เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว
พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย
ตอน: บทนำ+บทที่ ๑ รีไรต์
บทนำ
แสงอรุโณทัยทาบทาขอบฟ้าเบื้องบน สาดแสงกระทบผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงาม หากวรองค์แบบบางผู้เคยโปรดปรานการชมรอยระยับบนผืนมหาสมุทร บัดนี้กลับสาวบาทเร่งร้อนจากพระตำหนักชโลทร ผ่านพระตำหนักบุปผางามและวนอุทยานหลายแห่ง กระทั่งมาถึงพระตำหนักอิศเรศ...ที่ประทับของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดล
ทรงไม่รีรอใดๆทั้งสิ้น ฝีพระบาทเร็วจนเกือบเป็นวิ่งขณะขึ้นบันไดโค้งมุ่งหน้าสู่ห้องพระบรรทมของ ‘พระสวามี’ ซึ่งพระองค์เคยล่วงล้ำเข้ามาเพียงครั้งเดียว
ยามเมื่อมาถึงระเบียงทอดยาว ทรงเห็นมหาดเล็กและเหล่าทหารกำลังยืนอออยู่หน้าห้องบรรทมของพระองค์ตรงสุดปลายทางเดิน บอกชัดว่าทรงอาการ...สาหัส
ฟ้าหญิงอุษาวดีรีบเร่งฝีพระบาท คราวนี้ทรงไม่สนพระทัยแล้วว่าเสียงฝีพระบาทขององค์เองจะดังกึกก้องเพียงใด ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...ต้องเข้าไปข้างในห้องนั้นให้ได้
เมื่อทหารทั้งหลายหันมาเห็นวรองค์แบบบางก็รีบหลบและเปิดทางให้พระองค์ทันควัน ทรงคาดว่าคงไม่ยากที่จะเข้าไปด้านใน หากบุรุษร่างสูงในชุดรัดกุมสีน้ำเงินเข้ม โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันกลับก้าวเข้ามาขวางก่อนที่จะทรงเอื้อมมือสัมผัสบานพระทวาร
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ทรงเข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไม” สุรเสียงทรงอำนาจ ดวงเนตรอ่อนแสงสุกสกาวแข็งกร้าวขึ้นมาในบัดดล “จะให้เราเข้าไปดีๆ หรือจะให้เราตัดหัวเจ้า!”
คนถูกขู่กะพริบตาปริบๆ ไม่คิดว่าวรองค์แบบบางตรงหน้าจะข่มขู่ได้น่ากลัวไม่แพ้ฟ้าชายผู้เป็นเจ้าชีวิตเลยทีเดียว
“เราจะเข้าไป”
เห็นแววเนตรแน่วแน่แล้ว ราชองครักษ์หนุ่มก็ต้องยอมถอยแต่โดยดี
เมื่ออีกฝ่ายเปิดทาง เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีก็ทรงสูดลมหายพระทัยลึกยาว รู้ว่าพระหัตถ์ขององค์เองสั่นระริกจนต้องประสานกันไว้ตรงบั้นพระองค์ รอจนนายทหารผู้นั้นเปิดบานพระทวารให้ พระองค์จึงสาวบาทเข้าไปด้วยดวงหทัยที่หวั่นเกรง
ต่อเมื่อสาวพระบาทเข้ามาประทับยืนด้านใน ก็ทรงเห็นวรองค์สูงใหญ่ประทับอยู่บนพระที่ กำลังหลับพระเนตร หายพระทัยอ่อนแรง พระพักตร์ไร้สีเลือดอย่างน่ากลัว และ...
อัสสุชลเอ่อคลออย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อเห็นพระโลหิตแดงฉานบนผ้าพันแผลบริเวณบั้นพระองค์และตรงพระอุระข้างซ้าย
นั่นแสดงว่าข่าวที่ได้รับเป็นเรื่องจริง พระองค์ทรงต้องพระแสงปืนเมื่อคืนนี้ ตอนออกไปลาดตระเวนแถบชายแดน
“พระชายา!” ทั้งเจ้าคุณกลาโหม โฆษิต แพทย์ทหาร และนายทหารที่ยืนดูพระอาการเรียกพระองค์อย่างตกใจ คงไม่คาดคิดว่าจะทรงรู้เรื่องทั้งที่ช่วยกันปิดข่าวกันยกใหญ่...ดีอยู่หรอกที่ทรงมีคนสนิทที่เก่งกาจในการสืบข่าวอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นก็ทรงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นแน่แท้
“เสด็จมาที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฟ้าหญิงอุษาวดีกะพริบพระเนตรถี่เร็วขับไล่อัสสุชลไม่ให้รินไหลตกต้องพระปรางค์ ก่อนสาวบาทเข้าไปใกล้คนที่บรรทมไม่ได้พระสติ
“พระอาการเป็นยังไงบ้าง”
ไม่ตรัสตอบคำถามของหมอหลวงผู้นั้น แต่กลับสนพระทัยเพียงแต่พระสวามีผู้ไม่เคยรักพระองค์เลยแม้เพียงเศษเสี้ยว
“เสียพระโลหิตมาก...เกินไป”
คงจะดีถ้าเขาจะหยุดพูดแค่นั้น โดยไม่มีคำว่า...เกินไป...ต่อท้าย เพราะนั่นย่อมแสดงถึงแนวโน้มที่ไม่ค่อยจะดีนัก
“กระสุนฝังลึก และใกล้จุดสำคัญกระหม่อม”
วรองค์ในฉลองพระองค์สีครีมแทบทรุดฮวบลงกับพื้นหลังจากได้ยินคำรายงานจากแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระหัตถ์ที่ประสานกันไว้สั่นระริก ก่อนอัสสุชลที่เฝ้ากล้ำกลืนมานานหยาดหยดลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นสุรเสียงของพระองค์ก็ยังมั่นคง
“ยังพอมี...โอกาสไหม”
“ถ้าทรงพ้นคืนนี้...”
ได้รับคำตอบเพียงแค่นั้น เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีก็ทรงเข้าพระทัย...โอกาสรอด...ครึ่งต่อครึ่ง
ต่อจากนี้ไปคงทำได้แค่รอ...และภาวนา
เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีทรุดองค์ลงประทับนั่งเคียงข้างพระสวามี แล้ววางหัตถ์เล็กลงบนหัตถ์หยาบกร้านซึ่งวางอยู่ข้างพระวรกาย บีบกระชับเท่าที่แรงจะพอมี
ราวกับจะทรงรับรู้ถึงแรงสัมผัสนั้น พระเนตรที่หลับสนิทจึงค่อยๆลืมขึ้น
“ใคร...” สุรเสียงแหบแห้งผิดกว่าเคยราวกับเป็นคนละคน ดวงเนตรสีดำสนิทกวาดไปมา ก่อนมาหยุดอยู่ที่พระพักตร์หม่นแสง และมีน้ำพระเนตรรินไหลไม่ขาดสาย
“...วดี”
“เพคะ”
“อย่าร้องไห้...” ยิ่งถูกห้าม น้ำพระเนตรก็ยิ่งไหลริน ตกต้องหัตถ์เย็นเยียบของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดล “...พี่กลับมาแล้ว ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า ไยจึงต้องร้องไห้”
“ใครมันกล้าทำ...” สุรเสียงดุดันเคียดแค้น ขณะคนเจ็บเพียงแต่ยกมุมโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย ก่อนรับสั่งช้าชัด
“อยากกลับสิขเรศไหม”
สิขเรศ...บ้านที่ทรงจากมาเกือบห้าเดือนแล้ว ทรงยังคิดถึงไม่สร่างซา ทว่า...คิมหันต์นครแห่งนี้พระองค์ก็ทรงผูกพันไม่แพ้กัน
“อยากให้วดี...ไปหรือเพคะ”
...รับสั่งให้กลับสิขเรศ นั่นย่อมหมายถึงการไม่อยากพบเห็นกันอีกต่อไปมิใช่หรือ...อัสสุชลหลั่งรินราวทำนบกั้น
ทรงทราบมาตลอดว่าดวงหทัยของ ‘พี่ชล’ มีใครซุกซ่อนอยู่ แต่ไม่เคยคิดว่าจะทรงเกลียดพระองค์จนอยากไล่ไปเสียให้พ้นๆเช่นนี้
“ไม่ได้อยู่ที่อยาก หรือไม่อยาก” ทรงหายพระทัยแรง หลับพระเนตรนิ่งนานราวกับกำลังข่มความเจ็บปวด “อยู่ที่ควร หรือไม่ควร”
หากเป็นในยามปกติ ฟ้าหญิงอุษาวดีคงรับสั่งถามแล้วว่าควร ไม่ควรอย่างไร แต่ในยามนี้พระองค์ทำได้เพียงปิดพระโอษฐ์แนบแน่นเท่านั้น
“สิขเรศยังสงบ แต่ที่นี่...ยังมีเรื่องต้องสะสาง” คำอธิบายที่ไม่ได้ทำให้ดวงหทัยของคนฟังคลายความเศร้าและเจ็บปวดลงได้เลย “ไปเสียเถิด...จะให้ราชิดกับกษิดิษไปส่ง”
“แต่วดีห่วง...”
