดินทางไปถึงร้านเกือบสิบเอ็ดโมง เมื่อหญิงสาวผลักประตูร้านก้าวเข้าไปพราวตา ปรางทิพย์ และมนตราก็ประสานเสียงกันถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทันทีว่ากานต์พิชชาเป็นยังไงบ้าง ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า พร้อมทั้งพากันเข้ามาสำรวจตามเนื้อตัวของเธอเป็นการใหญ่

“ตองไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ก็แค่เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงนะคะ แต่ว่าน้องฟ้าของตองสิคะกันชนทั้งหน้าหลังยุบหมดเลย” ท้ายประโยคกานต์พิชชาบ่นถึงรถยนต์คู่ชีพแสนรักของเธอ ซึ่งเป็นรถยนต์มือสองที่บิดาช่วยออกเงินดาวน์ให้เธอ ส่วนค่างวดที่เหลือหญิงสาวเป็นคนผ่อนส่งเองทุกเดือน กานต์พิชชาเรียกมันว่า “น้องฟ้า” เนื่องจากมันเป็นรถยนต์สีฟ้านั่นเอง

“คุณตองไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะค่ะ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ยังไงรถก็ซ่อมได้นะคะ” พราวตาพูดขึ้น ก่อนที่ปรางทิพย์จะเสริมขึ้นว่า

“นี่สงสัยคงเป็นเพราะบุญกุศลที่คุณตองไปทำมาเมื่อวานนะคะ ถึงได้ช่วยให้คุณตองปลอดภัย ไม่เป็นอะไรมาก” คำพูดของปรางทิพย์ทำให้คำทำนายของปราณปรียาดังก้องขึ้นมาในความทรงจำของกานต์พิชชาทันที

“เดือนนี้เธอจะมีอายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ ซึ่งก็หมายถึงการย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส กิจการงานของเธอจะเจริญรุ่งเรือง เธอจะได้พบความรักแบบคาดไม่ถึง...”

“แต่...ความรักของเธอจะต้องเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ ความเป็นความตาย และสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ ถ้าเธอสามารถผ่านพ้นเรื่องราวพวกนี้ไปได้ ชีวิตรักของเธอก็จะมีแต่ความสุข...”

“คงไม่ใช่หรอกน่า...” หญิงสาวพึมพำบอกตัวเองเบาๆ พลางส่ายหน้า เพราะเธอไม่อยากจะปักใจเชื่อคำทำนายมาก จนทำให้ตัวเองต้องเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเอ่ยขอตัวกับทุกคนเข้าไปทางด้านหลังร้านเพื่อลงมือทำขนมเค้ก



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2556, 22:29:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2556, 22:40:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1067





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
พิชญ์ณปภา 27 ธ.ค. 2556, 21:36:42 น.
ชื่อเรื่องเพราะยัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account