ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๒๔-๒๕

บทที่ ๒๔

ฉันทิกาถอนใจเฮือกขณะนั่งอยู่ภายในห้องอบซาวน่ากับพิศสุดา..ข่าวของคณินทำให้เธอถูกบรรดาเพื่อนในแวดวงสังคมซักถามราวกับว่าเธอเป็นตัวพี่สามีเสียเอง จนเธอรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ มีบุคคลไม่หวังดีพยายามลากสามีของเธอเข้ามามีเอี่ยวในเรื่องนี้อีกด้วย

“ไม่รู้ไอ้เรื่องบ้าๆนี่จะจบเมื่อไหร่นะ ฉันล่ะรำคาญเหลือทน พอเรื่องทำท่าว่าจะเงียบๆ ก็มีเรื่องอื่นโผล่ขึ้นมาอีก..แล้วก็แปลกนะ ว่าจะต้องมีเรื่องกับตระกูลนี้ทุกที”

“นั่นสิ..คุณชัชก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกับคนอื่นเหมือนกัน แต่ไม่รุนแรงเท่ากับพวกไพศาลกรุ๊ปนะ..แล้วฝ่ายนั้นก็เหมือนกัน ฉันเคยได้ข่าวว่ามีเรื่องขัดผลประโยชน์กับพวกพี่เบิ้มกลุ่มอื่นๆ แต่กลับไม่มีเรื่องบาดหมางรุนแรงเหมือนที่มีกับคุณชัชเลย..ฉันว่า เรื่องนี้มันแหม่งๆยังไงพิกลนะ” พิศสุดาแสดงความคิดเห็นจากสิ่งที่เธอรู้จักทั้งสองตระกูลนี้มานานหลายปี ผนวกกับการวิเคราะห์ของสามีที่เคยเปรยๆออกมาให้ฟัง

“ฉันก็ไม่รู้สิ”

“คุณชัชไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้เธอฟังบ้างเรอะ”

ฉันทิกาไหว่ไหล่
“คุณชัชน่ะ ถ้าไม่รู้สึกอับจนหนทางจริงๆ เขาจะไม่พูดอะไรให้ฉันฟังหรอก..เพราะเขาเคยบอกฉันไว้ ว่าไม่อยากให้ฉันปวดหัวกับปัญหาของเขาน่ะ เขาขอแค่ให้ฉันคอยดูแลเขากับลูกๆให้มีความสุขก็พอแล้ว”

“แหม! ฉันล่ะอิจฉาเธอจริงๆที่มีสามีอย่างคุณชัชเนี่ย”

พิศสุดาแสร้งว่า แต่ภายในใจนั้นก็แอบซ่อนความริษยาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะนอกจากชนาธิปนั้นมีบุคลิกที่สง่าภูมิฐานแล้ว ยังให้ความรักและความสำคัญกับเพื่อนเธออย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่แรกที่เริ่มคบหากัน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะการชักพาของสามีเธอที่แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน ในขณะที่ชีวิตแต่งงานของเธอมีความสุขชื่นมื่นได้ไม่กี่ปีเท่านั้น เธอก็เริ่มจับได้ว่า สามีของเธอนั้นแอบซุกอีหนูไว้ เมื่อเธออาละวาดจนผู้หญิงคนนั้นหนีกระเจิง ไม่นาน สามีก็มีเด็กสาวคนใหม่อีก..วงจรชีวิตของเธอวนเวียนอยู่เช่นนั้น ทั้งๆที่เจ็บปวด แต่เธอก็ไม่อาจตัดใจหย่าขาดจากเขาได้ เธอจึงยอมทนอยู่แบบนี้เรื่อยมา และได้แต่หวังว่า ในสักวันหนึ่ง..เขาจะเบื่อหน่ายกับการเสาะแสวงหาความสุขจากเด็กสาวๆเสียที

ฉันทิกายิ้มอย่างภาคภูมิใจ..เพราะเขาแสนดีเช่นนี้ไงล่ะ เธอถึงได้ทั้งรักทั้งหวงเขานักหนา และกลัวที่จะสูญเสียเขาไปให้กับผู้หญิงคนอื่น และมันคงเจ็บแค้นที่สุด ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนใกล้ชิด เธอจึงต้องหาทางป้องกันทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้สิ่งที่เธอหวั่นเกรงเรื่องเป็นจริงขึ้นมา

“เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงไม่อยากเสียคุณชัชให้ใคร โดยเฉพาะกับแม่หลานสาวของเขาเอง..แล้วดูซิ อะไรๆกำลังจะไปได้สวยอยู่แล้วเชียว ดันมาเกิดเรื่องบ้าๆนี้ขึ้นได้ ฉันล่ะกลัวว่าระพีพรรณเขาจะมองทางเราไม่ดีแล้วจะพานเปลี่ยนใจ ไม่อยากได้โม้นาไปเป็นลูกสะใภ้น่ะ”

“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับโม้นาเลยนะ”

“จะว่าได้เหรอ เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับครอบครัวที่มีส่วนพัวพันกับคดีอาชญากรรมหรอกนะ..เฮ้อ! ยิ่งพูดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งเครียด”

“อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยน่า คุณชัชกับคุณปราชญ์เขาเป็นเพื่อนรักกันมานาน เขาไม่มาสนใจกับเรื่องพวกนี้หรอก เพราะถ้าเขาสนใจจริงๆ เขาก็คงเลิกคบหาสมาคมกันไปแล้ว..ฉันว่า เธอเอามันสมองมาคิดหาวิธีประกาศตัวโม้นากับตาปอว่าเป็นคู่รักที่ใกล้จะแต่งงานกันดีกว่า..ดีไม่ดี กระแสข่าวนี้อาจช่วยกลบข่าวเสียๆหายๆของคุณคณินก็ได้”

คำเสนอแนะของเพื่อนรักเรียกความสนใจให้ฉันทิกาคิดตาม และวาดฝันอยู่ชั่วครู่ก็ยิ้มกว้าง
“ให้ตายสิ! เธอนี่มันสุดยอดของนักวางแผนเลย”

พิศสุดายิ้มรับ “เธอเพิ่งรู้เรอะ”

และทั้งสองก็หัวเราะให้กัน ก่อนจะช่วยกันคิดหาวิธีประโคมข่าวอันเป็นมงคลของสองหนุ่มสาวที่พวกเธอหมายมั่นปั้นมือให้โลกรู้กันทั่วให้เร็วที่สุด



นับตั้งแต่เกิดเรื่อง..ฉันทัชกับคณิน แสดงท่าทีประกาศศึกกันอย่างเต็มตัว สร้างความอึดอัดลำบากใจให้กับบรรดาคนรับใช้ที่วางตัวกันไม่ถูกเพราะไม่รู้จะเลือกข้างเจ้านายฝ่ายไหนดี..ทุกครั้งที่มีเหตุให้ต้องเผชิญหน้ากันภายในบ้าน ทั้งสองจะมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง และถ้าไม่ได้ฉันทิกากับชญาภาคอยห้ามทัพไว้ คาดว่าสองลุงหลานคงได้ฆ่ากันตายแน่ และหลังจากปะทะคารมกับฉันทัช คณินจะต้องวิ่งโล่ไประบายอารมณ์ให้สิทธิโชคฟังทุกครั้งเช่นกัน ยิ่งเปิดโอกาสให้สิทธิโชคสุมไฟแค้นให้โหมแรงขึ้น

เมื่อชนาธิปเดินทางกลับมาถึงบ้าน เขาเรียกพี่ชายเข้าไปคุยกันภายในห้องทำงาน
“ถามจริงๆเถอะ..พี่ทำเรื่องนี้รึเปล่า” ชนาธิปถามเสียงเข้ม แม้เขาจะไม่อยากเชื่อว่าพี่ชายจะเป็นคนทำเรื่องเช่นนี้ได้..แต่จากข้อมูลบางอย่างที่เขาได้รับรายงานจากลูกน้องคนสนิทที่ตามสืบเรื่องวุ่นๆระหว่างเขากับตระกูลของพาณิชย์ไพศาล ลูกน้องของเขาเริ่มประติดประต่อได้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องเป็นคนใกล้ชิด เพราะรู้ความเคลื่อนไหวของเขาทั้งที่บ้านและบริษัททุกอย่าง และตอนนี้ลูกน้องกำลังพยายามสืบลงไปให้ลึกกว่านั้น เพื่อรู้ให้ได้ว่าบุคคลลึกลับคนนั้นเป็นใครกันแน่..และจากข้อมูลที่เขาได้รับรายงาน มันก็ทำให้เขาอดที่จะระแวงพี่ชายไม่ได้เช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะคอยให้ความช่วยเหลือพี่ชายมากสักเท่าใด แต่ดูเหมือนว่ามันก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของพี่ชายเสียที และถ้าไม่เห็นว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน เขาก็คงถอดใจปล่อยไปตามบุญตามกรรมนานแล้ว

คณินฉุนกึก เมื่อคิดว่าน้องชายคงถูกเจ้าหลานคู่ปรับเป่าหูมาเรียบร้อยแล้ว “นายเชื่อไอ้ข่าวบ้าๆนั่นเรอะ”

“ผมแค่ถาม เพราะอยากมั่นใจว่าพี่ไม่มีเอี่ยวในเรื่องนี้จริงๆ”

“งั้นข้าขอยืนยันเลยว่าไม่รู้เรื่อง และถ้าข้าจะทำจริงๆล่ะก็ รับรองว่าข้าไม่โง่ให้ไอ้พวกนั้นมันจับได้หรอก” คณินยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงคนงานทั้งสาม “เฮอะ!นอกจากจะโง่แล้ว มันยังโง่มากๆที่เอาข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย..รับรอง งานนี้มันอ่วมคาคุกแน่”

นับจากวันที่เขาตกลงใจให้สิทธิโชคมีส่วนร่วมในการวางแผนยึดอำนาจคืนมาจากน้องชาย สิทธิโชคก็รับปากจะช่วยเหลือเรื่องคดีความให้ เพราะสนิทสนมกับผู้กำกับโรงพักนี้เป็นอย่างดี รวมทั้งคนใหญ่คนโตอีกหลายคน และเจ้าสามคนนั่น ก็จะจัดการสั่งสอนมันให้ที่บังอาจมาใส่ร้ายเขา..ทำให้เขายิ่งลำพองใจ เมื่อมั่นใจว่า สิทธิโชคนั้นมีบารมีจริงอย่างที่คุยโอ้อวดไว้...นั่นเท่ากับว่า ความฝันของเขาที่จะได้บริษัทกลับคืนมาก็เป็นความจริงอันใกล้นี้แล้ว

ชนาธิปนิ่วหน้า
“พี่จะทำอะไรคนพวกนั้น”