“ไม่ต้องห่วง...พรุ่งนี้ก็ลุกมาเดินไปไหนต่อไหนได้แล้ว”
ทรงทราบ...ถ้อยรับสั่งนั้นยากที่จะเป็นไปได้
“..ไปเถอะ”
เมื่อเป็นพระบัญชา วรองค์เล็กบางจึงไม่อยากขัด พระองค์ทรงประทับยืนอย่างเนิบช้า ปล่อยหัตถ์จากการเกาะกุมกันแนบแน่น แล้วรับสั่งด้วยสุรเสียงแผ่วเบา
“ดูแลองค์เองด้วยเพคะ”
“ถ้า...ยังมีชีวิตอยู่...จะไปรับ แต่ถ้าไม่...สิขเรศจะเป็นบ้านของเจ้าได้ดีกว่าคิมหันต์นคร โชคดี...อุษาวดี”
สุรเสียงยามเรียกพระนามของพระองค์ทอดหวานกว่าครั้งใด เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดียกหัตถ์เช็ดน้ำพระเนตรขององค์เอง ก่อนมีพระบัญชา...เลียนแบบคนตัวโตซึ่งทำอยู่บ่อยครั้ง
“ต้องสัญญาว่าจะไปหาวดีที่สิขเรศ” ไม่รับสั่งว่าไปรับเพราะไม่แน่พระทัยนักว่าเมื่อถึงวันนั้น พระสวามีจะยังต้องการให้พระองค์มาอยู่ที่คิมหันต์นครด้วยหรือไม่...บางทีอาจจะเป็นเพียงไปพบตามสัญญาแล้วแยกย้ายจากกันไปเท่านั้น
“พี่ไม่ชอบผิดสัญญา”
“ถ้าไม่สัญญา วดีจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ดวงเนตรสีดำสนิทอ่อนแสงลง ก่อนจะวับหวานขึ้นเกินกว่าจะเป็นสายตาของคนเจ็บ ถึงกระนั้นคนมองสบก็หาได้รู้ความนัยแอบแฝงของดวงเนตรคู่นั้นไม่
“สัญญา...จะไป...”
“วดีเชื่อในสัญญา...จะคอย”
...นานแค่ไหนก็จะคอย จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง...ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม...
โปรดจงยึดมั่นในสัญญา
แม้เวลาผันผ่านไม่แปรผัน
จักเฝ้ารอตราบจนสิ้นชีวัน
ใจคงมั่นตราบวันโลกทลาย
บทที่ ๑
สิขเรศ...หลายปีก่อน
วันที่ลมเหมันต์พัดกระหน่ำพร้อมกับการมาเยือนของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดลแห่งคิมหันต์นครผู้ซึ่งมีพระชนมพรรษาครบสิบห้าพรรษาเมื่อไม่นานมานี้ การเสด็จฯมาในครั้งนี้มิได้มีผู้ติดตามมากมายเหมือนเมื่อครั้งพระบิดาของพระองค์เสด็จฯมา หากมีเพียงราชองครักษ์หนึ่งนาย และนายทหารผู้ติดตามขนข้าวของส่วนพระองค์มาให้เพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นเจ้าหลวงทิศวัตแห่งสิขเรศก็ทรงเปิดท้องพระโรงต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ
ภาพของหนุ่มน้อยร่างผอมสูงในฉลองพระองค์สีน้ำเงินเข้มรัดกุมแบบทหารคลุมทับด้วยผ้าคลุมน้ำเงินขลิบทองเพื่อป้องกันความหนาว โพกพระเศียรด้วยผ้าฝ้ายสีน้ำเงินโดยปล่อยชายผ้าไว้มิได้นำมาปกปิดพระพักตร์แต่อย่างใดไม่ผิดไปจากที่เคยดำริไว้นัก เจ้าชายชลธิศธราดลทรงมีผิวพระวรกายคล้ำแดดเช่นชาวเมืองติดทะเลทั่วไป โครงพักตร์รูปไข่ ขนงเข้ม นาสิกโด่ง และพระโอษฐ์หยักลึก อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อถึงวัยหนุ่มเต็มตัว เจ้าหลวงทิศวัตทรงเชื่อว่าจะทรง ‘งาม’ ไม่แพ้เจ้าฟ้าชายจากแคว้นอื่นเลยแม้แต่น้อย
วรองค์อวบท้วมเสด็จฯลงจากราชบัลลังก์ เมื่อเจ้าฟ้าชายจากคิมหันต์นครทรงคุกพระชานุลงบนผืนพรมสีแดงเลือดหมูปักลวดลายวิจิตร พระหัตถ์ข้างหนึ่งทรงวางทาบลงบนพระอุระขององค์เอง สองเนตรหลุบลงต่ำ ต่อเมื่อทรงสาวบาทเข้าไปหาและประทับยืนตรงหน้า อีกฝ่ายจึงเงยพักตร์
“ยินดีต้อนรับ ชายชล...ลุงเคยพบเจ้าตอนเจ้ายังแบเบาะ แต่ตอนนี้เป็นหนุ่มเสียแล้วซินะ” ทรงประคองวรกายผ่ายผอมให้ประทับยืน ก่อนกวาดสายพระเนตรพิจารณาอย่างใกล้ชิด
“สูงมาก...อีกหน่อยคงองอาจผึ่งผาย แข็งแกร่งไม่แพ้บิดาของเจ้าแน่ๆ”
คนถูกชมแย้มโอษฐ์เพียงน้อย ก่อนตรัสถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาท
“เสด็จฯลุงสบายดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังสบายดีอยู่ แต่ก็เป็นหวัดประจำ” รับสั่งด้วยเสียงเริงรื่น “ที่นี่คงหนาวสำหรับเจ้าล่ะซิ”
“ยังพอทนได้พ่ะย่ะค่ะ”
สุรเสียงห้าวลึกที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นห้าวดุในภายภาคหน้า
“คงต้องดูแลตัวเองหน่อยล่ะ ชายชล อากาศที่นี่เย็นตลอดปีเลยทีเดียว” ทรงซักถามอีกสองสามประโยคจึงวางพระพาหาโอบรอบอังสาของฟ้าชายชล
“มา...มารู้จักครูของเจ้าก่อนเถอะ”
ทรงพาพระองค์ไปทำความรู้จักกับเสนาบดีกลาโหม...พลเอกวิษศุเวศ เสนาบดีมหาดไทย...พลตำรวจเอกธาดา และที่ปรึกษาส่วนพระองค์...เจ้าชายนฤบดินทร์ผู้เป็นพระอนุชาองค์เจ้าหลวงนั่นเอง ทรงทำความรู้จัก ทำความเคารพพระอาจารย์ทั้งสามอย่างไม่ถือองค์ เต็มไปด้วยความนอบน้อมจนเรียกรอยชื่นชมเอ็นดูจากคนทั้งสามได้เป็นอย่างดี
ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างพูดคุยทำความรู้จักกันนั้น ใครคนหนึ่งที่แอบดูจากข้างบนถึงกับดึงผ้าม่านออกมากขึ้นแล้วแทบจะชะโงกพระเศียรออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากถูกคนข้างพระวรกายปรามเบาๆ
“อย่าทำอย่างนั้น วดี ...ไม่งาม”
เช่นเดียวกับพระพี่เลี้ยงร่างผอม
“ใช่เพคะ ไม่งามเลยเพคะ ทูลกระหม่อมของนม”
คนถูกต่อว่าย่นพระนาสิกเชิดรั้น เบือนสายเนตรกลมโตพิสุทธิ์ใสมายังคนทั้งสอง
“ทำไมพี่หญิงกับนมถึงชอบพูดเหมือนกันอยู่เรื่อย”
ได้ยินสุ้มเสียงกระเง้ากระงอดของขนิษฐาตัวน้อย ฟ้าหญิงคคนางค์ถึงกลับกลั้นรอยแย้มสรวลไว้ไม่มิด ทรงวางหัตถ์ลงบนพระเศียรยุ่งๆของอีกฝ่ายแล้วเขย่าเบาๆอย่างเอ็นดู
“เจ้านี่มันจอมแก่นซะจริง หญิงวดี”
“หญิงรู้เพคะ...ใครๆก็พุดกันแบบนั้น ไม่ว่าจะทูลหม่อมพ่อ ทูลหม่อมแม่ นมผ่อง หรือแม้แต่นมเอื้องของพี่หญิง ขนาดท่านลุงวิษยังพูดแบบนั้นอยู่บ่อยๆเลยเพคะ”
ทรงพร่ำบ่นด้วยความหงุดหงิด หากปุบปับกลับเลิกสนพระทัย เพราะเห็นว่าผู้ชายตัวสูงๆดู ‘เก้งก้าง’ ขยับกายตั้งท่าจะออกจากท้องพระโรงแล้ว คนตัวเล็กจึงกระทำวีรกรรมที่คงทำให้พระมารดาต้องส่ายพระเศียรอย่างระอาด้วยการปาดอกเอื้องที่ทรงเด็ดมาจากวนอุทยานเมื่อเช้าลงไป
และ...เหมาะเหม็ง!
ดอกสีส้มแสนสวยกระทบหน้าผากของคนหน้าดุเข้าอย่างจัง!
