ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๒๒-๒๓

ขณะที่สุเมธกำลังขับรถกลับบ้านในตอนดึก เขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของรถยนต์คันหลังจากกระจกส่องหลัง ซึ่งกำลังส่ายไปมาเป็นงู

“มันเมาหรือหลับในกันแน่วะ”

สุเมธพึมพำอย่างไม่แน่ใจ เพราะลำพังแค่แสงไฟข้างทางมันไม่สามารถมองทะลุแผ่นฟิล์มที่ค่อนข้างทึบได้ จึงพยายามพารถของตนให้พ้นทางอีกฝ่าย พลางแช่งไล่ส่งท้าย

“เอ้า! จะรีบไปตายห่าที่ไหนก็ไป”

แต่เจ้ารถคันดังกล่าวกลับหักมาชนท้ายเขาเข้าโครมใหญ่ สุเมธสบถลั่นก่อนจอดรถลงไปหมายเคลียร์กับคู่กรณีที่ยังจอดนิ่ง
“เฮ้ย! ขับรถประสาอะไรวะ” พร้อมทุบประตูรถเร่งให้คนขับลงมาเจรจาโดยเร็ว และรอเพียงไม่กี่อึดใจ กระจกฝั่งคนขับก็เลื่อนลงพร้อมรอยยิ้มกริ่มของชายฉกรรจ์ที่สุเมธไม่เคยเห็นหน้า พร้อมผู้ชายอีกสองคนที่นั่งอยู่เบาะผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งกำลังมองเขม็ง..แต่สิ่งที่ทำให้เขาชะงักงัน คือปากกระบอกปืนของคนขับที่จ่อมายังอกของเขา ตามด้วยเสียงห้าวห้วนของอีกฝ่าย

“อยู่เฉยๆ แล้วก็ขึ้นรถมาซะ”

และด้วยสัญชาตญาณที่ตื่นตัวอยู่เสมอของสุเมธ ทำให้เขาเบี่ยงตัวหลบปากกระบอกปืนพร้อมจับมือที่กำปืนของอีกฝ่ายกระชากเข้ากระแทกขอบประตูในฉับพลัน จนได้ยินเสียงกระทบดังโครมใหญ่ให้ผู้ถูกกระทำถึงกับมึนเปิดช่องให้สุเมธแย่งปืนของอีกฝ่ายมาอยู่ในมือเขาได้สำเร็จ แต่ก็เพียงชั่วนาทีเท่านั้น เมื่ออีกสองคนที่เหลือเปิดประตูพรวดออกมาเป็นเป้าให้สุเมธเสียสมาธิ ในขณะที่อีกคนชักปืนยิงทันที

เปรี้ยง!

สุเมธสะดุ้งเฮือกกับความร้อนของคมกระสุนที่พุ่งเจาะเข้าต้นขา และขณะที่ร่างกำลังทรุด เขาก็ถูกเตะซ้ำเข้าปลายคางจนหงายหลังลงไปนอนกองหอบหายใจ หูตาพร่าพราย

เจ้าคนขับรถที่ถูกจับกระแทกกับบานประตูเมื่อครู่ มือยังกุมที่ปลายจมูก เดินมาชะโงกหน้าให้เห็นแววอาฆาตที่แฝงมากับรอยยิ้ม “แหม! นายนี่ฝีมือเอาเรื่องเหมือนกันนะ” ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องให้จับมือมือสุเมธไพล่หลังและใส่กุญแจมือ จากนั้นช่วยกันกึ่งลากกึ่งพยุงร่างที่บาดเจ็บ แต่ยังพยายามดิ้นรนขัดขืนให้สามารถขึ้นมานั่งภายในรถจนได้..ผู้เป็นหัวหน้านั่งประกบข้างพลางหยิบบุหรี่มาจุดสูบอย่างใจเย็น และสั่งให้ลูกน้องอีกคนขับรถของสุเมธนำหน้าไปยังจุดหมาย

“พวกนายจะพาฉันไปไหน” สุเมธถามอย่างใจเย็นพยายามควบคุมสติ และอาการปวดร้าวจากคมกระสุนที่เลือดยังไม่ยอมหยุดไหล

“เดี๋ยวก็รู้” คนนั่งข้างพ่นควันฉุย และสายตาที่ตวัดมองนั้นแสนเย็นเยือก จนสุเมธเริ่มใจคอไม่ดี เมื่อคิดหาหนทางเอาตัวรอดไม่เห็นเลย


ไม่นาน.. สุเมธก็ถูกพาลงจากรถยนต์เดินเข้าป่าหญ้าข้างทางสู่บ้านร้าง ซึ่งมีเพียงแสงไฟจากเทียนไขเท่านั้น
“เอาล่ะ คราวนี้เรามาเข้าเรื่องของเราได้แล้ว”
คนที่เหมือนเป็นหัวหน้าหันมาพูดกับเขา ขณะที่ลูกน้องทั้งสองยืนประกบข้างกาย

“ก่อนเราจะพูดจะถามอะไรกัน..นายไม่คิดจะไขกุญแจมือให้ก่อนเรอะ” สุเมธต่อรอง ใบหน้าเผือดซีดจากการเสียเลือด

อีกฝ่ายแสยะยิ้ม
“เห็นจะไม่ได้”

“เฮอะ! สภาพฉันเป็นอย่างนี้ พวกนายยังจะกลัวกันอีกเรอะ” สุเมธเหยียดยิ้มหยัน

“ปากดีนะมึง! ” หนึ่งในสามทำท่าจะเข้ามาทำร้าย แต่คนเป็นหัวหน้าเอ่ยปราม

“เฮ้ย! ไม่ต้อง..เดี๋ยวมันจะตายซะก่อน” แล้วก็หันมาทางสุเมธ พูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “พวกเราแค่อยากรู้อะไรนิดหน่อย..นายแค่บอกความจริงมา..จากนั้น นายก็กลับไปกกเมียของนายต่อได้”

“นายอยากรู้อะไร” สุเมธถามกลับ พลางคาดหวังว่า อีกฝ่ายจะทำตามอย่างที่พูดจริงๆ

“เราแค่ต้องการรู้ว่า ผู้ชายของราโมน่า เป็นใคร”

สุเมธกวาดสายตามองอีกฝ่ายอย่างพินิจ
“พวกนายเป็นใครกันแน่”

และเขาก็เห็นรอยยิ้มเย็นเยือกอีกครั้ง
“ไม่ต้องถามอะไรมาก แค่ตอบคำถามมาก็พอ อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยาก ไม่อย่างนั้น..ลูกเมียของนายจะเดือดร้อนไปด้วย”

สุเมธนิ่งขึง และจากประสบการณ์ เขารับรู้ได้ทันทีถึงความอำมหิตที่อีกฝ่ายมี ซึ่งมันคงไม่ใช่คำขู่อย่างแน่นอน
“ฮึ! ทำไมใครๆถึงอยากจะรู้เรื่องนี้กันนักนะ”

“ตอบมาเถอะน่า” อีกฝ่ายชักออกอาการหงุดหงิด

“เออ บอกก็ได้วะ” สุเมธครุ่นคิดเพียงเสี้ยวนาทีก่อนตอบไปว่า “ชื่อ..ปริพันธ์”

และทันทีที่จบประโยค กำปั้นแข็งๆพุ่งกระแทกเข้าท้องอย่างจังจนเขาตัวงอ และในอึดใจต่อมา เขาก็ถูกอีกฝ่ายกระชากผมให้เงยขึ้นมาประจันใบหน้าเหี้ยมเกรียม

“อย่ามาลองดีกับกู! กูจะให้โอกาสมึงอีกแค่ครั้งเดียว เพราะกูให้สัญญาเลยว่า ถ้ามึงยังขืนเล่นลิ้นอีก พรุ่งนี้มึงได้เก็บศพลูกมึงเป็นคนแรก ต่อไปก็จะเป็นเมียของมึง แล้วก็จะเป็นพ่อแม่ของมึงปิดท้ายเป็นของแถม”

สุเมธกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่คาดคิดว่าอาชีพการงานของเขาจะเป็นภัยร้ายแรงต่อบุคคลอันเป็นที่รักรอบกาย

“ตอบมาเร็ว” อีกฝ่ายตวาดลั่น สายตาวาววับเกรี้ยวกราด

ผู้ถูกพันธนาการถอนใจอีกเฮือกในชะตาชีวิตที่กำลังจะมาถึง
“ครอบครัวของฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วย..นายรับปากว่าจะไม่ทำอันตรายเขาได้มั้ย”

อีกฝ่ายปรายสายตามอง “ใช่ ตอนนี้ครอบครัวของนายไม่เกี่ยว แต่นั่นก็ขึ้นกับคำตอบของนาย เพราะถ้านายโกหกออกมาอีกคำเดียว ครอบครัวของนายต้องรับผิดชอบด้วย”

ทั้งน้ำเสียงและท่าทางขึงขังของอีกฝ่ายสามารถทำให้สุเมธยอมจำนนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ก็ได้..”เขากล้ำกลืนความหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ก่อนตัดสินใจตอบออกไปในที่สุด “ผู้ชายคนนั้นชื่อ อนาวิน..พาณิชไพศาล..”

