ยามเมื่อลมห่มฟ้า...มะนิลา
'ฟิลิปปินส์' ประเทศหมู่เกาะที่พายุลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านสร้างความเสียหาย
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา
'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที
กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ
แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา
'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที
กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ
แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๑
๑
เสียงดนตรีจากวงแบ็คอัพจบลงพร้อมกับที่นักร้องสาวค้อมศีรษะ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าสวยหวานนั้นก็มีรอยยิ้มเผื่อแผ่แจกจ่ายแก่แขกผู้มีเกียรติทุกคนในไนต์คลับ ก่อนแสงไฟสีส้มนวลซึ่งส่องยังตำแหน่งนักร้องบนหน้าเวทีจะค่อยหรี่สลัวลง
ผู้จัดการร้านซึ่งเป็นชายร่างสันทัด ท่าทางกระฉับกระเฉงตลอดเวลามารอเธออยู่ข้างเวทีนั่นเอง
"ลิบบี้ นายคาบาเลสชวนเธอไปนั่งด้วยแน่ะ"
ลิปดานึกถึงบุรุษร่างท้วม ผิวสีคร้ามเข้มเกรียมแดดผู้ที่มาเป็นแขกประจำยังไนต์คลับแห่งนี้แทบทุกครั้งที่เขาขึ้นมาเมืองหลวง แรกเริ่มเธอเคยปฏิเสธคำชวนของเขา แต่เมื่อผู้จัดการร้านกระซิบว่าเขาเป็นเศรษฐีกระเป๋าหนัก เจ้าของสวนมะพร้าวหลายร้อยไร่ เธอก็ต้องเปลี่ยนใจ พับเก็บศักดิ์ศรีชั่วคราวเมื่อยังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกมากในไม่กี่เดือนข้างหน้า เป็นค่ารักษาพยาบาลสำหรับน้องสาวที่นับถอยหลังเพื่อให้กำเนิดลูกน้อย หลานของเธอ
"เดี๋ยวฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ แล้วจะไปที่โต๊ะ"
เมื่อใบหน้าแหลมเรียวผงกรับทราบ ลิปดาก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางห้องแต่งตัวหลังเวทีทันที ครั้นผลักประตูเข้าไปในห้องที่มีแสงสว่างจ้าจากไฟนีออนหลายดวงแล้ว เธอก็รีบค้นหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายข้างของตน แล้วกดโทรออกถึงเพื่อนสนิทที่เคยนัดแนะเตรียมการด้วยกัน
"เชอริล นี่ฉันเอง"
"ปัญหาเดิมใช่ไหม โอเค ฉันจะไป นี่มาร์คก็อยู่ด้วยนะ" ปลายสายตอบกลับมาอย่างรู้หน้าที่ดี
ถ้าเพื่อนรักโทรมาเวลาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ แสดงว่านายเศรษฐีภูธรนั่นคงตามมาเกาะแกะตอแย และนี่ก็เป็นวิธีที่เธอและเพื่อนตกลงกันไว้ว่าจะคอยระวังภัยให้กัน หากเศรษฐีใหญ่ผู้นั้นเกิดหน้ามืดชวนเธอไปต่อขึ้นมา
"ฉันล่ะภาวนาให้เขาชวนเธอไปต่อเสียทีนะลิปดา ฉันอยากตกปลาใหญ่ตัวนี้จะแย่แล้วซี เธอรวยพอที่จะไม่ต้องทำงานไปทั้งเดือนเลยล่ะฉันว่า"
ตามแผนที่วางกันไว้ หากเศรษฐีวัยกลางคนผู้นั้นชวนเธอไปต่อข้างนอก เชอริลก็พร้อมน็อคผู้ชายคนนั้นด้วยยาที่จะทำให้เขาลืมไปเลยล่ะว่าพกทรัพย์สินใดมาบ้าง กระทั่งตื่นขึ้นมาอีกวันหนึ่ง
"ถ้าแผนเธอไม่ผิดพลาด แล้วเป็นฉันที่ต้องรีบหายาคุมฉุกเฉินกินเสียก่อนนะ" ลิปดาต่อให้
"ใช่ แล้วอย่าลืมไปตรวจโรคที่โรงพยาบาลตอนเช้าด้วยล่ะ" เชอริลปิดท้ายในที่สุด
มันเป็นตลกร้ายที่พวกเธอได้แต่หัวเราะหึในลำคอ และคงจะขำไม่ออกหากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา
"ฉันกับมาร์คจะรออยู่แถวหน้าร้านเหมือนเดิม"
"มะรามิง ซาลามัต" เธอบอกขอบคุณเพื่อนรักก่อนวางสาย
เงาสะท้อนจากกระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัวนั้นตรึงสายตาเธอให้หยุดมองตัวเองชัดๆ คิ้วโก่งราวคันศรถูกเขียนให้เข้มขึ้น เปลือกตาไล้เฉดสีม่วง รับกับจมูกซึ่งลงแป้งให้เห็นเป็นเงาโด่งขึ้นมา ริมฝีปากอวบอิ่มนั้นเคลือบสีแดงจัด มันแปลกตาเสียจนเธอต้องคว้ากระดาษทิชชู่บนโต๊ะเครื่องสำอางนั้นมากดซับแรง
...........................................
"ลิเบอร์ตี้..." เสียงเรียกลากยาวด้วยความยินดีดังขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวที่ตนรอคอยเดินออกมาจากข้างเวทีซึ่งบัดนี้เป็นการแสดงบรรเลงเพลงจากเปียโนแทน
ลิปดาฉีกยิ้มหวานที่สุดในชีวิตพลางวางมือลงกลางมือหนาซึ่งยื่นมารอรับ ก่อนเธอจะนั่งบนโซฟาโค้งห่างเขาออกมาเล็กน้อย
"มากันดัง กาบิค่ะ คุณคาบาเลส"
"สวัสดีตอนเย็นเช่นกัน คนสวยของฉัน"
ร่างท้วมขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับรินไวน์ส่งให้ เธอจำต้องรับแก้วก้านยาวมาพลางภาวนาให้เพื่อนมาถึงหน้าร้านทันเวลา หากชายผู้นี้คิดจะมอมเมาเธอ แม้หลายครั้งที่เธอดื่มเป็นเพื่อนเขาจะไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้นก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดระแวงไม่ได้
"คิดถึงเธอจัง ลิบบี้ เธอว่าฉันดำขึ้นไหมนี่"
เขายื่นแขนข้างหนึ่งซึ่งพับแขนเสื้อขึ้นไปมาวางบนตักเธอขณะถามคำถามนั้น ลิปดาแสร้งก้มมองนิดหนึ่งอย่างมีจริตจก้าน ก่อนวางมือทาบหลังมือเขาไม่ให้มันเคลื่อนไปมากกว่านี้ ซ้ำยังเป็นการแสดงความสนิทสนมที่อีกฝ่ายพอใจ
"ไม่นี่คะ สวนมะพร้าวที่คาลิโบยุ่งมากหรือคะ ต้องการแรงงานเก็บมะพร้าวเพิ่มสักคนหรือเปล่า"
'คาลิโบ' เป็นเมืองงในเกาะทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ ห่างจากกรุงมะนิลาไปไม่มาก มีเมืองชื่อดังอย่าง 'คาติกลัน' ทางตอนเหนือของเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเทียบเรือไปยัง 'เกาะโบราคาย' เกาะสวรรค์ที่ติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวงดงามของโลก กระนั้นการคมนาคมจากกรุงมะนิลาไปยังคาลิโบที่สะดวกที่สุดก็คือทางเครื่องบิน
"ฉันไม่ยอมให้คนสวยของฉันไปตากแดดตากลมหรอก ผิวสวยๆ ของเธอจะเสียหมด รอเธอเรียนจบแล้วไปเที่ยวโบราคายกับฉันดีกว่า"
นายคาบาเลสใช้ข้อนิ้วชี้ไล้แก้มนวลเนียนซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนคมเข้มราวสาวลาติน เขาหลงรักในน้ำเสียงของเธอยามร้องเพลง แล้วก็ยิ่งประทับใจในตัวเธอ มีความสุขทุกครั้งเมื่อได้พูดคุย เหมือนได้เพื่อนคุยที่สนใจรับฟังและตอบกลับมาอย่างจริงใจ
"เล่าเรื่องของเธอบ้างสิ ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไง"
"ไม่มีอะไรมากไปกว่าทำงานเก็บเงินหรอกค่ะ" ลิปดาตอบตามความจริง
เศรษฐีหนุ่มใหญ่จับคางมนโยกไปมาอย่างมันเขี้ยว เขารู้ความจริงหมดแล้วว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้เขาเห็นเธอในภาพข่าวโทรทัศน์พร้อมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคน เพียงเสี้ยววินาทีก็ว่าได้แต่เขาสะดุดตาและจำเธอได้แม่นยำ เธอกำลังรณรงค์ในสิ่งที่เป็นปัญหาเล็กๆ ของประเทศมานาน
"คนสวย เธอปิดบังฉันไม่ได้หรอก สองสัปดาห์ก่อนเธอกับเพื่อนไปทำอะไรที่ชุมชนใกล้โบสถ์เขตปาซิก ภาพพวกเธอออกรายการโทรทัศน์ของผู้หญิงอยู่ไวๆ" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ลิปดาสับสนว่าตนควรยอมรับความจริงแค่ไหน แม้เธอจะไม่ใช่โสเภณี แต่การทำงานกลางคืนเช่นนี้ก็อาจส่งผลต่อชื่อเสียงมหาวิทยาลัยได้ หากอีกใจก็อยากจะสอบถามความคิดเห็นเขา อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนในสิ่งที่เธอทุ่มเททั้งกายใจ
"คัมออน! ฉันภูมิใจในตัวเธอนะลิบบี้ แล้วทำไมต้องทำท่าลังเลอย่างนี้ด้วยเล่า ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอกว่าคนเก่งคนนั้นคือคนสวยของฉันที่นี่" นายคาบาเลสพยายามกระตุ้น
นักร้องสาวหันมายิ้มให้บุรุษวัยกลางคนที่ยิ้มกว้างรออยู่แล้วจนเห็นเป็นชั้นไขมันย่นยู่ที่คอ
"ขอบคุณค่ะ ฉันก็ดีใจที่คุณเห็นด้วย"
"ฉันไม่สนใจหรอก คริสเตียนที่เคร่งครัดทำตามพระคัมภีร์ทุกอย่างจะมีสักกี่คน ไม่ดื่มของมึนเมา รักษาความบริสุทธิ์กระทั่งแต่งงาน หรือแม้แต่การหย่าถือเป็นบาป ฉันก็เห็นพวกต่อต้านกฎหมายนี้บางคนกลับเป็นเสียเองก็มี"
เมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงใจเธอ ลิปดาก็อดแสดงความเห็นไม่ได้
"เราพยายามมุ่งเน้นที่กลุ่มวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวแล้วด้วยค่ะ การตั้งครรภ์ในวัยเรียนเป็นปัญหาต่อทั้งตัวเด็กเอง และต่อทั้งสังคมที่ไม่ยอมรับ แต่ไม่มีใครสักคนที่ไม่ยอมรับจะเสนอทางแก้อย่างไร"
"พูดได้ดีนี่ลิบบี้ เอานี่ไปเป็นรางวัล" เขาเอ่ยพลางยัดธนบัตรจำนวนสามพันเปโซใส่มือเธอ "เสียดายที่คืนนี้ฉันอยู่นานไม่ได้ มามะนิลาครั้งนี้ก็เพราะขึ้นมาตรวจสุขภาพพรุ่งนี้น่ะ แต่พรุ่งนี้เธอไม่ได้ร้อง ฉันเลยแวะมาที่นี่ก่อน"
ลิปดากำธนบัตรในมือไว้พลางลอบถอนใจ เธอขยับไปรินไวน์ให้ทั้งเขาและตนอีกแก้ว เป็นการฉลองที่คืนนี้ผ่านไปด้วยดี และยังน่ายินดีที่ได้ฟังความคิดเห็นเช่นเดียวกับเธอ จากผู้ที่เธอเองก็ไม่คาดว่าเขาจะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้เช่นกัน
....................................