ร่างเล็กป้อมโปรยยิ้มอย่างสนุกสนาน ผิดกับพระพี่นางซึ่งเผยอพระโอษฐ์อย่างตกพระทัย พร้อมกับเปิดผ้าม่านออกมากขึ้นเพื่อดูให้แน่ชัดว่าคนโชคร้ายผู้นั้นจะไม่เป็นอะไร จากนั้นจึงทรงต่อว่าคนก่อเรื่อง
“วดี! เจ้าทำอะไรลงไปน่ะ!”
ยังไม่ทันจะต่อว่าหรือกระทำการอันใดต่อ ตัวต้นเหตุของเรื่องก็รีบทรุดองค์ลงนั่งก้มศีรษะหลบสายพระเนตรของเจ้าฟ้าชายชลธิศ ทว่า...พี่หญิงของพระองค์หลบไม่ทัน จึงได้แต่เบิกเนตรกว้างอย่างตะลึงเมื่อเห็นวรองค์ผอมจ้องเขม็งมายังพระองค์
เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้จึงทรงแย้มสรวลอย่างจืดเจื่อนแล้วรีบปิดม่านในบัดดล ก่อนคว้าพระหัตถ์คนที่กำลังสรวลคิกคักอยู่บนพื้น
“รีบไปเถอะ พี่ไม่อยากโดนทูลหม่อมพ่อดุหรอกนะ” จากนั้นก็รีบลาก รีบดึงร่างเล็กให้เดินตามออกจากห้องเสียโดยเร็ว โดยมีพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงพระองค์เล็กคอยตามติดไม่ห่าง
หลังจากม่านหนาหนักสีแดงเลือดหมูปิดลง พร้อมกระพักตร์หวานละมุนผลุบหายไป เจ้าฟ้าชายชลธิศจึงก้มพักตร์พิจารณาดอกเอื้องดอกเล็กที่ไม่เคยพบเห็นในคิมหันต์นครอย่างสนพระทัย อดขบขันเล็กๆไม่ได้ว่าการต้อนรับของสิขเรศดูแปลกกว่าแคว้นอื่นเสียเหลือเกิน พระองค์สรวลเบาๆในลำพระศอก่อนจะรีบเก็บดอกนั้นในฉลองพระองค์ แล้วหันไปรับสั่งกับเจ้าหลวงทิศวัตตามปกติเมื่อได้ยินถ้อยรับสั่งถาม
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เมื่อกี้ลุงเห็นอะไรหล่นมาจากด้านบน”
รับสั่งพลางเงยพักตร์ขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร แล้วพึมพำกับองค์เอง
“หวังว่าเจ้าตัวยุ่งคงไม่ก่อเรื่องหรอกนะ”
“อะไรหล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทรงผินพระพักตร์มาทางคนถามแล้วโบกหัตถ์ไปมา
“ช่างเถอะ ลุงคงตาฝาดไปเอง”
บทสนทนาจบลงดพียงเท่านั้น เมื่อเจ้าฟ้าชายชลธิศต้องเสด็จฯไปยังพระตำหนักที่เจ้าหลวงทิศวัตทรงเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าเกือบห้าวันทีเดียว
วรองค์สูงผอมกับเล็กป้อมพากันวิ่งไปตามโถงทางเดิน วกอ้อมไปทางวนอุทยานเพื่อรีบกลับพระตำหนักขององค์เอง ขณะที่พระพี่เลี้ยงวิ่งตามอย่างเหนื่อยหอบ พอมาถึงครึ่งทางก็เอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่อย่างหมดเรี่ยวแรง หากก็ยังไม่วายห้ามปรามอย่างเป็นห่วง
“ทูลกระหม่อมเพคะ อย่าวิ่งเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงคคนางค์ดูจะทรงเชื่อฟังอยู่บ้าง จึงชะงักฝีพระบาทไว้ ส่วนฟ้าหญิงพระองค์เล็กหาได้เชื่อฟังไม่ พระองค์ดึงหัตถ์ออกจากการเกาะกุมชองพี่หญิง แล้วออกวิ่งตรงไปยังตำหนักของตนเอง ระหว่างเห็นนางกำนัลเดินผ่านมา ก็แกล้งหยอกนิดหยอกหน่อย บ้างก็แอบไปหลบมุมตรงสุมทุมพุ่งไม้ ก่อนจะโผล่ออกมาอย่างรวดเร็วให้พวกสาวๆตกใจเล่น
เห็นดังนั้นฟ้าหญิงคคนางค์ก็ส่ายพักตร์ ทรงทราบมาตลอดว่าน้องหญิงขององค์เองแก่นแก้วขนาดไหน หากไม่คิดว่าจะโตจะยิ่งซนขนาดนี้ พระองค์ทรงสาวบาทตาม และตะโกนเรียก
“วดี...ทำตัวดีๆหน่อยซิ”
‘ทำตัวดีๆ’ ที่ว่าเป็นอย่างไรฟ้าหญิงอุษาวดีไม่เข้าพระทัยนัก พระองค์รู้แค่ว่าทรงสนุกและขบขันยามได้เห็นผู้คนกรีดร้องตกใจ หรืออ้าปากค้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าปากอยู่แล้วนั่นละ...สนุกนัก!
“วดี...หยุดรอพี่ก่อน”
แว่วสุรเสียงของพี่หญิงให้หยุดรอ เจ้าหญิงพระองค์น้อยทรงหยุดจริง หากก็เพียงผินพักตร์มาทางพระพี่นางเพียงชั่วแวบ แล้วแย้มโอษฐ์กว้าง ก่อนตะโกนกลับไปว่า
“พี่หญิงก็วิ่งมาหาหญิงซิเพคะ เดินช้าๆแบบนั้นเมื่อไหร่จะทันล่ะ”
แล้ว ‘เจ้าตัวยุ่ง’ ก็วิ่งบ้าง กระโดดบ้าง บางครั้งก็เด็ดดอกไม้ที่อยู่ตามรายทางมาปาทิ้งเล่นๆ และเพราะความที่เอาแต่หันไปทางนู้นที ทางนี้ที จึงไม่ทันระวังว่าจะชนเข้ากับใครบางคนจนแทบกระเด็น หากคนที่ถูกชนกลับรั้งพระองค์ไว้ได้ทัน
วรองค์เล็กร้องเบาๆอย่างตกพระทัยเล็กๆ ต่อเมื่อรับรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ล้มต่อหน้าใครๆ จึงพ่นลมหายพระทัยทางพระโอษฐ์อย่างโล่งพระอุระ จากนั้นจึงเงยพักตร์ดูว่าคนที่กำลังกอดรัดพระองค์ในตอนนี้เป็นใคร
วรองค์ ’เก้งก้าง’ คือคำตอบ ...คนที่ช่วยพระองค์ไว้คือเจ้าชายจากต่างแคว้นผู้มีพระพักตร์ดุและถูกพระองค์ต้อนรับด้วยดอกเอื้องแสนงามนั่นเอง
ยังไม่ทันจะตรัสทักทายหรือรับสั่งถามว่าเจ้าดอกเอื้องสีส้มดอกนั้นทำให้พระองค์ทรงเจ็บพระนลาฎหรือไม่ เหล่านางพระกำนัลก็วิ่งกรูเข้ามารายล้อม พร้อมกับพร่ำพรูดฟังไม่ได้ศัพท์
“ตายแล้ว ทูลกระหม่อมหญิง ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นพร้อมกับที่วรองค์ผอมๆคลายอ้อมพระกร คนถูกกอดอยู่นานจึงถวายบังคมผลุบ...รวดเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนขออภัยโทษแบบขอไปที
“ขอประทานอภัยเพคะ”
แถมยังทำพระพักตร์บึ้ง ย่นจมูกให้เสียอีก พร้อมกับถ้อยรับสั่งต่อว่าในพระทัย
...เราไม่ผิดสักหน่อย อยากมาขวางทางเราทำไมล่ะ!
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นพระองค์ดำริในสิ่งใด จึงปราดเข้ามสำรวจตรวจตราด้วยคิดว่าพระองค์บาดเจ็บ
“บาดเจ็บตรงไหนหรือเพคะ”
ยังไม่ทันตอบ พี่หญิงของพระองค์ก็สาวบาทมาถึงพร้อมนมผ่อง...พระพี่เลี้ยงคนสนิท
อย่างแรกที่ทรงทำคือถวายบังคมอย่างดงามชดช้อย นุ่มนวลอ่อนหวาน พร้อมกับสุรเสียงหวานละมุนชวนฝัน...แบบที่ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่ค่อยเข้าพระทัยนักว่า เหตุใดพี่หญิงของพระองค์จึงได้อ่อนหวานปานนี้
“ขอประทานอภัยแทนน้องหญิงของหม่อมฉันด้วยเพคะ...”
