ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 2

เมื่อกานต์พิชชาโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนสายเกิดอุบัติเหตุรถถูกชน ปราณปรียาก็ร้องอุทานเสียงสูงดังลั่นร้านตัวเองด้วยความตกใจทันที ทำให้พนักงานสาวคนหนึ่งของร้านรีบวิ่งเข้ามาถามปราณปรียาด้วยความตกใจและเป็นห่วง

“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณฝ้ายเป็นอะไรเหรอคะ?”

ปราณปรียาจึงบอกให้กานต์พิชชารอสายครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบพนักงานของตัวเองว่า

“ฝ้ายไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณพิม ขอโทษที่ฝ้ายร้องเสียงดังเลยทำให้ทุกคนพลอยตกใจไปด้วย คุณพิมไปทำงานเถอะค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงฝ้ายนะคะ”

พิมพิไลพยักหน้าพลางรับคำเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกไปต้อนรับลูกค้าต่อ เมื่อลับร่างพนักงานสาวปราณปรียาจึงหันกลับมาพูดสายถามไถ่กานต์พิชชาต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่าเพื่อนรักได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า แล้วก็ต้องถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอกเมื่อกานต์พิชชาตอบกลับมาว่า

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกฝ้าย แค่เคล็ดขัดยอกตามตัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่น้องฟ้าของฉันต่างหากที่อาการหนัก ต้องเข้าอู่เป็นอาทิตย์ เพราะว่ากันชนยุบทั้งข้างหน้าข้างหลังเลย” กานต์พิชชาตอบกลับมา

“เธอไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ส่วนยัยน้องฟ้า ถ้าหากซ่อมไม่คุ้ม เธอก็ถอยรถคันใหม่เลยก็สิ้นเรื่อง”

คำพูดของปราณปรียาทำให้กานต์พิชชาซึ่งอยู่ทางปลายสายหัวเราะเบาๆ พลางพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงขบขัน

“โห! พูดง่ายนะยัยฝ้าย ให้ฉันถอยรถคันใหม่เนี่ยนะ ฉันไม่ใช่เจ้าของร้านขายเสื้อผ้ากับกระเป๋าแบรนด์เนม แถมยังเป็นลูกสาวนักพยากรณ์ชื่อดังเหมือนเธอนี่ จะได้มีตังค์ไปถอยรถใหม่เป็นว่าเล่น”

“เออๆ เรื่องรถคันใหม่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันเป็นห่วงเธอมากกว่า เพราะว่าดวงของเธอมันชักจะเริ่มตรงตามคำทำนายของฉันแล้วนะตอง สงสัยว่าฉันคงต้องเอาดวงเธอไปให้แม่ฉันดูให้ละเอียดอีกทีแล้วล่ะมั้ง เฮ้อ! แต่ช่วงนี้แม่ก็งานชุกเหลือเกิน ทั้งดารา ทั้งนักการเมือง แห่มาจองคิวดูดวงกันเพียบเลย แล้วยังรายการโทรทัศน์ที่โทร.มาขอคิวไปออกรายการอีก” ปราณปรียาบ่นยืดยาวด้วยน้ำเสียงขัดใจ จนกานต์พิชชาที่อยู่ทางปลายสายถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ อีกครั้ง แล้วบอกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“ไม่ต้องไปรบกวนแม่เธอหรอกฝ้าย แล้วเธอก็อย่าเครียดกับเรื่องดวงของฉันมากเลยจ้า ถ้าตอนนี้ดวงของฉันเริ่มตรงตามคำทำนายของเธอจริงๆ เธอก็น่าจะสบายใจได้แล้วนะ เพราะว่าวันนี้ฉันเจอกับอุบัติเหตุมาแล้ว ซึ่งมันก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของฉันโดยตรงเลยนะ แล้วฉันก็ไม่เป็นอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อวานเธอพาฉันไปทำบุญ สะเดาะเคราะห์มาแล้วก็ได้ ที่นี้ต่อไปก็จะเหลือแต่เรื่องดีๆ แล้วนะ ทั้งเรื่องความรัก แล้วก็เรื่องกิจการของฉันที่กำลังจะเจริญรุ่งเรืองไง”

“แล้วเรื่องที่เธอต้องพบเจอกับสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติล่ะยัยตอง?” ปราณปรียาถามกลับไป ด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ ที่กานต์พิชชาช่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเอาเสียเลย แล้วก็ได้ยินเสียงเพื่อนรักหัวเราะอีกรอบ ก่อนจะตอบติดตลกกลับมาว่า

