ปานฤทัย
หล่อนคือดอกหญ้า เขาคือดอกฟ้า แต่ความรักไม่มีชนชั้น...
---------
ปล.เรื่องนี้อัพเร็วลบเร็วค่ะ... หลังจากลงได้ 10 ตอนแล้วจะเริ่มลบตั้งแต่ตอนที่ 4 ลงมาค่ะ...

Tags: ปานฤทัย ปานกมล ฤทัยรัตน์

ตอน: บทที่ 2 ขวัญเอ๋ยขวัญมา

บทที่ 2 ขวัญเอ๋ยขวัญมา

ที่ลานหน้าบ้านคนงานยังคงดื่มกินอย่างครึกครื้น นายโจมองหาเพื่อนร่วมงานไม่เห็นกลับมาจึงออกไปตาม

“เดี๋ยวมานะ ไปดูไอ้ชายมันหน่อย ไม่รู้ป่านนี้ฟุบไปตรงไหน” โจมุ่งหน้ายังจุดที่ชายหายเข้าไป “ไอ้ชาย ไอ้ชายโว้ย อยู่ไหนของมันวะ?” ปากบ่นแต่เท้าก็ก้าวลึกเข้าไปเรื่อย หยุดอีกทีตรงช่องโหว่สามารถมองลอดออกไปยังถนนได้ โจรีบมุดออกไปแล้วกวาดตามองเพื่อนแต่ต้องชะงัก พอตั้งสติได้ก็รีบสาวเท้าไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่ล้มกะเท่เร่ห่างออกไปอีกไม่กี่ก้าว

“หยุดนะน้องนุ่มหยุด!” นายชายคำรามลั่น

“ไม่!” หญิงสาวตวาดกลับไปน้ำตาไหลนองแก้ม เมื่อจวนเจียนที่อีกฝ่ายจะคว้าหล่อนไว้ได้ทัน หญิงสาวก็ซวนเซไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องที่คิดว่าดังที่สุดเท่าที่เคยกรีดร้องมาก่อน…

“กรี๊ดดด!!”
เสียงกรีดร้องดังแว่วทำให้คนที่ยืนงงอยู่กับมอเตอร์ไซค์ชะงัก ตะแคงหูฟังอีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดไปจริงๆ

“กรี๊ด! อย่านะ!”

“เสียงผู้หญิง!” โจพึมพำหน้าตื่น หันรีหันขวางก่อนตัดสินใจวิ่งตามเสียงไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นแต่ขอให้รู้เท่านั้นว่าเป็นใครที่ไหน และกำลังเป็นอะไร?

“ฮ่ะ ฮ่ะ จะร้องทำไมเล่า ร้องไปก็ไม่มีใครได้ยิน น้องนุ่มคนสวย มากับพี่เถอะจ้ะ เรามาหาความสุขกัน รับรองพี่รับผิดชอบน้องนุ่มอยู่แล้ว”

ร่างบางถดถอยหนีคนที่เดินเข้าหาอย่างย่ามใจ พร้อมที่จะตะครุบเหยื่อซึ่งล้มลงตรงหน้าทุกเมื่อ แล้วจังหวะนั้นเองที่หญิงสาวควานมือไปพบกับท่อนไม้ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาแล้วเหวี่ยงฟาดออกไปข้างหน้าจนคนที่ย่างเข้าหาต้องชะงัก

“อ้าว! เล่นงี้เลยหรือจ๊ะน้องนุ่ม!”

“ถอยออกไป!” เสียงหวานตวาดแหว ทำให้ฝ่ายนั้นบดกรามแน่น คำรามในลำคอแล้วแย่งไม้ในมือของฤทัยรัตน์

“อย่านะ ปล่อย!”

โจชะงักกึกเมื่อวิ่งตามมาจนถึงที่เกิดเหตุ เพิ่งรู้ว่าเสียงกรีดร้องเมื่อครู่เป็นเสียงของฤทัยรัตน์และคนที่กำลังยื้อแย่งท่อนไม้กับสาวน้อยคือเพื่อนของเขาเอง!

“เฮ้ย! จะทำอะไรวะ?”

ชายหันขวับกลับไปมอง ใบหน้ากระด้างโกรธเกรี้ยวนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าเพื่อนจะตามมาพบและขัดขวางเอาไว้ หญิงสาวเห็นดังนั้นก็เรียกร้องให้อีกฝ่ายช่วยเหลือทันที

“พี่! ช่วยหนูด้วย เค้าจะทำร้ายหนู!” ฤทัยรัตน์พยุงตัวลุกขึ้นทันทีที่ชายเผลอและถอยห่างพร้อมกับท่อนไม้ในมือ นายชายชักสีหน้าบึงตึง โกรธทั้งเพื่อนเสียดายทั้งฤทัยรัตน์ แต่หากไม่ทำอะไรสักอย่างก็กลัวว่าเพื่อนจะไปฟ้องเจ้านาย หรือหากปล่อยให้หญิงสาวหนีไปได้เขาก็ซวยอยู่ดี

“เฮ้ย มาก็ดี เรามาแบ่งครึ่งกันดีกว่าไอ้โจ เอ็งเห็นไหม น้องนุ่มน่ารักน่ากินขนาดนี้ เอ็งกับข้าแบ่งกันสองคน รับรองสนุกแน่” คนตัวบางหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ใบหน้าเผือดซีดเมื่อผู้มาใหม่แววตาเปลี่ยนไปเริ่มมองหล่อนอย่างลังเล

“ไม่นะ! อย่านะ พี่ช่วยหนูด้วย อย่าไปเชื่อมัน” เกลี้ยกล่อมพร้อมๆ กับถอยหลังห่าง หาทางหนีทีไล่