คณินไหวไหล่ แค่นหัวเราะ “พี่ไม่ใช่นายนี่ จะได้มีอำนาจบารมีสั่งให้ใครทำอะไรให้ได้น่ะ”
คำประชดประชันนั้นยิ่งทำให้คนฟังเพ่งมองพี่ชาย

“ผมไม่เคยสั่งใครให้ทำเรื่องนอกรีตอะไรทั้งนั้น”

“หึ! เพราะนายไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่นายมีน่ะสิ ถ้านายจัดการกับฝ่ายนั้นให้เด็ดขาดไป เรื่องมันก็จบแล้ว ไม่คาราคาซังกันจนถึงป่านนี้หรอก” เพราะถ้าเขามีอำนาจเหมือนอย่างน้องชายในขณะนี้ ป่านนี้เขาคงพุ่งชนกับพวกไพศาลกรุ๊ปให้เห็นดำเห็นแดงกันไปแล้ว ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้จักผู้อิทธิพลตั้งมากมายไม่ต่างจากฝ่ายตรงข้าม แต่กลับมัวเกร็งๆกั๊กๆไม่ต่างอะไรกับพวกขี้ขลาด

“นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี”

“ก็เพราะว่านายมัวแต่เป็นเสียแบบนี้ เรื่องมันถึงได้ยืดเยื้อมาจนถึงเดี๋ยวนี้..แล้วข้าก็ต้องมาซวยไปกับไอ้เรื่องบ้าๆนี่ด้วย” คณินแค่นเสียงพูด “และต่อไปนี้ ข้าจะไม่ยอมทนอะไรแล้วทั้งนั้น”

สองพี่น้องจ้องสายตาเขม็งใส่กันไม่กี่อึดใจ ผู้เป็นพี่ชายก็หันเดินฟึดฟัดออกจากห้อง..ชนาธิปถอนใจเฮือก ก่อนโทรศัพท์เรียกคนสนิท
“พจน์ เข้ามาหาหน่อย”

ไม่นาน..ร่างสูงเพรียวของชายวัยกลางคนก็เข้ามาหาผู้เป็นนาย ที่กำลังยืนเท้าเอวหน้าเครียด
“มีอะไรเหรอครับ”

“เรื่องที่ให้ไปสืบน่ะ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

“ยังไม่มากเท่าไหร่ครับ ตอนนี้กำลังไล่ตามสืบจากคนเก่าๆที่ลาออกไปอยู่ครับ”

“อย่างนั้นเรอะ” ชนาธิปถอนใจ และหันเดินไปนั่งกับโซฟา “ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าพี่ชายฉันมีอะไรแปลกๆ ไม่รู้ว่าฉันจะระแวงเกินไปรึเปล่านะ แต่นายให้คนคอยจับตาดูไว้หน่อยก็ดี”

“ครับ”

“เฮ้อ! สงสัยถ้าจบเรื่องนี้แล้ว เห็นทีฉันคงต้องหาพระมารดน้ำมนต์บ้างแล้วล่ะ”

พจน์อมยิ้มกับเจ้านาย ก่อนจะเอ่ยความเห็นด้วย
“ครับ สักเก้าวัดไปเลย”

ชนาธิปยิ้มบ้าง
“นั่นสิ เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น..เอาล่ะ นายไปเตรียมรถไว้นะ เดี๋ยวฉันจะออกไปดูงานที่ไซต์หน่อย”

“ครับ”
พจน์ก้าวออกจากห้อง ชนาธิปจึงเดินขึ้นห้องนอนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปดูความคืบงานของงาน โดยไม่รู้ตัวว่า ขณะนี้ เขากำลังถูกเฝ้าจับตามองจากลูกน้องของสิทธิโชค




ปริพันธ์ขับรถมารับราโมน่าที่กองถ่ายทำละครตามคำสั่งของมารดา ที่หมู่นี้ขยันหาเหตุให้เขาได้ใกล้ชิดหญิงสาวบ่อยครั้ง และตัวเขาก็พอใจรับคำสั่งนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน

ชายหนุ่มหอบหิ้วถุงขนมมาฝากคนในกองถ่าย ซึ่งเขามาบ่อยจนทุกคนคุ้นหน้าเขาเป็นอย่างดีแล้ว บ้างก็แซวกันไปตามประสา ก่อนเขาจะหามุมนั่งมองการถ่ายทำไปเงียบๆ ซึ่งขณะนี้ราโมน่ากำลังเข้าซีนอารมณ์กับพระเอก ที่หญิงสาวกำลังร้องไห้อ้อนวอนให้พระเอกเลิกกับนางเอกและกลับมารักเธออีกครั้ง แต่ตัวพระเอกยืนยันที่จะรักนางเอกและกอดปลอบประโลมหญิงสาวที่กำลังสะอื้นไห้

ปริพันธ์นิ่วหน้าเล็กน้อยผสมกับความอิจฉา เพราะตั้งแต่คบหากับหญิงสาวมา เขาไม่เคยได้มีโอกาสกอดเธอแบบนั้นเลย แล้วก็ลอบถอนใจ ท่องบ่นอยู่ในใจว่า..มันเป็นงาน

“คัท!”

เสียงผู้กำกับตะโกนบอกไปก่อนปรบมือให้ “เก่งมากโม้นา ซึ้งซะจนเจ้าพวกนี้น้ำตาคลอตามเลย” แล้วก็ชี้กราดไปตามบรรดาผู้ช่วยที่นั่งทำตาแดงๆ

“เปล่าซะหน่อย” เสียงค้านดังรวมเป็นเสียงเดียว ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

ราโมน่าเช็ดน้ำตาขณะเดินมาหาปริพันธ์..พลางนึกถึงคำชมของคนในกองถ่ายที่บอกว่าหมู่นี้เธอเล่นละครเก่งขึ้น โดยเฉพาะบทที่ต้องร้องไห้ ที่เธอสามารถเรียกน้ำตาได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวช่วยใดๆ จนผู้จัดพูดทีเล่นทีจริงว่า จะให้เธอเป็นนางเอกในเรื่องต่อไป เธอได้แต่ยิ้ม..แต่ใครจะรู้ ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอเข้าถึงบทบาทได้ดี เป็นเพราะว่า ในขณะนี้ตัวเธอกับตัวละครนั้นมีบทบาทไม่ต่างกันเท่าไหร่ และเธอกำลังรู้ซึ้งถึงการสูญเสียชายคนรักไปตลอดกาล จะต่างกันก็เพียงแค่ เธอไม่อาจอ้อนวอนเหนี่ยวรั้งเขาให้อยู่กับตัวได้แค่นั้นเอง เพราะในชีวิตจริงของเธอ ได้ถูกโชคชะตาลิขิตไว้แล้ว..และเธอทำได้แค่การก้มหน้ายอมทนกับมันเท่านั้น

ปริพันธ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้ พร้อมคำชม
“โม้นาเล่นเก่งจัง ทำเอาพี่อินเลยนะ”แล้วก็มองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระซิบกระซาบกลั้วหัวเราะ “เมื่อกี้พี่แอบด่าพระเอกด้วยนะว่าโง่! ที่เลือกผู้หญิงคนอื่น แทนที่จะเลือกโม้นาที่มองยังไงก็ดีกว่านางเอกนั่นเป็นไหนๆ”

ราโมน่าอมยิ้ม
“ก็ในละคร พระเอกก็ต้องคู่กับนางเอกสิคะ โม้นาเป็นแค่นางรองเท่านั้นค่ะ..ถ้าไม่แต่งกับพระรองก็ต้องอยู่อย่างเดียวดาย”

ปริพันธ์นิ่วหน้า เมื่อแวบหนึ่ง เขาเห็นถึงแววเศร้าสลดที่ฉายออกมาจากนัยน์ดวงตาคู่สวย “แต่สำหรับพี่..โม้นาจะเป็นนางเอกของพี่เสมอ”

หญิงสาวมองสบสายตาเขานิ่ง

“พี่พูดจริงๆนะครับ”

ราโมน่าแค่นยิ้ม พลางเมินหลบ พูดเฉไฉไปเรื่องอื่น “..อืมม์..โม้นาเริ่มจะหิวแล้วค่ะ..วันนี้แม่ครัวของพี่ทำอะไรให้โม้นากินหรือคะ” เพราะค่ำนี้เธอถูกป้าของเธอวางโปรแกรมให้ไปทานข้าวที่บ้านของปริพันธ์

ชายหนุ่มข่มความผิดหวัง ที่หญิงสาวมักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกของเขาเสมอ ทั้งๆที่เขาก็เพียรพยายามเอาใจทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายเกราะกำบังที่เธอสร้างขึ้นห่อหุ้มหัวใจได้สักที..แต่เขา ก็ยังจะพยายามต่อไป..ด้วยหวังว่า เธอจะยอมรับเขาด้วยหัวใจจริงๆ ในสักวันหนึ่ง..



ราโมน่ามาถึงที่บ้านปริพันธ์ แล้วก็แปลกใจ ที่เห็นป้าของเธอกำลังนั่งคุยกับนายหญิงของบ้านอยู่ก่อนแล้ว
“นั่นไง..มากันแล้ว” ระพีพรรณผู้เป็นเจ้าบ้าน หันมาพยักเพยิดบอกฉันทิกา ซึ่งหันมาส่งรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดูราโมน่าเสียมากมาย

“เป็นไงจ๊ะหลาน..วันนี้เหนื่อยมั้ย..มานั่งข้างๆป้า มา”

ราโมน่ายกมือไหว้เจ้าบ้านและเดินไปนั่งข้างกายฉันทิกา..ซึ่งหากยามอยู่ลับหลังคนอื่น แล้วฉันทิกาแสดงความรักใคร่กับเธอเช่นนี้ เธอคงจะรู้สึกสุขใจมากทีเดียว

“โม้นาไม่รู้นะคะ ว่าคุณป้าจะมาทานข้าวด้วย”

ฉันทิกายิ้มเยือน
“ป้าอยากจะให้หลานแปลกใจเล่นเท่านั้นเองจ๊ะ”

ระพีพรรณหันไปทางลูกชาย
“ตาปอ ไปตามพ่อของเราให้ออกมาทานข้าวกันได้แล้วจ้ะ”

เมื่อลูกชายรับคำ และเดินออกไปจากโถงรับแขก ระพีพรรณก็หันมาบ่นกับฉันทิกา “เฮ้อ!วันหยุดแทนที่จะพักผ่อนบ้าง ก็ยังไม่วายหมกตัวอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว..ทำงานไม่รู้จักเบื่อจริงๆ”

“พวกผู้ชายเขาก็เป็นอย่างนี้กันล่ะค่ะ..คุณชัชนั่นก็เหมือนกัน วันๆฉันเองก็แทบจะไม่เห็นหน้าเขาเหมือนกัน กว่าจะกลับเข้าบ้านฉันก็หลับแล้วทุกที”