“สงสัยฉันจะถูกผีหลอกมั้งฝ้าย”

แต่ปราณปรียาไม่ได้รู้สึกตลกไปกับคำพูดของกานต์พิชชาเลยสักนิด หญิงสาวเตือนให้เพื่อนรักระมัดระวังตัวด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะความห่วงใย ซึ่งกานต์พิชชาก็รับคำอย่างแข็งขันก่อนจะขอตัววางสายเพื่อจะออกไปช่วยขายของที่หน้าร้าน ในขณะที่ปราณปรียายังคงนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องดวงชะตาของเพื่อนรักอย่างเป็นกังวล พลางบอกตัวเองอยู่ในใจว่าเธอคงต้องเอาดวงของกานต์พิชชาไปให้มารดาช่วยดูให้อีกคนเสียแล้ว

เวลาสองทุ่มตรงหลังจากที่กานต์พิชชากับสามสาวช่วยกันปิดร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนต่างก็เตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน พราวตาถามว่าเธอจะกลับบ้านยังไง หญิงสาวจึงบอกอีกฝ่ายว่าเธอจะกลับรถประจำทางเพราะประหยัด ปลอดภัย และเพื่อนเยอะดี หลังจากนั้นทั้งสี่สาวก็แยกย้ายกันไปคนล่ะทาง เพื่อไปรอรถประจำทางสำหรับเดินทางกลับบ้านตัวเอง

“อุ๊ย! ฉันเหรอ ตอนนี้ฉันก็กำลังนั่งรอรถเมล์อยู่กับพี่ศิวาไงเธอ ต๊าย! ฉันไม่ได้โกหกซะหน่อย เธอไม่เชื่อก็มาดูสิยะ รูปพี่ศิวาเต็มตัวยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์เนี่ย หล่อลากกระชากใจสุดๆ เลยล่ะ ฮะๆๆ”

เสียงเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งรอรถประจำทางอยู่ข้างๆ คุยโทรศัพท์กับเพื่อน ทำเอากานต์พิชชาถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะหันกลับไปดูป้ายโฆษณาโทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่ทางด้านหลังของตัวเอง ซึ่งมี ศิวา ศิโรรัตน์ ดาราหนุ่มรูปหล่อ ชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ แล้วส่ายหน้ายิ้มๆ พลางพึมพำพูดกับชายหนุ่มในภาพเบาๆ

“คุณนี่ดังจริงๆ เลยนะ ไปที่ไหนก็เจอ”

แล้วหญิงสาวก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะเมื่อรถประจำทางปรับอากาศสายที่เธอรออยู่แล่นเข้ามาจอด กานต์พิชชาก็เห็นโปสเตอร์โฆษณาขนมขบเคี้ยวยี่ห้อหนึ่งติดเต็มคันรถ และพรีเซ็นเตอร์ก็คือ ศิวา ศิโรรัตน์ นั่นเอง พรุ่งนี้เธอจะบอกมนตรากับปรางทิพย์ว่าวันนี้ได้กลับบ้านกับศิวา ศิโรรัตน์ ด้วย ทั้งสองสาวจะต้องกรี๊ดสลบอย่างแน่นอน หญิงสาวคิดอยู่ในใจพลางอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างนึกสนุกเมื่อก้าวขึ้นไปนั่งอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว

กานต์พิชชายกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้น ซึ่งเข็มนาฬิกาชี้บอกว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มอยู่แล้ว คิ้วโก่งเรียวสวยของหญิงสาวขมวดมุ่นด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าปกติแล้วเวลาอย่างนี้ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถติดมากนัก กานต์พิชชารู้ดีเนื่องจากขับรถกลับบ้านในเวลานี้เป็นประจำอยู่ทุกวัน แต่วันนี้เป็นเรื่องแปลกมากที่รถติดหนักชนิดไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลานานเกือบยี่สิบนาทีแล้ว

เสียงผู้คนบนรถประจำทางเริ่มพูดคุยถามไถ่กันอื้ออึงว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า พลางพยายามพากันมองผ่านหน้าต่างรถฝ่าความมืดออกไปด้านนอก กานต์พิชชาเองก็กำลังนึกสงสัยอยู่ว่าน่าจะมีอุบัติเหตุข้างหน้ารถถึงได้ติดไม่ขยับเขยื้อนนานขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ป้ายหน้าซึ่งอยู่อีกไม่ไกลก็จะเป็นป้ายที่เธอจะลงอยู่แล้ว