“ว่าไงนะ!?” กลุ่มผู้รอฟังอุทานพร้อมกันอย่างตื่นตะลึง

สุเมธแค่นยิ้ม “พวกนายฟังไม่ผิดหรอกว่าผู้ชายที่ราโมน่ากำลังแอบคบอยู่น่ะคือ อนาวิน ประธานของกลุ่มไพศาลกรุ๊ปนั่นไง”

ชายฉกรรจ์ทั้งสามต่างหันหน้ามองกันชั่วครู่ ก่อนผู้ที่เป็นหัวหน้าจะแยกตัวเดินห่างออกไปหามุมเพื่อโทรศัพท์รายงานผู้เป็นนาย..สุเมธพยายามจับจ้อง แต่ความมืดที่รายล้อมทำให้เขาไม่อาจเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายได้ หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง สายตากวาดกลับมายังชายฉกรรจ์ทั้งสองด้วยความครุ่นคิดเพื่อประเมินสถานการณ์ถึงความเป็นไปได้ ว่าถ้าหากเขาเสี่ยงดิ้นรนต่อสู้ทั้งๆที่มือทั้งสองข้างนั้นยังถูกล็อกแน่นหนา และขาอีกข้างที่ปวดจนก้าวแทบไม่ไหวเช่นนี้ โอกาสรอดของเขาจะมีได้มากน้อยแค่ไหน

แต่ดูเหมือนโอกาสของเขาจะหมดลงโดยสิ้นเชิง เมื่อผู้เป็นหัวหน้าเดินผ่านความมืดกลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมมีดสั้นชนิดเดินป่ากระชับมั่นในมือ และในเสี้ยววินาทีต่อมาร่างของเขาถูกจับตรึงแน่นกับผนังด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ตามติดด้วยร่างหนาแกร่งประชิดด้านหลัง น้ำเสียงเย็นเยียบกระซิบแผ่วเบา แต่มันกลับทำให้เขาเย็นวาบไปทั้งไขสันหลัง

“อโหสิด้วยนะ..นายดันเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องที่เป็นอันตรายเกินไป”

“ไม่! เดี๋ยว...”

นั่นคือคำพูดเฮือกสุดท้ายของสุเมธ ก่อนวิญญาณเขาจะหลุดลอยจากการถูกกระหน่ำแทงเข้าชายโครงภายใต้เงาดำมืดของราตรีกาล





ตอนบ่ายจัดในวันต่อมา..ก้องภพกำลังเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวายภายในห้องพักหรูหรา เมื่อได้รู้ข่าวที่ไม่คาดคิดจากญาติผู้พี่ ขณะผู้เป็นเจ้าของห้องนั่งจิบบรั่นดีอยู่อีกมุมห้อง

“นายนั่งลงก่อนซิ จะเดินทำไมนักวะ เห็นแล้วเวียนหัวว่ะ”

“พี่ยังจะใจเย็นอยู่อีก..ผู้ชายของราโมน่าเป็นนาย อนาวินเชียวนะ”

สิทธิโชคถอนใจเฮือก..ในนาทีแรกที่เขาได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นนายถึงเรื่องนี้ เขาเองยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเหมือนกัน และหากยังรอรี สักวัน สองตระกูลนั่นคงรวมหัวกันมาเล่นงานพวกเขาจนได้

“เออ ข้ารู้แล้วน่า..เรื่องของสองคนนั่น เดี๋ยวลูกพี่เขาจะจัดการเอง ส่วนเราได้รับคำสั่งให้หาจังหวะลงมือกับฝ่ายนี้ให้เร็วที่สุด..นายบอกว่า นายชนาธิปไปพม่าไม่ใช่เรอะ”

“ใช่ ไปประมาณสอง-สามวันนั่นล่ะ”

“ดี เราจะใช้โอกาสนี้ล่ะ สร้างเรื่องให้พี่น้องตัดขาดกันให้ได้”

ก้องภพมองญาติผู้พี่อย่างกังขา
“ยังไง!?”

และสิทธิโชคก็เริ่มบอกถึงแผนการให้ฟังจนก้องภพเข้าใจชัดเจน และกำชับอีกครั้ง
“เราจะเริ่มลงมือกันคืนนี้เลย นายจัดการได้มั้ย”

“ได้ เดี๋ยวผมจัดการให้”

“งั้นรีบไปเลย เดี๋ยวพี่ให้ยืมลูกน้องไปช่วยอีกสองคน”

ก้องภพพยักหน้ารับ ก่อนหันเดินจากไป



หลังเลิกงาน ก้องภพบอกหัวหน้าคนงานว่าเขาถูกหวย และจะเลี้ยงเหล้า ให้พาลูกน้องที่สนิทกันไปด้วย..ตกเย็น หัวหน้าคนงานกับลูกน้องคนสนิทอีกหกคนก็ไปยังร้านอาหารตามที่นัดหมายและดื่มกินอย่างเต็มที่ ก้องภพร่วมวงด้วยไม่นานนักก็ขอตัวกลับ แต่เขาให้เงินกับหัวหน้าคนงานไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งมากพอให้พวกเขาดื่มกินกันทั้งคืน

และเมื่อเข้ามาอยู่ภายในรถยนต์ ก้องภพหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาใครบางคน
“ทางนายเป็นไงบ้าง”

“คนของเรากำลังพาพวกนั้นไป”

“ดี ไอ้พวกนี้เริ่มเมาได้ที่กันแล้ว เล่นมันให้หนักเลย”

“ไม่ต้องห่วง ผมกำชับคนของเราไว้แล้ว คอยดูผลงานได้เลยครับ” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะวางสาย

ก้องภพหยัดยิ้มและรอดูเหตุการณ์จากตรงนี้ และรอคอยไม่นานนัก..รถกระบะสองคันก็แล่นปราดมาจอดที่หน้าร้านก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์ ซึ่งเป็นคนงานของไพศาลกรุ๊ปพากันเดินกอดคอด้วยท่าทางกรึ่มๆเข้าไปภายในร้าน ซึ่งก้องภพก็เห็นคนฝ่ายเขาสองคนที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มก็เดินเข้าไปด้วย..ไม่นาน สิ่งที่เขารอคอยก็เกิดขึ้นดังหวัง เมื่อความโกลาหลบังเกิดขึ้นจากการทะเลาะวิวาทของคนงานทั้งสองฝ่าย ผู้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวพากันวิ่งหนีตายออกจากร้าน และก้องภพอาศัยจังหวะนี้รีบขับรถจากไป ก่อนที่ตำรวจจะแห่กันมา



วันรุ่งขึ้นภายในสถานที่ก่อสร้าง..ฉันทัชถึงกับกุมขมับอย่างปวดหัวกับปัญหาเดิมๆ..เพียงแต่การทะเลาะวิวาทครั้งนี้มันรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตกันทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายเขาตายไปสอง คู่กรณีตายไปหนึ่ง ที่เหลือบาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนโรงพยาบาล บางคนยังไม่ฟื้นเลยด้วยซ้ำ

“พวกคนงานจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องเมื่อคืน..บางคนแค้นฝ่ายนั้นมากเลยครับ” ลูกน้องรายงานเขาหน้าเครียด

“ทั้งๆที่ย้ำนักย้ำหนาแล้วว่าไม่ให้ออกไปกินเหล้านอกแคมป์ เฮ้อ! เกิดเรื่องขึ้นอีกจนได้” ชายหนุ่มมองดูความเคลื่อนไหวของบรรดาคนงานชาย และเอ่ยอีกครั้ง

“คอยปรามๆเจ้าพวกนั้นไว้อย่าให้ออกไปก่อเรื่องอีกนะ..แค่นี้เรื่องมันก็วุ่นวายมากพอแล้ว..ถ้าใครไม่เชื่อฟังก็ไล่มันกลับประเทศไปเลย”

“ครับ”

ฉันทัชเดินกลับขึ้นรถอย่างหัวเสีย โดยไม่เห็นร่างของก้องภพที่ยืนแอบซุ่มดูอยู่กับลูกน้องอีกคนของเขา และเมื่อคล้อยหลังฉันทัชไปแล้ว เขาก็หันไปสั่งกับลูกน้องให้เริ่มดำเนินการตามแผนในขั้นต่อไป ซึ่งลูกน้องของเขาแอบชักจูงคนงานที่มีพฤติกรรมรุนแรงอีกสามคนไปแก้แค้นอีกฝ่าย โดยอ้างว่า คณินจะหนุนหลังพวกเขาไม่ให้ฉันทัชทำอะไรได้ ทำให้คนงานทั้งสามฮึกเหิมและพร้อมจะทำการล้างแค้นทันที

“พวกนายเตรียมตัวให้พร้อม เราจะไปจัดการพวกมันคืนนี้เลย” ลูกน้องของก้องภพกำชับ และคนงานทั้งสามก็พยักหน้ารับ

“ได้เลย คืนนี้พวกมันต้องวอดวายกันหมดแน่” หนึ่งในสามแค่นเสียงพูดอย่างเคียดแค้น เพราะหนึ่งในผู้บาดเจ็บนั้นเป็นน้องชายของเขา
และเมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน เพื่อไม่ให้มีใครจับพิรุจได้