“นั่นสิ พวกผู้ชายนี่บ้างานกันจริงๆ” ระพีพรรณเห็นด้วย แล้วก็หันมาทางราโมน่า

“หนูโม้นาคงต้องเตรียมทำใจหน่อยก็แล้วกันนะจ๊ะ เพราะตาปอเขาก็บ้างานไม่แพ้พ่อของเขาเหมือนกัน..แต่ป้ารับรองได้พันเปอร์เซ็นเลยจ้ะว่า ตาปอจะไม่ออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด”

ราโมน่าได้แต่ยิ้มรับแกนๆ พลางเริ่มประหวั่นใจ ที่ป้าของเธอร่วมทานอาหารเย็นในวันนี้ด้วย..ซึ่งดูเหมือนว่ามันคงจะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเธอเลย


และเมื่อนายผู้ชายของบ้านออกมาจากห้องทำงาน..ทุกคนจึงลุกขึ้นเดินไปนั่งภายในห้องอาหาร

บทสนทนาระหว่างแขกกับเจ้าบ้านดำเนินไปตามปกติของคนรู้จักกันมายาวนาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาระหว่างฉันทิกากับระพีพรรณ
เสียมากกว่า ในขณะสมาชิกผู้ชายของบ้านได้แต่พยักหน้าเออออไปด้วยเท่านั้น..และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ราโมน่าประหวั่นใจก็เริ่มต้นขึ้นมาจริงๆ เมื่อฉันทิกาเกริ่นที่เล่นทีจริงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริพันธ์และราโมน่า

“ปีนี้น้อยกับคุณชัชต่างก็บ่นเหมือนกันเลยค่ะว่าแก่ขึ้นเยอะ ทั้งๆที่ยังมีอะไรๆรอให้ทำตั้งหลายอย่าง..และที่สำคัญ สิ่งที่น้อยกับคุณชัชห่วงมากที่สุดก็เป็นราโมน่าค่ะ เพราะเขาตัวคนเดียว ไม่เหมือนตาทัชกับยายภา สองคนนั่นเขามีอะไรเขาก็มักจะปรึกษากันตลอด..ถึงโม้นาเขาจะบอกว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่ว่านะคะ ลูกผู้หญิงเราน่ะ ถึงจะเข้มแข็งแค่ไหน แต่ก็ต้องการคนมาดูแลบ้าง”

“จริงค่ะคุณน้อย”ระพีพรรณเห็นด้วย แล้วก็ปรายสายตามาทางลูกชายกับราโมน่า ก่อนจะหันไปทางสามีด้วยรอยยิ้มกริ่ม “คุณว่า ครอบครัวของเราน่าจะจัดงานอะไรที่เป็นมงคลกันดีกว่านะคะ”

ปราชญ์หันไปมองลูกชายแล้วก็นึกขำ เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนกำลังพยายามสุดชีวิต เพื่อรักษาภาพพจน์ไว้ไม่ให้รอยยิ้มมันบานจนออกนอกหน้า “ก็ตามใจคุณสิ ผมไม่มีปากเสียงอะไรทั้งนั้น” เขาตอบภรรยาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และเห็นผู้เป็นภรรยาส่งสายตาค้อนขวัก ก่อนจะหันไปพูดกับฉันทิกาต่อ ส่วนเขาก็ให้ความสนใจกับอาหารต่อไป

“งั้นต่อไปนี้คุณน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงหนูโม้นาแล้วนะคะ เพราะนับจากนี้หน้าที่ดูแลหนูโม้นา จะเป็นหน้าที่ของตาปอค่ะ” แล้วก็หันไปทางลูกชาย “ว่าไงล่ะตาปอ ยินดีจะรับตำแหน่งนี้มั้ย”

ใบหน้าของผู้ถูกเอ่ยถึงเข้มแดงขึ้นเล็กน้อย นึกอยากจะกระโดดหอมมารดาสักฟอดใหญ่ เพราะหน้าที่นั้นเขายินดีเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่ก็ยังพยายามสงบท่าที มีเพียงรอยยิ้มกระจ่างที่เขาไม่อาจฝืดปกปิดมันได้พร้อมน้ำเสียงปรีดาเปี่ยมล้น “ยินดีครับ คุณแม่”

ระพีพรรณยิ้มกว้าง แล้วก็หันมาทางราโมน่าบ้าง “แล้วหนูโม้นาล่ะจ๊ะ ยินดีจะมาเป็นลูกสาวของป้ามั้ย”

ราโมน่ารู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกรัดแน่น จนเปล่งเสียงตอบคำถามนั้นแทบไม่ออก
“..คือ..”

ฉันทิกาที่จ้องเขม็งในอากัปกิริยาของหญิงสาวรีบตอบรับแทนทันที “แหม ดูสิคะ..โม้นาเขาตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกเลย..เอาเป็นว่า เดี๋ยวเรามาหาฤกษ์แต่งงานกันเลยดีมั้ยคะ” จิกสายตาข่มราโมน่าชั่ววินาที ก่อนจะรีบหันใบหน้าเบิกบานมาทางระพีพรรณ ซึ่งเห็นดีเห็นงามในความคิดนี้

ปริพันธ์ลอบมองหญิงสาวเช่นกัน และเห็นใบหน้าเผือดสลดของหญิงสาวที่ซ่อนมันไว้ยามก้มลงมองจานอาหาร ซึ่งอาการของหญิงสาว มันสามารถสลายความปรีดาของเขาเมื่อครู่จนไม่มีเหลือ




หลังรับประทานอาหารเสร็จ ฉันทิกาเรียกคนขับรถให้มารับ และปริพันธ์ไปส่งราโมน่าที่คอนโดมิเนี่ยมตามคำสั่งของมารดา..ระหว่างทางที่นั่งอยู่ภายในรถ ชายหนุ่มชำเลืองสายตามองหญิงสาวข้างกายที่นั่งทำหน้าเคร่งเครียดหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถาม เพราะขณะนี้คำถามต่างๆผสมผสานกับความหงุดหงิดใจมันทำให้เขาไม่อยากพูดหรือถามอะไรทั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่ในความคิดของตน จนกระทั่ง..ตัวรถแล่นมาจอดภายใต้อาคารหรู

“ขอบคุณค่ะ” ราโมน่าลอบถอนใจกับปัญหาอันหนักอึ้งของตนเองก่อนหันมาเอ่ยลาเขา และเปิดประตูรถลงไปในทันที ปริพันธ์นิ่งขึงนึกน้อยใจในท่าทีเมินเฉย และในวินาทีนั้น ความอดทนอดกลั้นที่สะสมมาถึงจุดสิ้นสุด ร่างสูงเพรียวเปิดประตูตามไปยึดแขนราโมน่าให้หันมาคุยกับเขาให้กระจ่าง

ราโมน่าหันตามแรงฉุดรั้งด้วยอาการตกใจ “มีอะไรหรือคะ!”

ปริพันธ์ยืนเข้ามาแทบชิด จนราโมน่ารู้สึกกริ่นเกรงกับท่าทีแปลกไปของเขา
“พี่อยากรู้ความรู้สึกของโม้นา ว่าจริงๆแล้ว โม้นาอยากจะแต่งงานกับพี่จริงๆรึเปล่า”

สายตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่กำลังสั่นไหว และหลบสายตาเขาในเวลาต่อมา
“..โม้นา..ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

“พี่รู้ว่าโม้นารู้ตัวดีว่ารู้สึกอย่างไร..และพี่ก็ไม่อยากโกหกหรือให้ความหวังลมๆแล้งๆกับตัวเองโดยไร้จุดหมายอยู่แบบนี้ เพราะพี่เคยหวังว่า สักวันหนึ่ง โม้นาจะรักพี่อย่างผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่รักแบบพี่ชายอย่างที่โม้นาเคยบอก..แต่ไม่ว่าพี่จะพยายามแค่ไหน ความสัมพันธ์ของเรามันก็ไม่ไปไหนเลย จนบางครั้ง พี่รู้สึกเหมือนว่า ระหว่างเรามีใครมาคั่นกลางรึเปล่า โม้นาถึงไม่เคยรู้สึกกับพี่อย่างคนรักเลยสักครั้ง”

ราโมน่านิ่งขึงกับคำถามที่มาจากความเป็นจริง ซึ่งเธอเก็บซ่อนความรู้สึกที่มีต่ออนาวินไว้ในใจมานานหลายปี และถึงแม้ว่าจะเธอจะลองคบหาผู้ชายคนอื่น แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่สามารถทำให้เธอลืมอนาวินได้..แม้แต่ผู้ชายที่แสนดีอย่างปริพันธ์ และในขณะนี้ เธอกำลังจนตรอก จิตใจเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน จนแทบอยากกรีดร้องออกไปให้สุดเสียง

“..ขอโทษ..ถ้าโม้นาทำให้พี่เสียใจ..แต่สำหรับโม้นา..ไม่ว่าอย่างไร พี่ก็ยังเป็นพี่ชายของโม้นาตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

ปริพันธ์กัดกรามแน่นกับความคับแค้นใจ..ดวงตาคู่สวยที่มองสบกำลังไหวระริกหลังม่านน้ำตาดั่งขอลุแก่โทษ ริมฝีปากอิ่มขยับเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงกังวานหวาน ทว่า..มันเต็มไปด้วยความเศร้าสะเทือนใจ และยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดกับความจริงที่นึกหวาดระแวงเสมอมา
“ในเมื่อโม้นามีคนอื่นอยู่แล้ว แล้วทำไมยังยอมรับการแต่งงานของเราอีกล่ะ..ทำไมไม่ปฏิเสธแม่พี่หรือพูดออกมาตรงๆเลย พี่จะได้ทำใจเสียเดี๋ยวนั้นเลย”

ราโมน่าเมินหลบสายตาเขาอย่างรู้สึกผิด และรับรู้ถึงน้ำหนักมือที่บีบแน่นบนต้นแขนของเธอ
“..ไม่ว่าโม้นาจะมีใคร..มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ”

“สำหรับพี่ มันสำคัญมากทีเดียว เพราะการที่เราแต่งงานกัน นั่นก็หมายความว่า เราต้องเห็นความสำคัญของอีกฝ่ายด้วย..แต่โม้นากลับพูดออกมาว่า มันไม่สำคัญ นั่นเท่ากับว่าตัวพี่เองก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย หรือต่อให้เป็นผู้ชายคนไหนโม้นาก็แต่งงานกับเขาได้..เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำหรับโม้นาใช่มั้ย”

“ที่โม้นาบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันไม่ได้หมายความเหมือนอย่างที่พี่ปอคิดนะคะ โม้นารู้ดีว่าคนที่เราจะแต่งงานด้วยนั้นสำคัญแล้วก็มีความหมายมากแค่ไหน..เพียงแต่ว่า..คนที่โม้นารักนั้น เราไม่มีวันจะแต่งงานกันได้..โม้นาถึงได้บอกพี่ไปว่า มันไม่ใช่เรื่องสำคัญยังไงล่ะคะ”
ยิ่งได้ฟัง ปริพันธ์ก็ยิ่งเจ็บปวด..