“ข้างหน้ามีอุบัติเหตุค่ะท่าทางรถคงจะติดอีกนาน เพราะเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยยังช่วยคนเจ็บออกมาจากรถไม่ได้เลย ผู้โดยสารที่จะลงป้ายหน้าจะลงตรงนี้เลยก็ได้นะคะ”

พนักงานซึ่งทำหน้าที่เก็บค่าโดยสารบอกเมื่อเดินกลับขึ้นมาบนรถ หลังจากที่ลงไปดูเหตุการณ์ข้างล่างมา ซึ่งก็เป็นผลให้ผู้โดยสารจำนวนหนึ่งรวมทั้งกานต์พิชชาที่จะลงป้ายหน้า พากันขยับลุกขึ้นจากที่นั่งทันที เพราะว่าคงไม่มีใครอยากจะนั่งแช่อยู่บนรถทั้งๆ ที่อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงป้ายที่ตัวเองจะลงอยู่แล้วอย่างแน่นอน

เมื่อเดินตามผู้โดยสารคนอื่นๆ ลงมาจากรถได้สักประมาณหนึ่งร้อยเมตร กานต์พิชชาก็มองเห็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุซึ่งอยู่ตรงเกาะกลางของถนน ซึ่งขณะนี้มีผู้คนจำนวนมาก ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย รวมทั้งแพทย์ พยาบาล และบรรดาไทยมุงกำลังยืนรุมล้อมรถเก๋งสปอร์ตนำเข้าราคาแพงจากยุโรปสีควันบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งชนอัดก๊อปปี้อยู่กับเสาไฟฟ้าบนเกาะกลางถนน ในสภาพด้านหน้ายุบพังยับเยิน จนแทบไม่น่าเชื่อว่ามันคือรถราคาแพงเป็นล้าน

พอเห็นสภาพของรถแล้ว กานต์พิชชาก็ได้แต่สวดภาวนาอยู่ภายในใจ ขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยปกป้องคุ้มครองคนในรถให้ปลอดภัยอย่าได้เป็นอันตรายถึงชีวิตเลย พลางนึกดีใจและโล่งใจที่เมื่อเช้าเธอไม่ได้เจอกับอุบัติเหตุรุนแรงแบบนี้ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะละสายตาจากภาพอุบัติเหตุเพื่อหันมามองข้างหน้า แต่แล้วกานต์พิชชาก็ถึงกับผงะ พลางอุทานออกมาเบาๆ อย่างตกใจ และรีบกล่าวคำขอโทษทันที เมื่อเธอเกือบจะเดินชนเข้ากับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ พอดีฉันมัวแต่มอง...เอ๊ะ! คุณ...” กานต์พิชชาชะงักค้างคำพูดที่เหลือเอาไว้แค่นั้นพลางเบิกตากว้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าของผู้ชายที่เธอเกือบจะเดินชนเขาอย่างถนัดชัดเจน

เขามีใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวใส คิ้วเข้ม ดวงตาคมหวาน จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางได้รูปสวย ภายในกรอบผมสีน้ำตาลเข้มที่ซอยสไลด์ยาวระต้นคออย่างเก๋ไก๋ ที่สำคัญก็คือเขาก็เป็นผู้ชายคนเดียวกับที่อยู่ในป้ายโฆษณาที่ป้ายรถประจำทาง รวมทั้งในป้ายโฆษณาที่ติดอยู่บนรถประจำทางที่เธอเพิ่งจะเดินลงมาด้วย และกานต์พิชชาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเห็นเขายืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเธอในระยะเผาขนแบบนี้ ในที่สุดหญิงสาวก็อุทานชื่อของผู้ชายตรงหน้าออกมาเบาๆ ว่า

“คุณคือ ศิวา ศิโรรัตน์”

“คุณพูดกับผมเหรอครับ?” เสียงดาราหนุ่มรูปหล่อถามกานต์พิชชาด้วยน้ำเสียงและทีท่าตื่นเต้นยินดี ทำเอาหญิงสาวถึงกับขมวดคิ้วมุ่นกับคำถามแสนประหลาดของเขาทันที แต่เธอก็พยักหน้าพลางตอบ

“ค่ะ ฉันพูดกับคุณ ก็เมื่อกี้ฉันกำลังจะเดินชนคุณนี่คะ”