พิมพ์ศิริเดินออกจากห้องประชุมย่อยกลับเข้าห้องทำงาน หลังจากฟังการถกเถียงของผู้เกี่ยวข้องถึงมาตรการขั้นเด็ดขาด ในการควบคุมคนงานไม่ให้ไปมีเรื่องกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งผลสรุปนั้นยังไม่เป็นที่พอใจของเธอนัก แต่ความเห็นของเธอกลับไม่ได้รับความสนใจสักเท่าไหร่ เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะสนับสนุนความคิดเห็นของดนุพงษ์มากกว่า เธอจึงจำต้องยอมรับมติของคนส่วนใหญ่นั้นอีกครั้ง..และเป็นอีกครั้งเช่นกันที่เธอต้องเจ็บใจกับคำพูดเปรียบเปรยจากลูกน้องของ ดนุพงษ์

“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรี ผู้หญิงอย่างคุณไม่เข้าใจปัญหานี้หรอก”


“ฮึ! ศักดิ์ศรีบ้าบอคอแตกน่ะสิ”
หญิงสาวพ่นลมหายใจฟืดและหยิบโทรศัพท์ หมายจะโทรหาอนาวิน ซึ่งขณะนี้เขากำลังติดต่อเรื่องงานอยู่ในต่างประเทศ กว่าจะกลับก็อีกหลายวัน..แต่แล้ว เธอก็เปลี่ยนใจวางโทรศัพท์ลง เพราะเห็นว่าอนาวินนั้นมีปัญหารุมเร้าอยู่รอบตัวแล้ว และหนึ่งในปัญหานั้นก็มีเรื่องของราโมน่าเข้ามาเป็นอีกหนึ่งปัญหาด้วย ซึ่งจากที่เธอสังเกต ดูเหมือนพี่ชายต่างสายเลือดจะให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของศัตรูมากเหลือเกิน..มากเสียจนเธอกังวลว่าความรู้สึกที่ญาติผู้พี่มี จะนำพาความเลวร้ายมาสู่ตัวเขาเอง โดยที่ตัวเธอ หรือใคร ก็ไม่อาจช่วยเหลือได้

พิมพ์ศิริถอนใจยาว ทอดสายตามองไปนอกกระจก รับรู้ถึงความเจ็บแปลบปลาบภายในใจ กับความห่วงใยและความรู้สึกของเธอที่ญาติผู้พี่ไม่เคยรับรู้..ซึ่งมันคงจะอยู่ภายในใจของเธอเช่นนี้ ตลอดไป


หญิงสาวออกจากบริษัทในตอนเย็น พร้อมเลขาหนุ่มและบอดี้การ์ดคนสนิท เพื่อไปดูความคืบหน้าของงานก่อสร้างคลังสินค้า ที่ใกล้กำหนดส่งมอบในไม่กี่สัปดาห์นี้..เวลาใกล้พลบค่ำแล้ว แต่บรรดาคนงานยังคงทำงานล่วงเวลา เพื่อเร่งให้การก่อสร้างเสร็จทันกำหนด พิมพ์ศิริเดินตรวจความเรียบร้อยของงานอย่างละเอียดถี่ถ้วนพร้อมทีมวิศวกร จนเวลาล่วงเลย..หญิงสาวไม่เห็นถึงสิ่งใดให้ต้องกังวลแล้ว จึงแยกตัวกลับ

ขณะเดินออกมาเพื่อขึ้นรถ เธอได้ตระหนักถึงความอ่อนล้าของร่างกายที่กรำงานติดต่อกันมาหลายวัน จนขณะนี้เธอแทบไม่อยากขยับตัวทำอะไรเลย นอกจากได้แช่น้ำอุ่นและได้รับการบีบนวดตามเนื้อตัว..มันคงจะให้ความรู้สึกดีไม่น้อยทีเดียว

และเสือ บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ปรายสายตามองหญิงสาว ที่เขาได้รับมอบหมายให้คอยปกป้องดูแลตั้งแต่เธออายุได้สิบสามปี จนบัดนี้จากเด็กน้อยเติบใหญ่เป็นหญิงสาวเต็มวัย แต่สำหรับเขา พิมพ์ศิริก็ยังคงเป็นแค่เด็กหญิงตัวน้อยที่ซุกซ่อนความอ่อนไหวของจิตใจไว้ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าว เย็นชา ซึ่งไม่บ่อยนักที่ร่างเล็กๆนี้จะแอบหาที่หลบมุมเพื่อแสดงความอ่อนแอออกมาโดยไม่มีใครได้เห็น ยกเว้นเพียงเขา ที่เป็นทั้งครู ทั้งเพื่อน พี่ชาย และบางครั้งก็เป็นเครื่องระบายความอัดอั้นให้เธอได้ผ่อนคลาย โดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะนำความอ่อนแอของเธอไปเปิดเผยให้ใครได้ฟัง..เธอไว้ใจเขามากกว่าใคร..แม้แต่ผู้ให้กำเนิด เธอก็ยังไม่เคยไว้ใจเท่ากับตัวของเขาเลย

“คืนนี้ จะกลับบ้าน หรือ คอนโดฯดีครับ”

“คอนโดฯดีกว่า..ที่บ้านไม่มีใครให้กลับไปเจอแล้วนี่”

หญิงสาวตอบออกมาด้วยความรู้สึกเงียบเหงา ทั้งบิดาและมารดาก็อยู่โรงพยาบาล อนาวินก็อยู่ต่างประเทศ ส่วนโมรียาก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะบางวันก็กลับบ้าน บางวันก็พักที่คอนโดมิเนียมของตระกูลไม่ต่างอะไรกับพี่ชาย และอีกอย่าง ถึงแม้โมรียาหรืออนาวินจะอยู่บ้าน ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน เพราะต่างคนต่างก็เข้าห้องส่วนตัวของตน ไม่ค่อยได้มานั่งคุยอะไรกันอยู่แล้ว และยิ่งในระยะหลัง เธอแทบจะไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาสมาชิกในบ้านกันเลย นอกจากเจอกันโดยบังเอิญที่โรงพยาบาล หรือเหตุจำเป็นต้องพบเจอกันในบริษัทเท่านั้น

พิมพ์ศิริมองรอบกายที่เริ่มสงบเงียบ เพราะบรรดาคนงานถูกสั่งให้เลิกงานได้แล้ว และต่างแยกย้ายกันพักผ่อน เธอมองไปรอบๆสถานที่ก่อสร้างอีกครั้ง แล้วต้องนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นควันไฟพวยพุ่งออกมาจากห้องเก็บสินค้าห้องหนึ่งที่อยู่บริเวณด้านหลังอีกฟากของแคมป์คนงาน

“นั่นอะไร! เหมือนว่ามีไฟไหม้อยู่ข้างในเลยนะ”

หญิงสาววิ่งนำเข้าไปดูให้แน่ใจ และเริ่มเห็นชัดถึงควันที่พวยพุ่งลอดใต้ประตูเหล็กออกมาจากอาคารพร้อมแสงแวบวาบของเปลวไฟเริ่มสว่างโชนจากภายใน..เสือรีบหันไปตะโกนเรียกคนงานให้มาช่วยดับไฟ และในวินาทีนี้เอง พิมพ์ศิริเหลือบเห็นเงาของกลุ่มคนพุ่งผ่านสายตาหายเข้าไปบริเวณชายป่า เธอจึงรีบวิ่งตามไปเพราะมั่นใจว่าคนพวกนั้นอาจเป็นคนร้าย

เสือเห็นบรรดาคนงานต่างวิ่งกรูกันมา เขาจึงหันกลับมาอีกครั้ง ก็เห็นเพียงด้านหลังของหญิงสาวที่วิ่งลับไป เขาจึงรีบวิ่งตามไปอีกคน



ร่างของชายฉกรรจ์สี่คน ซึ่งเป็นคนงานของกลุ่มรัตนากร พากันวิ่งลัดเลาะผ่านพุ่มไม้เข้ามาในป่าไม่ไกลจากที่เกิดเหตุนัก และทั้งหมดหยุดมองควันไฟที่เริ่มโหมแรง ชายสามคนหัวเราะด้วยความสะใจในผลงานของตน ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคน ซึ่งเป็นลูกน้องของก้องภพลอบมองอย่างมาดร้าย เพราะตามแผนการนั้น เจ้านายของเขาต้องการให้กลุ่มไพศาลกรุ๊ปจับตัวคนร้ายที่เข้ามาลอบวางเพลิงได้ ซึ่งเจ้าสามคนนี้จะต้องซัดทอดไปถึงคณิน และเมื่อนั้น เหตุการณ์ที่เหมือนจะสงบนิ่ง มันจะต้องปะทุตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ และคราวนี้ศึกระหว่างคณินกับฉันทัชที่ไม่มีชนาธิป คอยห้ามทัพ คงถึงขั้นแตกหักกันอย่างแน่นอน

แต่กว่าจะถึงตอนนั้นทำให้เจ้าสามคนนี่ หรือคนใดคนหนึ่งถูกจับให้ได้เสียก่อน และขณะที่กำลังเลือกว่าจะให้ใครตกเป็นแพะรับปาบดี พิมพ์ศิริก็โผล่พรวดเข้ามาเสียก่อน

“หยุดนะ!”