นักร้องสาวพราวเสน่ห์แปลงกายกลับไปเป็นหญิงสาวที่เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กมาไม่ทันไรอีกครั้งหลังเลิกงานคืนนั้น เธอตรงดิ่งไปหาเพื่อนชายหญิงที่รออยู่หน้าร้าน เห็นร่างผอมของชายหนุ่มยืนพิงรถจักรยานยนต์ของเขาแต่ไกล ขณะเพื่อนสาวนั่งอยู่บนอิฐที่ก่อขึ้นมาล้อมรอบโคนต้นไม้บนทางเท้านั่นเอง
มาร์คหันมาเห็นเธอก่อน ก่อนจะสะกิดเชอริลให้หันมองตาม ลิปดาตบกระเป๋าสะพายข้างให้รู้ว่าเธอไม่ได้มาตัวเปล่า มีรอยยิ้มรู้กันบนใบหน้าเพื่อนสนิททั้งสามคน
"หิวแล้ว แวะกินไรกันก่อนกลับเถอะนะ เดี๋ยวซื้อฝากเจนิสด้วย ฉันเลี้ยงเอง"
"โอเค!"
เชอริลซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่งใกล้เคียงกับเธอชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศ เจ้าหล่อนรับหมวกนิรภัยครึ่งใบจากเพื่อนชายที่นั่งคร่อมบนรถจักรยานยนต์ส่งต่อมาให้เธอ
"อยากกิน 'จอลลี่บี' " เพื่อนสาวแสดงเจตน์จำนง
ลิปดานึกถึงร้านขายไก่ทอดและเบอร์เกอร์ที่มีสาขาทั่วประเทศ คล้ายร้านชื่อดังจากต่างประเทศ แล้วก็ท้องร้องขึ้นมา
"จอลลี่บีนะมาร์ค"
หญิงสาวก้าวขึ้นซ้อนหลังเพื่อนชาย ก่อนจะตามด้วยเชอริลต่อหลังเธอ อาจดูเป็นการเดินทางที่ไม่ปลอดภัยนัก แต่พวกเธอก็ชินเสียแล้ว
"คร้าบ คุณผู้หญิง" เขาบอกพร้อมกับค่อยเร่งเครื่องผ่านการจราจรซึ่งเริ่มปลอดโปร่งยามค่ำคืนไป
"เออนี่ลิปดา วันนี้พวกเราไปที่มหาวิทยาลัยมา อาจารย์มาเรียถามถึง..." เชอริลพูดแทรกเสียงเครื่องยนต์และสายลมที่ปะทะมา
"อะไรนะ ไม่ได้ยิน" เธอหันไปบอกเพื่อนด้านหลัง
"อื้อ ไว้พูดกัน"
ผู้ที่มีเรื่องพูดตบไหล่เพื่อนให้รู้ว่าไม่เป็นไร เรื่องที่อาจารย์ซึ่งพวกเธอเคารพรักฝากมาบอกลิปดานั้นคงต้องคุยกันยาว เมื่อมันเกี่ยวข้องไปถึงน้องสาวของเธอ
..................................
'อาจารย์มาเรียอยากพบเจนิสกับแม่ของแก เรื่องรณรงค์นั่นแหละ อาจารย์คิดว่าถ้าเจนิสเป็นกระบอกเสียงของโครงการได้ ก็จะเข้าถึงวัยรุ่นได้ดี แต่ฉันก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก จริงไหมลิปดา นางจูลี่แม่เลี้ยงของเธอคงไม่ยอมอนุญาตแน่'
เรื่องที่เชอริลต้องการพูดกับเธอยังดังสะท้อนในโสตประสาท จนถึงตอนนี้ที่ลิปดามาหยุดยืนหน้าประตูห้องพักโดยแทบไม่รู้สึกตัวว่ากลับมาได้อย่างไร เพราะมัวแต่คิดสะระตะกับสาส์นที่เพิ่งได้รับรู้มา
หญิงสาวก้มมองถุงยี่ห้ออาหารฟาสต์ฟู้ดที่ตนซื้อมา เธอสูดหายใจลึกพลางกระตุกยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปเห็นไฟห้องสว่าง เจนิสนั่งเหยียดขา เอนหลังพิงหัวเตียงจับจ้องโทรทัศน์ที่เพิ่งซื้อมาจากร้านซื้อของเก่า ก็เพราะกลัวน้องจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่ในห้องทั้งวัน
"ดึกมากแล้วทำไมยังไม่นอนอีกล่ะ แต่ช่างเถอะ พี่มีของมาฝาก"
สำหรับน้องอย่างเธอ พี่ก็เป็นคนทำอะไรแคล่วคล่องว่องไวไปหมดเช่นนี้ แม้แต่เรื่องพูด พี่ก็คิดเอง สรุปเองเสร็จสรรพ ไม่เหมือนเธอที่ขาดความมั่นใจอยู่เสมอ เมื่อใครชมเธอก็ล่องลอยไปกับคำชมนั้น แต่เมื่ออยู่ใกล้พี่... พระเจ้าก็ดูจะสูบเอาพลังใจเธอทั้งหมดไปประทานแก่พี่ลิปดา เธอรู้สึกเหมือนตัวเองช่างโง่เง่า ทุกครั้งที่นึกชื่นชมพี่ในใจ
"จำได้ว่าเธอไม่ชอบเบอร์เกอร์เพราะมันมีผักใช่ไหม พี่เลยซื้อไก่ทอดมาฝาก"
ผู้พี่นั่งห้อยขาข้างหนึ่งจากขอบเตียง พร้อมกับร่นถุงซึ่งวางบนตักลงมาจนถึงกล่องกระดาษสีน้ำตาลสำหรับใส่ไก่ทอดสองชิ้นข้างใน
ดวงตาเจนิสทอประกายขึ้นเมื่อนานทีจะได้กินอาหารแปลกใหม่อย่างที่วัยรุ่นคนอื่นชอบกินบ้าง เธอรับมาจากพี่พลางเปิดกล่องออกดู ไก่ทอดสีเหลืองเข้มสองชิ้นส่งกลิ่นหอมเชิญชวนจนเผลอคลี่ยิ้มออกมา
คนซื้อมาเห็นแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย เธอคิดว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะพูดกับน้องถึงสิ่งที่ค้างคาในใจตน
"พรุ่งนี้เธออยากออกไปมหาวิทยาลัยกับพี่หรือเปล่า"
"ไปทำไม" เสียงถามไม่ชัดนักเมื่อมีไก่ชิ้นโตอยู่ในปาก
"ไปเปิดหูเปิดตา เดินเล่นออกกำลังกายบ้าง"
ลิปดาไหวไหล่ให้เห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษตรงข้ามกับใจตุ้มๆ ต่อมๆ ของเธอที่เลือกจะผลักภาระเอ่ยถึงเรื่องนั้นไปให้อาจารย์มาเรียอีกที ท่านย่อมมีวาทศิลป์และความน่าเคารพเชื่อถือมากกว่าพี่อย่างเธอ
เธอลุ้นเมื่อเจนิสเงียบไป แต่แล้วความหวังริบหรี่ก็พังทลาย เมื่อเด็กสาววางไก่ชิ้นแรกที่เหลือเพียงเนื้อติดกระดูกลงในกล่อง ก่อนเจ้าตัวจะลุกอย่างทุลักทุเลไปล้างมือ