“ผมยืนอยู่ตรงนี้สักพักแล้ว เพิ่งจะมีคุณเป็นคนแรกที่คุยกับผม นอกนั้นไม่มีใครสนใจผมเลยสักคน ผมพูดกับใครก็ไม่มีใครพูดด้วย น่าแปลกมากเลย หรือว่าเพราะมืดแล้วเลยไม่มีใครจำผมได้” คำพูดของชายหนุ่มทำให้กานต์พิชชาต้องขมวดคิ้วมุ่นหนักเข้าไปอีกบวกกับความงุนงงยกกำลังสอง

“คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย อย่างคุณนี่นะจะไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครพูดด้วย แล้วยิ่งเรื่องมืดแล้วไม่มีคนจำคุณได้ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ดาราดังอย่างคุณขนาดฉันยังจำคุณได้เลย แล้วทำไมคนอื่นจะจำคุณไม่ได้”

“จริงๆ นะคุณ ไม่มีใครสนใจผมเลย แล้วก็ไม่มีใครคุยกับผมด้วย” ศิวายืนยันหนักแน่น

กานต์พิชชามองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าเขากำลังเล่นตลกอะไรอยู่ แล้วตอนนี้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็กำลังมองเธอด้วยสายแปลกๆ คงเพราะเห็นว่าเธอกำลังยืนคุยอยู่กับเขาอย่างแน่นอน แล้วเขายังจะมาบอกกับเธอว่าไม่มีใครสนใจเขาได้ยังไงกัน

หญิงสาวเริ่มคิดว่าเธออาจจะกำลังโดนดาราหนุ่มรูปหล่อตรงหน้าอำ เพราะอาจจะมีกล้องของรายการโทรทัศน์สักรายการกำลังแอบบันทึกภาพเปิ่นๆ ของเธออยู่ก็ได้ เพื่อดูว่ากานต์พิชชาจะเซอร์ไพร์สมากขนาดไหนที่ได้เจอกับดาราดังอย่าง ศิวา ศิโรรัตน์ โดยไม่คาดฝันแบบนี้ แล้วสักพักก็คงจะมีการเฉลยแบบที่เธอเคยเห็นในรายการโทรทัศน์อย่างแน่นอน ดังนั้นหญิงสาวจึงยกมือขึ้นกอดอกพลางบอกกับชายหนุ่มตรงหน้าว่า

“นี่คุณดาราดัง ไม่ว่าตอนนี้คุณจะกำลังอยู่ในรายการวาไรตี้โชว์ หรือ เรียลลิตี้โชว์ อะไรที่กำลังทำเซอร์ไพร์สฉันอยู่ก็ตาม แต่ขอโทษด้วยฉันไม่อยากออกทีวีหรอกนะคะ คุณไปเซอร์ไพร์สคนอื่นเถอะ ฉันขอตัวค่ะ สวัสดี” พูดจบร่างระหงก็ก้าวยาวๆ เดินผละจากชายหนุ่มมาทันที โดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของเขาที่พยายามร้องเรียกเธอเอาไว้

กานต์พิชชาใช้เวลาเดินจากถนนใหญ่แล้วเลี้ยวเข้าซอยจนเดินมาถึงหน้าบ้านตัวเองประมาณสิบห้านาที หญิงสาวเปิดกระเป๋าสะพายพลางก้มหน้าก้มตาควานหาพวงกุญแจบ้านในกระเป๋าจนกระทั่งเจอ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างสูงของ ศิวา ศิโรรัตน์ ยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือของตัวเอง

“เฮ้! นี่คุณเดินตามฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย แล้วตามมาทำไม ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากออกทีวี คุณไปหาคนอื่นเถอะ” กานต์พิชชาพูดอย่างฉุนๆ อีกทั้งนึกประหลาดใจที่เขาเดินตามเธอมาจนกระทั่งถึงบ้านได้ยังไง โดยที่กานต์พิชชาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด และไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าของเขาเลยด้วยซ้ำ นี่ถ้าเขาเป็นโจรสงสัยเธอคงถูกจี้ปล้น แล้วก็อาจจะถูกฆ่าโดยไม่ทันได้รู้ตัวอย่างแน่นอน