และเมื่อประจันหน้าในระยะใกล้ขนาดนี้ พิมพ์ศิริมั่นใจเต็มร้อยว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนงานของเธอ และแน่นอนที่มันต้องเป็นคนร้าย ซึ่งเธอจะไม่ยอมให้มันหนีไปได้เด็ดขาด

ชายหนุ่มทั้งหมดชะงักงันด้วยความตื่นตะลึงเพียงอึดใจ ก็แสยะยิ้ม เมื่อเห็นหญิงสาวร่างเพรียวระหงที่มีนัยน์ตาดุๆโผล่มาเพียงคนเดียวเท่านั้น..แถมยังสวยเสียด้วย..

จากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเป็นการย้อมใจมาก่อน ผสมอารมณ์ดิบให้หื่นกระหายต่อความสวยงามที่เห็น..คนงานทั้งสามพากันหันมองหน้ากัน

“เฮ้ย..ของแถมว่ะ”

ทั้งสามเห็นด้วย และหันสายตามาจับจ้องหญิงสาวที่คิดว่าเป็นเหยื่ออย่างมาดร้าย ในขณะที่คนของก้องภพถอยไปยืนอีกมุม พลางคิดหาโอกาสทำร้ายหนึ่งในสามให้สลบจงได้ ส่วนผู้หญิงนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เพราะถือว่าเข้ามาแส่หาเรื่องเอง

พิมพ์ศิริขยับถอยอย่างระวัง เมื่อเห็นชายทั้งสามย่างสามขุมเข้าหาเธอด้วยสายตาที่น่าขยะแขยง ทว่า..ภายในใจของพิมพ์ศิริกำลังนึกกระหยิ่มด้วยความที่ว่า วันนี้เธอสวมกางเกง แทนที่จะเป็นกระโปรงเช่นทุกวัน..และขณะนี้เธอก็กำลังหงุดหงิด มองหาที่ระบายอยู่พอดี

ทันทีที่หนึ่งในสามก้าวเข้ามาจับข้อมือ หญิงสาวรีบพลิกมือหนีเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายจับมือแข็งกร้านนั้นบิดไพล่โดยเร็ว จนชายร่างใหญ่ร้องลั่น และยิ่งพยายามดิ้น พิมพ์ศิริก็ยิ่งออกแรงบิดท่อนแขนนั้นมากขึ้นและยึดร่างเข้าไว้แน่น และเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกศอกหมายกระแทกกลับ เธอจึงรีบชกเข้าสีข้างติดๆกันสามครั้ง ก่อนกระแทกศอกลงร่างที่ก้มคุดคู้ลงไปกองร้องโอดโอยกับพื้น ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของเพื่อนอีกสองคน

“อีเวรนี่ ฤทธิ์มากนักใช่มั้ย”

เสียงแค่นคำรามดังขึ้น หนึ่งในสองกระโจนเข้าใส่ในขณะที่อีกคนหาจังหวะรวบตัวหญิงสาว ผู้มีชั้นเชิงในศิลปะการต่อสู้ได้อย่างคล่องตัวอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งสามารถหลบทั้งหมัดทั้งเท้าของเพื่อนเขาได้อย่างสบาย และในเสี้ยววินาที เพื่อนของเขาเสียอีกที่ถูกกำปั้นเล็กๆนั้นชกกลับจนหน้าหงาย ก่อนร่างเพรียวระหงนั้นจะกระโดดเข่าลอยกระแทกใส่กลางอกของเพื่อนเสียงดังสนั่น จนร่างที่ใหญ่กว่าล้มทั้งยืนนอนร้องครางอีกคน

เขากัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ พร้อมพุ่งเข้าใส่หญิงสาว..

ลูกน้องของก้องภพยืนมองการต่อสู้อยู่รอบนอกซ่อนรอยยิ้ม เมื่อคาดเดาได้ว่า แผนของเจ้านายนั้นสำเร็จลุล่วงโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร พลัน! เขาก็ต้องรีบเผ่นโดยเร็ว เมื่อชายหนุ่มร่างใหญ่อีกคนวิ่งตรงมา..ในขณะที่พิมพ์ศิริกระโดดหลบเท้าของอีกฝ่ายที่เตะสวนมา และยังไม่ทันที่เธอจะพลิกแพลงกระบวนท่าต่อไป ร่างของคู่ต่อสู้กลับกระเด็นไปกระแทกต้นไม้อย่างจัง ก่อนร่างนั้นจะรูดลงมาสิ้นฤทธิ์กับพื้น จากการพุ่งเข้ากระโดดถีบของเสือ

หญิงสาวถอนใจฟืด
“เฮ้อ! กำลังสนุกเลย”

บอดี้การ์ดหนุ่มเพียงแค่อมยิ้มกับท่าทางเสียดายของเธอ ก่อนหันไปตะโกนเรียกคนงานให้คอยคุมตัวคนร้ายทั้งสามไว้..เรียวคิ้วของพิมพ์ศิริขมวดมุ่นขณะดูความเสียหายของคลังสินค้า

“โรงเก็บสามเสียหายไม่มากเท่าไหร่ ดีที่เห็นกันก่อน ไม่อย่างนั้นคงวอดทั้งหลังแน่เลยครับ” ลูกน้องหนุ่มรายงานเสียงเครียด

หญิงสาวตวัดสายตากรุ่นโกรธกลับไปมองคนร้ายทั้งสามที่ถูกมัดแน่นหนาท่ามกลางวงล้อมของเหล่าคนงานที่กำลังจับจ้องชายทั้งสามด้วยความโกรธแค้น และหนึ่งในกลุ่มก็พูดออกมาเสียงดังว่า

“เฮ้ย! ไอ้นี่มันคนงานของพวกรัตนากรนี่หว่า”

และทันทีที่จบประโยคนั้น บรรดาคนงานที่รายล้อมต่างด่าทอกันเสียงขรม บ้างก็พุ่งเข้าทำร้ายจนหัวหน้าคนงานกับกลุ่มลูกน้องคนสนิทและทีมวิศวกรต้องรีบห้ามกันอย่างโกลาหลแต่ก็ไม่สามารถหยุดความคลุ้มคลั่งของคนงานที่มีมากกว่าได้

พิมพ์ศิริหันไปดึงปืนพกของบอดี้การ์ดหนุ่มมายิงขึ้นฟ้าเสียงดังสนั่น

เปรี้ยง!!

ภาพความโกลาหลพลัน! ชะงักค้าง ก่อนที่ทุกสายตาจะหันมามองที่เธอเป็นตาเดียว และหญิงสาวเอ่ยเสียงขรึม ขณะส่งปืนคืนคนสนิท
“ทุกคนช่วยอยู่ในความสงบกันหน่อย” และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัวกันแล้ว เธอก็หันไปถามย้ำกับคนงานหนุ่มตัวต้นเรื่องของความวุ่นวายนี้ “นายแน่ใจนะว่า สามคนนี้เป็นคนของพวกรัตนากร”

“มั่นใจเลยครับ เพราะผมกับไอ้นี่เคยชกกันตอนมีเรื่องเมื่อคราวก่อน..มันนี่ล่ะชกผมซะฟันหักเลย” พร้อมชี้ไปที่หนึ่งในสามอย่างอาฆาต ซึ่งมีสภาพสะบักสะบอมจากการถูกรุมประชาทัณฑ์

“ถ้านายมั่นใจอย่างนั้นก็ดี..งั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ตอนนี้ทุกคนควรจะกลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้เช้า เราจะต้องเร่งซ่อมแซมส่วนที่เสียหายให้เสร็จ”

คนงานบางส่วนเริ่มแยกย้ายกันกลับอย่างลังเล แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังดื้อดึงด้วยความอยากทำร้ายฝ่ายศัตรูให้หายแค้น พิมพ์ศิริจึงตวาดเสียงลั่น

“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึไง ไป!”

เมื่อผู้มีอำนาจสูงสุดประกาศกร้าวเต็มอารมณ์เกรี้ยวกราดกลุ่มคนงานที่เหลือจึงพากันแยกย้ายกลับที่พักโดยไม่หลงเหลืออาการอิดออด เพราะรู้ดีว่า หญิงสาวนั้นมีความเฉียบขาดในคำสั่งไม่ต่างจากผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อย และเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเกรงกลัว

เมื่อคล้อยหลังบรรดาคนงานไปแล้ว หัวหน้าคนงานจึงหันมาถามหญิงสาว
“แล้วจะเอายังไงกับพวกมันดีครับ”

พิมพ์ศิริปรายสายตามองนักโทษของเธอ ก่อนตะคอกถาม
“ใครเป็นคนสั่งให้พวกนายมาทำเรื่องชั่วๆแบบนี้”

ทั้งสามก้มหน้างุดไม่ปริปาก ให้ผู้ถามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ดี ไม่พูดกันใช่มั้ย..งั้นก็อย่าได้พูดกันอีกเลย” แล้วหันมาสั่งบอดี้การ์ดหนุ่มเสียงเข้ม “ตัดลิ้นพวกมันออกมา”

ทั้งสามผวาเฮือก มองชายร่างใหญ่ที่ชักมีดพกออกมาขณะย่างสามขุมเข้าหาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
และหนึ่งในสามที่กลัวจนถึงขีดสุดก็พลั่งพรูทุกอย่างออกมา
“อย่าทำผม..อย่าทำ..เรื่องทั้งหมด คุณคณินเป็นคนสั่ง..”