ถ้อยรับสั่งนั้นทำให้จ้าฟ้าชายชลธิศรับรู้ว่าสาวน้อยทั้งสองตรงหน้าคือพระธิดาใจองค์เจ้าหลวงแห่งสิขเรศ
พระองค์ทรงมีวรองค์โปร่งระหง งดงามด้วยฉลองพระองค์สีครีมเน้นส่วนบั้นพระองค์ พระเกศาสีน้ำตาลอ่อนรับกับวงพักตร์หวาน
“หม่อมฉัน...คคนางค์ เพคะ ส่วนนี่...” พร้อมกับรับสั่งทรงวางหัตถ์ลงบนพระเศียรของอีกฝ่าย “...น้องหญิงอุษาวดีเพคะ”
ฟ้าชายชลผงกพระเศียรรับรู้ ก่อนรับสั่งแนะนำองค์เองบ้าง
“หม่อมฉัน...ชลธิศธราดล ยินดีที่ได้พบ” จากนั้นก็ทรงเบือนสายพระเนตรมายังฟ้าหญิงพระองค์เล็ก แล้วให้ข้อสรุปกับองค์เองว่า...พระองค์ยังเด็ก และซุกซนจนฉลองพระองค์สีครีมกลายเป็นสีหม่นไปเสียแล้ว
“ยินดีที่ได้พบเช่นกันเพคะ”
ฟ้าหญิงคคนางค์รับสั่งพร้อมกับแย้มโอษฐ์อย่างสวยงาม...เป็นเสน่ห์ที่ฟ้าชายจากแคว้นอื่นเคยทอดเนตรอย่างตกตะลึง และหลงใหลมาแล้ว ครั้งนี้ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่เห็นความแตกต่าง เมื่อ ‘นายเก้งก้าง’ ประทับยืนยิ่งอึ้งพร้อมรอยแย้มโอษฐ์บางๆและสายพระเนตรพึงพระทัย
พระพี่นางของพระองค์งดงามเสมอ ขณะที่องค์เอง...ไม่แก่นแก้วแสนซน ก็พระพักตร์มอมแมวอย่างกะแมวคราว ไม่อีกทีก็แสนดื้อรั้น
ขณะที่ฟ้าหญิงคคนางค์ได้รับแต่คำชมเสมอมา ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้น้อยพระทัยเลยแม้แต่น้อย เพราะเห็นว่าจริงตามนั้นทุกอย่าง...สำหรับองค์เองแล้ว ทรงไม่ชอบที่จะต้องเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้เช่นพี่หญิง ทรงมีความสุขกับความซุกซนเล็กๆที่ไม่ได้ทำให้ใครๆรักมากมาย หากก็ไม่มีคนเกลียดเฉกกัน
“น้องหญิงของหม่อมฉันซุ่มซ่ามแบบนี้ประจำ...อภัยให้นางด้วยเถิดเพคะ”
‘คนซุ่มซ่าม’ทำพระโอษฐ์ยื่นยาว ขณะพระพี่นางรับสั่งต่อ
“กำลังจะเสด็จฯไหนหรือเพคะ”
“หม่อมฉันเห็นวนอุทยานสวยดี เลยอยากมาชมดอกไม้สักหน่อย...โดยเฉพาะ...” ทรงดึงดอกเอื้องออกมาจากฉลองพระองค์ แล้วยื่นออกมาตรงเบื้องพักตร์ “...ดอกนี้ หม่อมฉันบังเอิญเก็บได้”
คำว่า ‘เก็บได้’ น่าจะเปลี่ยนเป็นหล่นมาโดนพระเศียรเสียมากกว่า วรองค์เล็กยกมือปิดพระโอษฐ์เพื่อปกปิดรอยแย้มสรวลขององค์เอง ขณะที่พระพี่นางหลุบพระเนตรลงต่ำ พระปรางซับสีเรื่ออย่างน่ารัก
“หม่อมฉันไม่เคยพบดอกนี้ที่คิมหันต์นครเลย...สวยมาก”
ชมว่าสวยหากจับจ้องที่วงพักตร์ขาวผ่องของฟ้าหญิงคคนางค์ไม่วางตา คนที่แอบขันเมื่อครู่ถึงกับหรี่พระเนตรมอง ออกอาการชักจะหวงพี่หญิงขององค์เองจึงสาวบาทเข้ามาประทับยืนระหว่างคนทั้งสอง แล้วรับสั่งว่า
“ดอกเอื้องเพคะ ถ้าทรงอยากเห็น หม่อมฉันจะพาไปเอง” จากนั้นจึงชี้พระดัชนีไปยังอีกฟากฝั่งของสนอุทยานแห่งนั้น บนต้นไม้ใหญ่นั่นเองที่ดอกสีส้มเกาะกลุ่มกันเป็นพวง...งดงามและน่าสนพระทัยที่จะเข้าไปเชยชมใกล้...ถ้าหากคนพาชมไม่ใช่ ‘เด็กน้อยร่างป้อม’
“เชิญเสด็จฯเพคะ”
นั่นเป็นการบังคับกลายๆ เพราะหากจะรับสั่งปฏิเสธก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป สุดท้ายพระองค์จึงหันไปสั่งให้องครักษ์ยืนรออยู่ตรงนั้น ก่อนสาวบาทตามวรองค์เล็กป้อมที่สาวบาทนำไปก่อนแล้ว ส่วนฟ้าหญิงคคนางค์นั้นยังประทับยืนอยู่ที่เดิม
‘เด็กซุ่มซ่าม’ มาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน หากคนเดินตามกลับสาวบาทอย่างเนิบช้าไม่ทันพระทัย จึงทรงโบกพระหัตถ์เรียก
“เร็วๆซิเพคะ ดูเสร็จแล้วหม่อมฉันจะได้รีบกลับ”
คนที่ถูกเรียกยิกๆเลิกพระขนงขึ้นสูง อยากจะแกล้งสาวบาทช้าลง...อีกนิด หากก็นั่นละ ถ้าทำเช่นนั้นพระองค์จะต้องทรงอยู่กับฟ้าหญิงพระองค์เล็ก หาใช่ผู้เป็นพระพี่นางไม่ เมื่อดำริเช่นนั้นจึงทรงเร่งฝีพระบาทให้เร็วขึ้น เพียงพริบตาก็ทรงมาประทับยืนอยู่ตรงหน้าดอกเอื้องแสนอ่อนหวานแล้ว
ดอกสีสดลอยเด่นอยู่หน้าพระพักตร์ งดงามเสียจนละสายเนตรไปทางอื่นไม่ได้เลย
“สวยอย่างที่ดำริไว้ไหมเพคะ”
“สวย...สวยมาก” ทรงตอบตามตรง ขณะที่ในพระทัยยังชื่นชมฟ้าหญิงคคนางค์เช่นกัน
“โปรดมากหรือเพคะ”
วรองค์สูงใหญ่ขมวดขนงแล้วหันมาจับจ้องวงพักตร์กลม พระปรางอวบอ้วนและป่องจนน่าจับ
“โปรดเรื่อง?”
“ก็ดอกเอื้องซิเพคะ”
เจ้าฟ้าชายชลระบายลมหายพระทัยยืดยาว รู้สึกว่าการพูดคุยกับ ‘เด็ก’ นั้นช่างปวดเศียรเวีบนเกล้า และต้องใช้พลังงานมากมายจริงๆ
“ใช่...หม่อมฉันโปรดถึงขั้นอยากเอาไปปลูกที่บ้านเลยล่ะ”
“ฮึ!” คราวนี้คนตัวเล็กทำเสียงในพระศออย่างไม่พอพระทัยชัดเจน “ดอกของเรา เราไม่ให้หรอก”
จากคำว่า ‘หม่อมฉัน’ กลายเป็น ‘เรา’ ไปเสียแล้ว คนหน้าดุหรี่พระเนตรแล้วส่ายพักตร์
“ทรงปลูกเองหรือถึงได้ยึดไว้เป็นขององค์เอง”
“ก็มันขึ้นในบ้านของเรา ในที่ของเรา มันก็ต้องเป็นของเราซิ” ฟ้าหญิงอุษาวดีทำพระพักตร์บูดบึ้งราวกับกริ้วใครมาสักร้อยชาติ แล้วรับสั่งเป็นคำสุดท้าย
“ไม่คุยด้วยแล้ว หงุดหงิด!”
จากนั้นจึงเส็จฯจากไป...ไม่สนพระทัยแล้วว่า ‘คนหน้าดุ’ จะ ‘ยึด’ อะไรจากสิขเรศไปบ้าง
...ไม่ว่าจะเป็นดอกเอื้องที่โปรดปราน หรือพระพี่นางที่ทรงรักรองจากทูลหม่อมพ่อ และทูลหม่อมแม่...
ทรงขอเพียงอย่างเดียว...ให้ฟ้าชายเก้งก้างพระองค์นั้นกลับคิมหันต์นครเสียโดยเร็วเป็นพอ!