“ผมไม่ได้จะเดินตามมาให้คุณออกทีวีนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้กำลังอยู่ในรายการวาไรตี้โชว์ หรือ เรียลลิตี้โชว์อย่างที่คุณพูดด้วย แต่ที่ผมตามคุณมาก็เพราะว่าผมสงสัยที่ทำไมไม่มีใครสนใจผม ไม่มีใครพูดกับผมเลย ทุกคนทำเหมือนมองไม่เห็นผม เหมือนผมไม่มีตัวตน มีแต่คุณคนเดียวที่คุยกับผม ผมก็เลยตามคุณมา” ศิวาอธิบายยืดยาว แต่กานต์พิชชากลับถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจะพูดกับชายหนุ่มว่า

“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะคุณศิวาว่าฉันไม่ขำ คุณอย่ามาอำฉันซะให้ยากเลย เก็บไว้ไปหลอกเด็กเถอะ ฉันจะเข้าบ้านล่ะ” พูดจบหญิงสาวก็ไขกุญแจประตูรั้วบานเล็กแล้วก้าวเข้าไปภายใน จากนั้นก็ล็อคประตูรั้วอย่างแน่นหนา แล้วรีบเดินเข้าไปภายในตัวบ้านทันที

“วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ยเมื่อเช้ารถถูกชน ตกเย็นยังมาเจอนายดาราดังเดินตามมาอำอีก ปวดประสาทชะมัดเลย” กานต์พิชชาบ่นพึมพำเมื่อเดินเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว

หญิงสาววางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟา จากนั้นเดินไปเปิดโทรทัศน์ ก่อนจะเดินเลยไปเปิดตู้เย็นเทน้ำใส่แก้วยกขึ้นดื่ม แล้วปิดตู้เย็นหมุนตัวหันกลับมาเพื่อจะเดินกลับไปนั่งดูโทรทัศน์ แต่แล้วหญิงสาวก็ถึงกับร้องอุทานเสียงดังลั่น พลางโวยวายออกมาทันที เมื่อเห็นร่างสูงของดาราหนุ่มยืนอยู่ภายในบ้านเธอ

“ว้าย! นี่คุณเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไงกัน แอบปีนรั้วเข้ามารึไง รีบออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ คุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาในบ้านคนอื่นยามวิกาลตามอำเภอใจแบบนี้ อย่าคิดว่าคุณเป็นดาราดังแล้วฉันจะไม่กล้าโทร.ไปเรียกตำรวจมาจับคุณนะ”

“ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหมคุณ ผมไม่ได้คิดจะเข้ามาทำร้ายคุณหรอกนะ แล้วผมก็ไม่ได้แอบปีนรั้วบ้านคุณเข้ามาด้วย” ศิวาพยายามอธิบาย

“ถ้าไม่ได้แอบปีนรั้วบ้านฉันเข้ามา แล้วคุณจะข้ามาในบ้านฉันได้ยังไงกัน ประตูรั้วฉันก็ล็อคแน่นหนา”

กานต์พิชชาถามชายหนุ่มเสียงเข้ม พลางเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน เพื่อหาอาวุธสำหรับป้องกันตัว ถ้าหากว่าผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำมิดีมิร้ายเธอ

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าผมเข้ามาในบ้านของคุณได้ยังไง แค่เมื่อกี้ผมคิดว่าผมอยากจะตามเข้ามาคุยกับคุณ ตัวผมก็เข้ามายืนอยู่ในบ้านของคุณแล้ว” ศิวาอธิบายด้วยสีหน้าและท่าทางงุนงง แต่ถ้ากานต์พิชชาเชื่อที่เขาพูดเธอก็ต้องเพี้ยนไปแล้วล่ะ

“คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย ฉันให้เวลาคุณแค่นาทีเดียวนะ กรุณารีบออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้เลย”

กานต์พิชชาสั่งเสียงเข้ม

“เดี๋ยวสิคุณ ฟังผมก่อน...” ศิวาชะงักคำพูดของเขาเอาไว้แค่นั้น เมื่อเสียงโทรทัศน์ที่กานต์พิชชาเปิดทิ้งเอาไว้ตัดภาพจากรายการปกติที่กำลังดำเนินอยู่เข้าข่าวด่วน โดยมีรูปภาพของชายหนุ่มปรากฏขึ้นเต็มหน้าจอโทรทัศน์พร้อมกับเสียงรายงานข่าว