"ไม่ไปล่ะ" ผู้เป็นน้องตะโกนตอบมา
เธอจะไปทำไมให้ยิ่งอิจฉาพี่ที่มีอนาคตสดใส มีสังคมเพื่อนฝูงที่ดี ปัญญาชนเหล่านั้นคงพูดคุยกันในสิ่งที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง แค่หิ้วตะกร้าลงไปซักผ้ายังชั้นล่างของตึกนี้แล้วต้องสวนกับสายตาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของพี่ที่มองมา เธอก็อึดอัดแทบไม่เป็นสุขแล้ว
อยากกลับบ้าน... กลับไปยังที่ที่เคยเป็นของเธอ สังคมของเธออยู่ที่นั่น แค่คิดถึงแม่ ถึงเพื่อนที่แม้จะไม่ได้ดีเลิศเลออย่างพี่ แต่ก็ได้คุยในสิ่งที่คิดที่สนใจคล้ายๆ กัน น้ำตาก็รื้นขึ้นมา
"เจนิส"
ลิปดาก้าวเข้าไปรวบตัวน้องที่ยกมือปิดหน้าร้องไห้อยู่ในห้องน้ำมากอดไว้ ตกใจจนมือไม้เย็นเฉียบสั่นไม่ต่างกัน
"เป็นอะไรเจนิส เจ็บท้องเหรอ เป็นอะไร"
น้องสาวสั่นศีรษะพร้อมกับถอนสะอื้นแรง เธอเอ่ยประโยคที่ฟังไม่เป็นศัพท์ หากทำเอาคนเป็นพี่แทบสิ้นไร้เรี่ยวแรง
"ฉันอยากกลับบ้าน มาอยู่กับพี่...แม่ยิ่งเกลียดฉัน ฉันคิดถึงแม่"
ลิปดาคลายมือจากอ้อมกอดนั้น เธอรู้ ตระหนักดีว่าเธอไม่อาจทำหน้าที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้นได้ ก็หวังแค่ทำให้น้องมีความสุขในแต่ละวัน หากมันดูจะไม่เพียงพอต่อเด็กสาววัยสิบสี่ปีที่ต้องการหลักยึด และเธอก็เป็นหลักนั้นให้น้องไม่ได้เสียเอง
เจนิสเดินผ่านเธอออกไปเอนตัวลงนอนบนเตียง ก่อนที่เธอจะตามออกมาเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อเอาผ้าปูที่นอนซึ่งพับไว้ล่างสุดมาปูพื้นข้างเตียง ทุกการกระทำนั้นเป็นไปด้วยความเคยชินเสียแล้ว ต่อให้มีเรื่องเสียใจ ผิดหวัง เธอก็จัดการชีวิตตนได้เหมือนปกติสุขทุกประการ
แต่ลิปดาไม่ใช่ 'หุ่นยนต์' ทื่อมะลื่อ ไร้อารมณ์ความรู้สึกที่เจนิสเคยว่า หากหญิงสาวเลือกที่จะเก็บมันลึกล้ำกว่านั้น ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้เสียเวลาใช้ชีวิตข้างหน้าสักวินาทีเดียว
.....................................
สนามหญ้าภายในเขตรั้วโรงเรียนขนาดเล็กทางตอนเหนือของเมืองเกซอนในช่วงปิดเทอมถูกปรับเปลี่ยนด้วยการนำม้านั่งไม้ยาวมาวางเรียงกันเป็นแถว มีเวทียกพื้นเตี้ยๆ ข้างหน้าที่นักศึกษากำลังประดับตกแต่งด้วยสื่อการสอน โดยมีชาวบ้านชุมชนละแวกใกล้เคียงโรงเรียนแห่งนี้ยืนสังเกตการณ์อยู่นอกรั้วไม่ไกล
นักศึกษาจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอาสาไปรับหน้าที่เดินถือป้ายและโทรโข่งเพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องที่พวกตนมารณรงค์ในวันนี้แก่ชาวบ้าน และจะหยุดพูดจากับกลุ่มวัยรุ่นเพื่อเชิญชวนมาร่วมฟังวิธีการคุมกำเนิดที่ถูกวิธียังสถานที่ที่จัดขึ้นเวลาบ่ายโมง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุชุลมุนระหว่างผู้ที่คิดเห็นตรงข้ามกับนักศึกษาสาวที่เดินรณรงค์ดังที่เขตปาซิก ซึ่งเผยแพร่เป็นภาพข่าวผ่านคลิปเมื่อกว่าสามสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ในงานยังมีทั้งของว่างและของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ มอบให้แก่ผู้มาร่วมงาน
ยิ่งใกล้ถึงเวลาก็เริ่มมีผู้ทยอยเข้ามาในเขตรั้วโรงเรียนเพิ่มขึ้น หากส่วนใหญ่กลับไม่ใช่วัยรุ่นกลุ่มเป้าหมาย แต่กลายเป็นบรรดาพ่อบ้านแม่บ้านเสียส่วนใหญ่
"มาเอาของฟรี ชัวร์เลย" เชอริลกระซิบกับเพื่อนสนิทหลังเวที
ลิปดาเองก็คิดไม่ต่างจากเพื่อนนัก และเมื่อหันมองอาจารย์มาเรีย อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลแล้ว เธอก็คิดว่าท่านคงรู้สึกไม่ต่างกัน
'มาเรีย ลูอิส' คลี่ยิ้มให้ลูกศิษย์สาวนิดหนึ่ง ก่อนท่านจะเดินตรงมาหา
"อาจารย์คะ..." เชอริลทำท่าจะฟ้อง
"ไม่เป็นไรหรอกนะ แค่มีคนมาฟังก็ดีแล้ว และในจำนวนคนที่มาร่วมงานหลายสิบคน แต่มีแค่คนหนึ่งที่ตั้งใจฟังและเข้าใจจุดประสงค์ของเราก็ยังดี"
คำพูดอย่างมองโลกในแง่ดีนั้นเรียกสายตาสองคู่ของเพื่อนสนิทให้หันมองกันด้วยความหวัง มุ่งมั่นตั้งใจ สองมือกุมกันไว้บีบกระชับอย่างถ่ายทอดพลังใจให้แก่กัน
"ไปเตรียมตัวได้แล้วล่ะลิปดา ใกล้เวลาเต็มที"
"ค่ะอาจารย์" เธอตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
ดวงตาคู่งามโชนแสงขึ้นอีกครา ประกายตาเรืองรองด้วยความหวัง อย่างยากที่จะมีสิ่งใดดับไฟฝันนั้นได้ลง
..............................