แสงอรุโณทัยทาบทาขอบฟ้าเบื้องบน สาดแสงกระทบผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงาม หากวรองค์แบบบางผู้เคยโปรดปรานการชมรอยระยับบนผืนมหาสมุทร บัดนี้กลับสาวบาทเร่งร้อนจากพระตำหนักชโลทร ผ่านพระตำหนักบุปผางามและวนอุทยานหลายแห่ง กระทั่งมาถึงพระตำหนักอิศเรศ...ที่ประทับของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดล
ทรงไม่รีรอใดๆทั้งสิ้น ฝีพระบาทเร็วจนเกือบเป็นวิ่งขณะขึ้นบันไดโค้งมุ่งหน้าสู่ห้องพระบรรทมของ ‘พระสวามี’ ซึ่งพระองค์เคยล่วงล้ำเข้ามาเพียงครั้งเดียว
ยามเมื่อมาถึงระเบียงทอดยาว ทรงเห็นมหาดเล็กและเหล่าทหารกำลังยืนอออยู่หน้าห้องบรรทมของพระองค์ตรงสุดปลายทางเดิน บอกชัดว่าทรงอาการ...สาหัส
ฟ้าหญิงอุษาวดีรีบเร่งฝีพระบาท คราวนี้ทรงไม่สนพระทัยแล้วว่าเสียงฝีพระบาทขององค์เองจะดังกึกก้องเพียงใด ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...ต้องเข้าไปข้างในห้องนั้นให้ได้
เมื่อทหารทั้งหลายหันมาเห็นวรองค์แบบบางก็รีบหลบและเปิดทางให้พระองค์ทันควัน ทรงคาดว่าคงไม่ยากที่จะเข้าไปด้านใน หากบุรุษร่างสูงในชุดรัดกุมสีน้ำเงินเข้ม โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันกลับก้าวเข้ามาขวางก่อนที่จะทรงเอื้อมมือสัมผัสบานพระทวาร
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ทรงเข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไม” สุรเสียงทรงอำนาจ ดวงเนตรอ่อนแสงสุกสกาวแข็งกร้าวขึ้นมาในบัดดล “จะให้เราเข้าไปดีๆ หรือจะให้เราตัดหัวเจ้า!”
คนถูกขู่กะพริบตาปริบๆ ไม่คิดว่าวรองค์แบบบางตรงหน้าจะข่มขู่ได้น่ากลัวไม่แพ้ฟ้าชายผู้เป็นเจ้าชีวิตเลยทีเดียว
“เราจะเข้าไป”
เห็นแววเนตรแน่วแน่แล้ว ราชองครักษ์หนุ่มก็ต้องยอมถอยแต่โดยดี
เมื่ออีกฝ่ายเปิดทาง เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีก็ทรงสูดลมหายพระทัยลึกยาว รู้ว่าพระหัตถ์ขององค์เองสั่นระริกจนต้องประสานกันไว้ตรงบั้นพระองค์ รอจนนายทหารผู้นั้นเปิดบานพระทวารให้ พระองค์จึงสาวบาทเข้าไปด้วยดวงหทัยที่หวั่นเกรง
ต่อเมื่อสาวพระบาทเข้ามาประทับยืนด้านใน ก็ทรงเห็นวรองค์สูงใหญ่ประทับอยู่บนพระที่ กำลังหลับพระเนตร หายพระทัยอ่อนแรง พระพักตร์ไร้สีเลือดอย่างน่ากลัว และ...
อัสสุชลเอ่อคลออย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อเห็นพระโลหิตแดงฉานบนผ้าพันแผลบริเวณบั้นพระองค์และตรงพระอุระข้างซ้าย
นั่นแสดงว่าข่าวที่ได้รับเป็นเรื่องจริง พระองค์ทรงต้องพระแสงปืนเมื่อคืนนี้ ตอนออกไปลาดตระเวนแถบชายแดน
“พระชายา!” ทั้งเจ้าคุณกลาโหม โฆษิต แพทย์ทหาร และนายทหารที่ยืนดูพระอาการเรียกพระองค์อย่างตกใจ คงไม่คาดคิดว่าจะทรงรู้เรื่องทั้งที่ช่วยกันปิดข่าวกันยกใหญ่...ดีอยู่หรอกที่ทรงมีคนสนิทที่เก่งกาจในการสืบข่าวอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นก็ทรงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นแน่แท้
“เสด็จมาที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฟ้าหญิงอุษาวดีกะพริบพระเนตรถี่เร็วขับไล่อัสสุชลไม่ให้รินไหลตกต้องพระปรางค์ ก่อนสาวบาทเข้าไปใกล้คนที่บรรทมไม่ได้พระสติ
“พระอาการเป็นยังไงบ้าง”
ไม่ตรัสตอบคำถามของหมอหลวงผู้นั้น แต่กลับสนพระทัยเพียงแต่พระสวามีผู้ไม่เคยรักพระองค์เลยแม้เพียงเศษเสี้ยว
“เสียพระโลหิตมาก...เกินไป”
คงจะดีถ้าเขาจะหยุดพูดแค่นั้น โดยไม่มีคำว่า...เกินไป...ต่อท้าย เพราะนั่นย่อมแสดงถึงแนวโน้มที่ไม่ค่อยจะดีนัก
“กระสุนฝังลึก และใกล้จุดสำคัญกระหม่อม”
วรองค์ในฉลองพระองค์สีครีมแทบทรุดฮวบลงกับพื้นหลังจากได้ยินคำรายงานจากแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระหัตถ์ที่ประสานกันไว้สั่นระริก ก่อนอัสสุชลที่เฝ้ากล้ำกลืนมานานหยาดหยดลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นสุรเสียงของพระองค์ก็ยังมั่นคง
“ยังพอมี...โอกาสไหม”
“ถ้าทรงพ้นคืนนี้...”
ได้รับคำตอบเพียงแค่นั้น เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีก็ทรงเข้าพระทัย...โอกาสรอด...ครึ่งต่อครึ่ง
ต่อจากนี้ไปคงทำได้แค่รอ...และภาวนา
เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีทรุดองค์ลงประทับนั่งเคียงข้างพระสวามี แล้ววางหัตถ์เล็กลงบนหัตถ์หยาบกร้านซึ่งวางอยู่ข้างพระวรกาย บีบกระชับเท่าที่แรงจะพอมี
ราวกับจะทรงรับรู้ถึงแรงสัมผัสนั้น พระเนตรที่หลับสนิทจึงค่อยๆลืมขึ้น
“ใคร...” สุรเสียงแหบแห้งผิดกว่าเคยราวกับเป็นคนละคน ดวงเนตรสีดำสนิทกวาดไปมา ก่อนมาหยุดอยู่ที่พระพักตร์หม่นแสง และมีน้ำพระเนตรรินไหลไม่ขาดสาย
“...วดี”
“เพคะ”
“อย่าร้องไห้...” ยิ่งถูกห้าม น้ำพระเนตรก็ยิ่งไหลริน ตกต้องหัตถ์เย็นเยียบของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดล “...พี่กลับมาแล้ว ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า ไยจึงต้องร้องไห้”
“ใครมันกล้าทำ...” สุรเสียงดุดันเคียดแค้น ขณะคนเจ็บเพียงแต่ยกมุมโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย ก่อนรับสั่งช้าชัด
“อยากกลับสิขเรศไหม”
สิขเรศ...บ้านที่ทรงจากมาเกือบห้าเดือนแล้ว ทรงยังคิดถึงไม่สร่างซา ทว่า...คิมหันต์นครแห่งนี้พระองค์ก็ทรงผูกพันไม่แพ้กัน
“อยากให้วดี...ไปหรือเพคะ”
...รับสั่งให้กลับสิขเรศ นั่นย่อมหมายถึงการไม่อยากพบเห็นกันอีกต่อไปมิใช่หรือ...อัสสุชลหลั่งรินราวทำนบกั้น
ทรงทราบมาตลอดว่าดวงหทัยของ ‘พี่ชล’ มีใครซุกซ่อนอยู่ แต่ไม่เคยคิดว่าจะทรงเกลียดพระองค์จนอยากไล่ไปเสียให้พ้นๆเช่นนี้
“ไม่ได้อยู่ที่อยาก หรือไม่อยาก” ทรงหายพระทัยแรง หลับพระเนตรนิ่งนานราวกับกำลังข่มความเจ็บปวด “อยู่ที่ควร หรือไม่ควร”
หากเป็นในยามปกติ ฟ้าหญิงอุษาวดีคงรับสั่งถามแล้วว่าควร ไม่ควรอย่างไร แต่ในยามนี้พระองค์ทำได้เพียงปิดพระโอษฐ์แนบแน่นเท่านั้น
“สิขเรศยังสงบ แต่ที่นี่...ยังมีเรื่องต้องสะสาง” คำอธิบายที่ไม่ได้ทำให้ดวงหทัยของคนฟังคลายความเศร้าและเจ็บปวดลงได้เลย “ไปเสียเถิด...จะให้ราชิดกับกษิดิษไปส่ง”
“แต่วดีห่วง...”