และที่เหลือก็ต่างพยักหน้าสำทับ เพื่อเอาตัวรอดบ้าง
“ใช่ครับ คุณคณินเป็นคนสั่งทั้งหมด..พวกผมก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น..อย่าทำอะไรพวกผมเลยนะครับ”

หญิงสาวนิ่วหน้า เมื่อนึกไปถึงคณิน ผู้เป็นพี่ชายของชนาธิปอย่างกังขา
“จริงๆนะครับ..คุณคณินเป็นคนสั่งจริงๆ..”เสียงตื่นกลัวนั้นยังคงย้ำชัด

พิมพ์ศิริหันไปหาหัวหน้าคนงานของเธออีกครั้ง
“เมื่อกี้ ถามว่าจะเอายังไงกับมันใช่มั้ย”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าปนความงุนงงเล็กน้อย และเห็นรอยยิ้มเย็นเยือกในดวงหน้าสวย ขณะน้ำเสียงกังวานใสเอื้อนเอ่ย

“หักซี่โครงมันซักสอง-สามซี่..แล้วค่อยส่งตำรวจ”

หัวหน้าคนงานนิ่งขึงชั่วอึดใจ ก่อนคลี่ยิ้ม
ได้เลยครับ”

และเพียงแค่เธอหันหลัง ทั้งหมัดทั้งเท้าของหัวหน้าคนงานกับบรรดาลูกน้องที่เหลือพากันประเคนใส่ชายทั้งสามไม่ยั้งท่ามกลางเสียงแผดร้อง

ทีมวิศวกรเหลียวมองภาพนั้นด้วยใบหน้าเหยเก ก่อนพากันเดินตามหญิงสาวไป
“พวกคุณก็ควรที่จะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

“เอ่อ..ครับ” ชายหนุ่มทั้งสามรีบพาตัวเองแยกย้ายกันกลับทันที..พิมพ์ศิริเหลียวกลับไปมองดูคนของเธอที่กำลังรุมทำร้ายคนของศัตรูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนหันกลับมาบอกกับบอดี้การ์ดหนุ่ม

“เรากลับกันดีกว่า..ขวัญอยากอาบน้ำเต็มแก่แล้ว”

“ครับ”
ผู้ติดตามหนุ่มตอบรับ และเดินตามร่างเพรียวบางนั้นไปเงียบๆ

..........................................................................................

บทที่ ๒๓

ในตอนเช้า..บ้านรัตนากร
ก้องภพขับรถมาหาเจ้านายแต่เช้า ดั่งจะรอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด และคณินนั้นไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับปัญหาใหญ่ซึ่งกำลังเริ่มต้นด้วยรถของตำรวจที่แล่นเข้ามาจอดท่ามกลางความสนใจของผู้คนภายในบ้าน..อรดีเดินออกมาจากห้องอาหารในชุดนักศึกษา เอ่ยถามบิดาที่ยืนภายในห้องโถงกับก้องภพ

“ตำรวจมาทำไมหรือคะ พ่อ”

“ไม่รู้เหมือนกัน” คณินตอบในขณะที่สมาชิกภายในบ้านเดินออกมาสมทบ และมองตำรวจสามนายเดินตรงเข้ามาหา

“มีเรื่องอะไรกันหรือคะ คุณตำรวจ” ฉันทิกาเอ่ยถาม

และนายตำรวจหนุ่มที่มียศสูงสุดในกลุ่มตอบ “เมื่อคืนมีคนงานของบ.รัตนากรฯสามคนพากันไปลอบวางเพลิงที่ไซต์งานของบ.ไพศาลฯ แล้วพวกนั้นได้ซัดทอดคุณคณินว่าเป็นคนชักชวนให้กระทำการดังกล่าว..ผมจึงมาขอเชิญคุณคณินไปสอบปากคำที่โรงพักหน่อยครับ”

คณินหน้าเผือดซีดกับข้อหาอุกฉกรรจ์ที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ผมไม่รู้เรื่อง..ผมไม่เคยสั่งใครให้ไปทำอย่างนั้น”

“ยังไงเราก็ขอเชิญตัวคุณไปที่โรงพักก่อนครับ เชิญครับ”

คณินหน้าตาหวั่นหวาดหันมองฉันทิกาดั่งจะขอความช่วยเหลือ เมื่อตำรวจอีกสองนายก้าวเข้ามาประกบเชิงบังคับให้ไปด้วยกัน
“พี่ไม่รู้เรื่องจริงๆนะน้อย”

“ใจเย็นๆก่อนค่ะพี่คณิน เดี๋ยวน้อยจะรีบเรียกทนายให้ค่ะ” ฉันทิกากึ่งปลอบพี่สามีให้คนฟังเริ่มเบาใจ ก่อนจะเดินตามตำรวจไปแต่โดยดี ในขณะที่อรดีหันไปเร่งเร้าอาสะใภ้ ดวงตาเริ่มแดงก่ำใกล้ร้องไห้เต็ม

“อาน้อยต้องช่วยพ่อนะคะ..พ่อไม่มีทางทำอย่างที่ตำรวจพูดแน่ๆ”

“แอ้ม ใจเย็นๆก่อน เรื่องนี้เดี๋ยวอาจัดการเอง” ฉันทิกาบอกเสียงเข้ม เพราะเธอเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันกับปัญหาที่ต้องเจอ ในขณะที่สามีไม่อยู่พอดี

ชญาภาดึงอรดีออกมาให้ห่างจากมารดา ในขณะที่ฉันทัชมองไปยังก้องภพที่ยังยืนนิ่งมองตามเจ้านาย
“คุณมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ด้วยรึเปล่าล่ะ คุณก้องภพ”

ก้องภพหันมาสบสายตาหนุ่มรุ่นน้อง พลางแสร้งตีหน้าซื่อ
“คุณทัชพูดอะไร..ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น..เรื่องนี้ต้องถามเอากับคุณคณินเอง”

“ไม่รู้เรื่องเรอะ เฮอะ!งั้นจะบอกว่า ที่ตำรวจพูดมาเมื่อกี้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันอย่างนั้นเรอะ”

“อาจจะอย่างนั้นก็ได้” ก้องภพย้อนกลับยียวนในสีหน้าให้ฉันทัชอารมณ์พุ่ง และรีบหันมาลากับฉันทิกา “ผมไปดูคุณคณินก่อนนะครับ คุณน้อย” ชายหนุ่มยกมือไหว้ผลุบผลับ ก่อนหันก้าวยาวๆออกไป

“ไอ้บ้านี่! มันกวนประสาทจริงๆ” ฉันทัชแค่นเสียงตามด้วยความเข่นเขี้ยว ฉันทิกาเอ่ยปรามลูกชาย

“ใจเย็นๆก่อนตาทัช เรายังไม่รู้อะไรแน่นอนอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรเลย..ตอนนี้ช่วยแม่ตามทนายอุ๊ไปช่วยลุงเขาก่อนเถอะ”

“ฮึ! ดีแต่สร้างเรื่องเดือดร้อน” ฉันทัชหลุดปากต่อว่าคณินออกไปอย่างลืมตัว และเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า อรดียังยืนอยู่ตรงนี้ ใบหน้าเผือดซีดนั้นก็ยิ่งเผือดสลดหนักขึ้นไปอีก พร้อมน้ำตาที่กลั้นไว้ร่วงริน..ฉันทัชถึงกับหน้าเจื่อน เพราะเขานั้นไม่ตั้งใจทำร้ายจิตใจญาติผู้น้องเลยแม้สักนิดเดียว

“เอ่อ..พี่ขอโทษ..พี่ไม่ตั้งใจจะพูดแบบนั้นนะแอ้ม..”

อรดีเม้มปากแน่น พลางพยักหน้ารับคำขอโทษนั้น เพราะจิตใจกำลังห่วงใยบิดาเหนือสิ่งอื่นใด และรู้มาโดยตลอดว่า บิดากับฉันทัชนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาหลายปีแล้ว และยามลับหลังเขา ตัวเธอเองก็มักได้ยินบิดาของเธอพูดจาว่าร้ายญาติหนุ่มอยู่บ่อยๆเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอรดีเริ่มดีขึ้น ฉันทัชก็หันไปบอกมารดา

“เดี๋ยวผมจะตามไปโรงพักด้วย..อยากจะรู้ความจริงเหมือนกัน ว่าจริงๆแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” และถ้าหากผลมันออกมาว่า คนของเขาผิดจริง รับรองว่าคราวนี้เขาเล่นงานคณินหนักแน่

พอคล้อยหลังฉันทัชไปแล้ว ฉันทิกาก็พ่นลมหายใจพรวด
“โอ้ย! ทำไมปัญหามันจะต้องมาเกิดตอนที่คุณชัชไม่อยู่ด้วยเนี่ย..ฉันจะบ้าตาย” พลางหันเดินมือไม้สั่นเข้าบ้าน เร่งหามุมสงบโทรศัพท์รายงานเรื่องนี้กับสามีอย่างเร่งด่วน

ชญาภาเหลียวมองมารดาเพียงครู่ ก็หันกลับมายังญาติผู้น้อง
“เราไปเรียนก่อนเถอะ เรื่องทางนี้ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาจัดการเอง..ไป เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งที่มหา’ลัยให้”