การแสดงละครเวทีสั้นๆ เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นที่คนหนึ่งมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก ขณะที่เด็กสาวอีกคนหนึ่งถูกข่มขืนนั้นจบลง เรียกเสียงปรบมือเปาะแปะจากผู้ที่มานั่งชมและยืนดูโดยรอบ ยากจะตัดสินได้ว่าผู้คนชื่นชอบในเนื้อหาหรือบทบาทการแสดงมากกว่ากัน
ถึงคิวของลิปดาต่อไปที่จะขึ้นมาบนเวทีสมทบกับนักแสดงนำทั้งสี่ที่ยืนรออยู่แล้ว เพื่อแนะนำวิธีป้องกันและแก้ปัญหาดังที่วัยรุ่นทั้งสี่คนนี้ต้องเผชิญ เริ่มจากสัมภาษณ์นักแสดงวัยรุ่นสาวคนแรกที่แสร้งกุมขมับด้วยความเครียด วิตกกังวลว่าจะตั้งครรภ์ หลังมีเพศสัมพันธ์กับคนรักโดยไม่ได้ป้องกัน
"เพื่อนๆ พี่น้องคะ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างคุณและคนรัก วิธีที่ดีที่สุดคือฝ่ายชายควรจะใช้ถุงยางอนามัย นอกจากป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์แล้ว ยัมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เราคงไม่ประสงค์มันยิ่งกว่าอีกนะคะ"
ลิปดาหยิบซองถุงยางอนามัยออกมาจากกระเป๋ากางเกงโดยไม่ขัดเขิน เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ที่มาร่วมงานด้วยความรู้สึกหลากหลายต่างกันไป
"แม้ถุงยางอนามัยจะมีราคาค่อนข้างแพงในประเทศเรา แต่เชื่อเถอะค่ะว่ามันถูกกว่าค่าเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งที่อาจเกิดมาแน่ค่ะ"
"ก็ให้ผู้หญิงกินยาคุมไปสิ" นักแสดงชายซึ่งแสดงเป็นคู่รักโต้กลับ
"ยาคุมกำเนิดมีผลต่อสุขภาพผู้หญิงในระยะยาว และถุงยางอนามัยยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยค่ะ ความรู้สึกทางเพศนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะห้ามของทั้งสองฝ่าย ก็เหมือนกับความต้องการพื้นฐานในชีวิตมนุษย์อย่างหนึ่ง ถ้าพวกคุณห้ามมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็ต้องเรียนรู้และลงทุนเพื่อลดปัญหาที่อาจตามมาค่ะ"
เสียงโห่จากผู้คนล่างเวทีดังขึ้นอย่างไม่ยอมรับแนวคิดนั้น ไม่ยอมรับความจริงว่ามีคู่รักคริสเตียนน้อยคนนักที่จะปฏิบัติได้ตามคำสอน รักษาพรหมจรรย์ไว้จนกระทั่งแต่งงาน สาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า
พวกเธอยินดี ชื่นชมผู้ที่ทำได้เช่นนั้น แต่กับคนอีกจำนวนหนึ่งที่พลั้งเผลอใจตามอารมณ์ความรู้สึก พวกเธอก็แค่แนะนำวิธีให้คนเหล่านั้นรู้จักป้องกันตัว ไม่ใช่ปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความจริง
"แล้วถ้าเขาไม่ยอมล่ะคะ ฉันกลัวเราต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้" นักแสดงหญิงถามหน้ามุ่ย
"ถามตัวเองดูค่ะว่าเรารับความเสี่ยงจากการติดโรคหรือตั้งครรภ์ได้ไหม เรามีตัวอย่างเด็กสาวที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยเรียนอยู่ในสังคมรอบตัว เราพอมองเห็นอนาคตของพวกเขาได้จากปัจจุบันนี้ ฉันเชื่อว่าคำตอบที่คุณได้คือตัวตัดสินปัจจุบัน"
มีเสียงปรบมือประปรายจากเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ข้างเวทีเมื่อจบปัญหาของคู่รักคู่แรกไปแล้ว ลิปดามองออกไปถึงนอกรั้วก็เห็นสายตาหลายคู่ของผู้คนมองมาผ่านช่องอิฐบล็อกซึ่งก่อเป็นกำแพงโรงเรียน แล้วก็ค่อยมีกำลังใจยิ่งขึ้นอีกจากคนจำนวนร่วมร้อยทั้งภายในสนามและนอกงานที่ให้ความสนใจ
เมื่อนักแสดงสองคนแรกลงเวทีไปก็ถึงเวลาของนักแสดงหญิงอีกคนซึ่งประสบปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ เธอปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีนักแสดงชายที่พันผ้าคลุมหน้าเป็นไอ้โม่งยืนเยื้องหลังไป
"ฉันถูกข่มขืนค่ะ ทำไงดีคะ ฉันกล้วท้อง กลัวติดโรค"
ลิปดาวางมือบนไหล่ของเพื่อนร่วมคณะที่แสดงอย่างสมจริง
"มันเป็นฝันร้ายของผู้หญิงที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวค่ะ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องรวบรวมสติเราให้เร็วที่สุด ไปตรวจโรคที่โรงพยาบาลและรับประทาน 'ยาคุมฉุกเฉิน' ภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์"
หญิงสาวเดินไปหยิบกล่องยาบนโต๊ะหลังเวที ในนั้นมียาทั้งหมดหนึ่งแผง แผงหนึ่งมียาเพียงสองเม็ด เธอชูมันขึ้นหน้าเวทีให้ผู้มาร่วมงานเห็นชัด พลางเริ่มอธิบายสืบไป
"นี่คือยาคุมฉุกเฉินค่ะ ไม่ใช่ยาทำแท้งอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด แต่ยานี้ก็มีผลข้างเคียงมากกว่ายาคุมกำเนิดปกติ ควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น อย่างเช่นเธอคนนี้ที่ถูกข่มขืนและกลัวการตั้งครรภ์ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือทานยาเม็ดแรกภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และเม็ดที่สองในอีกสิบสองชั่วโมงต่อมา ยานี้จะเพิ่มฮอร์โมนส่งผลให้ผนังมดลูกหนาขึ้น ยากที่ไข่จะฝังตัวเพื่อผสมกับอสุจิ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ควรใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้นค่ะ"
นักแสดงสาวแสร้งรับยามือสั่นระริกอย่างตื้นตัน
"แล้วอย่าลืมไปตรวจโรคและแจ้งความนะคะ" ลิปดากล่าวปิดท้าย
ก่อนพวกเธอจะแกล้งตกใจเมื่อนักศึกษาชายในเครื่องแบบละม้ายตำรวจขึ้นมาลากไอ้โม่งลงเวทีไป เรียกเสียงหัวเราะดังจากผู้ชมหน้าเวที
เป็นคิวของเชอริลขึ้นมาดำเนินรายการบนเวทีต่อไป เธอส่งไมโครโฟนให้เพื่อนต่อ แล้วสองมือก็บีบกันไว้แน่นครู่หนึ่งก่อนปล่อย เป็นความร่วมมือ มุ่งมั่นของผู้ที่วาดฝันถึงอนาคตของประเทศร่วมกัน
....................................
เย็นวันนั้นทุกคนกลับมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัย หน้าตึกคณะคราคร่ำไปด้วยนักศึกษากว่ายี่สิบชีวิตที่เป็นอาสาสมัครร่วมรณรงค์ในโครงการที่พวกเขาและอาจารย์เห็นว่าสำคัญ บ้างนั่งบ้างยืนคุยกันอยู่บนบันไดหน้าตึกใหญ่นั้น พวกเขากำลังรอปาร์ตี้เล็กๆ ที่อาจารย์มาเรียเลี้ยงขอบใจลูกศิษย์ เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ที่เพื่อนขี่กลับมาพร้อมกล่องพิซซ่าเต็มสองมือผู้ซ้อนท้าย เสียงโห่ร้องยินดีก็ดังขึ้นพร้อมเพรียง
"เดี๋ยวๆ อาจารย์ล่ะ ฉันต้องทอนเงินท่าน" ลิปดาตะโกนถามท่ามกลางความชุลมุน
เสียงตอบตอบไปกันคนละทิศละทาง แม้แต่เชอริลเองก็กลายเป็นสาวปาร์ตี้เต็มขั้นไปเสียแล้ว เธอชูพิซซ่าชิ้นหนึ่งขึ้นกลางอากาศพลางโยกตัวเต้นตามจังหวะเพลงที่เพื่อนคนใดคนหนึ่งเปิดสร้างบรรยากาศ
"นั่นไง"
เป็นมาร์คที่มาพร้อมเธอกระทุ้งข้อศอกให้มองขึ้นไปยังขั้นบนสุดของบันได ก่อนเขาจะเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ อีกคน ลิปดารีบหยิบเงินทอนและใบเสร็จจากในกระเป๋าสตางค์พลางวิ่งขึ้นบันไดขั้นเตี้ยหน้าระเบียงตึกไปให้อาจารย์
"ขอบใจนะ ไปสนุกกับเพื่อนๆ เถอะ แต่อย่าให้เกินเลยกันล่ะพวกเรา"
ประโยคหลังเสียงดังฟังชัดนั้นบอกแก่นักศึกษาทุกคน โดยมีเสียงตอบรับกลับมาพร้อมเพรียง สมกับเป็นอาจารย์มาเรียที่ลูกศิษย์เคารพรัก ผู้ที่แม้จะเอาจริงเอาจัง หากก็รู้จักผ่อนปรน อาจารย์ผู้รับผิดชอบในตัวลูกศิษย์เสมอ ไม่ว่าด้านวิชาการหรือปัญหาส่วนตัว ท่านก็คอยสังเกตและถามไถ่ด้วยความห่วงใย ดังนั้นใครจะต่อว่า โจมตีเรื่องการรณรงค์ของท่านเช่นไร พวกเธอจึงเชื่อมั่นในตัวอาจารย์เสมอมา
"ลิปดา" เชอริลตะโกนมาพลางยื่นพิซซ่าชิ้นหนึ่งมาให้
ทว่าเพื่อนสาวยังไม่ทันรับ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
"ผู้จัดการ" เธอขยับปากให้เพื่อนรู้ ก่อนร่างระหงอวบอัดของอีกฝ่ายจะรีบผละจากกลุ่มเพื่อนมารอฟังอยู่ข้างๆ ทันที
"ลิบบี้ ฉันส่งข้อความไปแล้วไม่เห็นเหรอ ทำไมไม่ติดต่อมาสักที คืนนี้เธอมาร้องเพลงที่ร้านได้หรือเปล่า ทิฟฟานีอาหารเป็นพิษ มาร้องไม่ได้"
เชอริลสะกิดพลางสั่นศีรษะให้ปฏิเสธ หากเพื่อนรักกลับตอบตรงกันข้าม
"ได้ค่ะ ฉันจะรีบไป"
ลิปดาวางสาย หันมายิ้มอ่อนเอาใจเพื่อนที่ตีหน้ายักษ์ใส่ทันที
"เอาน่า อีกไม่กี่นานก็ต้องลงทะเบียนเรียนเทอมใหม่แล้วนี่ ไหนจะค่าหมอเจนิสอีก"
เธอมีเหตุผลจำเป็นที่ต้องใช้เงินอีกมากมาย แล้วคนฟังก็เข้าใจโดยไม่อาจโต้แย้ง
"ฮื่อ มีไรโทรมาแล้วกัน"
"จ้า" ลิปดาลากเสียงตอบขันๆ "แต่คงไม่มีไรหรอกมั้ง คุณคาบาเลสก็เพิ่งกลับไปเองนี่นา"
หากหญิงสาวไม่อาจรู้ได้เลยว่าเสน่ห์ของเสียงร้องกังวานใสอันเป็นเอกลักษณ์ และใบหน้าสวยเก๋ของเธอยามแสงไฟบนเวทีสาดส่องมายังเธอผู้เดียวนั้น กำลังจะสะดุดตาสะดุดใจใครบางคนเข้าอย่างจัง
...........................