“ไม่ต้องห่วง...พรุ่งนี้ก็ลุกมาเดินไปไหนต่อไหนได้แล้ว”
ทรงทราบ...ถ้อยรับสั่งนั้นยากที่จะเป็นไปได้
“..ไปเถอะ”
เมื่อเป็นพระบัญชา วรองค์เล็กบางจึงไม่อยากขัด พระองค์ทรงประทับยืนอย่างเนิบช้า ปล่อยหัตถ์จากการเกาะกุมกันแนบแน่น แล้วรับสั่งด้วยสุรเสียงแผ่วเบา
“ดูแลองค์เองด้วยเพคะ”
“ถ้า...ยังมีชีวิตอยู่...จะไปรับ แต่ถ้าไม่...สิขเรศจะเป็นบ้านของเจ้าได้ดีกว่าคิมหันต์นคร โชคดี...อุษาวดี”
สุรเสียงยามเรียกพระนามของพระองค์ทอดหวานกว่าครั้งใด เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดียกหัตถ์เช็ดน้ำพระเนตรขององค์เอง ก่อนมีพระบัญชา...เลียนแบบคนตัวโตซึ่งทำอยู่บ่อยครั้ง
“ต้องสัญญาว่าจะไปหาวดีที่สิขเรศ” ไม่รับสั่งว่าไปรับเพราะไม่แน่พระทัยนักว่าเมื่อถึงวันนั้น พระสวามีจะยังต้องการให้พระองค์มาอยู่ที่คิมหันต์นครด้วยหรือไม่...บางทีอาจจะเป็นเพียงไปพบตามสัญญาแล้วแยกย้ายจากกันไปเท่านั้น
“พี่ไม่ชอบผิดสัญญา”
“ถ้าไม่สัญญา วดีจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ดวงเนตรสีดำสนิทอ่อนแสงลง ก่อนจะวับหวานขึ้นเกินกว่าจะเป็นสายตาของคนเจ็บ ถึงกระนั้นคนมองสบก็หาได้รู้ความนัยแอบแฝงของดวงเนตรคู่นั้นไม่
“สัญญา...จะไป...”
“วดีเชื่อในสัญญา...จะคอย”
...นานแค่ไหนก็จะคอย จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง...ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม...
โปรดจงยึดมั่นในสัญญา
แม้เวลาผันผ่านไม่แปรผัน
จักเฝ้ารอตราบจนสิ้นชีวัน
ใจคงมั่นตราบวันโลกทลาย
บทที่ ๑
สิขเรศ...หลายปีก่อน
วันที่ลมเหมันต์พัดกระหน่ำพร้อมกับการมาเยือนของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดลแห่งคิมหันต์นครผู้ซึ่งมีพระชนมพรรษาครบสิบห้าพรรษาเมื่อไม่นานมานี้ การเสด็จฯมาในครั้งนี้มิได้มีผู้ติดตามมากมายเหมือนเมื่อครั้งพระบิดาของพระองค์เสด็จฯมา หากมีเพียงราชองครักษ์หนึ่งนาย และนายทหารผู้ติดตามขนข้าวของส่วนพระองค์มาให้เพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นเจ้าหลวงทิศวัตแห่งสิขเรศก็ทรงเปิดท้องพระโรงต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ
ภาพของหนุ่มน้อยร่างผอมสูงในฉลองพระองค์สีน้ำเงินเข้มรัดกุมแบบทหารคลุมทับด้วยผ้าคลุมน้ำเงินขลิบทองเพื่อป้องกันความหนาว โพกพระเศียรด้วยผ้าฝ้ายสีน้ำเงินโดยปล่อยชายผ้าไว้มิได้นำมาปกปิดพระพักตร์แต่อย่างใดไม่ผิดไปจากที่เคยดำริไว้นัก เจ้าชายชลธิศธราดลทรงมีผิวพระวรกายคล้ำแดดเช่นชาวเมืองติดทะเลทั่วไป โครงพักตร์รูปไข่ ขนงเข้ม นาสิกโด่ง และพระโอษฐ์หยักลึก อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อถึงวัยหนุ่มเต็มตัว เจ้าหลวงทิศวัตทรงเชื่อว่าจะทรง ‘งาม’ ไม่แพ้เจ้าฟ้าชายจากแคว้นอื่นเลยแม้แต่น้อย
วรองค์อวบท้วมเสด็จฯลงจากราชบัลลังก์ เมื่อเจ้าฟ้าชายจากคิมหันต์นครทรงคุกพระชานุลงบนผืนพรมสีแดงเลือดหมูปักลวดลายวิจิตร พระหัตถ์ข้างหนึ่งทรงวางทาบลงบนพระอุระขององค์เอง สองเนตรหลุบลงต่ำ ต่อเมื่อทรงสาวบาทเข้าไปหาและประทับยืนตรงหน้า อีกฝ่ายจึงเงยพักตร์
“ยินดีต้อนรับ ชายชล...ลุงเคยพบเจ้าตอนเจ้ายังแบเบาะ แต่ตอนนี้เป็นหนุ่มเสียแล้วซินะ” ทรงประคองวรกายผ่ายผอมให้ประทับยืน ก่อนกวาดสายพระเนตรพิจารณาอย่างใกล้ชิด
“สูงมาก...อีกหน่อยคงองอาจผึ่งผาย แข็งแกร่งไม่แพ้บิดาของเจ้าแน่ๆ”
คนถูกชมแย้มโอษฐ์เพียงน้อย ก่อนตรัสถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาท
“เสด็จฯลุงสบายดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังสบายดีอยู่ แต่ก็เป็นหวัดประจำ” รับสั่งด้วยเสียงเริงรื่น “ที่นี่คงหนาวสำหรับเจ้าล่ะซิ”
“ยังพอทนได้พ่ะย่ะค่ะ”
สุรเสียงห้าวลึกที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นห้าวดุในภายภาคหน้า
“คงต้องดูแลตัวเองหน่อยล่ะ ชายชล อากาศที่นี่เย็นตลอดปีเลยทีเดียว” ทรงซักถามอีกสองสามประโยคจึงวางพระพาหาโอบรอบอังสาของฟ้าชายชล
“มา...มารู้จักครูของเจ้าก่อนเถอะ”
ทรงพาพระองค์ไปทำความรู้จักกับเสนาบดีกลาโหม...พลเอกวิษศุเวศ เสนาบดีมหาดไทย...พลตำรวจเอกธาดา และที่ปรึกษาส่วนพระองค์...เจ้าชายนฤบดินทร์ผู้เป็นพระอนุชาองค์เจ้าหลวงนั่นเอง ทรงทำความรู้จัก ทำความเคารพพระอาจารย์ทั้งสามอย่างไม่ถือองค์ เต็มไปด้วยความนอบน้อมจนเรียกรอยชื่นชมเอ็นดูจากคนทั้งสามได้เป็นอย่างดี
ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างพูดคุยทำความรู้จักกันนั้น ใครคนหนึ่งที่แอบดูจากข้างบนถึงกับดึงผ้าม่านออกมากขึ้นแล้วแทบจะชะโงกพระเศียรออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากถูกคนข้างพระวรกายปรามเบาๆ
“อย่าทำอย่างนั้น วดี ...ไม่งาม”
เช่นเดียวกับพระพี่เลี้ยงร่างผอม
“ใช่เพคะ ไม่งามเลยเพคะ ทูลกระหม่อมของนม”
คนถูกต่อว่าย่นพระนาสิกเชิดรั้น เบือนสายเนตรกลมโตพิสุทธิ์ใสมายังคนทั้งสอง
“ทำไมพี่หญิงกับนมถึงชอบพูดเหมือนกันอยู่เรื่อย”
ได้ยินสุ้มเสียงกระเง้ากระงอดของขนิษฐาตัวน้อย ฟ้าหญิงคคนางค์ถึงกลับกลั้นรอยแย้มสรวลไว้ไม่มิด ทรงวางหัตถ์ลงบนพระเศียรยุ่งๆของอีกฝ่ายแล้วเขย่าเบาๆอย่างเอ็นดู
“เจ้านี่มันจอมแก่นซะจริง หญิงวดี”
“หญิงรู้เพคะ...ใครๆก็พุดกันแบบนั้น ไม่ว่าจะทูลหม่อมพ่อ ทูลหม่อมแม่ นมผ่อง หรือแม้แต่นมเอื้องของพี่หญิง ขนาดท่านลุงวิษยังพูดแบบนั้นอยู่บ่อยๆเลยเพคะ”
ทรงพร่ำบ่นด้วยความหงุดหงิด หากปุบปับกลับเลิกสนพระทัย เพราะเห็นว่าผู้ชายตัวสูงๆดู ‘เก้งก้าง’ ขยับกายตั้งท่าจะออกจากท้องพระโรงแล้ว คนตัวเล็กจึงกระทำวีรกรรมที่คงทำให้พระมารดาต้องส่ายพระเศียรอย่างระอาด้วยการปาดอกเอื้องที่ทรงเด็ดมาจากวนอุทยานเมื่อเช้าลงไป
และ...เหมาะเหม็ง!
ดอกสีส้มแสนสวยกระทบหน้าผากของคนหน้าดุเข้าอย่างจัง!
ร่างเล็กป้อมโปรยยิ้มอย่างสนุกสนาน ผิดกับพระพี่นางซึ่งเผยอพระโอษฐ์อย่างตกพระทัย พร้อมกับเปิดผ้าม่านออกมากขึ้นเพื่อดูให้แน่ชัดว่าคนโชคร้ายผู้นั้นจะไม่เป็นอะไร จากนั้นจึงทรงต่อว่าคนก่อเรื่อง
“วดี! เจ้าทำอะไรลงไปน่ะ!”
