ยามเมื่อลมห่มฟ้า...มะนิลา
'ฟิลิปปินส์' ประเทศหมู่เกาะที่พายุลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านสร้างความเสียหาย
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา


'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที


กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ


แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ

บทนำ

This is my desire
To honour you
Lord, with all my heart
I worship you
All I have within me
I give you praise
All that I adore
Is in you*

เสียงใสกังวานขับขานเพลงนมัสการพระเจ้าดังสะท้อนไปทั้งโบสถ์คริสต์ มันเย็นชื่นเข้าไปในหัวใจคนฟัง รวมทั้งผู้ที่ประสานเสียงร้องตาม หากเสียงของคนจำนวนมากกว่าก็ไม่อาจกลบเสียงร้องหวานใสของหญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปีผู้ที่รับหน้าที่นี้มาตั้งแต่แกยังโตไม่เต็มสาวได้เลย

ลิปดารับขนมปังมาจากบราเธอร์วัยกลางคน ผมสีดอกเลาของท่านตัดกับเส้นผมสีดำเด่นชัดขึ้นทุกปีๆ ที่เธอเติบโตขึ้น มีเพียงแววซึ่งเปี่ยมเมตตาในดวงตาที่ยังเหมือนเดิมเสมอมา

ลิปดากุมมือหน้าชุดกระโปรงยาวสีขาวนอบน้อม ขณะเอ่ยสนทนากับท่านเมื่ออยู่ในโบสถ์ลำพัง

"ได้ข่าวว่าลิปดากำลังทำโครงการกับอาจารย์มาเรียอยู่หรือ"

"ใช่ค่ะ เป็นการรณรงค์ให้ชาวฟิลิปปินส์รู้จักการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธี พวกเราไม่ได้สนับสนุนการทำแท้งอย่างที่ถูกยัดเยียดกล่าวหา บราเธอร์เข้าใจพวกเราใช่ไหมคะ"

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ทีไร ใบหน้าผู้พูดมักเต็มไปด้วยความกังวล ทว่ามีเพียงดวงตาเท่านั้นที่โชนแสงกล้าอย่างเชื่อมั่นในตนเอง

"หนูไม่เคยคิดเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาใด และโครงการที่ทำก็มุ่งเน้นที่กลุ่มวัยรุ่นค่ะ" เธอลอบถอนใจครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ "พวกผู้ใหญ่น่ะคงยากที่จะเปลี่ยนความคิดความเชื่อเสียแล้ว แต่หนูมีความตั้งใจให้วัยรุ่นทั้งชายหญิงรู้จักป้องกันตนเอง ก็เพื่อสุขอนามัยและป้องกันปัญหาสังคมต่อไปนะคะ"

มีเพียงพรายยิ้มบางจากนักบวชในคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิค เมื่อท่านไม่ได้เอ่ยคัดค้านหรือแสดงความเห็นใด ลิปดาจึงคิดได้ว่าตนอาจพูดมากไป พร้อมกับโล่งใจที่บาทหลวงผู้ที่ชาวบ้านแถวนี้นับถือไม่แสดงท่าทีว่าไม่เห็นด้วยกับเธอ

"ได้กลับบ้านบ้างหรือเปล่าล่ะลิปดา" เสียงแหบทุ้มถามมาอย่างปรานี

หญิงสาวสั่นศีรษะให้เห็นไรผมเปียซึ่งถักไว้หลวมหลุดลุ่ยลงมา แม้โบสถ์แห่งนี้จะไม่ไกลบ้านนัก แม้เมื่อกี้เธอจะเห็นร่างท้วมของสตรีที่เป็นแม่เลี้ยงไกลๆ แต่นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกัน อันที่จริงท่านทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนเสียด้วยซ้ำ นับแต่เธอเริ่มเข้าร่วมรณรงค์เพื่อผลักดันกฎหมายคุมกำเนิดเมื่อหลายปีก่อน กระทั่งกฎหมายนั้นผ่านการรับรองของสภาในปลายปี ๒๐๑๒ ในที่สุด หลังมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและคัดค้านมาตลอดสิบสี่ปีเต็ม