“ขออภัยที่ต้องตัดเข้าข่าวด่วนค่ะท่านผู้ชม มีรายงานข่าวเข้ามาว่า เมื่อเวลาประมาณยี่สิบนาฬิกาสามสิบนาทีเศษ คุณศิวา ศิโรรัตน์ ดาราหนุ่มชื่อดังได้ประสบอุบัติเหตุรถชนที่บริเวณถนน...ผู้สื่อข่าวรายงานว่ารถของคุณศิวาอัดก๊อปปี้กับเสาไฟฟ้าบนเกาะกลางถนน สภาพรถพังยับเยินต้องใช้เวลานานกว่าชั่วโมงทางเจ้าหน้าที่กู้กัยจึงสามารถนำร่างไร้สติและบาดเจ็บสาหัสของคุณศิวาออกมาจากรถแล้วนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ สำหรับความคืบหน้าและภาพข่าวจากสถานที่เกิดเหตุขอเชิญท่านผู้ชมติดตามได้อีกครั้งในข่าวต้นชั่วโมงค่ะ”

หลังจากที่ทางสถานีจบการรายงานข่าวด่วนจบทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันทันที พร้อมๆ กับภาพเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เธอพบเห็นมาเมื่อครู่ใหญ่ผุดพร่างขึ้นมาในความทรงจำของกานต์พิชชา อีกทั้งชื่อถนนที่นักข่าวรายงานเมื่อสักครู่ไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน หญิงสาวละสายตาจากจอโทรทัศน์หันมามองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ภายในบ้านของเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็กำลังอยู่ในอาการตกตะลึงและงงงันเช่นกัน

แล้วกานต์พิชชาก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าร่างสูงของเขาโปร่งแสงเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟสว่างจ้าแบบนี้ หญิงสาวยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองอีกครั้งให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไป ใช่แล้วเธอสามารถมองทะลุผ่านร่างของ ศิวา ศิโรรัตน์ ไปเห็นฝาผนังบ้านได้จริงๆ แล้วที่สำคัญก็คือ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟแบบนี้ แต่เขากลับไม่มีเงาเหมือนเธอ

“นี่...หมายความว่า...ถ้างั้น...คุณก็เป็นผีน่ะสิ...”

แล้วภาพทุกอย่างตรงหน้าของกานต์พิชชาก็เริ่มพร่าเลือนทันที บทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเธอกับปราณปรียาเมื่อตอนเย็นดังก้องขึ้นในความทรงจำของกานต์พิชชา

“แล้วเรื่องที่เธอต้องพบเจอกับสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติล่ะยัยตอง?”

“สงสัยฉันจะถูกผีหลอกมั้งฝ้าย”

กานต์พิชชารู้สึกว่าบ้านหมุนคว้าง ก่อนที่สติสัมปะชัญญะทั้งปวงของหญิงสาวจะดับวูบลง

ตี๊ดๆๆๆ

เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นในตอนเช้าทำให้กานต์พิชชาเริ่มขยับตัว ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ หญิงสาวกะพริบตาด้วยความงุนงงเมื่อสิ่งแรกที่เห็นคือเพดานห้องนอนอันแสนคุ้นตา พลางนิ่งคิดว่าเมื่อคืนเธอเข้ามานอนอยู่ในห้องได้ยังไงและตอนไหน กานต์พิชชาผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันทีเมื่อจดจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ และหญิงสาวก็ภาวนาว่าขอให้ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น

“คุณรู้สึกตัวแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้น ก่อนที่ร่างสูงของเจ้าของเสียงจะปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ ที่ข้างเตียงของเธอ เพื่อช่วยตอกย้ำให้กานต์พิชชามั่นใจว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน แต่ว่ามันคือความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์

“ศิ...ศิวา ศิโรรัตน์” กานต์พิชชาเบิกตากว้างพลางเรียกชื่อเจ้าของร่างสูงโปร่งแสงอย่างตกใจ ก่อนจะรีบขยับตัวถอยห่างออกไปจนชิดริมเตียงอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ถึงเธอจะไม่ใช่คนกลัวผีจนขึ้นสมอง แต่เมื่อรู้แล้วว่าเขาคือผีกานต์พิชชาก็ขอถอยมาตั้งหลักอยู่ห่างๆ ก่อนดีกว่า เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเธอ ก่อนจะข่มจิตข่มใจพูดกับเขาว่า

“เราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อย่ามาหลอกมาหลอนฉันเลย แล้วฉันจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้คุณนะ เพราะฉะนั้นคุณกรุณาออกไปจากบ้านของฉันด้วยเถอะ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอกมาหลอนอะไรคุณนะครับ คุณไม่ต้องกลัวผมหรอก” ศิวาบอก

“ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอกมาหลอนฉัน คุณก็ช่วยรีบๆ ออกไปจากบ้านของฉันเถอะ” กานต์พิชชาพูด แล้วก็เห็นผีหนุ่มรูปหล่อทำท่าถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่เขาจะพูดว่า

“ก็ผมไม่รู้จะไปไหนนี่ ทำไมไม่เห็นมียมทูตมารับวิญญาณผมไปล่ะ”

“ก็กลับไปบ้านของคุณไง เรื่องอะไรคุณจะต้องมาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในบ้านฉัน ให้ฉันตกใจแบบนี้ด้วยเล่า” กานต์พิชชาพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มฉุน และลืมนึกไปชั่วขณะว่าเธอกำลังคุยอยู่กับผี

“ผมไปที่บ้านมาแล้วแต่ก็ไม่มีใครมองเห็นผม แล้วก็สามารถคุยกับผมได้เหมือนคุณเลย” ศิวาพูด

“แล้วนั่นมันเป็นคุณสมบัติที่ฉันต้องการซะเมื่อไหร่กันเล่า ฉันขอร้องล่ะคุณช่วยกรุณาออกไปจากบ้านฉันเถอะคุณศิวา แล้วฉันจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณนะ ฉันสัญญา” กานต์พิชชาบอก พลางนึกสงสัยอยู่ในใจว่า ตกลงเธอจะต้องคุยกับผีดาราตนนี้อีกนานแค่ไหนกันแน่

“ผู้หญิงใจร้าย ผมต้องตายแบบกะทันหันไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างนี้ คุณยังไม่สงสารผมเลยเหรอ ผมกลุ้มใจไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเอง อยากจะมีเพื่อนคุย แล้วเมื่อคืนที่คุณเป็นลมผมก็อุตส่าห์ช่วยพาคุณขึ้นมาบนห้องนอนด้วย คุณยังไม่ขอบคุณผมเลยสักคำ ตื่นขึ้นมาก็เอาแต่ไล่ผม...”

“ฮะ?!!!” กานต์พิชชาอุทานพลางเบิกตากว้าง พร้อมทั้งทำหน้าเหวออย่างคาดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอกำลังถูกผีต่อว่าและทวงบุญคุณอยู่ ตกลงว่าเธอควรจะขำหรือจะกลัวดีล่ะ หญิงสาวชักจะงง

“เอ่อ...ขอบคุณนะที่คุณช่วยฉันขึ้นมาบนห้องนอน ว่าแต่คุณอุ้มฉันได้ด้วยเหรอ?” กานต์พิชชากล่าวคำขอบคุณและถามเขาในตอนท้ายประโยคด้วยความสงสัย ศิวาส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า

“ผมอุ้มคุณไม่ได้หรอก แต่ผมแค่คิดว่าอยากจะพาคุณเข้ามานอนในห้องนอนของคุณ ตัวคุณก็ลอยขึ้นมาบนนี้ ก็คงจะคล้ายๆ กับตอนที่ผมคิดอยากจะตามคุณมา แค่อึดใจเดียวผมก็มายืนอยู่ที่หน้าบ้านคุณ แล้วพอผมคิดว่าอยากจะตามเข้ามาคุยกับคุณในบ้าน ผมก็เข้ามาปรากฏตัวในบ้านของคุณทันทีเลยนั่นแหละ”

“โห! เพิ่งจะเป็นผี ก็มีอิทธิฤทธิ์แล้วเหรอ เหลือเชื่อชะมัดเลย” กานต์พิชชาพูดอย่างทึ่งจัด เป็นอันว่าขณะนี้เธอกำลังพูดคุยกับผีได้อย่างหน้าตาเฉยแล้วล่ะ แต่นี่มันไม่ใช่ประเด็นเสียหน่อย ประเด็นหลักตอนนี้ก็คือเธอต้องการให้คุณผีดาราตนนี้ออกไปจากบ้านของเธอต่างหาก แล้วนี่เธอควรจะทำยังไงกับเขาดีล่ะ หญิงสาวนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงโทรศัพท์บ้านของเธอดังขึ้น กานต์พิชชาจึงรีบเอื้อมมือไปคว้าหูโทรศัพท์แบบไร้สายบนโต๊ะหัวเตียงมากรอกเสียงพูดลงไปทันที

“สวัสดีค่ะ...”

“ตองเธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จรึยังน่ะ?” เสียงปราณปรียาที่ดังอยู่ทางปลายสายราวกับเสียงจากสวรรค์มาโปรด ซึ่งสร้างความยินดีให้กับกานต์พิชชาเป็นอันมาก เพราะปราณปรียานี่แหละที่จะช่วยจัดการกับคุณผีดารารูปหล่อซึ่งกำลังยืนมองเธอคุยโทรศัพท์อยู่ได้อย่างแน่นอน

“ฝ้าย ฉันดีใจจังที่เธอโทร.มาหาฉันแต่เช้า” กานต์พิชชาพูดกับเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงยินดีเหลือล้น แล้วก็ได้ยินเสียงปราณปรียาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับมาอย่างร่าเริง

“เธอจะต้องดีใจมากกว่านั้นถ้ารู้ว่าอีกครึ่งชั่วโมงฉันจะไปถึงหน้าบ้านเธอ เพราะว่าวันนี้ฉันเอาราชรถมารับเธอไปส่งที่ร้านเชียวนะตอง”

“สวรรค์ส่งเธอมาให้ฉันจริงๆ ด้วยฝ้าย รีบๆ มาเลยนะฉันจะรอ แล้วเจอกันนะจ๊ะเพื่อนรัก” กานต์พิชชาวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้นด้วยความรู้สึกที่สบายใจขึ้นมาก ก่อนจะหันมาเจอกับสายตาคมหวานซึ้งของผีหนุ่มรูปหล่อที่กำลังยืนจ้องมองเธอนิ่งอยู่ ก่อนที่เขาจะถามขึ้นว่า

“เพื่อนคุณกำลังจะมาที่นี่เหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ แล้วฉันก็คิดว่าบางทีเพื่อนของฉันคนนี้อาจจะหาทางช่วยเหลือคุณได้ด้วยนะ” หญิงสาวตอบ ศิวามีท่าทางประหลาดใจ ก่อนจะถามว่า

“ทำไมคุณถึงคิดว่าเพื่อนคุณจะช่วยเหลือผมได้?”

“ฝ้ายเค้าเคยบอกกับฉัน ว่าเค้าเป็นพวกมีสัมผัสที่หก เอาไว้เค้ามาถึงแล้วคุณจะรู้เอง แต่ว่าตอนนี้ฉันต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว คุณกรุณาช่วยออกไปจากห้องนอนของฉันด้วยค่ะคุณสุภาพบุรุษ” กานต์พิชชาพูดยืดยาว ศิวาพยักหน้า แต่แล้วเขาก็ชะงักนิดหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นว่า

“จริงสิ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยนะครับ”

“ฉันชื่อกานต์พิชชา ชื่อเล่นชื่อก้านตอง แต่เพื่อนๆ เรียกง่ายๆ ว่าตองค่ะ”

“ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวเพราะว่าคุณรู้จักผมอยู่ดีแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณก้านตอง” พูดจบร่างโปร่งแสงของเขาก็หายวับไปกับตาของกานต์พิชชาทันที

เมื่อรถของปราณปรียาแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน กานต์พิชชาก็รีบวิ่งออกไปเปิดประตูรับเพื่อนรักทันทีในขณะปราณปรียาชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง เมื่อสัมผัสที่หกอันเป็นมรดกตกทอดทางพันธุกรรมมาจากบรรพบุรุษทางฝ่ายมารดาของเธอเริ่มทำงาน เพราะทันทีที่เธอก้าวผ่านประตูบ้านของกานต์พิชชาเข้ามา หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ลึกลับผิดแปลกไปจากทุกครั้งที่เธอเคยมาที่นี่

“ตองมีใครอยู่กับเธอในบ้านด้วยใช่ไหม?” ปราณปรียาถามขึ้น พลางกวาดตามองไปรอบบริเวณบ้านอย่างจับสังเกต กานต์พิชชามองเพื่อนรักอย่างทึ่งจัด ก่อนหน้านั้นที่ปราณปรียาเคยบอกว่าตัวเองมีสัมผัสซึ่งหกสามารถมองเห็นสิ่งเร้นลับได้ แต่เพื่อนรักของเธอก็ไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้ให้หญิงสาวเห็นมาก่อนเลย กานต์พิชชาพยักหน้าพลางมองสบตาเพื่อนรักแล้วพูดว่า

“ใช่จ้ะ เธอต้องช่วยฉัน แล้วก็ช่วยเค้าด้วยนะฝ้าย” พูดจบหญิงสาวก็จูงมือเพื่อนรักก้าวเข้าไปภายในบ้านทันที



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2556, 22:58:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2556, 22:58:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 967





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account