อรดีอิดออดไม่อยากไป เพราะไม่มีจิตใจจะเรียนแล้ว แต่เมื่อชญาภายื่นมือมาฉุดแขนให้เดินตาม เธอจึงจำต้องก้าวเดินตาม



ข่าวการถูกควบคุมตัวของคณินกลายเป็นข่าวด่วนดังครึกโครมภายในวันนั้น แม้เจ้าตัวจะถูกประกันตัวออกมาจากสถานีตำรวจแล้วก็ตาม สื่อหลายสำนักต่างเล่นข่าวเพื่อสร้างกระแสกันไปต่างๆนานา ซึ่งทางฝั่งของไพศาลกรุ๊ปไม่ได้ออกมาพูดอะไรมาก นอกจากจะขอให้ทางตำรวจเร่งดำเนินคดีเพื่อนำจำเลยมาลงโทษในเร็ววัน ในขณะที่ทางทนายความของคณินแก้ต่างกับสื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการจัดฉากเท่านั้น และจะไปต่อสู้กันในชั้นศาล

ภายในห้องพักฟื้นพิเศษ...พิมพ์ศิรินั่งดูรายงานข่าวข้างกายบิดาที่นั่งเอนร่างพิงอยู่บนเตียงคนไข้ พลางเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้านายตำรวจใหญ่วัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของคดี เพราะเป็นชุดเดียวกับที่สืบคดีลอบทำร้ายลุงกับบิดาของเธอ ซึ่งไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ทั้งๆที่เป็นคดีใหญ่..มิหนำซ้ำยังกล่าวหาว่าลุงและบิดาของเธอเป็นพวกมาเฟีย จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า สาเหตุที่ถูกลอบทำร้ายก็คงมาจากการขัดแย้งผลประโยชน์ทางธุรกิจมืดเท่านั้นเอง และยังมีอีกหลายคำพูดที่กระตุ้นอารมณ์เธอให้เดือดพล่าน ซึ่งถ้าหากในวันนั้นไม่ได้อนาวินและบอดี้การ์ดคนสนิทเหนี่ยวรั้งไว้ ตัวของเธอคงกระโจนชกหน้าตายียวนของนายตำรวจคนนั้นไปหลายหมัดทีเดียว..เธอไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองบิดาและญาติพี่น้องของเธอว่าเป็นอะไร..แต่สำหรับเธอ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนเลี้ยงดูและปลูกฝังให้เธอเติบโตขึ้นมาเดินได้อยู่ในวงสังคมอย่างมีเกียรติ์ และจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกได้ โดยเฉพาะพวกที่อาศัยเครื่องแบบมาเป็นเครื่องมือหากิน ซึ่งเธอเห็นคนพวกนี้คอยวนเวียนหาผลประโยชน์กับธุรกิจของตระกูลเธอมาตั้งแต่ที่เธอเริ่มจำความได้ และมันกลายเป็นอคติฝังใจในด้านลบต่อผู้ที่ดำรงอาชีพนี้เรื่อยมา จนกลายเป็นเกลียดเข้ากระดูกดำ!

ศรานั่งดูข่าวอย่างครุ่นคิด จนกระทั่งข่าวจบ ก็หันมาพูดกับบุตรสาว
“ป๊ายังไม่อยากเชื่อ ว่าคนอย่างนายคณินจะกล้าทำเรื่องนี้”

พิมพ์ศิรินิ่วหน้าอย่างกังขา
“ทำไมล่ะคะ ในเมื่อไอ้คนที่เราจับได้ก็เป็นคนของฝ่ายนั้น และมันก็พูดออกมาเอง..ทำไมป๊าถึงยังคิดว่าไม่ใช่นายคณินอีกล่ะ”

“เพราะเท่าที่ป๊ารู้จักคนตระกูลนั้นมา..คนที่กล้าชนกับฝ่ายเราจริงๆน่ะจะเป็นชนาธิปเสียมากกว่า ส่วนนายคณินน่ะ จะเป็นพวกดีแต่ปากเท่านั้น..ป๊าจึงไม่อยากจะเชื่อว่า นายคณินเป็นคนสั่งเผาไซต์งานของเราจริงๆ..แต่ถ้าเป็นคนน้องน่ะ ป๊าอาจจะเชื่อเสียมากกว่า”

ศราบอกลูกสาว และคิดว่า พี่ชายก็ไม่เชื่อข่าวนี้เช่นกัน
“แต่ไม่ว่ายังไง เราต้องระวังตัวไว้ด้วยล่ะ แล้วก็คอยเป็นหูเป็นตาให้เฮียจิลด้วย..อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามหรือทำอะไรให้ป๊าผิดหวังล่ะ”

“ค่ะ” พิมพ์ศิริรับคำ

“แล้วเรื่องของคุณดนุพงษ์ก็เหมือนกัน..ป๊าได้ข่าวว่า เรามีเรื่องขัดแย้งกับเขาบ่อยเรอะ”

หญิงสาวหายใจลึก
“ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่หรอกค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นกับลูกน้องของเขามากกว่า...คนพวกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับขวัญเสียเท่าไหร่”

“งานพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นงานของพวกผู้ชาย เราเป็นผู้หญิงแถมประสบการณ์ก็ยังน้อย..ป๊าอยากจะให้เราควบคุมอารมณ์ไว้หน่อย แล้วก็ศึกษางานกับคุณดนุพงษ์ให้มากที่สุด อย่าแข็งข้อกับเขาให้มากนัก เข้าใจมั้ย”

“..ขวัญเข้าใจค่ะ”

พิมพ์ศิริเก็บความอัดอั้นไว้ในอก..ตลอดมา เธอเพียรพยายามอย่างหนัก อดทนทุกอย่างเพียงเพื่อจะให้บิดาเห็นความสามารถของเธอที่มีทัดเทียมไม่แพ้ผู้ชาย..แต่ไม่ว่าอย่างไร ความพยายามของเธอก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจของบิดาเสียที..

“เอาล่ะ เมื่อเข้าใจแล้วก็ดี” ศราขยับตัว พลางเรียกลูกน้องให้เข้ามา เพื่อให้ช่วยพยุงเขานั่งในรถเข็น เพื่อไปหาพี่ชายที่นอนรักษาตัวอยู่อีกห้อง โดยพิมพ์ศิริเดินตามไปด้วยความรู้สึกเงียบงัน


และที่บ้านรัตนากร...
ฉันทัชกับคณินกำลังฟาดฟันอารมณ์ใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากฉันทัชฟังผลการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสามของตำรวจด้วยตนเอง และแม้จะยังตามตัวคนงานที่ร่วมลงมือด้วยอีกคนไม่เจอ เพราะมันเผ่นหนีไปเสียก่อน แต่อคติที่มีต่อคณิน ทำให้ในวินาทีนี้ เขาเชื่อโดยสนิทใจว่า คณินเป็นคนบงการให้พวกคนงานไปเผาไซน์งานของฝ่ายตรงข้ามจริงๆ และพาลคิดไปว่า เรื่องวุ่นวายทั้งหมดระหว่างสองตระกูลมีสาเหตุมาจากลุงของเขาเอง

“เรื่องเก่าเรากับฝ่ายนั้นก็ยังไม่ทันจะได้เคลียร์กันเลย นี่ดันมาก่อเรื่องใหม่ซ้ำเข้าไปอีก..ให้ตายเถอะ! ลุงไม่ใช้สมองคิดบ้างเลยรึไงว่ามันจะทำความเดือดร้อนให้เรามากแค่ไหน”

“กูไม่ได้ทำโว้ย กูแหกปากบอกอยู่นี่ มึงไม่เข้าใจรึไง” คณินโต้กลับอย่างเดือดดาล เพราะเขาตั้งป้อมปฏิเสธข้อหาทุกข้อที่ตำรวจตั้งขึ้นมาตั้งแต่ที่โรงพักก็เหนื่อยพอแรงแล้ว และตอนนี้เขาต้องการอยู่อย่างสงบๆเพื่อคิดหาหนทางเอาตัวรอดจากไอ้ปัญหาบ้าบอนี่ แต่เจ้าหลานชายตัวแสบกลับพูดจากวนประสาทไม่รู้จักจบจักสิ้น

หลังจากที่ฉันทิกาโทรศัพท์หาสามีเสร็จ เธอก็ทนเก็บอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านใจได้ไม่เท่าไหร่ ก็ออกไประบายอารมณ์กับพิศสุดา จึงเหลือแต่ชญาภาที่คอยปรามน้องชาย แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นอารมณ์ของทั้งคู่ได้ เมื่อข้างกายของคณินยังมีก้องภพคอยเติมเชื้อไฟให้อารมณ์สองลุงหลานยิ่งลุกโชน

“ยังไงคุณคณินก็เป็นลุงของคุณ คุณทัชไม่มีสิทธิ์จะมาต่อว่ากันรุนแรงแบบนี้นะครับ” ก้องภพแสร้งออกรับแทน เพราะรู้ว่าตัวเองนั้นสามารถก่อกวนอารมณ์ของอีกฝ่ายได้มากทีเดียว

และฉันทัชก็กำลังเกรี้ยวกราดเกินจะระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป
“นี่เป็นเรื่องของคนในครอบครัว คุณไม่ต้องเข้ามาแส่”

“แต่คุณคณินเป็นเจ้านายของผม ผมไม่ยอมให้คุณมาพูดแบบนี้เด็ดขาด”

ฉันทัชกัดฟัดกรอด กับน้ำเสียงและท่าทางที่เหมือนจะเย้ยอำนาจของเขา
“ดี! งั้นกูไล่ออกทั้งคู่เลย”

คณินแทบโผเข้าหาหลานชาย พร้อมแผดเสียงลั่น
“มึงไม่มีสิทธิ์มาไล่กู ไอ้หลานทรพี!”