แน่นอนว่าแม่เลี้ยงผู้เคร่งศาสนาของเธออยู่ฝ่ายศาสนจักร เช่นเดียวกับบิชอปหลายท่านที่ไม่เห็นด้วย หากลิปดากับอาจารย์ก็มุ่งมั่นที่จะให้ความรู้ประชาชนต่อไป

"เปล่าค่ะ ไม่ได้กลับ ก็ออกมาอยู่ห้องเช่าใกล้มหาวิทยาลัยนี่คะ จะสี่ปีได้แล้วกระมัง"

"ฉันหมายถึงเรื่องที่หนูทำอยู่ต่างหาก มันไม่หนัก ไม่เหนื่อยเกินไปหรอกหรือ"

"ไม่หรอกค่ะ"

ดวงตากลมราวเม็ดอัลมอนด์แจ่มใสขึ้นยืนยันคำพูดนั้น พร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบขึ้นทั้งปากและตา

"เหมือนจอห์น" บราเธอร์เบอร์นาร์ดเปรย "ได้เลือดพ่อมามากนะลิปดา มิสเตอร์ดีแลนเองก็ศรัทธากับทุกสิ่งที่เขาทำเสมอ และอย่างเต็มเปี่ยมเสียด้วย"

ลิปดาภูมิใจทุกครั้งที่ใครบอกว่าเธอเหมือนพ่อ พ่อที่เป็นวิศวกรมาก็หลายประเทศ พ่อผู้รักการผจญภัยเป็นชีวิตจิตใจ เชื่อมั่นและมุ่งมั่นกับทุกสิ่งที่ทำเสมอ บราเธอร์รู้จักมักคุ้นกับพ่อของเธอดี แต่พ่อก็ด่วนทิ้งเธอไปเมื่อแปดปีก่อนขณะท่านออกไปปีนเขา แล้วพ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย

เพียงครึ่งปีที่พ่อจากไป ทิ้งเธอและน้องสาวไว้กับแม่เลี้ยงชาวฟิลิปปินส์ นางจูลี่แม่เลี้ยง...ทว่าเป็นมารดาแท้ๆ ของน้องสาวร่วมบิดากับเธอก็แต่งงานกับสามีใหม่ชาวฟิลิปปินส์ ก่อนจะมีลูกตามมาอีกเป็นโขยง ลูกที่เกิดจากสามีเก่าอย่าง 'เจนิส' จึงกลายเป็นหมาหัวเน่าทันที

"เจนิสเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เขาก็คงจะคิดถึงแม่เขา อย่างนั้นซีนะ"

แววตาหญิงสาวหม่นแสง ราวกับประกายเจิดจ้าเมื่อครู่นี้ไม่เคยปรากฎบนดวงตาคู่เดียวกันมาก่อน

"ก็เพราะเจนิสด้วยแหละค่ะ หนูถึงมั่นใจว่าสิ่งที่อาจารย์มาเรียพยายามรณรงค์น่ะถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันที่สุดแล้ว" เธอตอบสำรวมมากกว่าจะจองหองดังที่แม่เลี้ยงเคยผรุสวาท

"เจนิสไปอยู่กับหนูกี่เดือนแล้วนะ"

"สามเดือนค่ะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนน้องเลย" เธอยกถุงขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ที่เพิ่งได้รับขึ้นมองพลางเอ่ยต่อ "ได้ขนมนี่ น้องคงดีใจนะคะ"

บราเธอร์เบอร์นาร์ดยิ้มเมตตามาจากหลังแว่นกรอบเงิน ขอพระเจ้าทรงประทานพรสองพี่น้องคู่นี้ด้วยเถิด

"ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ เจนิสจะรอ"