‘รักเหรอ! โม้นาบอกว่ารักไอ้ผู้ชายคนนั้นเรอะ!’

“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

หญิงสาวอึกอัก และปิดปากเงียบ

“พี่ถามว่าเขาเป็นใคร อย่างน้อย โม้นาก็ควรจะให้พี่ได้รู้ตัวบ้าง ว่าพี่กำลังแย่งของๆใครมา” ปริพันธ์ถามอย่างเจ็บช้ำ

ราโมน่ามองสบเขา และยังคงปิดปากเงียบเช่นเดิม..ชายหนุ่มได้แต่มองอย่างคับแค้นใจ ปะปนกับความอยากเอาชนะ และในวินาทีนั้น สองแขนที่ยึดตนแขนอ่อนนุ่มกระชากร่างเธอเข้าหาตัว พร้อมโน้มใบหน้าลงจูบกลีบปากอิ่ม..ราโมน่าตื่นตะลึงพร้อมดิ้นรน ร่างกายกลับยิ่งถูกสองแขนแกร่งกอดรัดแน่น แต่เพียงครู่เดียว เธอก็ยืนนิ่ง..เรื่องทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเธอ..เพราะความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจของเธอต้องทำให้ผู้มีพระคุณต้องทุกข์ใจ และยังทำให้ผู้ชายอีกคนต้องเจ็บปวด..ถ้าหากว่าสิ่งนี้คือการลงโทษ เธอก็ควรที่จะยอมรับมันแต่โดยดี ทว่า..หัวใจเธอกลับยิ่งร้าวราน เมื่อสมองมีภาพของอนาวินผุดขึ้นมา เธอหลับตาปล่อยให้น้ำตารินไหล เรียกความสุขสมยามที่ได้อยู่กับเขาขึ้นมาเพื่อหวังช่วยระบายความเจ็บปวดที่กำลังรุมทึ้งเธออยู่ในขณะนี้

ปริพันธ์ค่อยผละจากริมฝีปากอิ่มอย่างเชื่องช้า ในขณะที่ดวงตาของราโมน่าก็เริ่มเปิดขึ้นมองสบเขา..และแม้ว่าเธอจะไม่ขัดขืน แต่รสจูบที่เขาเรียกร้องเอาจากเธอมันช่างจืดชืดไร้ความรู้สึกใดๆ

“ฮึ! ที่ยอมให้พี่จูบเนี่ย ก็เพราะสงสารกันรึไง”

“..โม้นาไม่ได้คิดอย่างนั้น”

ชายหนุ่มแค่นยิ้มหยัน
“แล้วถ้าพี่เรียกร้องมากกว่านี้ โม้นาจะยอมมั้ย”

หญิงสาวกล้ำกลืนความขื่นขม และตอบเขาเสียงแผ่วหวิว
“..ถ้าพี่ต้องการ”

คนฟังแทบหัวเราะกับความรู้สึกสงสารและสมเพชตัวเอง
“ดี..ถ้าอย่างนั้น พี่จะเร่งให้คุณแม่จัดงานแต่งของเราให้เร็วที่สุด”

ราโมน่ามองประกายตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดระคนเจ็บแค้น และเธอถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ “พี่ยังอยากจะแต่งงานกับโม้นาอีกหรือคะ”

“ใช่ ถึงแม้ตอนนี้โม้นาจะยังไม่รักพี่ แต่สักวัน พี่ต้องทำให้โม้นาหันมารักพี่ให้ได้” ปริพันธ์ประกาศกร้าวก่อนเดินกลับขึ้นรถ และขับจากไปอย่างฉุนเฉียว

ราโมน่ายังยืนนิ่งกับความอดสูใจของตนเองอยู่ชั่วครู่ ก็หันเดินเซื่องซึมขึ้นห้องพักของตน..และห่างออกไปไม่ไกล มีรถยนต์ของช่างภาพอิสระคนหนึ่ง ซึ่งกำลังแอบซุ่มตามเก็บภาพดาราสาวที่มีข่าวฉาวกับไฮโซหนุ่มที่มีครอบครัวแล้ว หันมาเห็นราโมน่าพอดี จึงแอบถ่ายรูปเก็บไปทำข่าวได้อีกเรื่อง


.............................................................................


บทที่ ๒๕

ภายในระยะเวลาชั่วข้ามคืน ข่าวของราโมน่าถูกใส่สีตีไข่ไปต่างๆนานา แล้วแต่ว่าสื่อไหนต้องการจะนำเสนอไปในทิศทางใด โดยทุกสื่อจะมีภาพที่หญิงสาวจูบกับปริพันธ์ออกมาตอกย้ำทุกสำนัก และเนื่องด้วยที่หลายคนรู้ดีว่าดารานางแบบสาวผู้มีภาพลักษณ์อันร้อนแรงและมีข่าวกับผู้ชายหลายคน แต่ก็ไม่เคยมีภาพหลุดออกมาให้เห็นสักครั้ง และเมื่อครั้งนี้เกิดมีภาพฉาวนี้หลุดออกมา จึงเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง บรรดานักข่าวตามเฝ้าถามถึงความสัมพันธ์ของเธอกับปริพันธ์ ราโมน่าตอบได้ไม่เต็มปากเต็มคำนักและพยายามหลบเลี่ยงในการตอบคำถาม และมีนักข่าวบางคนขอไปสัมภาษณ์กับปริพันธ์ แต่ก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์อย่างนุ่มนวล..ฉันทิกาเห็นข่าวนี้เช่นกัน เธอดีใจมาก และฉวยจังหวะนี้ปล่อยข่าวงานหมั้นของสองหนุ่มสาวออกไป โดยไม่รู้ว่า การกระทำนี้ของเธอกำลังทำร้ายจิตใจชญาภาที่แอบนอนร้องไห้ เมื่อหญิงสาวไม่อาจทำใจยอมรับว่า ญาติสาวที่ตนเองชิงชังกำลังจะได้ครอบครองผู้ชายที่เธอหลงรักในเวลาอันใกล้นี้
และไม่เพียงแค่ชญาภาเท่านั้นที่เสียใจ...ในอีกฟากของซีกโลก ร่างสูงเพรียวของอนาวินกำลังสั่นสะท้านด้วยอารมณ์โกรธจนแทบคลั่งกับภาพข่าวในออนไลน์ ซึ่งบัดนี้ แทบพื้นเขาเกลื่อนด้วยเศษวัสดุของจอโทรทัศน์ที่ถูกทุบพังไม่เหลือชิ้นดี กำปั้นแดงช้ำและมีริ้วรอยถลอกขีดข่วนยังกำแน่น ดวงตาดุดันยังจ้องเขม็งกับเศษซากอย่างไม่รู้สึกหนำใจในสิ่งที่ทำลาย ภายในใจผุดคำถามขึ้นมาอย่างเจ็บแค้น..เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย ราโมน่าถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขา..เธอกล้าดีอย่างไรถึงได้ทรยศต่อความไว้วางใจของเขา!



ราโมน่านั่งลูบใบหน้าอิดโรยของตนอยู่ภายในห้องแต่งตัว..หลายคืนแล้วที่เธอนอนไม่ค่อยหลับ จิตใจอ่อนล้าจากปัญหาที่กำลังรุมเร้า หญิงสาวเหลือบมองโทรศัพท์มือถืออย่างรอคอย..เธอกำลังรอสายจากอนาวินที่เคยโทรหาทุกวันและแม้ว่าเธอจะไม่เคยรับสายของเขานับจากวันที่ตัดสินใจจะตัดขาดจากเขา แต่ในทุกๆวัน เธอก็ยังรอโทรศัพท์จากเขา เพื่อจะได้รู้ว่าเขายังคงห่วงหา..แต่นับจากวันที่มีข่าวฉาวระหว่างเธอกับปริพันธ์ออกไป โทรศัพท์จากบุคคลที่เธอเฝ้ารอคอยก็เงียบหายไป ไม่มีแม้ข้อความที่เคยฝากไว้..หลายคืนที่เธอนั่งร้องไห้ด้วยความคิดถึงและความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อตัวเขา ทั้งๆที่ตัวเธอพยายามทำใจให้ชินกับการไม่มีเขา แต่จนแล้วจนรอด..ความทรมานจากความคิดถึงยังคงเกาะกินใจไม่สร่างซา ความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขานั้นมีมากมาย เธออยากได้ยินเสียงพูด เสียงหัวเราะ และเสียงเต้นของหัวใจที่เธอได้ยินมันยามซุกซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีก..และสิ่งเหล่านั้น เธอคงสามารถสัมผัสมันได้แค่ในฝันเท่านั้น

“โม้นา เสร็จรึยังจ๊ะ” จู่ๆเสียงของผู้จัดการก็ดังมาจากด้านหลัง

ราโมน่ารีบเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอหน่วยตา ก่อนเก็บโทรศัพท์มือถือและเครื่องสำอางใส่กระเป๋าถือ
“เสร็จแล้วค่ะ”

เจ๊ต้อยเดินมาหยุดมองหญิงสาวอย่างจับพิรุจ “เข้ามาตั้งนาน นึกว่าเก็บของเสร็จแล้วซะอีก”

“เมื่อกี้โม้นามัวแต่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ค่ะ เลยยังไม่ได้เก็บอะไรเลย”

“แต่เมื่อกี้พี่เห็นเรานั่งเหม่อๆอยู่นะ”

“โม้นาก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเท่านั้นเอง”

“ไม่ใช่ว่า..กำลังคิดเรื่องงานแต่งอยู่เรอะ”

ราโมน่ายิ้มแกนๆ
“เปล่าค่ะ”

เจ๊ต้อยหรี่สายตาลง
“นี่โม้นา เจ๊ขอถามอะไรหน่อยเถอะ อย่าว่าอะไรเจ๊เลยนะ”


“เจ๊จะถามอะไรหรือคะ”

“ก็..ไหนๆเราก็อยู่ด้วยกันมานานแล้ว..พี่อยากรู้จริงๆเลยนะว่า..เอ่อ..”