“เออ! ก็ดูไปว่าจะทำได้หรือไม่ได้” ฉันทัชตวาดกลับอย่างถือดี

ชญาภาหน้าเสีย พลางฉุดดึงแขนน้องชายให้ถอยห่างออกมาจากคณิน “พอเถอะ ทัช..เรื่องนี้รอให้พ่อกลับมาเป็นคนตัดสินใจเองเถอะ”
ชายหนุ่มสะบัดแขนหนี โต้เสียงกร้าว “ทำไมจะต้องรอ..ลุงน่ะก่อเรื่องมากี่ครั้งแล้วล่ะ แถมยังไม่เคยสำนึกอีก ให้โอกาสไปก็แค่นั้น”

ความอดทนของคณินขาดผึง “ไอ้ทัช! กูเหลืออดกับมึงแล้วนะ มึงกับกูได้เห็นดีกันแน่” กล่าวอาฆาตทิ้งท้ายและกระแทกส้นเท้าโครมๆจากไป ตามด้วยก้องภพที่ซ่อนรอยยิ้มก้าวตามเจ้านายไปติดๆ

ชญาภาถึงกับยกสองมือขึ้นกุมขมับที่ปวดตุบๆ
“โอ้ย! พี่ปวดหัว” และหันเดินขึ้นห้อง ทิ้งให้น้องชายยืนกระฟัดกระเฟียดเพียงลำพัง



สิทธิโชครินบรั่นดีชั้นยอดลงในแก้วบางใส ก่อนนำมาให้คณินที่นั่งหน้าเครียด..ซึ่งก้องภพเป็นคนพามาหา เพื่อให้เขาฉวยโอกาสนี้โน้มน้าวใจคณินให้เข้าร่วมแผนการในขั้นต่อไปให้ได้
“ผมไม่คิดเลยนะ ว่าคุณทัชจะกล้าไล่คุณออก” เขาพูดขณะส่งแก้วให้คณิน ก่อนพาตัวเองมายอบตัวลงนั่งบนโซฟาหรูหราด้วยท่าทางเห็นใจสุดซึ้ง

“มันอวดดี ถือว่าพ่อให้ท้าย มันเลยไม่เคยเห็นหัวใครทั้งนั้น” คณินยกแก้วเหล้ากระดกอย่างเคียดแค้น

“ผมฟังแล้วยังแค้นแทนคุณเลย ฮึ! ถ้าเป็นผมนะ รับรองผมจะสั่งสอนไอ้หลานชายตัวดีให้มันสำนึกให้จงได้”

คณินมองผู้ที่กำลังละเลียดบรั่นดีรสนุ่มอย่างสนใจ ผสมกับอารมณ์โกรธ ทำให้เขามุ่งหวังจะแก้แค้นฉันทัชโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“คุณมีวิธีอย่างนั้นเรอะ”

สิทธิโชคยิ้มอย่างอมภูมิ
“เพื่อเพื่อนอย่างคุณ ผมย่อมมีวีธีแน่นอน..แต่นั่นก็ขึ้นอยู่ว่า คุณจะยอมร่วมมือด้วยหรือเปล่าเท่านั้น”

สายตาของคณินที่มองหนุ่มรุ่นน้องฉายแสงแห่งความกระตือรือร้น
“ว่ามาเลย ถ้ามันสามารถเล่นงานไอ้ทัช ให้มันรู้สึกจนตรอกจนต้องคลานมากราบกรานผมได้ล่ะก็ ผมจะร่วมมือกับคุณทุกอย่าง”

“คุณแน่ใจนะ” สิทธิโชคถามย้ำ

“แน่ใจครับ” คณินย้ำชัด แววตามุ่งมั่น

“ถ้าอย่างนั้น..คุณก็ต้องยึดอำนาจจากน้องชายคุณทั้งหมดให้มาอยู่ในมือของคุณให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก”

คณินหน้าเจื่อนในทันใด พลางพึมพำ
“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง..ถึงเจ้าชัชมันคอยสนับสนุน คอยช่วยเหลือผมเรื่อยมา เพราะมันเห็นว่าผมเป็นพี่ แต่ยังไงมันก็ไม่ยอมผมถึงขนาดยกบริษัทให้หรอก แล้วมันก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะให้ผมหลอกเซ็นอะไรให้ง่ายๆด้วย..ไม่มีทาง..”

“มันต้องมีทางสิครับ..ก็อย่างที่ผมบอกไง ว่ามันอยู่ที่ความร่วมมือของคุณ..คุณลองคิดดูให้ดีๆนะครับ นอกจากคุณจะได้แก้แค้นไอ้หลานจอมโอหังของคุณแล้ว คุณยังได้บริษัทกลับคืนมาอยู่ในมือของคุณอีกด้วย..ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว..ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบ ผมว่ามันก็คุ้มแสนคุ้มจะตายไป”

สิทธิโชคยกผลประโยชน์อันมหาศาลมายั่วใจคณินที่จิตใจกำลังสั่นคลอนจากความโลภและความแค้น
“เชื่อผมเถอะครับคุณคณิน แรกๆน้องคุณก็คงจะโกรธ แต่ไม่ว่ายังไง สายเลือดก็ตัดกันไม่ขาดอยู่แล้ว..เมื่อยึดอำนาจมาได้แล้ว คุณก็ให้ส่วนแบ่งอะไรกับน้องของคุณบ้าง แล้วก็ทำให้เขาเห็น ว่าคุณสามารถทำงานได้ดีกว่าเขามากแค่ไหน..รับรอง สักวันน้องของคุณก็จะเข้าใจและให้อภัยในตัวคุณ..เหมือนอย่างที่คุณเคยให้อภัยในตัวของเขายังไงล่ะครับ”

“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ” คณินถามกลับอย่างลังเล

“เรื่องแบบนี้ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว..เพียงแต่ มันก็อาจจะต้องอาศัยเวลากันบ้าง..เชื่อผมเถอะ คุณคณิน” สิทธิโชคยิ้มให้ก่อนยกแก้วบรั่นดีดื่มที่เหลือจนหมด

ก้องภพโน้มตัวเข้าใกล้คณิน
“ผมว่าถึงเวลาแล้วนะครับ ที่คุณจะได้ทุกอย่างกลับคืนมา..จะได้ไม่ต้องคอยอาศัยร่มเงาของใครให้คนอื่นมันดูถูก”

คณินมองสบสายตามุ่งมั่นของลูกน้องคนสนิท แล้วครุ่นคิดอีกไม่กี่อึดใจก็พ่นลมหายใจพรวด
“เอาก็เอา”

“มันต้องอย่างนี้สิครับ” สิทธิโชคยิ้มกว้าง แล้วก็ให้ลูกน้องเติมเครื่องดื่มอีก “งั้นเรามาดื่มฉลองให้กับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของคุณคณินกัน”

คณินยกแก้วชนกันกับสองหนุ่ม หัวเราะอย่างยินดีกับความฝันที่ใกล้จะเป็นจริง..และในขณะที่คณินกำลังปลื้มอกปลื้มใจ ตัวก้องภพเองลอบยิ้มหยันให้กับความเขลาของคณิน ที่หลงตกลงไปในกับดักที่เขากับสิทธิโชคขุดล่อเอาไว้จนได้ โดยไม่ได้ระแวงระวังกับคำที่ว่า ของฟรีไม่มีในโลก และสิ่งที่คณินต้องแลกในครั้งนี้ก็คือ ชีวิต!