บทนี้ยาวหน่อยนะคะ พูดถึงงานรณรงค์ของกลุ่มนางเอก
แต่เดี๋ยวตอนหน้าก็ได้เจอพระเอกแล้วจ้า หุๆ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
เสียงดนตรีจากวงแบ็คอัพจบลงพร้อมกับที่นักร้องสาวค้อมศีรษะ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าสวยหวานนั้นก็มีรอยยิ้มเผื่อแผ่แจกจ่ายแก่แขกผู้มีเกียรติทุกคนในไนต์คลับ ก่อนแสงไฟสีส้มนวลซึ่งส่องยังตำแหน่งนักร้องบนหน้าเวทีจะค่อยหรี่สลัวลง
ผู้จัดการร้านซึ่งเป็นชายร่างสันทัด ท่าทางกระฉับกระเฉงตลอดเวลามารอเธออยู่ข้างเวทีนั่นเอง
"ลิบบี้ นายคาบาเลสชวนเธอไปนั่งด้วยแน่ะ"
ลิปดานึกถึงบุรุษร่างท้วม ผิวสีคร้ามเข้มเกรียมแดดผู้ที่มาเป็นแขกประจำยังไนต์คลับแห่งนี้แทบทุกครั้งที่เขาขึ้นมาเมืองหลวง แรกเริ่มเธอเคยปฏิเสธคำชวนของเขา แต่เมื่อผู้จัดการร้านกระซิบว่าเขาเป็นเศรษฐีกระเป๋าหนัก เจ้าของสวนมะพร้าวหลายร้อยไร่ เธอก็ต้องเปลี่ยนใจ พับเก็บศักดิ์ศรีชั่วคราวเมื่อยังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกมากในไม่กี่เดือนข้างหน้า เป็นค่ารักษาพยาบาลสำหรับน้องสาวที่นับถอยหลังเพื่อให้กำเนิดลูกน้อย หลานของเธอ
"เดี๋ยวฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ แล้วจะไปที่โต๊ะ"
เมื่อใบหน้าแหลมเรียวผงกรับทราบ ลิปดาก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางห้องแต่งตัวหลังเวทีทันที ครั้นผลักประตูเข้าไปในห้องที่มีแสงสว่างจ้าจากไฟนีออนหลายดวงแล้ว เธอก็รีบค้นหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายข้างของตน แล้วกดโทรออกถึงเพื่อนสนิทที่เคยนัดแนะเตรียมการด้วยกัน
"เชอริล นี่ฉันเอง"
"ปัญหาเดิมใช่ไหม โอเค ฉันจะไป นี่มาร์คก็อยู่ด้วยนะ" ปลายสายตอบกลับมาอย่างรู้หน้าที่ดี
ถ้าเพื่อนรักโทรมาเวลาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ แสดงว่านายเศรษฐีภูธรนั่นคงตามมาเกาะแกะตอแย และนี่ก็เป็นวิธีที่เธอและเพื่อนตกลงกันไว้ว่าจะคอยระวังภัยให้กัน หากเศรษฐีใหญ่ผู้นั้นเกิดหน้ามืดชวนเธอไปต่อขึ้นมา
"ฉันล่ะภาวนาให้เขาชวนเธอไปต่อเสียทีนะลิปดา ฉันอยากตกปลาใหญ่ตัวนี้จะแย่แล้วซี เธอรวยพอที่จะไม่ต้องทำงานไปทั้งเดือนเลยล่ะฉันว่า"
ตามแผนที่วางกันไว้ หากเศรษฐีวัยกลางคนผู้นั้นชวนเธอไปต่อข้างนอก เชอริลก็พร้อมน็อคผู้ชายคนนั้นด้วยยาที่จะทำให้เขาลืมไปเลยล่ะว่าพกทรัพย์สินใดมาบ้าง กระทั่งตื่นขึ้นมาอีกวันหนึ่ง
"ถ้าแผนเธอไม่ผิดพลาด แล้วเป็นฉันที่ต้องรีบหายาคุมฉุกเฉินกินเสียก่อนนะ" ลิปดาต่อให้
"ใช่ แล้วอย่าลืมไปตรวจโรคที่โรงพยาบาลตอนเช้าด้วยล่ะ" เชอริลปิดท้ายในที่สุด
มันเป็นตลกร้ายที่พวกเธอได้แต่หัวเราะหึในลำคอ และคงจะขำไม่ออกหากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา
"ฉันกับมาร์คจะรออยู่แถวหน้าร้านเหมือนเดิม"
"มะรามิง ซาลามัต" เธอบอกขอบคุณเพื่อนรักก่อนวางสาย
เงาสะท้อนจากกระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัวนั้นตรึงสายตาเธอให้หยุดมองตัวเองชัดๆ คิ้วโก่งราวคันศรถูกเขียนให้เข้มขึ้น เปลือกตาไล้เฉดสีม่วง รับกับจมูกซึ่งลงแป้งให้เห็นเป็นเงาโด่งขึ้นมา ริมฝีปากอวบอิ่มนั้นเคลือบสีแดงจัด มันแปลกตาเสียจนเธอต้องคว้ากระดาษทิชชู่บนโต๊ะเครื่องสำอางนั้นมากดซับแรง
...........................................
"ลิเบอร์ตี้..." เสียงเรียกลากยาวด้วยความยินดีดังขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวที่ตนรอคอยเดินออกมาจากข้างเวทีซึ่งบัดนี้เป็นการแสดงบรรเลงเพลงจากเปียโนแทน
ลิปดาฉีกยิ้มหวานที่สุดในชีวิตพลางวางมือลงกลางมือหนาซึ่งยื่นมารอรับ ก่อนเธอจะนั่งบนโซฟาโค้งห่างเขาออกมาเล็กน้อย
"มากันดัง กาบิค่ะ คุณคาบาเลส"
"สวัสดีตอนเย็นเช่นกัน คนสวยของฉัน"
ร่างท้วมขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับรินไวน์ส่งให้ เธอจำต้องรับแก้วก้านยาวมาพลางภาวนาให้เพื่อนมาถึงหน้าร้านทันเวลา หากชายผู้นี้คิดจะมอมเมาเธอ แม้หลายครั้งที่เธอดื่มเป็นเพื่อนเขาจะไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้นก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดระแวงไม่ได้
"คิดถึงเธอจัง ลิบบี้ เธอว่าฉันดำขึ้นไหมนี่"
เขายื่นแขนข้างหนึ่งซึ่งพับแขนเสื้อขึ้นไปมาวางบนตักเธอขณะถามคำถามนั้น ลิปดาแสร้งก้มมองนิดหนึ่งอย่างมีจริตจก้าน ก่อนวางมือทาบหลังมือเขาไม่ให้มันเคลื่อนไปมากกว่านี้ ซ้ำยังเป็นการแสดงความสนิทสนมที่อีกฝ่ายพอใจ
"ไม่นี่คะ สวนมะพร้าวที่คาลิโบยุ่งมากหรือคะ ต้องการแรงงานเก็บมะพร้าวเพิ่มสักคนหรือเปล่า"
'คาลิโบ' เป็นเมืองงในเกาะทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ ห่างจากกรุงมะนิลาไปไม่มาก มีเมืองชื่อดังอย่าง 'คาติกลัน' ทางตอนเหนือของเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเทียบเรือไปยัง 'เกาะโบราคาย' เกาะสวรรค์ที่ติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวงดงามของโลก กระนั้นการคมนาคมจากกรุงมะนิลาไปยังคาลิโบที่สะดวกที่สุดก็คือทางเครื่องบิน
"ฉันไม่ยอมให้คนสวยของฉันไปตากแดดตากลมหรอก ผิวสวยๆ ของเธอจะเสียหมด รอเธอเรียนจบแล้วไปเที่ยวโบราคายกับฉันดีกว่า"
นายคาบาเลสใช้ข้อนิ้วชี้ไล้แก้มนวลเนียนซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนคมเข้มราวสาวลาติน เขาหลงรักในน้ำเสียงของเธอยามร้องเพลง แล้วก็ยิ่งประทับใจในตัวเธอ มีความสุขทุกครั้งเมื่อได้พูดคุย เหมือนได้เพื่อนคุยที่สนใจรับฟังและตอบกลับมาอย่างจริงใจ
"เล่าเรื่องของเธอบ้างสิ ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไง"
"ไม่มีอะไรมากไปกว่าทำงานเก็บเงินหรอกค่ะ" ลิปดาตอบตามความจริง
เศรษฐีหนุ่มใหญ่จับคางมนโยกไปมาอย่างมันเขี้ยว เขารู้ความจริงหมดแล้วว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้เขาเห็นเธอในภาพข่าวโทรทัศน์พร้อมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคน เพียงเสี้ยววินาทีก็ว่าได้แต่เขาสะดุดตาและจำเธอได้แม่นยำ เธอกำลังรณรงค์ในสิ่งที่เป็นปัญหาเล็กๆ ของประเทศมานาน
"คนสวย เธอปิดบังฉันไม่ได้หรอก สองสัปดาห์ก่อนเธอกับเพื่อนไปทำอะไรที่ชุมชนใกล้โบสถ์เขตปาซิก ภาพพวกเธอออกรายการโทรทัศน์ของผู้หญิงอยู่ไวๆ" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ลิปดาสับสนว่าตนควรยอมรับความจริงแค่ไหน แม้เธอจะไม่ใช่โสเภณี แต่การทำงานกลางคืนเช่นนี้ก็อาจส่งผลต่อชื่อเสียงมหาวิทยาลัยได้ หากอีกใจก็อยากจะสอบถามความคิดเห็นเขา อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนในสิ่งที่เธอทุ่มเททั้งกายใจ
"คัมออน! ฉันภูมิใจในตัวเธอนะลิบบี้ แล้วทำไมต้องทำท่าลังเลอย่างนี้ด้วยเล่า ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอกว่าคนเก่งคนนั้นคือคนสวยของฉันที่นี่" นายคาบาเลสพยายามกระตุ้น
นักร้องสาวหันมายิ้มให้บุรุษวัยกลางคนที่ยิ้มกว้างรออยู่แล้วจนเห็นเป็นชั้นไขมันย่นยู่ที่คอ
"ขอบคุณค่ะ ฉันก็ดีใจที่คุณเห็นด้วย"
"ฉันไม่สนใจหรอก คริสเตียนที่เคร่งครัดทำตามพระคัมภีร์ทุกอย่างจะมีสักกี่คน ไม่ดื่มของมึนเมา รักษาความบริสุทธิ์กระทั่งแต่งงาน หรือแม้แต่การหย่าถือเป็นบาป ฉันก็เห็นพวกต่อต้านกฎหมายนี้บางคนกลับเป็นเสียเองก็มี"
เมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงใจเธอ ลิปดาก็อดแสดงความเห็นไม่ได้
"เราพยายามมุ่งเน้นที่กลุ่มวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวแล้วด้วยค่ะ การตั้งครรภ์ในวัยเรียนเป็นปัญหาต่อทั้งตัวเด็กเอง และต่อทั้งสังคมที่ไม่ยอมรับ แต่ไม่มีใครสักคนที่ไม่ยอมรับจะเสนอทางแก้อย่างไร"
"พูดได้ดีนี่ลิบบี้ เอานี่ไปเป็นรางวัล" เขาเอ่ยพลางยัดธนบัตรจำนวนสามพันเปโซใส่มือเธอ "เสียดายที่คืนนี้ฉันอยู่นานไม่ได้ มามะนิลาครั้งนี้ก็เพราะขึ้นมาตรวจสุขภาพพรุ่งนี้น่ะ แต่พรุ่งนี้เธอไม่ได้ร้อง ฉันเลยแวะมาที่นี่ก่อน"
ลิปดากำธนบัตรในมือไว้พลางลอบถอนใจ เธอขยับไปรินไวน์ให้ทั้งเขาและตนอีกแก้ว เป็นการฉลองที่คืนนี้ผ่านไปด้วยดี และยังน่ายินดีที่ได้ฟังความคิดเห็นเช่นเดียวกับเธอ จากผู้ที่เธอเองก็ไม่คาดว่าเขาจะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้เช่นกัน
....................................