ราโมน่ามองเขาอย่างกังขาในท่าทีอ้ำอึ้ง
“เจ๊อยากรู้อะไรคะ”

“ก็..” เจ๊ต้อยปรายสายตามองท้องของเด็กในสังกัด ก่อนถามออกไปตรงๆ “โม้นาท้องอย่างที่มีข่าวออกมารึเปล่า”
ผู้ถูกถามแสดงอารมณ์ขึ้งโกรธในสีหน้า จนผู้จัดการหนุ่มรีบออกตัว

“ที่เจ๊ถามก็เพราะเป็นห่วงนะ ที่จู่ๆก็มีข่าวว่าโม้นาจะแต่งงานในเดือนสองเดือนนี้น่ะ..ใครๆเขาก็คิดว่าโม้นาท้องน่ะสิ ถึงได้มีข่าวแต่งงานสายฟ้าแลบแบบนี้น่ะ..เนี่ย พวกนักข่าวมันมารุมถามเจ๊ เจ๊ก็บอกว่าไม่จริ๊ง ไม่จริง โม้นาไม่ได้ท้องอย่างที่คนเขาพูดกันหรอก..แต่จริงๆแล้ว เจ๊ก็หวั่นๆเหมือนกันนะ เพราะถ้าหากโม้นาท้องจริงๆ เจ๊คงหน้าแหกยับเยินเลย” เจ๊ต้อยทำท่าเจี๋ยมเจี้ยม

ราโมน่าถอนใจพรืด พร้อมรวบกระเป๋าถือลุกขึ้นยืน
“เจ๊ไม่หน้าแหกหรอกค่ะ เพราะโม้นาไม่ได้ท้อง” แล้วก็เดินนำผู้จัดการหนุ่มออกจากห้องด้วยความอึดอัดคับใจ เพราะขณะนี้ งานแต่งงานของเธอได้ถูกกำหนดขึ้นมาแล้วในอีกสองเดือนข้างหน้าจากการร่วมมือระหว่างป้าของเธอกับมารดาของปริพันธ์ที่เป็นหัวเรือใหญ่จัดเตรียมทุกอย่าง..ส่วนเธอ มีหน้าที่สวมชุดเจ้าสาวเดินเข้าพิธีเท่านั้น

แต่สำหรับเธอ..วันนั้น เป็นวันที่เธอเดินเข้าสู่ลานประหาร..



เจ๊ต้อยขับรถมาส่งราโมน่า แต่หญิงสาวขอลงข้างทางใกล้กับที่พัก เพราะอยากเดินสูดอากาศแห่งความอิสระให้ชุ่มปอด เพราะรู้ว่า ทันทีที่เธอย่างเท้าเข้าไปภายในคอนโดมิเนียม ทุกสายตาจะต้องคอยเฝ้าดูเธอตามคำสั่งของผู้เป็นป้า..หญิงสาวเดินเรื่อยเอื่อยไปตามทางเท้า รถยนต์บนท้องถนนแล่นมาจากด้านหลังผ่านไปคันแล้วคันเล่า สายตาของเธอทอดมองในความว่างเปล่า และในทันใดนั้น! รถตู้ราคาแพงติดฟิลม์ทึบปราดเข้ามาจอดพร้อมประตูด้านข้างเลื่อนเปิดให้เธอตื่นตะลึง สองขาขยับถอยหนีได้เพียงก้าวเดียว ร่างก็ปะทะกับแผ่นอกหนาของชายร่างสูงที่เดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอก็ไม่รู้ตัว..กว่าจะรู้ตัว เธอก็ตกอยู่ในการควบคุมของวงแขนแกร่งพร้อมผ้าที่มีกลิ่นแปลกๆโปะเข้ามาที่จมูกให้เธอดิ้นรน ตื่นกลัวอย่างสุดใจได้ไม่กี่วินาที ทุกสิ่งรอบตัวพลันดับวูบ



ราโมน่าขยับตัวเล็กน้อยบนที่นอนหนานุ่ม สติของหญิงสาวยังเลื่อนลอยอยู่ในภวังค์ของห้วงนิทรา และผินใบหน้าไปตามกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคย ก่อนขยับตัวเข้าเบียดซุกความอบอุ่น ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ..และในความสุขนั้น เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจผ่าวรินรดอยู่เหนือศีรษะ และน้ำหนักแขนที่พาดอยู่บนเอว และนอกจากนั้น ยังสัมผัสถึงปลายนิ้วที่ลูบเล่นแผ่วเบาตรงบั้นเอว

หญิงสาวขมวดคิ้ว ก่อนจะลืมตาโพลง เมื่อแน่ใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้มันไม่ใช่ความฝัน แต่เธอต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่า บุคคลที่กำลังนอนกอดเธออยู่นั้น คือ อนาวิน!

“พี่จิล!”

พร้อมพยายามจะผุดลุกขึ้นนั่ง แต่ถูกเขากระชากเข้ามากอด พร้อมพลิกตัวกักเธอไว้ใต้ร่างแข็งแกร่ง ใบหน้าเข้มโน้มต่ำ แค่นเสียงพูดดุดัน
“กลัวอะไรพี่นักหนาเรอะ! ราโมน่า”

“โม้นาไม่ได้กลัว..แต่กำลังตกใจ ที่จู่ๆก็ถูกพี่ลักพาตัวมาแบบนี้” เธอตอบไปอย่างใจเย็น เพราะรู้ว่าเขากำลังโกรธ..และถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากให้เรื่องราวระหว่างเขากับเธอจบลงด้วยดี ไม่ใช่จบลงด้วยความเกลียดชัง

“แล้วถ้าพี่เชิญตัวมาดีๆ โม้นาจะยอมมาอย่างนั้นเรอะ ในเมื่อ กะอีแค่โทรศัพท์ โม้นายังไม่อยากจะรับเลย”

หญิงสาวกล้ำกลืนในคำต่อว่านั้น
“..โม้นาขอโทษ..โม้นาแค่คิดว่า ถ้าโม้นาไม่รับโทรศัพท์ของพี่ เดี๋ยวพี่ก็คงเลิกโทรหาไปเอง..เพราะถึงอย่างไร ไม่ช้าก็เร็ว วันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่แล้ว ”

อนาวินกัดกรามแน่น นึกฉุนเฉียวในคำแก้ตัวนั้น..หลายคืนที่เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการข่มใจไม่ให้ตัวเองบุกตะลุยมาอาละวาด และประกาศดังๆให้ผู้คนได้รับรู้ ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของเขา และจะเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น ใครหน้าไหนก็อย่าได้สะเออะเข้ามาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาเอามันตายแน่!

“เหตุผลมันฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยนะราโมน่า ทำไมไม่พูดความจริงออกมาเลยล่ะ ว่าเบื่อพี่แล้วเลยอยากจะหาผู้ชายคนใหม่น่ะ”

ผู้ถูกกล่าวหาถึงกับหน้าตึง..แค่ปัญหาที่เธอเผชิญอยู่ในขณะนี้มันก็หนักหนาสาหัสเกินจะทนแล้ว แล้วยังต้องมารองรับอารมณ์จากเขาอีกหรืออย่างไร..ฝ่ามือบางซัดเผียะบนแผงอกอย่างเหลืออด อารมณ์ที่สั่งสมมาหลายวันระเบิดออกมาอย่างสุดกลั้น

“อย่ามาพูดพล่อยๆแบบนี้นะ” และพยายามดิ้นรนให้พ้นออกไปจากตัวเขา “ปล่อยนะ! โม้นาจะกลับแล้ว” แต่เขาก็ไม่ยอมให้เธอดิ้นหนีไปง่ายๆ

“จะรีบไปหาไอ้หมอนั่นรึไง”

“พี่ปอเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยนะ”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อมันไม่ใช่เรอะที่จะมาแย่งเมียคนอื่นน่ะ”

“พี่จิล! ถ้าพี่ไม่มีเหตุผลแบบนี้เราก็ไม่ต้องมาพูดกัน”

“ทนฟังความจริงไม่ได้รึไง” อนาวินกระชากร่างหญิงสาวกดแน่นบนที่นอน ตรึงสองมือของเธอด้วยมือเขา และตรึงร่างกายเธอด้วยร่างกายของเขา “พี่ไม่อยู่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น โม้นาก็โผไปหาผู้ชายคนอื่น แถมยังประกาศตัวอย่างออกหน้าออกตา แบบนี้มันหยามกันชัดๆ”

“จะบ้ารึไง!”
ราโมน่าตวาดแหว พร้อมทั้งตีทั้งทุบเขาในทุกๆจังหวะที่สามารถจะหาได้..ทั้งโกรธ..ทั้งน้อยใจ..ที่เขาไม่คิดจะรับฟังความจริงใดๆเลย
สงครามย่อยๆจึงเกิดขึ้น เมื่ออนาวินนั้นอยู่ในอารมณ์หึงหวงจนเกินกว่าจะฟังเหตุผลใดๆ ภาพที่ราโมน่าจูบกับปริพันธ์ผุดขึ้นชัดเจน ยิ่งทำให้เขาเกรี้ยวกราด ทว่า..ผิวกายนุ่มนวลหอมกรุ่นที่เสียดสียามต่อสู้ดิ้นรน กลับปลุกอารมณ์ดิบให้ลุกโชน และระยะเวลาที่ต้องห่างเหินจากเรือนร่างที่แสนเย้ายวนกำลังเรียกร้องให้ไขว่คว้าในสิ่งที่โหยหา และเขาก็ไม่ยอมทนเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ให้ทรมานใจเป็นอันขาด..สองมือที่พยายามรวบตรึงสองมือบางที่พยายามระดมทุบเขาผละออกเพื่อเปลี่ยนเป็นลูบคลำจาบจ้วงอย่างถือสิทธิ์

“ไม่ต้องมาทำแบบนี้เลยนะ”

หญิงสาวปัดมือที่เลื่อนมาเกาะกุมหน้าอกอย่างหัวเสีย และเห็นเขาแค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนกระชากเสื้อของเธอขาดติดมือ
“ว้าย! ไอ้พี่จิลบ้า..”