นิวยอร์ก...
อนาวินโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงด้วยความกังวลปนหงุดหงิด เพราะตั้งแต่เดินทางมาถึงอเมริกาได้สามวันแล้ว แต่เขาสามารถโทรศัพท์หาราโมน่าได้เพียงครั้งเดียว และได้พูดคุยกันในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ก่อนที่เธอจะวางสายไป และนับจากนั้นมา เขาก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้อีกเลย..ซึ่งมันคงต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับหญิงสาวแน่นอน แต่เขาก็ไม่สามารถไถ่ถามจากใครได้ เพราะตอนนี้บิดาคงสั่งคนเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาแทบทุกฝีก้าว ซึ่งเขาไม่อยากจะทำอะไรที่เป็นการเสี่ยงไปมากกว่านี้ จึงได้แต่พยายามเก็บงำความอึดอัดคับใจนี้อย่างสุดกลั้น..ชายหนุ่มยืนมองทิวทัศน์เบื้องล่างผ่านกระจกด้วยสายตาว่างเปล่าได้ไม่นานนัก บอดี้การ์ดคนสนิทก็ก้าวเข้ามา

“มีรายงานจากเมืองไทยส่งเข้ามาครับ”

อนาวินหันมาทางโจ้ที่เปิดโทรทัศน์ เพื่อดูลิงก์ข่าวที่ลูกน้องทางประเทศไทยส่งมาให้ ซึ่งเป็น ข่าวของคณินเป็นผู้บงการเผาคลังสินค้าในไซต์งานของบริษัทเขา
“คนของเราบอกว่า คนร้ายสามคนนั่น คุณขวัญเป็นคนจับได้ครับ”

ชายหนุ่มนิ่วหน้า
“ขวัญไปอยู่ที่ไซต์งานพอดีเรอะ”

“ครับ..แล้วคนของเรายังบอกว่า คุณขวัญสั่งซ้อมเจ้าสามคนนั่นซะน่วมเลย ก่อนจะส่งตัวให้ตำรวจ”

อนาวินแค่นยิ้ม นึกสมน้ำหน้าคนร้ายทั้งสาม “ไม่เห็นขวัญโทรมาเล่าอะไรให้ฟังเลย..แล้วเราเสียหายไปแค่ไหนล่ะ”

“ไม่มากเท่าไหร่ครับ เพราะคุณขวัญไปเห็นเข้าเสียก่อน ตอนนี้คุณขวัญสั่งเร่งซ่อมแซมส่วนที่เสียหายอยู่ครับ”

“อืมม์..ขวัญคงจะแก้ปัญหาเรื่องนี้เองได้ ไม่อย่างนั้นก็คงโทรมาหาอั๊วแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดอย่างเชื่อมั่นในความสามารถของญาติผู้น้อง..ร่างสูงยอบตัวนั่งลงบนเตียง”นายจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเร่งด่วน ไม่ต้องให้ใครเขามานะ”

“ครับ” โจ้รับคำและก้าวออกจากห้อง พลางเหลียวมองเห็นเสี้ยวหน้าเคร่งขรึมของเจ้านายหนุ่มอย่างชัดเจน ก่อนที่บานประตูจะปิดลง แม้ว่าตลอดเวลาที่เจ้านายหนุ่มอยู่ต่อหน้ากลุ่มคู่ค้า ใบหน้านั้นจะฉายรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์อยู่เสมอ แต่พอลับหลังคนเหล่านั้นแล้ว เจ้านายกลับกลายเป็นอีกคนที่มีแต่ความหมกมุ่นคิดถึงปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก..และจากที่เขาคลุกคลีสนิทสนมกับอนาวินมานาน จึงทำให้สามารถคาดเดาปัญหาโลกแตกของเจ้านายหนุ่มได้ไม่ยาก

“หน้าเครียดแบบนี้ ปัญหาเรื่องหญิง ชัวร์!”



ราโมน่านอนมองโทรศัพท์มือถือในมือน้ำตาคลอ เฝ้าดูแต่เบอร์ของอนาวินที่เธอไม่กล้ารับสาย เพราะกลัวตนเองจะพลั้งเผลอคร่ำครวญอะไรออกไปให้เขาหนักใจในเรื่องของปริพันธ์ ที่ดูเหมือนว่าป้าของเธอจะเร่งวันเร่งคืนให้มีงานแต่ง..และในวันนี้ ยังเกิดเรื่องใหญ่ให้ความขัดแย้งของสองตระกูลยิ่งแตกกระจายเป็นวงกว้างจนหาหนทางยุติไม่เจอ เรื่องราวระหว่างเขากับเธอมันจึงไม่เหลือหนทางที่จะอยู่เคียงข้างกันได้อีกต่อไป เธอกับเขาจะทนมองหน้ากันด้วยความรักได้ต่อไปอีกนานแค่ไหน ในเมื่อยังมีความขัดแย้งโผล่มาไม่จบไม่สิ้น..และในสักวัน..ความรู้สึกคลางแคลงใจในสถานการณ์ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และความสัมพันธ์ที่ต้องหลบๆซ่อนๆ มันจะบั่นทอนความรู้สึกของเขาให้กลายเป็นความเบื่อหน่าย และจากนั้น..ความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อกันก็คงจะจางหายกลายเป็นเกลียดชัง..และเธอคงทำใจรับไม่ได้ หากเห็นเขามองเธอไม่ต่างอะไรจากมองศัตรู

และการตัดใจจากเขาเสียในตอนนี้ มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของทุกฝ่าย..สำหรับเธอ คงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากไปกว่านี้แล้ว ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เธอมีความเหงาเป็นเพื่อน มีความทรงจำอันเลวร้ายของแม่เป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจเธอให้เข้มแข็ง..และแค่การที่ต้องตัดขาดจากผู้ชายสักคน เธอก็คงสามารถผ่านมันไปได้เช่นกัน และถ้าคิดในแง่ดี อย่างน้อยการแยกจากครั้งนี้ เธอก็ยังมีความทรงจำดีๆของเขาติดตัวเธอไปด้วย โดยที่ไม่มีใครสามารถมาพรากมันไปจากเธอได้..และมันจะคงอยู่กับเธอไปจนตาย..


………………………………………………………

จบอีกสองตอนค่ะ ^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ส.ค. 2556, 18:53:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ส.ค. 2556, 18:53:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1909





<< ตอนที่ ๒๐-๒๑   บทที่ ๒๔-๒๕ >>
จิงโกะ 26 ส.ค. 2556, 19:44:00 น.
สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นทุกที ลุ้นๆ

ดีใจนะคะ ที่นำมาส่งให้อ่านตั้งสองตอนรวด หายคิดถึงไปเยอะเลย


goldensun 26 ส.ค. 2556, 20:53:29 น.
หายไปนานเลย เห็นสองตอนนี่ ดีใจมากเลยค่ะ ได้อ่านต่อแล้ว
คนโง่เป็นเหยื่อคนฉลาดจริงๆ คนบงการไม่จำเป็นต้องแสดงตัว เรี่องก็ลุกลามไปมากแล้ว
จิลล์จะโดนทิ้ง จะแก้ปัญหายังไง


Zephyr 26 ส.ค. 2556, 21:45:51 น.
โห มีคนคอยเสี้ยมจนแตกร้าว เกินประสาน จะทำไงละเนี่ย
ไม่เห็นทางคืนดีเลยนะ
สองคนไม่มีปัญหา แต่ผู้ใหญ่กับคนรอบข้างนี่สิ ใครจะเข้าใจนะ
เฮ้ออออออ เครียดดดดด


MDDC 27 ส.ค. 2556, 01:19:01 น.
หายไปนาน ต่อไม่ค่อยติด


ระรินใจ 27 ส.ค. 2556, 12:10:50 น.
คุณจิงโกะ === นานๆจะได้เข้ามาสักที จะลงแค่ตอนเดียว เดี๋ยวจะเสียเที่ยวค่ะ อิอิ



คุณ goldensun === ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆก็เลยไม่ค่อยได้เล่นเน็ตเลยค่ะ แต่นิยายก็ยังเขียน(กระดึ๊บๆ)ไปเรื่อยๆค่ะ
ส่วนเฮียจิล เดี๋ยวพี่แกก็มีวิธีแก้ปัญหาตามสไตล์ของพี่แกนั่นล่ะค่ะ ^^



คุณ Zephyr === เพราะไม่มีหนทางที่จะดีกันได้ เฮียจิลถึงต้องดับเครื่องชนไงล่ะค่ะ..อย่าเพิ่งเครียดตอนนี้ค่า..เดี๋ยวก่อน..อิอิ



คุณMDDC === ขออภัยค่ะ แหะๆ..แต่ถ้ารักกันจริง รบกวนพยายามประติดประต่อกันหน่อยนะคะ ^^


ระรินใจ 27 ส.ค. 2556, 12:15:25 น.
คุณ bloomberg === บทหวานๆคงต้องรอกันหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะมีมาให้เห็นประปราย แต่รับรองว่าชุ่มหัวใจแน่ค่า


ผักหวาน 27 ส.ค. 2556, 13:01:35 น.
สองคนรักกันและแอบคบกันท่ามกลางสมรภูมิของครอบครัวจริงๆ


สันติภาพวัฒนะ 27 ส.ค. 2556, 14:17:48 น.
หนุกดีครับ ผมเองก็มีแนวนี้ที่เขียนค้างอยู่ ยังไม่ได้รื้อเลย ตอนนี้ถูกแยกมาทำเป็นเรื่องสั้นไปก่อน


ระรินใจ 27 ส.ค. 2556, 16:31:23 น.
คุณผักหวาน === โมริโอกับจูเลียต ยุค 2000 กว่าๆค่ะ(ประมาณว่าเกิน 2013ไปหลายสิบปีทีเดียว) ^^


คุณสันติภาพวัฒนะ === รีบเอามาปัดฝุ่นเลยค่ะ เดียวจะขึ้นสนิมจนเขียนไม่ออก (เพราะของตัวเองก็มีอีกหลายเรื่องเหมือนกัน ที่ยังไม่มีเวลาเขียนเลย แฮ่)


nunoi 28 ส.ค. 2556, 12:05:55 น.
โอ๊ยยย ลุ้นตลอดเลย สงสารอนาวิน กะ ราโมน่า จังเลย


ไรน้ำ 29 ส.ค. 2556, 21:36:29 น.
ในที่สุดก็ได้อ่านอีก รออ่านต่อไปค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account