นักร้องสาวพราวเสน่ห์แปลงกายกลับไปเป็นหญิงสาวที่เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กมาไม่ทันไรอีกครั้งหลังเลิกงานคืนนั้น เธอตรงดิ่งไปหาเพื่อนชายหญิงที่รออยู่หน้าร้าน เห็นร่างผอมของชายหนุ่มยืนพิงรถจักรยานยนต์ของเขาแต่ไกล ขณะเพื่อนสาวนั่งอยู่บนอิฐที่ก่อขึ้นมาล้อมรอบโคนต้นไม้บนทางเท้านั่นเอง
มาร์คหันมาเห็นเธอก่อน ก่อนจะสะกิดเชอริลให้หันมองตาม ลิปดาตบกระเป๋าสะพายข้างให้รู้ว่าเธอไม่ได้มาตัวเปล่า มีรอยยิ้มรู้กันบนใบหน้าเพื่อนสนิททั้งสามคน
"หิวแล้ว แวะกินไรกันก่อนกลับเถอะนะ เดี๋ยวซื้อฝากเจนิสด้วย ฉันเลี้ยงเอง"
"โอเค!"
เชอริลซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่งใกล้เคียงกับเธอชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศ เจ้าหล่อนรับหมวกนิรภัยครึ่งใบจากเพื่อนชายที่นั่งคร่อมบนรถจักรยานยนต์ส่งต่อมาให้เธอ
"อยากกิน 'จอลลี่บี' " เพื่อนสาวแสดงเจตน์จำนง
ลิปดานึกถึงร้านขายไก่ทอดและเบอร์เกอร์ที่มีสาขาทั่วประเทศ คล้ายร้านชื่อดังจากต่างประเทศ แล้วก็ท้องร้องขึ้นมา
"จอลลี่บีนะมาร์ค"
หญิงสาวก้าวขึ้นซ้อนหลังเพื่อนชาย ก่อนจะตามด้วยเชอริลต่อหลังเธอ อาจดูเป็นการเดินทางที่ไม่ปลอดภัยนัก แต่พวกเธอก็ชินเสียแล้ว
"คร้าบ คุณผู้หญิง" เขาบอกพร้อมกับค่อยเร่งเครื่องผ่านการจราจรซึ่งเริ่มปลอดโปร่งยามค่ำคืนไป
"เออนี่ลิปดา วันนี้พวกเราไปที่มหาวิทยาลัยมา อาจารย์มาเรียถามถึง..." เชอริลพูดแทรกเสียงเครื่องยนต์และสายลมที่ปะทะมา
"อะไรนะ ไม่ได้ยิน" เธอหันไปบอกเพื่อนด้านหลัง
"อื้อ ไว้พูดกัน"
ผู้ที่มีเรื่องพูดตบไหล่เพื่อนให้รู้ว่าไม่เป็นไร เรื่องที่อาจารย์ซึ่งพวกเธอเคารพรักฝากมาบอกลิปดานั้นคงต้องคุยกันยาว เมื่อมันเกี่ยวข้องไปถึงน้องสาวของเธอ
..................................
'อาจารย์มาเรียอยากพบเจนิสกับแม่ของแก เรื่องรณรงค์นั่นแหละ อาจารย์คิดว่าถ้าเจนิสเป็นกระบอกเสียงของโครงการได้ ก็จะเข้าถึงวัยรุ่นได้ดี แต่ฉันก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก จริงไหมลิปดา นางจูลี่แม่เลี้ยงของเธอคงไม่ยอมอนุญาตแน่'
เรื่องที่เชอริลต้องการพูดกับเธอยังดังสะท้อนในโสตประสาท จนถึงตอนนี้ที่ลิปดามาหยุดยืนหน้าประตูห้องพักโดยแทบไม่รู้สึกตัวว่ากลับมาได้อย่างไร เพราะมัวแต่คิดสะระตะกับสาส์นที่เพิ่งได้รับรู้มา
หญิงสาวก้มมองถุงยี่ห้ออาหารฟาสต์ฟู้ดที่ตนซื้อมา เธอสูดหายใจลึกพลางกระตุกยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปเห็นไฟห้องสว่าง เจนิสนั่งเหยียดขา เอนหลังพิงหัวเตียงจับจ้องโทรทัศน์ที่เพิ่งซื้อมาจากร้านซื้อของเก่า ก็เพราะกลัวน้องจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่ในห้องทั้งวัน
"ดึกมากแล้วทำไมยังไม่นอนอีกล่ะ แต่ช่างเถอะ พี่มีของมาฝาก"
สำหรับน้องอย่างเธอ พี่ก็เป็นคนทำอะไรแคล่วคล่องว่องไวไปหมดเช่นนี้ แม้แต่เรื่องพูด พี่ก็คิดเอง สรุปเองเสร็จสรรพ ไม่เหมือนเธอที่ขาดความมั่นใจอยู่เสมอ เมื่อใครชมเธอก็ล่องลอยไปกับคำชมนั้น แต่เมื่ออยู่ใกล้พี่... พระเจ้าก็ดูจะสูบเอาพลังใจเธอทั้งหมดไปประทานแก่พี่ลิปดา เธอรู้สึกเหมือนตัวเองช่างโง่เง่า ทุกครั้งที่นึกชื่นชมพี่ในใจ
"จำได้ว่าเธอไม่ชอบเบอร์เกอร์เพราะมันมีผักใช่ไหม พี่เลยซื้อไก่ทอดมาฝาก"
ผู้พี่นั่งห้อยขาข้างหนึ่งจากขอบเตียง พร้อมกับร่นถุงซึ่งวางบนตักลงมาจนถึงกล่องกระดาษสีน้ำตาลสำหรับใส่ไก่ทอดสองชิ้นข้างใน
ดวงตาเจนิสทอประกายขึ้นเมื่อนานทีจะได้กินอาหารแปลกใหม่อย่างที่วัยรุ่นคนอื่นชอบกินบ้าง เธอรับมาจากพี่พลางเปิดกล่องออกดู ไก่ทอดสีเหลืองเข้มสองชิ้นส่งกลิ่นหอมเชิญชวนจนเผลอคลี่ยิ้มออกมา
คนซื้อมาเห็นแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย เธอคิดว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะพูดกับน้องถึงสิ่งที่ค้างคาในใจตน
"พรุ่งนี้เธออยากออกไปมหาวิทยาลัยกับพี่หรือเปล่า"
"ไปทำไม" เสียงถามไม่ชัดนักเมื่อมีไก่ชิ้นโตอยู่ในปาก
"ไปเปิดหูเปิดตา เดินเล่นออกกำลังกายบ้าง"
ลิปดาไหวไหล่ให้เห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษตรงข้ามกับใจตุ้มๆ ต่อมๆ ของเธอที่เลือกจะผลักภาระเอ่ยถึงเรื่องนั้นไปให้อาจารย์มาเรียอีกที ท่านย่อมมีวาทศิลป์และความน่าเคารพเชื่อถือมากกว่าพี่อย่างเธอ
เธอลุ้นเมื่อเจนิสเงียบไป แต่แล้วความหวังริบหรี่ก็พังทลาย เมื่อเด็กสาววางไก่ชิ้นแรกที่เหลือเพียงเนื้อติดกระดูกลงในกล่อง ก่อนเจ้าตัวจะลุกอย่างทุลักทุเลไปล้างมือ
"ไม่ไปล่ะ" ผู้เป็นน้องตะโกนตอบมา
เธอจะไปทำไมให้ยิ่งอิจฉาพี่ที่มีอนาคตสดใส มีสังคมเพื่อนฝูงที่ดี ปัญญาชนเหล่านั้นคงพูดคุยกันในสิ่งที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง แค่หิ้วตะกร้าลงไปซักผ้ายังชั้นล่างของตึกนี้แล้วต้องสวนกับสายตาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของพี่ที่มองมา เธอก็อึดอัดแทบไม่เป็นสุขแล้ว
อยากกลับบ้าน... กลับไปยังที่ที่เคยเป็นของเธอ สังคมของเธออยู่ที่นั่น แค่คิดถึงแม่ ถึงเพื่อนที่แม้จะไม่ได้ดีเลิศเลออย่างพี่ แต่ก็ได้คุยในสิ่งที่คิดที่สนใจคล้ายๆ กัน น้ำตาก็รื้นขึ้นมา
"เจนิส"
ลิปดาก้าวเข้าไปรวบตัวน้องที่ยกมือปิดหน้าร้องไห้อยู่ในห้องน้ำมากอดไว้ ตกใจจนมือไม้เย็นเฉียบสั่นไม่ต่างกัน
"เป็นอะไรเจนิส เจ็บท้องเหรอ เป็นอะไร"
น้องสาวสั่นศีรษะพร้อมกับถอนสะอื้นแรง เธอเอ่ยประโยคที่ฟังไม่เป็นศัพท์ หากทำเอาคนเป็นพี่แทบสิ้นไร้เรี่ยวแรง
"ฉันอยากกลับบ้าน มาอยู่กับพี่...แม่ยิ่งเกลียดฉัน ฉันคิดถึงแม่"
ลิปดาคลายมือจากอ้อมกอดนั้น เธอรู้ ตระหนักดีว่าเธอไม่อาจทำหน้าที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้นได้ ก็หวังแค่ทำให้น้องมีความสุขในแต่ละวัน หากมันดูจะไม่เพียงพอต่อเด็กสาววัยสิบสี่ปีที่ต้องการหลักยึด และเธอก็เป็นหลักนั้นให้น้องไม่ได้เสียเอง