ยังไม่ทันจะต่อว่าหรือกระทำการอันใดต่อ ตัวต้นเหตุของเรื่องก็รีบทรุดองค์ลงนั่งก้มศีรษะหลบสายพระเนตรของเจ้าฟ้าชายชลธิศ ทว่า...พี่หญิงของพระองค์หลบไม่ทัน จึงได้แต่เบิกเนตรกว้างอย่างตะลึงเมื่อเห็นวรองค์ผอมจ้องเขม็งมายังพระองค์
เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้จึงทรงแย้มสรวลอย่างจืดเจื่อนแล้วรีบปิดม่านในบัดดล ก่อนคว้าพระหัตถ์คนที่กำลังสรวลคิกคักอยู่บนพื้น
“รีบไปเถอะ พี่ไม่อยากโดนทูลหม่อมพ่อดุหรอกนะ” จากนั้นก็รีบลาก รีบดึงร่างเล็กให้เดินตามออกจากห้องเสียโดยเร็ว โดยมีพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงพระองค์เล็กคอยตามติดไม่ห่าง
หลังจากม่านหนาหนักสีแดงเลือดหมูปิดลง พร้อมกระพักตร์หวานละมุนผลุบหายไป เจ้าฟ้าชายชลธิศจึงก้มพักตร์พิจารณาดอกเอื้องดอกเล็กที่ไม่เคยพบเห็นในคิมหันต์นครอย่างสนพระทัย อดขบขันเล็กๆไม่ได้ว่าการต้อนรับของสิขเรศดูแปลกกว่าแคว้นอื่นเสียเหลือเกิน พระองค์สรวลเบาๆในลำพระศอก่อนจะรีบเก็บดอกนั้นในฉลองพระองค์ แล้วหันไปรับสั่งกับเจ้าหลวงทิศวัตตามปกติเมื่อได้ยินถ้อยรับสั่งถาม
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เมื่อกี้ลุงเห็นอะไรหล่นมาจากด้านบน”
รับสั่งพลางเงยพักตร์ขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร แล้วพึมพำกับองค์เอง
“หวังว่าเจ้าตัวยุ่งคงไม่ก่อเรื่องหรอกนะ”
“อะไรหล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทรงผินพระพักตร์มาทางคนถามแล้วโบกหัตถ์ไปมา
“ช่างเถอะ ลุงคงตาฝาดไปเอง”
บทสนทนาจบลงดพียงเท่านั้น เมื่อเจ้าฟ้าชายชลธิศต้องเสด็จฯไปยังพระตำหนักที่เจ้าหลวงทิศวัตทรงเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าเกือบห้าวันทีเดียว
วรองค์สูงผอมกับเล็กป้อมพากันวิ่งไปตามโถงทางเดิน วกอ้อมไปทางวนอุทยานเพื่อรีบกลับพระตำหนักขององค์เอง ขณะที่พระพี่เลี้ยงวิ่งตามอย่างเหนื่อยหอบ พอมาถึงครึ่งทางก็เอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่อย่างหมดเรี่ยวแรง หากก็ยังไม่วายห้ามปรามอย่างเป็นห่วง
“ทูลกระหม่อมเพคะ อย่าวิ่งเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงคคนางค์ดูจะทรงเชื่อฟังอยู่บ้าง จึงชะงักฝีพระบาทไว้ ส่วนฟ้าหญิงพระองค์เล็กหาได้เชื่อฟังไม่ พระองค์ดึงหัตถ์ออกจากการเกาะกุมชองพี่หญิง แล้วออกวิ่งตรงไปยังตำหนักของตนเอง ระหว่างเห็นนางกำนัลเดินผ่านมา ก็แกล้งหยอกนิดหยอกหน่อย บ้างก็แอบไปหลบมุมตรงสุมทุมพุ่งไม้ ก่อนจะโผล่ออกมาอย่างรวดเร็วให้พวกสาวๆตกใจเล่น
เห็นดังนั้นฟ้าหญิงคคนางค์ก็ส่ายพักตร์ ทรงทราบมาตลอดว่าน้องหญิงขององค์เองแก่นแก้วขนาดไหน หากไม่คิดว่าจะโตจะยิ่งซนขนาดนี้ พระองค์ทรงสาวบาทตาม และตะโกนเรียก
“วดี...ทำตัวดีๆหน่อยซิ”
‘ทำตัวดีๆ’ ที่ว่าเป็นอย่างไรฟ้าหญิงอุษาวดีไม่เข้าพระทัยนัก พระองค์รู้แค่ว่าทรงสนุกและขบขันยามได้เห็นผู้คนกรีดร้องตกใจ หรืออ้าปากค้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าปากอยู่แล้วนั่นละ...สนุกนัก!
“วดี...หยุดรอพี่ก่อน”
แว่วสุรเสียงของพี่หญิงให้หยุดรอ เจ้าหญิงพระองค์น้อยทรงหยุดจริง หากก็เพียงผินพักตร์มาทางพระพี่นางเพียงชั่วแวบ แล้วแย้มโอษฐ์กว้าง ก่อนตะโกนกลับไปว่า
“พี่หญิงก็วิ่งมาหาหญิงซิเพคะ เดินช้าๆแบบนั้นเมื่อไหร่จะทันล่ะ”
แล้ว ‘เจ้าตัวยุ่ง’ ก็วิ่งบ้าง กระโดดบ้าง บางครั้งก็เด็ดดอกไม้ที่อยู่ตามรายทางมาปาทิ้งเล่นๆ และเพราะความที่เอาแต่หันไปทางนู้นที ทางนี้ที จึงไม่ทันระวังว่าจะชนเข้ากับใครบางคนจนแทบกระเด็น หากคนที่ถูกชนกลับรั้งพระองค์ไว้ได้ทัน
วรองค์เล็กร้องเบาๆอย่างตกพระทัยเล็กๆ ต่อเมื่อรับรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ล้มต่อหน้าใครๆ จึงพ่นลมหายพระทัยทางพระโอษฐ์อย่างโล่งพระอุระ จากนั้นจึงเงยพักตร์ดูว่าคนที่กำลังกอดรัดพระองค์ในตอนนี้เป็นใคร
วรองค์ ’เก้งก้าง’ คือคำตอบ ...คนที่ช่วยพระองค์ไว้คือเจ้าชายจากต่างแคว้นผู้มีพระพักตร์ดุและถูกพระองค์ต้อนรับด้วยดอกเอื้องแสนงามนั่นเอง
ยังไม่ทันจะตรัสทักทายหรือรับสั่งถามว่าเจ้าดอกเอื้องสีส้มดอกนั้นทำให้พระองค์ทรงเจ็บพระนลาฎหรือไม่ เหล่านางพระกำนัลก็วิ่งกรูเข้ามารายล้อม พร้อมกับพร่ำพรูดฟังไม่ได้ศัพท์
“ตายแล้ว ทูลกระหม่อมหญิง ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นพร้อมกับที่วรองค์ผอมๆคลายอ้อมพระกร คนถูกกอดอยู่นานจึงถวายบังคมผลุบ...รวดเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนขออภัยโทษแบบขอไปที
“ขอประทานอภัยเพคะ”
แถมยังทำพระพักตร์บึ้ง ย่นจมูกให้เสียอีก พร้อมกับถ้อยรับสั่งต่อว่าในพระทัย
...เราไม่ผิดสักหน่อย อยากมาขวางทางเราทำไมล่ะ!
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นพระองค์ดำริในสิ่งใด จึงปราดเข้ามสำรวจตรวจตราด้วยคิดว่าพระองค์บาดเจ็บ
“บาดเจ็บตรงไหนหรือเพคะ”
ยังไม่ทันตอบ พี่หญิงของพระองค์ก็สาวบาทมาถึงพร้อมนมผ่อง...พระพี่เลี้ยงคนสนิท
อย่างแรกที่ทรงทำคือถวายบังคมอย่างดงามชดช้อย นุ่มนวลอ่อนหวาน พร้อมกับสุรเสียงหวานละมุนชวนฝัน...แบบที่ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่ค่อยเข้าพระทัยนักว่า เหตุใดพี่หญิงของพระองค์จึงได้อ่อนหวานปานนี้
“ขอประทานอภัยแทนน้องหญิงของหม่อมฉันด้วยเพคะ...”