ลิปดาค้อมศีรษะเล็กน้อย เธอบอกขอบคุณพระคุณเจ้าอีกครั้งก่อนเดินผ่านประตูโบสถ์ซึ่งเปิดกว้างออกไป

พ้นจากศาสนสถานแห่งนั้นเป็นย่านชุมชนที่เกือบเรียกได้ว่าแออัด ที่อยู่อาศัยของปลูกผู้คนติดกันหลังชนหลัง เธอรู้ว่าแค่เพียงเลี้ยวไปทางถนนเล็กทางขวาก็จะพบกับบ้านที่เธอเคยอยู่นับแต่พ่อย้ายมาทำงานที่กรุงมะนิลา บ้านที่เป็นทาวน์เฮาส์สองชั้นอับมอซอเช่นเดียวกันนี้ แต่หญิงสาวกลับเลือกเดินไปทางซ้าย ที่ซึ่งมีถนนสายใหญ่ตัดผ่านเพื่อรอรถประจำทางกลับที่พักของตน

.......................


รถจี๊ปนีย์ซึ่งประกอบจากเหล็กอลูมิเนียมพ่นสีสดมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายรถจี๊ปเชอโรกี หากใหญ่กว่าละม้ายรถบรรทุกได้ มีหน้าที่รับส่งผู้โดยสารภายในกรุงมะนิลา

ภายในรถเป็นเบาะนั่งหันหน้าเข้าหากันสองแถว กลางวันอย่างนี้ไอร้อนจากข้างนอกโอบห้อมล้อมผ่านหน้าต่างของรถบนถนนซึ่งการจราจรติดขัดแทบไม่ขยับ ยิ่งอบอ้าวขึ้นไปอีกเมื่อมีผู้โดยสารเต็มคัน

เสร็จจากเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์แล้ว ชาวฟิลิปปินส์นิยมออกไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว บนท้องถนนในวันหยุดจึงคับคั่งด้วยรถราไม่ต่างจากวันทำงาน เมื่อรถจอดป้ายใกล้เอสเอ็มมอลล์ ห้างสรรพสินค้าที่มีมากมายหลายสาขาแห่งหนึ่ง ผู้คนจึงทยอยลงไปพอให้ลิปดาได้มีที่นั่งสบาย ก่อนอีกไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรข้างหน้าจะถึงแมนชั่นห้องเช่ารูหนูของเธอที่เกซอน ซิตี้ เมืองหลวงเก่าของฟิลิปปินส์

หญิงสาวลงจากรถเมื่อถึงที่หมาย ย่านนี้เต็มไปด้วยตึกสูงห้าชั้นที่ปลูกติดกันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย โดยมากของผู้พักแถวนี้จะเป็นหนุ่มสาวที่กำลังศึกษาระดับอุดมศึกษายังมหาวิทยาลัย เธอเองก็เป็นนิสิตชั้นปีสุดท้ายของคณะสังคมศาสตร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เดอะ ฟิลิปปินส์เช่นกัน

ลิปดายิ้มทักทายแม่บ้านเฝ้าตึกอย่างคุ้นเคย ชินเสียแล้วกับกลิ่นอับภายในตึกที่ก้าวเข้ามา ก่อนเธอจะวิ่งสลับเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักมุมในสุดบนชั้นสี่ ไขกุญแจห้องที่ตนย้ายมาอยู่ตั้งแต่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเข้าไปพลางส่งเสียงทักทาย

"รอนานไหมเจนิส บราเธอร์เบอร์นาร์ดถามถึงเธอด้วยแน่ะ"

ผู้ที่เพิ่งมาถึงก้มถอดรองเท้าหน้าประตูที่เธอใช้สะโพกผลักปิด เมื่อไม่ได้รับคำตอบจึงเงยหน้ามอง ก็เห็นน้องสาววัยสิบสี่ปีกำลังให้ความสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่าพี่ที่เพิ่งมาถึงอย่างเธอ