เสียงกรี๊ดแหลมหลุบหายไปในลำคอยามเขาทาบทับปิดริมฝีปากแน่น และเริ่มเรียกร้องดุดัน..ราโมน่าดิ้นอึกอัก และหมายจะกัดปลายลิ้นที่ซอกซอน แต่อนาวินรู้ทัน เขารีบผละจากพร้อมเลิกคิ้วถามอย่างท้าทาย

“คิดจะกัดพี่รึไง”

“ใช่ จะกัดให้ลิ้นขาดเลย” เธอตอบอย่างเข่นเขี้ยว

“งั้นก็ลองดู” อนาวินแค่นยิ้มมาดมั่น กระชากถอดเสื้อของตนโยนทิ้ง ก่อนคว้าร่างที่เตรียมกระโจนหนีให้ถลากลับมาบนเตียงอีกครั้ง พลางฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเธอจนหมดสิ้นด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแม่นยำ แววตากระหายแรงกล้ากวาดไล้ทั่วเนื้อตัวอวบอิ่มงดงามที่เขาหลงใหล

ราโมน่ารู้สึกถึงความแห้งผากของลำคอเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อเขาผละห่างเพียงเพื่อกำจัดเสื้อผ้าที่เหลือ และนึกเกลียดตัวเอง ที่เพียงสบตาเร่าร้อนของเขาเท่านั้น เลือดในกายของเธอก็เดือดพล่าน ร่างกายร่ำๆอยากสนองตอบอารมณ์ปรารถนาของเขาเสียเดี๋ยวนี้
ร่างเพรียวสวยงามด้วยกล้ามเนื้อโถมกลับมาหาร่างนุ่มละมุนอีกครั้ง บดขยี้ทรวงอกอวบอิ่มด้วยแผงอกแกร่ง และริมฝีปากร้อนผ่าวแนบประทับดุดัน จากนั้น ความรู้สึกของเธอก็หมุนคว้าง เสียงที่นึกอยากประท้วงดังอื้ออึงในลำคอที่เธอฟังแล้วเหมือนเป็นเสียงครางเสียมากกว่า อารมณ์เตลิดเพลิดร้อนรุ่มกับไฟสวาทที่กำลังแผดเผา ร่างกายบิดเร่าเกาะเกี่ยวร่างกายเขาอย่างเรียกหาสิ่งเติมเต็ม และเขาปล่อยให้เธอทรมานไม่นานนัก เพราะตัวเขาเองก็ไม่อาจรั้งรอได้เหมือนกัน เร่งพาตัวเองจมดิ่งลงในความร้อนระอุอันแสนหวาน ถาโถมโจนทะยานสู่ความหฤหรรษ์ที่รออยู่อีกไม่ไกล..อนาวินมีทั้งอารมณ์ปรารถนารุนแรงปะปนกับความเกลียดชังในโชคชะตาที่ลิขิตให้เขาเผลอใจลุ่มหลงไปกับผู้หญิงที่ไม่สมควรจะยุ่งเกี่ยวด้วย และโชคชะตายังกลั่นแกล้งบีบคั้นให้เขารู้สึกโมโหจนแทบคลั่ง เมื่อคิดว่าจะต้องเสียเธอไปให้กับผู้ชายคนอื่น ซึ่งในวินาทีนั้น..เขารู้ตัวแล้วว่า เธอคือทั้งหมดที่เขามี เป็นทั้งหัวใจและวิญญาณของเขา..และเขาจะต้องตกอยู่ในสภาพไหน หากต้องสูญเสียเธอไปตลอดกาล!




ราโมน่านอนหนุนลำแขนแกร่ง ปลายนิ้วของเธอพันเกี่ยวเล่นกับปอยผมของตัวเอง สายตาทอดมองฝ้าเพดานอย่างเลื่อนลอย หลังพายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำเมื่อครู่ได้พัดผ่านไปแล้ว หลงเหลือเพียงความสุขสมที่ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในความรู้สึก และร่างกายมีอาการเจ็บแปลบเล็กน้อยจากการถูกเขาขบเม้มบนผิวอ่อนที่ไวต่อความรู้สึกและบทรักอันรุนแรง แต่เธอก็ไม่คิดโกรธในการกระทำนั้น สำหรับเธอ..มันคือผลพวงของความรักและความสิ้นหวัง

น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมา เมื่อคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเอ่ยคำลากับเขาอย่างจริงจังเสียที..แต่เธอจะต้องรวบรวมพลังใจมากแค่ไหน ถึงจะสามารถพูดตัดขาด โดยที่ไม่ต้องร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าเขาได้

เปลือกตาฉ่ำชื้นกระพริบถี่เพื่อไล่น้ำตาให้เหือดแห้ง พร้อมสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ริมฝีปากอิ่มระริกไหวพยายามจะเปล่งเสียงพูดออกมา ทว่า..เขากลับชิงถามขึ้นเสียก่อน
“โม้นาอยากจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นจริงๆเรอะ”

และเป็นคำถามเรียกน้ำตาของเธอให้กลับมาอีกครั้ง
“..โม้นาไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นเลย..”

“แล้วทำไมถึงมีข่าวงานแต่งออกมา มิหนำซ้ำ ยังจูบกับเขาอีกด้วย” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยอารมณ์ขุ่นมัว แต่ท่าทีของผู้ถามยังสงบนิ่ง สายตาเพ่งมองไปข้างหน้าราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง

ราโมน่านิ่งเงียบไปอึดใจ และคิดว่าควรจะบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอให้เขารู้ทั้งหมด..เพื่อเขาจะได้เข้าใจและไม่เกลียดเธออีกต่อไป
“..คุณป้า..ท่านรู้เรื่องของเราแล้วค่ะ..”

อนาวินชะงักงัน ผินใบหน้ามองเธอเขม็ง
“รู้ได้ยังไง!”

“โม้นาไม่รู้หรอกค่ะ แต่คุณป้าบอกว่ามีรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานแล้ว”

อนาวินค่อยๆชักแขนออกจากการหนุนนอนของราโมน่า เปลี่ยนมาเป็นคะแคงข้างใช้ข้อศอกยันน้ำหนักของตัวเอง เพื่อมองดูสาวคนรักได้ถนัดตา พลางนึกไปถึงสุเมธอย่างเจ็บใจ เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่รักษาคำพูด.. ‘ในเมื่อพูดกันดีๆไม่รู้เรื่อง เห็นทีคงต้องสั่งสอนกันบ้าง!’

ราโมน่าพลิกตัวซุกกับแผงอกแกร่ง ราวกับจะหาไออุ่นและหลักพักพิงเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจที่กำลังอ่อนแอของตน
คุณป้าโกรธมาก..ท่านกลัวว่า โม้นาจะทำเรื่องเสื่อมเสียเหมือนอย่างที่แม่เคยทำไว้ เลยให้โม้นาแต่งกับพี่ปอ เพื่อท่านจะได้หมดห่วง..”

“แล้วคุณลุงของโม้นาล่ะ เขาว่ายังไงบ้าง”

“คุณลุงยังไม่รู้หรอกค่ะ..แต่ถ้าโม้นาไม่ยอมแต่งงานกับพี่ปอ คุณป้าก็จะบอกเรื่องนี้ให้คุณลุงรู้..” หญิงสาวขยับตัว เพื่อมองสบตาเขาอย่างโศกตรม “คุณลุงมีความสำคัญกับโม้นามากนะคะ ท่านเลี้ยงดูโม้นามาอย่างดี ในขณะที่คนอื่นต่างก็รังเกียจเด็กที่เกิดมาประจานความเสื่อมเสียของวงศ์ตระกูลอย่างโม้นา..โม้นาไม่อยากทำให้คุณลุงเสียใจแล้วก็ผิดหวัง..พี่จิลอย่าโกรธ อย่าเกลียดโม้นาเลยนะคะ” วอนขอความเห็นใจพร้อมน้ำตาร่วงริน

อนาวินยื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาให้อย่างปลอบประโลม
“แล้วทำไมไม่บอกพี่”

“..โม้นาไม่รู้ว่าจะพูดกับพี่ยังไง..แล้วก็คิดว่าถึงอย่างไรเราก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ และตัวพี่เองก็มีปัญหามากพอแล้ว โม้นาไม่อยากเอาตัวเองไปเป็นภาระของพี่อีก ก็เลยคิดว่า..ระหว่างเรา ให้มันจบไปแบบนี้เป็นการดีที่สุดแล้ว..” เธอบอกเสียงขื่น

“นั่นเป็นแค่ความคิดของโม้นา แต่สำหรับพี่ ตอนนี้โม้นาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพี่แล้ว พี่ไม่เหลือทางที่จะไปไหนได้อีก และถ้าหากโม้นาคิดจะทิ้งพี่ไป นั่นก็เท่ากับโม้นาฆ่าพี่ทั้งเป็น..โม้นาอยากเห็นพี่เจ็บปวดเหรอ..”

“..ไม่..โม้นาไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด..” เธอส่ายหน้าไปมา ทั้งปลื้มใจที่รู้ว่าตนเองมีความสำคัญกับเขาไม่ต่างจากที่เธอมีให้กับเขาเลย แต่มันก็เจือด้วยความเจ็บปวด เพราะเธอรักเขามากเกินกว่าจะทำร้ายเขาได้ ถึงได้ทนแบกรับความเจ็บปวดไว้ทั้งหมด โดยไม่เคยคิดเลย ว่ามันจะเป็นการทำร้ายเขาได้มากมายถึงเพียงนี้..ทุกสิ่งทุกอย่างที่รุมเร้าเธอมันช่างมันมืดมนสับสน และเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับอนาคตที่ไม่อาจคาดเดา

“..ขอโทษ..โม้นาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี..โม้นาขอโทษจริงๆค่ะพี่จิล..”

อนาวินดึงร่างที่ก้มหน้าสะอื้นไห้ด้วยความสิ้นหวังมากอดแน่น..ตัวเขาเองไม่เคยคิดเลยว่าจะรู้สึก รัก และ เจ็บปวด ให้กับผู้หญิงคนไหนได้มากมายถึงเพียงนี้..แต่เมื่อในขณะนี้ เขาได้ตระหนักดีแล้วว่า ไม่อาจทนสูญเสียราโมน่าไปได้ เขาคงต้องยอมแลกทุกอย่าง เพื่อให้ได้เธอมาอยู่เคียงข้าง..แต่เมื่อถึงที่สุดแล้ว ถ้าสิ่งที่เขาแลกไปมันยังไม่เพียงพอ เขาก็จะขอแลกมันด้วยชีวิต!

“ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันแล้ว..อย่าเพิ่งไปคิดถึงอนาคตเลยนะ คนดี” เสียงกระซิบปลอบโยน ยามริมฝีปากอุ่นชื้นจูบซับน้ำตา พลางเลื่อนมาคลอเคลียกับริมฝีปากอิ่มที่ยังแดงช้ำไม่หายจากรสจูบที่ไม่เคยเพียงพอสำหรับเขา และทรวงอกอวบใหญ่ที่เขาชื่นชอบที่จะได้โอบกุมครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมๆกับมองดูเธอสะท้านหวามไหวต่อการเล้าโล้มของเขา กดสะโพกลงเสียดสีกับความอ่อนนุ่มอย่างหยอกเย้า ขณะถามเสียงแปร่งปร่าที่ข้างหู

“ไม่เจอพี่ตั้งหลายวัน..คิดถึงกันบ้างมั้ย” และขบใบหูบางเล่นเบาๆให้เธอถอนใจเฮือก ก่อนตอบเขาเสียงแผ่วหวิว ด้วยจิตใจที่เริ่มจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะมันพร้อมจะคล้อยตามการชักนำของเขาในทุกขณะจิต

“..คิดถึงสิคะ”

“งั้นก็พิสูจน์สิ..พิสูจน์ให้เห็น ว่าโม้นาคิดถึงพี่มากแค่ไหน”

ราโมน่ามองสบรอยยิ้มท้าทายอันแสนเชิญชวนเพียงครู่ ก็เหนี่ยวรั้งร่างเขาให้ลงไปนอนโดยเธอพลิกร่างขึ้นมาอยู่เหนือร่างแกร่งกำยำเสียเอง
“งั้นโม้นาจะพิสูจน์ให้เห็น..ว่าโม้นาคิดถึงพี่มากแค่ไหน” เธอกระซิบบอกอย่างเย้ายวน