ถ้อยรับสั่งนั้นทำให้จ้าฟ้าชายชลธิศรับรู้ว่าสาวน้อยทั้งสองตรงหน้าคือพระธิดาใจองค์เจ้าหลวงแห่งสิขเรศ
พระองค์ทรงมีวรองค์โปร่งระหง งดงามด้วยฉลองพระองค์สีครีมเน้นส่วนบั้นพระองค์ พระเกศาสีน้ำตาลอ่อนรับกับวงพักตร์หวาน
“หม่อมฉัน...คคนางค์ เพคะ ส่วนนี่...” พร้อมกับรับสั่งทรงวางหัตถ์ลงบนพระเศียรของอีกฝ่าย “...น้องหญิงอุษาวดีเพคะ”
ฟ้าชายชลผงกพระเศียรรับรู้ ก่อนรับสั่งแนะนำองค์เองบ้าง
“หม่อมฉัน...ชลธิศธราดล ยินดีที่ได้พบ” จากนั้นก็ทรงเบือนสายพระเนตรมายังฟ้าหญิงพระองค์เล็ก แล้วให้ข้อสรุปกับองค์เองว่า...พระองค์ยังเด็ก และซุกซนจนฉลองพระองค์สีครีมกลายเป็นสีหม่นไปเสียแล้ว
“ยินดีที่ได้พบเช่นกันเพคะ”
ฟ้าหญิงคคนางค์รับสั่งพร้อมกับแย้มโอษฐ์อย่างสวยงาม...เป็นเสน่ห์ที่ฟ้าชายจากแคว้นอื่นเคยทอดเนตรอย่างตกตะลึง และหลงใหลมาแล้ว ครั้งนี้ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่เห็นความแตกต่าง เมื่อ ‘นายเก้งก้าง’ ประทับยืนยิ่งอึ้งพร้อมรอยแย้มโอษฐ์บางๆและสายพระเนตรพึงพระทัย
พระพี่นางของพระองค์งดงามเสมอ ขณะที่องค์เอง...ไม่แก่นแก้วแสนซน ก็พระพักตร์มอมแมวอย่างกะแมวคราว ไม่อีกทีก็แสนดื้อรั้น
ขณะที่ฟ้าหญิงคคนางค์ได้รับแต่คำชมเสมอมา ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้น้อยพระทัยเลยแม้แต่น้อย เพราะเห็นว่าจริงตามนั้นทุกอย่าง...สำหรับองค์เองแล้ว ทรงไม่ชอบที่จะต้องเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้เช่นพี่หญิง ทรงมีความสุขกับความซุกซนเล็กๆที่ไม่ได้ทำให้ใครๆรักมากมาย หากก็ไม่มีคนเกลียดเฉกกัน
“น้องหญิงของหม่อมฉันซุ่มซ่ามแบบนี้ประจำ...อภัยให้นางด้วยเถิดเพคะ”
‘คนซุ่มซ่าม’ทำพระโอษฐ์ยื่นยาว ขณะพระพี่นางรับสั่งต่อ
“กำลังจะเสด็จฯไหนหรือเพคะ”
“หม่อมฉันเห็นวนอุทยานสวยดี เลยอยากมาชมดอกไม้สักหน่อย...โดยเฉพาะ...” ทรงดึงดอกเอื้องออกมาจากฉลองพระองค์ แล้วยื่นออกมาตรงเบื้องพักตร์ “...ดอกนี้ หม่อมฉันบังเอิญเก็บได้”
คำว่า ‘เก็บได้’ น่าจะเปลี่ยนเป็นหล่นมาโดนพระเศียรเสียมากกว่า วรองค์เล็กยกมือปิดพระโอษฐ์เพื่อปกปิดรอยแย้มสรวลขององค์เอง ขณะที่พระพี่นางหลุบพระเนตรลงต่ำ พระปรางซับสีเรื่ออย่างน่ารัก
“หม่อมฉันไม่เคยพบดอกนี้ที่คิมหันต์นครเลย...สวยมาก”
ชมว่าสวยหากจับจ้องที่วงพักตร์ขาวผ่องของฟ้าหญิงคคนางค์ไม่วางตา คนที่แอบขันเมื่อครู่ถึงกับหรี่พระเนตรมอง ออกอาการชักจะหวงพี่หญิงขององค์เองจึงสาวบาทเข้ามาประทับยืนระหว่างคนทั้งสอง แล้วรับสั่งว่า
“ดอกเอื้องเพคะ ถ้าทรงอยากเห็น หม่อมฉันจะพาไปเอง” จากนั้นจึงชี้พระดัชนีไปยังอีกฟากฝั่งของสนอุทยานแห่งนั้น บนต้นไม้ใหญ่นั่นเองที่ดอกสีส้มเกาะกลุ่มกันเป็นพวง...งดงามและน่าสนพระทัยที่จะเข้าไปเชยชมใกล้...ถ้าหากคนพาชมไม่ใช่ ‘เด็กน้อยร่างป้อม’
“เชิญเสด็จฯเพคะ”
นั่นเป็นการบังคับกลายๆ เพราะหากจะรับสั่งปฏิเสธก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป สุดท้ายพระองค์จึงหันไปสั่งให้องครักษ์ยืนรออยู่ตรงนั้น ก่อนสาวบาทตามวรองค์เล็กป้อมที่สาวบาทนำไปก่อนแล้ว ส่วนฟ้าหญิงคคนางค์นั้นยังประทับยืนอยู่ที่เดิม
‘เด็กซุ่มซ่าม’ มาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน หากคนเดินตามกลับสาวบาทอย่างเนิบช้าไม่ทันพระทัย จึงทรงโบกพระหัตถ์เรียก
“เร็วๆซิเพคะ ดูเสร็จแล้วหม่อมฉันจะได้รีบกลับ”
คนที่ถูกเรียกยิกๆเลิกพระขนงขึ้นสูง อยากจะแกล้งสาวบาทช้าลง...อีกนิด หากก็นั่นละ ถ้าทำเช่นนั้นพระองค์จะต้องทรงอยู่กับฟ้าหญิงพระองค์เล็ก หาใช่ผู้เป็นพระพี่นางไม่ เมื่อดำริเช่นนั้นจึงทรงเร่งฝีพระบาทให้เร็วขึ้น เพียงพริบตาก็ทรงมาประทับยืนอยู่ตรงหน้าดอกเอื้องแสนอ่อนหวานแล้ว
ดอกสีสดลอยเด่นอยู่หน้าพระพักตร์ งดงามเสียจนละสายเนตรไปทางอื่นไม่ได้เลย
“สวยอย่างที่ดำริไว้ไหมเพคะ”
“สวย...สวยมาก” ทรงตอบตามตรง ขณะที่ในพระทัยยังชื่นชมฟ้าหญิงคคนางค์เช่นกัน
“โปรดมากหรือเพคะ”
วรองค์สูงใหญ่ขมวดขนงแล้วหันมาจับจ้องวงพักตร์กลม พระปรางอวบอ้วนและป่องจนน่าจับ
“โปรดเรื่อง?”
“ก็ดอกเอื้องซิเพคะ”
เจ้าฟ้าชายชลระบายลมหายพระทัยยืดยาว รู้สึกว่าการพูดคุยกับ ‘เด็ก’ นั้นช่างปวดเศียรเวีบนเกล้า และต้องใช้พลังงานมากมายจริงๆ
“ใช่...หม่อมฉันโปรดถึงขั้นอยากเอาไปปลูกที่บ้านเลยล่ะ”
“ฮึ!” คราวนี้คนตัวเล็กทำเสียงในพระศออย่างไม่พอพระทัยชัดเจน “ดอกของเรา เราไม่ให้หรอก”
จากคำว่า ‘หม่อมฉัน’ กลายเป็น ‘เรา’ ไปเสียแล้ว คนหน้าดุหรี่พระเนตรแล้วส่ายพักตร์
“ทรงปลูกเองหรือถึงได้ยึดไว้เป็นขององค์เอง”
“ก็มันขึ้นในบ้านของเรา ในที่ของเรา มันก็ต้องเป็นของเราซิ” ฟ้าหญิงอุษาวดีทำพระพักตร์บูดบึ้งราวกับกริ้วใครมาสักร้อยชาติ แล้วรับสั่งเป็นคำสุดท้าย
“ไม่คุยด้วยแล้ว หงุดหงิด!”
จากนั้นจึงเส็จฯจากไป...ไม่สนพระทัยแล้วว่า ‘คนหน้าดุ’ จะ ‘ยึด’ อะไรจากสิขเรศไปบ้าง
...ไม่ว่าจะเป็นดอกเอื้องที่โปรดปราน หรือพระพี่นางที่ทรงรักรองจากทูลหม่อมพ่อ และทูลหม่อมแม่...
ทรงขอเพียงอย่างเดียว...ให้ฟ้าชายเก้งก้างพระองค์นั้นกลับคิมหันต์นครเสียโดยเร็วเป็นพอ!
ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ต.ค. 2556, 09:53:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ม.ค. 2557, 20:02:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 2395
บทที่ ๒.๑ >> |
แสนรัก 11 ต.ค. 2556, 10:31:06 น.
รอเรื่องนี้มากนานมากค่ะ อยากอ่านสุดๆเลย
รอเรื่องนี้มากนานมากค่ะ อยากอ่านสุดๆเลย
pkka 11 ต.ค. 2556, 12:04:25 น.
ชอบอ่ะ
ชอบอ่ะ
kaelek 11 ต.ค. 2556, 12:42:34 น.
รอจ้า..รอจ้า
รอจ้า..รอจ้า
mhengjhy 11 ต.ค. 2556, 12:44:33 น.
รอค่าาาา
รอค่าาาา
แว่นใส 11 ต.ค. 2556, 13:22:04 น.
รักตั้งแต่เด็กเลยนะ
รักตั้งแต่เด็กเลยนะ
nunoi 11 ต.ค. 2556, 15:52:17 น.
รอด้วยคน
รอด้วยคน
คิมหันตุ์ 11 ต.ค. 2556, 18:03:48 น.
ปูเสื่อกางมุ้งรอเลยจ่ะ
ปูเสื่อกางมุ้งรอเลยจ่ะ
kraten 11 ต.ค. 2556, 19:34:42 น.
สนุกค่ะ รอติดตาม
สนุกค่ะ รอติดตาม
lookpud 11 ต.ค. 2556, 20:42:17 น.
รออ่านคะ
รออ่านคะ
เพียงพลอย 11 ต.ค. 2556, 23:41:24 น.
ลงชื่อว่ารอเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ
ลงชื่อว่ารอเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ
Pat 13 ต.ค. 2556, 17:20:48 น.
รออยู่ค่า
รออยู่ค่า