"ทำอะไรอยู่รึ" เธอถามพลางเดินไปดูจากด้านหลังน้องสาว แต่จอก็ดับลงพอดีราวจงใจ

ลิปดาคร้านจะสนใจ เธอวางถุงขนมที่บราเธอร์มอบให้ ก่อนจะก้าวไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ทุกอย่างช่างแคล่วคล่องว่องไวในสายตาเจนิสซึ่งหันมอง แม้กระทั่งยามพี่สาวถอดชุดเดรสแขนสามส่วนสีขาวออกทางศีรษะ เหลือเพียงชั้นในสองชิ้นอวดส่วนเว้าโค้งงดงามของเรือนร่างสะโอดสะองที่เธอนึกชื่นชมและอิจฉาในใจ ก่อนจะเปลี่ยนมาสวมเสื้อเชิ้ตพอดีตัวแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ แขวนเก็บชุดเดิมไว้ในตู้ในเวลาไม่ถึงสองนาที

แล้วดูเธอสิ เธอเพิ่งอายุสิบสี่ย่างสิบห้าปีแต่มีโครงร่างหนาอย่างแม่ สิ่งเดียวที่เธอพอใจในตัวเองคงเป็นใบหน้าสวยคมขำที่ได้จากแม่ชาวฟิลิปปินส์ครึ่งหนึ่งและพ่อชาวอังกฤษครึ่งหนึ่ง แม่เคยรัก ภูมิใจยามใครชมว่าลูกสาวท่านสวยเหมือนนางงามลาตินอเมริกา กระทั่งเกิดอุบัติเหตุในชีวิตวัยรุ่นของเธอ แม่ก็แทบไม่มองหน้า ด่าสาปส่งเธอแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

"อ้าว จะไปไหน"

ลิปดาทำท่าจะเข้ามาประคองเมื่อเห็นเด็กสาวยันตัวลุกจากเก้าอี้ยากลำบาก หน้าท้องที่นูนออกมามากขึ้นยิ่งส่งผลให้โครงร่างหนาดูอุ้ยอ้าย ทั้งแขนและใบหน้าก็อวบอิ่มขึ้นตามอายุครรภ์สิบแปดสัปดาห์

ทว่าเจนิสเบี่ยงตัวหนี ไม่ยอมให้พี่สาวร่วมบิดาจับจูงหรือประคอง

"พี่ไม่ต้องห่วงฉันมากนักหรอก เท่าที่พี่ให้ฉันมาอยู่ด้วยนี่ ฉันก็ละอายใจมากพอแล้ว"

"เจนิส ทำไมพูดอย่างนี้ เธอเป็นน้องพี่นะ" ลิปดานิ่วหน้าไม่สบายใจ

"แต่เราไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ สักหน่อย เราแค่มีพ่อคนเดียวกัน พี่ไม่ใช่คนฟิลิปปินส์เสียด้วยซ้ำ แต่พี่ชอบเจ้ากี้เจ้าการ แม่ถึงเกลียดพี่ไง"

ผู้เป็นพี่สะอึกอึ้งเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น ถูกของเจนิสที่พวกเธอไม่ใช่พี่น้องร่วมท้องมารดาคนเดียวกัน แต่เจนิสก็เป็นคนในครอบครัวเดียวที่เธอเหลืออยู่ที่นี่ เป็นลูกของพ่อเหมือนกันกับเธอ

แต่ถึงแม้โดยชาติกำเนิดเธอจะมาจากไหนก็ตาม ลิปดากลับระลึกเสมอว่าเธอเป็นคนของที่นี่ เป็นพลเมืองชาวฟิลิปปินส์เท่าๆ เจนิส เท่าๆ นางจูลี่คนหนึ่ง ทุกสิ่งที่เธอทำไปก็ด้วยตระหนักเสมอในฐานะประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ไม่คิดว่ากลับถูกคนในชาติเดียวกันมองตนเองเช่นนี้เลย