เจนิสเดินผ่านเธอออกไปเอนตัวลงนอนบนเตียง ก่อนที่เธอจะตามออกมาเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อเอาผ้าปูที่นอนซึ่งพับไว้ล่างสุดมาปูพื้นข้างเตียง ทุกการกระทำนั้นเป็นไปด้วยความเคยชินเสียแล้ว ต่อให้มีเรื่องเสียใจ ผิดหวัง เธอก็จัดการชีวิตตนได้เหมือนปกติสุขทุกประการ
แต่ลิปดาไม่ใช่ 'หุ่นยนต์' ทื่อมะลื่อ ไร้อารมณ์ความรู้สึกที่เจนิสเคยว่า หากหญิงสาวเลือกที่จะเก็บมันลึกล้ำกว่านั้น ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้เสียเวลาใช้ชีวิตข้างหน้าสักวินาทีเดียว
.....................................
สนามหญ้าภายในเขตรั้วโรงเรียนขนาดเล็กทางตอนเหนือของเมืองเกซอนในช่วงปิดเทอมถูกปรับเปลี่ยนด้วยการนำม้านั่งไม้ยาวมาวางเรียงกันเป็นแถว มีเวทียกพื้นเตี้ยๆ ข้างหน้าที่นักศึกษากำลังประดับตกแต่งด้วยสื่อการสอน โดยมีชาวบ้านชุมชนละแวกใกล้เคียงโรงเรียนแห่งนี้ยืนสังเกตการณ์อยู่นอกรั้วไม่ไกล
นักศึกษาจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอาสาไปรับหน้าที่เดินถือป้ายและโทรโข่งเพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องที่พวกตนมารณรงค์ในวันนี้แก่ชาวบ้าน และจะหยุดพูดจากับกลุ่มวัยรุ่นเพื่อเชิญชวนมาร่วมฟังวิธีการคุมกำเนิดที่ถูกวิธียังสถานที่ที่จัดขึ้นเวลาบ่ายโมง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุชุลมุนระหว่างผู้ที่คิดเห็นตรงข้ามกับนักศึกษาสาวที่เดินรณรงค์ดังที่เขตปาซิก ซึ่งเผยแพร่เป็นภาพข่าวผ่านคลิปเมื่อกว่าสามสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ในงานยังมีทั้งของว่างและของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ มอบให้แก่ผู้มาร่วมงาน
ยิ่งใกล้ถึงเวลาก็เริ่มมีผู้ทยอยเข้ามาในเขตรั้วโรงเรียนเพิ่มขึ้น หากส่วนใหญ่กลับไม่ใช่วัยรุ่นกลุ่มเป้าหมาย แต่กลายเป็นบรรดาพ่อบ้านแม่บ้านเสียส่วนใหญ่
"มาเอาของฟรี ชัวร์เลย" เชอริลกระซิบกับเพื่อนสนิทหลังเวที
ลิปดาเองก็คิดไม่ต่างจากเพื่อนนัก และเมื่อหันมองอาจารย์มาเรีย อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลแล้ว เธอก็คิดว่าท่านคงรู้สึกไม่ต่างกัน
'มาเรีย ลูอิส' คลี่ยิ้มให้ลูกศิษย์สาวนิดหนึ่ง ก่อนท่านจะเดินตรงมาหา
"อาจารย์คะ..." เชอริลทำท่าจะฟ้อง
"ไม่เป็นไรหรอกนะ แค่มีคนมาฟังก็ดีแล้ว และในจำนวนคนที่มาร่วมงานหลายสิบคน แต่มีแค่คนหนึ่งที่ตั้งใจฟังและเข้าใจจุดประสงค์ของเราก็ยังดี"
คำพูดอย่างมองโลกในแง่ดีนั้นเรียกสายตาสองคู่ของเพื่อนสนิทให้หันมองกันด้วยความหวัง มุ่งมั่นตั้งใจ สองมือกุมกันไว้บีบกระชับอย่างถ่ายทอดพลังใจให้แก่กัน
"ไปเตรียมตัวได้แล้วล่ะลิปดา ใกล้เวลาเต็มที"
"ค่ะอาจารย์" เธอตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
ดวงตาคู่งามโชนแสงขึ้นอีกครา ประกายตาเรืองรองด้วยความหวัง อย่างยากที่จะมีสิ่งใดดับไฟฝันนั้นได้ลง
..............................
การแสดงละครเวทีสั้นๆ เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นที่คนหนึ่งมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก ขณะที่เด็กสาวอีกคนหนึ่งถูกข่มขืนนั้นจบลง เรียกเสียงปรบมือเปาะแปะจากผู้ที่มานั่งชมและยืนดูโดยรอบ ยากจะตัดสินได้ว่าผู้คนชื่นชอบในเนื้อหาหรือบทบาทการแสดงมากกว่ากัน
ถึงคิวของลิปดาต่อไปที่จะขึ้นมาบนเวทีสมทบกับนักแสดงนำทั้งสี่ที่ยืนรออยู่แล้ว เพื่อแนะนำวิธีป้องกันและแก้ปัญหาดังที่วัยรุ่นทั้งสี่คนนี้ต้องเผชิญ เริ่มจากสัมภาษณ์นักแสดงวัยรุ่นสาวคนแรกที่แสร้งกุมขมับด้วยความเครียด วิตกกังวลว่าจะตั้งครรภ์ หลังมีเพศสัมพันธ์กับคนรักโดยไม่ได้ป้องกัน
"เพื่อนๆ พี่น้องคะ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างคุณและคนรัก วิธีที่ดีที่สุดคือฝ่ายชายควรจะใช้ถุงยางอนามัย นอกจากป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์แล้ว ยัมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เราคงไม่ประสงค์มันยิ่งกว่าอีกนะคะ"
ลิปดาหยิบซองถุงยางอนามัยออกมาจากกระเป๋ากางเกงโดยไม่ขัดเขิน เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ที่มาร่วมงานด้วยความรู้สึกหลากหลายต่างกันไป
"แม้ถุงยางอนามัยจะมีราคาค่อนข้างแพงในประเทศเรา แต่เชื่อเถอะค่ะว่ามันถูกกว่าค่าเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งที่อาจเกิดมาแน่ค่ะ"
"ก็ให้ผู้หญิงกินยาคุมไปสิ" นักแสดงชายซึ่งแสดงเป็นคู่รักโต้กลับ
"ยาคุมกำเนิดมีผลต่อสุขภาพผู้หญิงในระยะยาว และถุงยางอนามัยยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยค่ะ ความรู้สึกทางเพศนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะห้ามของทั้งสองฝ่าย ก็เหมือนกับความต้องการพื้นฐานในชีวิตมนุษย์อย่างหนึ่ง ถ้าพวกคุณห้ามมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็ต้องเรียนรู้และลงทุนเพื่อลดปัญหาที่อาจตามมาค่ะ"
เสียงโห่จากผู้คนล่างเวทีดังขึ้นอย่างไม่ยอมรับแนวคิดนั้น ไม่ยอมรับความจริงว่ามีคู่รักคริสเตียนน้อยคนนักที่จะปฏิบัติได้ตามคำสอน รักษาพรหมจรรย์ไว้จนกระทั่งแต่งงาน สาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า
พวกเธอยินดี ชื่นชมผู้ที่ทำได้เช่นนั้น แต่กับคนอีกจำนวนหนึ่งที่พลั้งเผลอใจตามอารมณ์ความรู้สึก พวกเธอก็แค่แนะนำวิธีให้คนเหล่านั้นรู้จักป้องกันตัว ไม่ใช่ปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความจริง
"แล้วถ้าเขาไม่ยอมล่ะคะ ฉันกลัวเราต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้" นักแสดงหญิงถามหน้ามุ่ย
"ถามตัวเองดูค่ะว่าเรารับความเสี่ยงจากการติดโรคหรือตั้งครรภ์ได้ไหม เรามีตัวอย่างเด็กสาวที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยเรียนอยู่ในสังคมรอบตัว เราพอมองเห็นอนาคตของพวกเขาได้จากปัจจุบันนี้ ฉันเชื่อว่าคำตอบที่คุณได้คือตัวตัดสินปัจจุบัน"
มีเสียงปรบมือประปรายจากเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ข้างเวทีเมื่อจบปัญหาของคู่รักคู่แรกไปแล้ว ลิปดามองออกไปถึงนอกรั้วก็เห็นสายตาหลายคู่ของผู้คนมองมาผ่านช่องอิฐบล็อกซึ่งก่อเป็นกำแพงโรงเรียน แล้วก็ค่อยมีกำลังใจยิ่งขึ้นอีกจากคนจำนวนร่วมร้อยทั้งภายในสนามและนอกงานที่ให้ความสนใจ
เมื่อนักแสดงสองคนแรกลงเวทีไปก็ถึงเวลาของนักแสดงหญิงอีกคนซึ่งประสบปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ เธอปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีนักแสดงชายที่พันผ้าคลุมหน้าเป็นไอ้โม่งยืนเยื้องหลังไป
"ฉันถูกข่มขืนค่ะ ทำไงดีคะ ฉันกล้วท้อง กลัวติดโรค"
ลิปดาวางมือบนไหล่ของเพื่อนร่วมคณะที่แสดงอย่างสมจริง
"มันเป็นฝันร้ายของผู้หญิงที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวค่ะ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องรวบรวมสติเราให้เร็วที่สุด ไปตรวจโรคที่โรงพยาบาลและรับประทาน 'ยาคุมฉุกเฉิน' ภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์"
หญิงสาวเดินไปหยิบกล่องยาบนโต๊ะหลังเวที ในนั้นมียาทั้งหมดหนึ่งแผง แผงหนึ่งมียาเพียงสองเม็ด เธอชูมันขึ้นหน้าเวทีให้ผู้มาร่วมงานเห็นชัด พลางเริ่มอธิบายสืบไป
"นี่คือยาคุมฉุกเฉินค่ะ ไม่ใช่ยาทำแท้งอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด แต่ยานี้ก็มีผลข้างเคียงมากกว่ายาคุมกำเนิดปกติ ควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น อย่างเช่นเธอคนนี้ที่ถูกข่มขืนและกลัวการตั้งครรภ์ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือทานยาเม็ดแรกภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และเม็ดที่สองในอีกสิบสองชั่วโมงต่อมา ยานี้จะเพิ่มฮอร์โมนส่งผลให้ผนังมดลูกหนาขึ้น ยากที่ไข่จะฝังตัวเพื่อผสมกับอสุจิ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ควรใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้นค่ะ"
นักแสดงสาวแสร้งรับยามือสั่นระริกอย่างตื้นตัน
"แล้วอย่าลืมไปตรวจโรคและแจ้งความนะคะ" ลิปดากล่าวปิดท้าย
ก่อนพวกเธอจะแกล้งตกใจเมื่อนักศึกษาชายในเครื่องแบบละม้ายตำรวจขึ้นมาลากไอ้โม่งลงเวทีไป เรียกเสียงหัวเราะดังจากผู้ชมหน้าเวที
เป็นคิวของเชอริลขึ้นมาดำเนินรายการบนเวทีต่อไป เธอส่งไมโครโฟนให้เพื่อนต่อ แล้วสองมือก็บีบกันไว้แน่นครู่หนึ่งก่อนปล่อย เป็นความร่วมมือ มุ่งมั่นของผู้ที่วาดฝันถึงอนาคตของประเทศร่วมกัน
....................................
เย็นวันนั้นทุกคนกลับมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัย หน้าตึกคณะคราคร่ำไปด้วยนักศึกษากว่ายี่สิบชีวิตที่เป็นอาสาสมัครร่วมรณรงค์ในโครงการที่พวกเขาและอาจารย์เห็นว่าสำคัญ บ้างนั่งบ้างยืนคุยกันอยู่บนบันไดหน้าตึกใหญ่นั้น พวกเขากำลังรอปาร์ตี้เล็กๆ ที่อาจารย์มาเรียเลี้ยงขอบใจลูกศิษย์ เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ที่เพื่อนขี่กลับมาพร้อมกล่องพิซซ่าเต็มสองมือผู้ซ้อนท้าย เสียงโห่ร้องยินดีก็ดังขึ้นพร้อมเพรียง
"เดี๋ยวๆ อาจารย์ล่ะ ฉันต้องทอนเงินท่าน" ลิปดาตะโกนถามท่ามกลางความชุลมุน
เสียงตอบตอบไปกันคนละทิศละทาง แม้แต่เชอริลเองก็กลายเป็นสาวปาร์ตี้เต็มขั้นไปเสียแล้ว เธอชูพิซซ่าชิ้นหนึ่งขึ้นกลางอากาศพลางโยกตัวเต้นตามจังหวะเพลงที่เพื่อนคนใดคนหนึ่งเปิดสร้างบรรยากาศ
"นั่นไง"
เป็นมาร์คที่มาพร้อมเธอกระทุ้งข้อศอกให้มองขึ้นไปยังขั้นบนสุดของบันได ก่อนเขาจะเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ อีกคน ลิปดารีบหยิบเงินทอนและใบเสร็จจากในกระเป๋าสตางค์พลางวิ่งขึ้นบันไดขั้นเตี้ยหน้าระเบียงตึกไปให้อาจารย์
"ขอบใจนะ ไปสนุกกับเพื่อนๆ เถอะ แต่อย่าให้เกินเลยกันล่ะพวกเรา"
ประโยคหลังเสียงดังฟังชัดนั้นบอกแก่นักศึกษาทุกคน โดยมีเสียงตอบรับกลับมาพร้อมเพรียง สมกับเป็นอาจารย์มาเรียที่ลูกศิษย์เคารพรัก ผู้ที่แม้จะเอาจริงเอาจัง หากก็รู้จักผ่อนปรน อาจารย์ผู้รับผิดชอบในตัวลูกศิษย์เสมอ ไม่ว่าด้านวิชาการหรือปัญหาส่วนตัว ท่านก็คอยสังเกตและถามไถ่ด้วยความห่วงใย ดังนั้นใครจะต่อว่า โจมตีเรื่องการรณรงค์ของท่านเช่นไร พวกเธอจึงเชื่อมั่นในตัวอาจารย์เสมอมา
"ลิปดา" เชอริลตะโกนมาพลางยื่นพิซซ่าชิ้นหนึ่งมาให้
ทว่าเพื่อนสาวยังไม่ทันรับ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
"ผู้จัดการ" เธอขยับปากให้เพื่อนรู้ ก่อนร่างระหงอวบอัดของอีกฝ่ายจะรีบผละจากกลุ่มเพื่อนมารอฟังอยู่ข้างๆ ทันที
"ลิบบี้ ฉันส่งข้อความไปแล้วไม่เห็นเหรอ ทำไมไม่ติดต่อมาสักที คืนนี้เธอมาร้องเพลงที่ร้านได้หรือเปล่า ทิฟฟานีอาหารเป็นพิษ มาร้องไม่ได้"
เชอริลสะกิดพลางสั่นศีรษะให้ปฏิเสธ หากเพื่อนรักกลับตอบตรงกันข้าม
"ได้ค่ะ ฉันจะรีบไป"
ลิปดาวางสาย หันมายิ้มอ่อนเอาใจเพื่อนที่ตีหน้ายักษ์ใส่ทันที
"เอาน่า อีกไม่กี่นานก็ต้องลงทะเบียนเรียนเทอมใหม่แล้วนี่ ไหนจะค่าหมอเจนิสอีก"
เธอมีเหตุผลจำเป็นที่ต้องใช้เงินอีกมากมาย แล้วคนฟังก็เข้าใจโดยไม่อาจโต้แย้ง
"ฮื่อ มีไรโทรมาแล้วกัน"
"จ้า" ลิปดาลากเสียงตอบขันๆ "แต่คงไม่มีไรหรอกมั้ง คุณคาบาเลสก็เพิ่งกลับไปเองนี่นา"
หากหญิงสาวไม่อาจรู้ได้เลยว่าเสน่ห์ของเสียงร้องกังวานใสอันเป็นเอกลักษณ์ และใบหน้าสวยเก๋ของเธอยามแสงไฟบนเวทีสาดส่องมายังเธอผู้เดียวนั้น กำลังจะสะดุดตาสะดุดใจใครบางคนเข้าอย่างจัง
...........................
บทนี้ยาวหน่อยนะคะ พูดถึงงานรณรงค์ของกลุ่มนางเอก
แต่เดี๋ยวตอนหน้าก็ได้เจอพระเอกแล้วจ้า หุๆ
ฝากติดตามด้วยนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2556, 16:51:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2556, 16:51:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 1196
<< บทนำ | บทที่ ๒ + ชวนเล่นเกมลุ้นหนังสือค่ะ >> |


ภาพิมล_พิมลภา 12 ต.ค. 2556, 22:15:27 น.
พี่นุ้ย - อิอิ พระเอกประทับใจลิปดาไม่รู้ลืมเลยค่ะ
พี่นุ้ย - อิอิ พระเอกประทับใจลิปดาไม่รู้ลืมเลยค่ะ