ความสุขในค่ำคืนนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะยาวนานไปอีกสักแค่ไหน ทั้งอนาวินและราโมน่าจึงได้แต่ไขว่คว้า สนองความรักที่มีให้กันเท่าที่ชาย-หญิงจะสามารถให้และรับซึ่งกันและกันได้ จนกระทั่ง ความเงียบของราตรีปกคลุมอีกครา..ภายใต้เงาสลัวของแสงไฟภายนอกที่ผ่านกระจกบานหนาเข้ามา อนาวินนอนเท้าศีรษะมองคนที่หลับสนิทซุกตัวอยู่กับอกของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ฝ่ามือเกลี่ยลูบกลุ่มผมยุ่งเหยิงให้พ้นจากดวงหน้างดงาม ที่ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้ง หรือเชยชมเรือนร่างนี้สักกี่หน เขาก็ไม่เคยเบื่อหน่าย แต่นับวัน..ความรู้สึกกลับยิ่งผูกพันกับเธอมากขึ้น ทั้งห่วงหาและหวงแหน จนไม่อยากห่างจากเธอเลยแม้สักนาทีเดียว แต่ด้วยภาระหน้าที่และความบาดหมางระหว่างตระกูล ทำให้เขาจำต้องสวมหน้ากากต่อหน้าทุกคน ทำเหมือนว่าเขาเมินเฉยไร้ความรู้สึกต่อการมีตัวตนของเธอ ทำเป็นไม่สนใจเวลาเดินสวนกันภายในงานเลี้ยง หรือแม้แต่ข่าวของเธอซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในแง่ลบ เขาก็จำต้องทนทำเป็นไม่ใส่ใจ ทั้งๆที่ภายในใจนึกอยากจะไปเผาไอ้สถานีข่าวช่องนั้นให้รู้แล้วรู้รอดที่พวกมันเล่นข่าวของเธอจนเกินจริง

ชายหนุ่มค่อยๆขยับตัวก้าวลงจากเตียงและหยิบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนเดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ

ภายในห้องนั่งเล่น โทรทัศน์ยังเปิดอยู่ แต่ร่างของคนที่นอนยาวเหยียดบนโซฟากลับเผลอหลับไปได้ครู่ใหญ่แล้ว แต่ประสาทสัมผัสยังคงตื่นตัวอยู่เสมอ และมันส่งสัญญาณปลุกเขาให้ลืมตาตื่นจากนิทราทันทีที่แว่วเสียงเปิดประตู และเงาของร่างที่ก้าวเข้ามาในแสงสลัวทำให้อาการเคร่งเครียดของกล้ามเนื้อค่อยคลายตัว เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเจ้านายของตน เขาจึงขยับลุกขึ้นนั่ง เมื่อเจ้านายหนุ่มเดินมาถึงตัว

“ยังไม่นอนอีกหรือครับ คุณจิล”

“นอนไม่หลับ” อนาวินตอบเสียงเนือยพลางยอบตัวนั่งบนโซฟาอีกตัว “อั๊วมีงานให้ทำหน่อย”

“อะไรครับ”

“ไอ้สุเมธมันไม่รักษาสัญญา นายไปจัดการสั่งสอนมันหน่อย..เอาชนิดที่ว่า ให้มันจำไปจนตายเลย”

“ได้ครับ..ว่าแต่ นายสุเมธไปปากโป้งเรื่องของคุณกับใครล่ะครับ”

“ป้าของโม้นา”

คนฟังชะงักงัน มองใบหน้าเคร่งขรึมแล้วก็ให้นึกเครียดขึ้นมาแทน เพราะพอจะคาดเดาได้ว่า เจ้านายหนุ่มคงไม่ยอมเลิกลากับราโมน่าง่ายๆ..และนั่น คงจะนำพาปัญหาใหญ่ระหว่างสองตระกูลขึ้นมาอีกระลอกแน่..และเขาก็ไม่อยากให้เจ้านายต้องเผชิญกับปัญหาใดๆอีก
“..คุณจิล” เสียงของโจ้เรียกไม่เต็มเสียงนัก อนาวินมองสบแววตาห่วงใยของลูกน้องคนสนิท

“อะไร..”

“คือ..ผมอยากจะขอพูดเรื่องของคุณโม้นาหน่อยครับ”

อนาวินนิ่วหน้า พลางกอดอกพิงร่างกับพนักพิง
“ว่ามา”

“..คุณต้องสัญญาว่าจะไม่โกรธผมนะครับ” โจ้ยังกึ่งกล้ากึ่งกลัวที่จะพูดออกไป คนฟังชักสีหน้าฮึดฮัด

“เออ สัญญา..แต่ถ้ายังขืนลีลา นายได้โดนเตะแน่”

โจ้ยิ้มเจื่อน ก่อนจะเริ่มพูดอย่างจริงจัง
“..คือ เรื่องระหว่างคุณกับคุณโม้นาน่ะ..คุณไม่ลองคิดอีกทีหรือครับ ว่าควรจะปล่อยเธอไปดีกว่า ก่อนที่เรื่องมันจะลุกลามบานปลาย เพราะแค่นี้..เราก็วุ่นวายมากพอแล้วนะครับ”

โจ้พูดแล้วก็เกร็งไปหมด เพราะเกรงว่าเจ้านายจะโกรธ..แต่สิ่งที่เจ้านายหนุ่มทำก็เพียงแค่ถอนใจยาวกับใช้สองมือลูบใบหน้าของตนเอง ก่อนจะทิ้งศีรษะแหงนพิงพนัก

“ตราบใดที่นายยังไม่เคยรักใคร..นายจะไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าโม้นามีความสำคัญสำหรับอั๊วมากแค่ไหน..เขาเป็นทั้งความทุกข์และความสุข ที่อั๊วไม่สามารถตัดใจโยนทิ้งไปได้..และในเมื่อไม่สามารถทิ้งเขาไปได้ อั๊วก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เขามาอยู่ด้วยกัน..” ชายหนุ่มตอบแล้วก็ปล่อยอารมณ์ให้ลอยคว้างอยู่ในความคิดของตนชั่วครู่ ก็หยัดร่างนั่งตัวตรง มองลึกเข้าไปในดวงตาของลูกน้องคู่ใจ

“ใช่ อั๊วยอมรับว่า ถ้าหากยังคบกับโม้นาต่อไปจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่ โดยเฉพาะกับป๊า..แต่อั๊วก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจด้วย..ว่าแต่นายเถอะ เลือกที่จะอยู่กับอั๊ว หรือเลือกที่จะไปล่ะ”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไร ผมจะอยู่กับคุณจนลมหายใจสุดท้ายเลยครับ” โจ้ยืนยันหนักแน่น

“แม้ว่าจะต้องขัดคำสั่งของป๊า นายก็ยังจะอยู่กับอั๊วเหรอ”

โจ้นิ่งไปอึดใจ..ชีวิตที่เกิดมาไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแม่ มีเพียงหลวงตารูปเดียวเท่านั้นที่เลี้ยงดูและส่งเสียให้เล่าเรียนจนถึงระดับปริญญาและเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้เขาได้เห็นถึงอนาคตที่โชติช่วง แต่เพราะความริษยาของคนเพียงคนเดียวมันสามารถทำลายสิ่งที่เขาตั้งความหวังไว้จนพังทลายไม่มีเหลือ และมันได้คร่าทุกอย่างไปจากเขา พร้อมๆกับลมหายใจสุดท้ายของหลวงตา ในตอนนั้นเขายอมรับว่า ตัวเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับความทุกข์ทรมานนั้นได้ จนปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในความมืดมนอันเหน็บหนาว และกว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อมืออันแข็งแกร่งของผู้เป็นนายใหญ่หยิบยื่นความไว้วางใจให้เขาคอยดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างใกล้ชิด และนั่นเปรียบเสมือนแสงสว่างที่พาความอบอุ่นมาให้หัวใจของเขาอีกครั้ง..แต่ถึงแม้ว่า อชิรจะมีบุณคุณกับเขามากเพียงไร แต่เขาก็เลือกที่จะอยู่เคียงข้างอนาวินมากกว่า เพราะจากความใกล้ชิด พร้อมๆกับมิตรภาพอันดีอย่างไม่ถือตัวของอนาวินที่หยิบยื่นให้มานานหลายปี ก่อเกิดความผูกพันขึ้นในใจเขามากมาย..หลังจากที่เขาต้องสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้ว อนาวินคือสิ่งใหม่ที่เข้ามาทดแทนให้เห็นความหมายและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เขาจึงเฝ้าดูแลปกป้องเจ้านายหนุ่มเป็นอย่างดี เพราะรู้ดีว่า หากสูญเสียสิ่งสำคัญนี้ไปอีก ในโลกนี้..ชีวิตของเขาก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว

“ในเมื่อคุณบอกว่า คุณเลือกดีแล้ว ผมก็จะบอกว่า ผมเลือกดีแล้วเหมือนกันครับ”

อนาวินแค่นหัวเราะ “งั้นก็อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน”

โจ้หัวเราะแหยๆ “ผมไม่บ่นอยู่แล้ว..แต่ผมก็ยังเสียวสันหลังวาบๆ กับอารมณ์โกรธของเสี่ยล่ะครับ..คุณจิลคิดแผนการเอาตัวรอดไว้หรือยังครับ”

“งานนี้คงรอดยากว่ะ” อนาวินบอกให้คนฟังใจแป้ว พลางไหวไหล่

“แต่ก็เอาเถอะ ยังไงป๊าก็ไม่ถึงกับจับอั๊วถ่วงน้ำหรอก”

คนฟังยิ่งหน้าเจื่อน เพราะถ้าหากเจ้านายหนุ่มต้องถูกลงโทษ ตัวเขาเองก็คงรอดยากเช่นกัน

อนาวินหัวเราะขำกับท่าทางของลูกน้องคู่ใจ
“จะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะเว้ย”

“โธ่ มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงอยากเปลี่ยนใจก็คงไม่ทันแล้วล่ะครับ คุณจิล”

“งั้นก็เตรียมใจไว้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แต่ไม่ว่ายังไง..อั๊วก็ไม่มีวันเลิกกับโม้นาเด็ดขาด” พลางลุกขึ้นยืน“เรื่องนี้นายไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของอั๊วคนเดียวล้วนๆ ป๊าไม่พาลมาถึงนายหรอก..นายไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้มีแรงทำงานตามที่อั๊วสั่ง” และเดินกลับเข้าห้องนอน