หญิงสาวมัวแต่ยืนนิ่งงัน กระทั่งเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงร้องสั่นขึ้นให้รู้สึกตัวอีกครา

"พี่จะไปทำงานก็ไปเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้" เสียงบอกประโยคนั้นอ่อนลงนิดหนึ่ง

ลิปดามองน้องสาวนั่งเหยียดขาบนเตียง มือก็คว้านิตยสารที่เธอได้จากคนรู้จักบ้างมาวางทิ้งไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาให้น้อง ก่อนจะตอบกลับไปเหมือนไม่มีอะไรขุ่นข้องหมองใจ

"จะรีบกลับมานะ ถ้าได้ทิปเยอะจะซื้อของกินดีๆ มาฝาก"

ไม่สำคัญหรอกว่าสิ่งที่เธอพูดไปจะเข้าถึงใจคนฟังหรือไม่ แต่แค่เพียงได้พูด ได้ทำเพื่อคนอื่น เธอก็เชื่อว่ามันย่อมเกิดประโยชน์ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ยิ่งใหญ่แต่แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
...........................

*I give you my heart

...........................


สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 8 ของแพรวค่ะ แต่เพิ่งนำมาลงที่นี่ครั้งแรก

คราวนี้ยังมีฉากหลังเป็นต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ประเทศสมมติแล้ว
แถมแพรวก็ยังไม่เคยไปอีกด้วย เขียนด้วยข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
แล้วก็โชคดีที่ได้รู้จักพี่คนไทยที่ทำงานที่นั่น กับเพื่อนชาวฟิลิปปินส์อีกคนช่วยบอกเล่าและตอบข้อสงสัยค่ะ

แพรวก็ไม่รู้ทำไมต้องเป็นฟิลิปปินส์ แต่รู้สึกสนใจและถูกชะตากับประเทศนี้ประหลาด
ทั้งด้านภัยธรรมชาติ ด้านการเมือง และสังคม อย่างที่ในเรื่องนี้จะมีเอ่ยถึงกฎหมายการคุมกำเนิด
ที่เมื่อแรกรู้ข่าวก็เกิดสนใจขึ้นมาจนเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเรื่องนี้ค่ะ

แต่เมื่อฟิลิปปินส์เป็นประเทศหมู่เกาะ คนเขียนก็เลยออกทะเลเป็นว่าเล่น 55
ฝากช่วยเป็นกำลังใจให้แพรวกลับเข้าฝั่งด้วยนะคะ อิอิ

ขอบคุณค่ะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ต.ค. 2556, 14:08:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ต.ค. 2556, 14:08:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1271





   บทที่ ๑ >>
จิงโกะ 10 ต.ค. 2556, 14:56:54 น.
เปิดเรื่องก็น่าสนใจเรื่องราวที่จะดำเนินต่อไปซะแล้ว


ภาพิมล_พิมลภา 10 ต.ค. 2556, 18:06:37 น.
คุณจิงโกะ - ขอบคุณนะคะ ฝากติดตามและติชมได้เลยค่ะ


ปริยาธร 10 ต.ค. 2556, 19:32:58 น.
มาอ่านในนี้แล้วกันนะจ๊ะ เขียนดีค่ะ รอตอนต่อไปนะจ๊ะ


ภาพิมล_พิมลภา 10 ต.ค. 2556, 20:17:38 น.
พี่นุ้ย - ขอบคุณคร้าบ ขอบคุณที่แนะนำเว็บเลิฟด้วยนะคะ > <


วิรัตต์ยา 11 ต.ค. 2556, 11:42:33 น.
แอร๊ย น้องแพรว มาถือพู่เชียร์จ้า ^^


ภาพิมล_พิมลภา 11 ต.ค. 2556, 16:32:34 น.
พี่แก้ว - ขอบคุณค่ะ ติชมได้นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account