โจ้ได้แต่มองตามด้วยความหนักใจ




อนาวินมาเยี่ยมบิดาที่โรงพยาบาลในตอนใกล้เที่ยง และพามารดาลงมาทานอาหารกลางวันด้วยกัน และวันนี้เขารู้สึกโล่งใจที่น้องสาวไม่ได้มาเยี่ยมในช่วงเวลานี้ เพราะไม่เช่นนั้น นิสัยสอดรู้สอดเห็นของน้องสาวคงทำให้เขาหาเวลาอยู่ตามลำพังกับมารดาไม่ได้แน่
เมธิกามองลูกชายที่เธอเฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี จนมองได้ทะลุปรุโปร่งว่าตอนนี้เขากำลังมีเรื่องเดือนเนื้อร้อนใจที่หาทางแก้ไขไม่ได้ และจากที่เธอสังเกตตั้งแต่ลูกชายนั่งอยู่ภายในห้องพักฟื้น สายตาของลูกแอบชำเลืองมองมาหลายครั้ง จึงคิดว่าลูกคงต้องการความช่วยเหลือจากเธอ และก็ทำให้เธอเดาได้ต่อไปอีกว่า อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้ลูกแก้ไขปัญหาไม่ได้ก็คือ สามีของเธอเอง
และเมื่อทั้งหมดก้าวออกมาจากตัวลิฟต์ อนาวินหันไปสั่งบอดี้การ์ดของบิดา

“บาส นายไปรอที่รถก่อน อั๊วมีเรื่องจะพูดอะไรกับคุณนายหน่อย”

“ครับ”

ชายหนุ่มมองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินไปกับบรรดาผู้ติดตามอีกสามคน เขาหันกลับมาทางมารดาและพาเดินไปยังสวน โดยมีร่างของโจ้เดินตามมาทิ้งระยะไม่ห่างนัก

“ผมขอพูดอะไรกับแม่แป๊บเดียวนะครับ แม่คงยังไม่หิวมากใช่มั้ย”

“ยังหรอกจ้ะ..ว่าแต่เราเถอะ จะพูดอะไรกับแม่ล่ะ” เธอถามพลางเดินไปนั่งเก้าอี้ยาวใต้ร่มเงาไม้ใหญ่

อนาวินยอบตัวลงนั่งเคียงข้างมารดา ผู้เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยเขาในเรื่องของราโมน่า
“..ผมมีเรื่องจะขอให้แม่ช่วยหน่อยครับ”

เมธิกามองลูกอย่างตั้งใจฟัง และเห็นว่าลูกกำลังใช้ความพยายามอย่างหนักในการเรียบเรียงคำพูด
“..คือ ตอนนี้ ..ผมรักผู้หญิงอยู่คนนึงครับ”

เมธิกามองลูกชายอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นหรือได้ยินข่าวของลูกชายในเรื่องผู้หญิง เพียงแต่ว่า ยังไม่เห็นลูกจะมีท่าทีจริงจังกับผู้หญิงคนไหนสักที แล้วจู่ๆ เมื่อได้ยินลูกพูดเช่นนี้จึงเป็นเรื่องประหลาดใจและยินดีในเวลาเดียวกัน
“แล้วผู้หญิงคนนี้มีปัญหาอะไรล่ะ ลูกถึงต้องมาขอความช่วยเหลือ แทนที่จะพาเขามาให้แม่เห็นหน้าค่าตาล่ะ”

“ความจริง..แม่อาจจะเคยเห็นเขาแล้วก็ได้ครับ”

คนฟังยิ่งนิ่วหน้า
“ใครกัน”

ท่าทางของลูกชายยิ่งเคร่งเครียดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่ชื่อของผู้หญิงปริศนาคนนั้นจะหลุดออกมาจากปาก
“..เธอชื่อ..ราโมน่า เรืองรัตนากร ครับ”

ใบหน้าที่ตั้งใจฟัง พลางนึกไปถึงดารานางแบบสาวลูกครึ่งผู้มีรูปลักษณ์สวยงามจัดจ้านที่เธอเคยเห็นตามสื่อต่างๆ แต่เพียงชั่ววินาทีที่นึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงที่ลูกเอ่ยถึงเป็นใครใบหน้าพลัน! เผือดซีด

“อุ๊ยตายแล้ว! ป๊าไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้แน่” ถึงเธอจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องงานการของสามี แต่ความขัดแย้งของอีกตระกูลที่เป็นเรื่องเป็นราวนานับสิบปี มันก็พอให้เธอได้รู้เรื่องราวจากสื่อต่างๆ แล้วยังเหตุการณ์ที่ลอบทำร้ายสามีของเธอจนทำให้เกิดความสูญเสียไปหลายชีวิต อีกฝ่ายก็ยังตกเป็นจำเลยอยู่ในสายตาของสังคม และความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในใจของสามีนั้น มันทำให้เส้นทางความรักของลูกยากที่จะเป็นไปได้

อนาวินจับมือมารดามากุมขอความเห็นใจ
“เพราะแบบนี้ไงครับ ผมถึงอยากจะขอให้แม่ช่วย”

เมธิกาอึกอัก
“เรื่องอื่นป๊ายังพอจะฟังแม่..แต่สำหรับเรื่องนี้..แม่ไม่รู้จะช่วยพูดยังไง..”

“ผมรู้ว่าความบาดหมางที่มีกันมานาน มันทำให้ยากที่จะทำให้ป๊ายอมรับในตัวของโม้นา..แต่ผมก็รักเขามาก เกินกว่าจะปล่อยให้เขาหายไปจากชีวิตของผม..และถ้าเป็นคนอื่น ผมคงไม่สนใจหรอกว่าเขาจะคิดยังไง แต่ไม่ใช่สำหรับป๊า..แล้วผมก็จนปัญญาจริงๆ เพราะอย่างนี้ ผมถึงต้องมาขอร้องให้แม่ช่วย..แม่ต้องช่วยผมนะครับ”

เมธิกามองสบสายตาวิงวอนของลูกอย่างเห็นใจ..เธอเลี้ยงดูลูกชายเป็นอย่างดีมาทั้งชีวิต และไม่เคยคิดว่า ลูกชายที่เพียบพร้อมเป็นที่หมายตาของสาวๆทั่วบ้านทั่วเมือง กำลังจนตรอกกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอเลยว่าเป็นอย่างไร นอกจากจะเห็นหญิงสาวผ่านสื่อเท่านั้น..และข่าวฉาวที่ออกมาล่าสุดกับลูกชายนายธนาคารนั้น ก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีต่อภาพพจน์ของราโมน่าเอาเสียเลย

“จิล..ผู้หญิงคนนี้เขารักลูกแน่เหรอ เพราะแม่เพิ่งเห็นว่าเขากำลังเป็นข่าวอยู่กับผู้ชายอีกคน..แม่ว่า มันไม่คุ้มหรอกนะที่ลูกจะเสี่ยงทำอะไรเพื่อผู้หญิงคนนี้”

“โม้นารักผม” อนาวินยืนยันหนักแน่น “แล้วตอนนี้เธอก็กำลังเป็นทุกข์มากกับการรักผม..ผมถึงอยากทำอะไรเพื่อเธอบ้าง ให้เธอได้มั่นใจในตัวผม ว่าเรายังมีความหวังที่จะรักกันได้..แล้วสิ่งที่ผมทำเพื่อโม้นา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ผมก็คิดว่ามันคุ้มที่สุดแล้วครับแม่”

เมธิกามองสบสายตามุ่งมั่นของลูกแล้วให้สงสารจับใจ เพราะครั้งหนึ่ง เธอก็เคยเป็นทุกข์เพราะความรัก และรู้ดีว่ามันนำพาความเจ็บปวดมาสู่หัวใจมากเพียงใด ซึ่งเธอคงทนไม่ได้ หากต้องเห็นลูกทรมานใจเช่นนั้น
“ถ้าลูกมั่นใจในตัวผู้หญิงคนนี้จริงๆ แม่ก็จะพยายามช่วยลูกให้ถึงที่สุดจ้ะ” บอกพร้อมบีบกระชับมือลูกชาย

ใบหน้าคมเข้มคลี่ยิ้มอย่างมีหวัง ดึงร่างบอบบางมากอดแน่นก่อนหอมฟอดใหญ่ ให้คนในอ้อมแขนพูดกลั้วหัวเราะ
“พอเลย แม่หายใจไม่ออกแล้ว”

ชายหนุ่มคลายวงแขนออก และใบหน้าก็ยังเจือรอยยิ้มออดอ้อนให้คนมองค้อนขวับ
อนาวินลุกขึ้นพลางช่วยพยุงร่างของมารดาให้ลุกตาม
“ขอบคุณแม่มากนะครับ ที่ยอมช่วยผม”

“ไม่ช่วยได้ยังไงล่ะ ก็เราเป็นลูกแม่ทั้งคนนี่นะ”

รอยยิ้มอย่างคลายใจผุดขึ้นบนใบหน้าคมเข้ม แม้ไม่รู้ว่ามารดาจะสามารถช่วยผ่อนปรนอารมณ์โกรธของบิดาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ในวินาทีนี้ เขาก็พอมีกำลังใจที่จะเผชิญกับอารมณ์โกรธของบิดาได้แล้ว


.........................................................................................


จบอีกสองตอนค่า

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2556, 16:13:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2556, 16:13:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 2125





<< บทที่ ๒๒-๒๓   
nunoi 24 ก.ย. 2556, 17:39:36 น.
เมื่อไหร่จะสมหวังกันนะ


goldensun 24 ก.ย. 2556, 18:09:39 น.
ผู้ร้ายก็ไม่แสดงตัวซะที คอยเสี้ยม แถมคนโดนเสี้ยมก็ยุขึ้นซะด้วย
สงสารโม้นาจัง ถูกบีบบังคับจากรอบด้าน ดีที่จิลยังรับฟัง
เมื่อไหร่หางพวกนั้นจะโผล่ ยังไงรู้สึกว่า ลุงชัชของโม้นายังพอมีเหตุผลกว่าพ่อของจิลนะ


ผักหวาน 25 ก.ย. 2556, 11:15:57 น.
ดีที่สุดคือสองคนนี้ หนีไปอยู่ต่างโลกด้วยกันค่ะ


MDDC 30 ก.ย. 2556, 07:03:25 น.
เฮ้อ อีกนานมั้ยนี่กว่าจะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องยุ่งๆทั้งหมด สงสารคู่รักทั้งสองคน


Zephyr 3 ต.ค. 2556, 18:05:47 น.
กลัวป๊า เลยต้องพึ่งคนที่ป้ากลัวและเกรงใจสินะ พี่จิล หึหึ
อารมณ์มาแนวเสี่ยเลยนะ สมัยยังหนุ่มๆ
ลูกไม่ทิ้งเชื้อป๊าจริงๆ
สงสารโม้นาอ่ะ
เหมือนถูกกระทำอยู่คนเดียว
ตอนหลังพวกที่กระทำโม้นา ให้โดนจัดเต็มกันบ้างเถอะ
อยากได้ความสะใจค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account