โจมองร่างบางของฤทัยรัตน์อย่างครุ่นคิด เขาก็ชอบอยู่หรอกสาวน้อยขบเผาะหน้าใสๆ ตัวบางๆ หอมๆ แต่ถ้าเจ้านายรู้เขาก็อาจจะตายโดยไม่รู้ตัวได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงพี่เลี้ยงของหลานชาย ส่วนพวกเขาเป็นแค่คนงานในฟาร์มเท่านั้น แต่เมื่อมองตาเพื่อนเขาก็รู้ได้ทันทีว่านายชายจะไม่ยอมรามือไปแน่นอน

“อย่าเลย… ถ้านายรู้เอ็งจะลำบาก” ในที่สุดโจก็ทำให้หญิงสาวโล่งใจ ทว่าชายกลับชักสีหน้าและแย้งกลับ

“เฮ้ย! อะไรวะ เอ็งกับข้าไม่พูดใครจะรู้ อีกอย่าง น้องนุ่มไม่มีทางพูดแน่ เชื่อสิ” มันกระซิบกระซาบบอกเพื่อน หวังเต็มที่ให้อีกฝ่ายคล้อยตาม ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดแบ่งหญิงสาวให้ใครเลย แต่วินาทีนี้การมีพวกพ้องย่อมสำคัญกว่า เพราะรู้ดีว่าปานกมลเด็ดขาดแค่ไหนหากจับได้ว่าคนในฟาร์มคิดร้ายกับพี่เลี้ยงสาวของหลานชายสุดรัก

และในขณะที่โจลังเลอยู่นั่นเอง หญิงสาวก็ฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังเผลอวิ่งหนีสุดชีวิตตรงไปยังบ้านของปานกมล เป็นเหตุให้ทั้งคู่อุทานออกมาด้วยความตกใจ

“เฮ้ย!! ฉิบหายแล้ว!”

ทั้งสองวิ่งตามร่างบางอย่างรวดเร็ว ฤทัยรัตน์วิ่งไปร้องไปอย่างไม่คิดชีวิต จนเมื่อคิดว่าอีกไม่นานก็คงไม่พ้นมือคนโฉดทั้งคู่หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ทำให้คนที่กำลังสนุกอยู่กลางลานหน้าบ้านต่างหยุดชะงัก และหันมาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

“เสียงใครร้อง” มีคนเอ่ยขึ้น ร่างสูงของปานกมลจึงเอียงคอเงี่ยหูฟัง กระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะจำผิด!
“กรี๊ดด! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! คุณปานช่วยนุ่มด้วย!”

เท่านั้นเอง ชายหนุ่มและคนงานต่างวิ่งกรูออกไปยังจุดที่เสียงดังออกมา นายโจและนายชายชะงักเท้า หน้าตาตื่นเมื่อรู้ว่าทุกคนคงได้ยินเสียงของหญิงสาวแน่นอนเพราะอีกไม่กี่เมตรก็ถึงตัวบ้าน

“ข้าไม่ไปกับเอ็งแล้ว ซวยจริงๆ” ว่าแล้วนายโจก็วิ่งหนีกลับไปยังทางเดิม ชายหันรีหันขวางเพียงครู่ก็วิ่งตามกลับไปอย่างไม่รอดูผลงานให้เดือดร้อน

“นุ่ม!”

เสียงตะโกนด้วยความเป็นห่วงเมื่อฤทัยรัตน์ล้มลงต่อหน้าต่อตา ร่างสูงปราดเข้ามาประคองร่างบางให้ลุกขึ้น ขณะที่คนงานต่างวิ่งตามคนร้ายที่เห็นหลังไวๆ มุดเข้าไปตามแนวไม้ริมทาง

“เป็นยังไงบ้าง?” ใบหน้าหวานเผือดซีดเงยขึ้นสบตาคมกริบเต็มไปด้วยแววตาแห่งความเป็นห่วงแล้วน้ำตารื้น

“นุ่ม… ไม่เป็นไรค่ะ พวกนั้น…”

“เรื่องนี้เราจะไปคุยกันที่บ้าน” เขาเอ่ยพลางพยุงร่างบางขึ้นยืนด้วยสองแขนแข็งแรง ก่อนจะหันไปเห็นคนงานชายเดินจูงมอเตอร์ไซค์ของหญิงสาวกลับมา “ขอบใจนะ เดี๋ยวนายช่วยเอาไปไว้ที่บ้านด้วย ส่วนคนอื่นๆ ช่วยกันกระจายตัวจับไอ้พวกนั้นมาให้ได้!”

น้ำเสียงเฉียบขาดที่ถูกสั่งออกไปทำให้คนงานต่างทำตามรวดเร็ว ชายหนุ่มพาหญิงสาวกลับเข้าบ้าน บนหน้ามุขที่ยื่นออกมามีเด็กปานชีวาและแม่บ้านสายใจยืนคอยอย่างใจจดจ่อ

“เป็นยังไงบ้างจ๊ะนุ่ม?” แม่บ้านเอ่ยถามขณะที่นายจ้างประคองสาวน้อยเดินผ่านหน้าไป

“เสียขวัญน่ะ” ชายหนุ่มตอบแทน เขารับรู้จากสัมผัสในขณะนี้ว่าหล่อนกำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัว แน่นอนเป็นใครๆ ก็คงจะทั้งกลัวและตกใจหากต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นหล่อน

“แล้ว เอ่อ เกิดอะไรขึ้นคะคุณปาน” แม่บ้านยังคงตามเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง ปานกมลเงยหน้าขึ้นมาหลังจากกดหญิงสาวให้นั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขา

“ขอบรั่นดีแก้วหนึ่ง เร็วๆ นะครับ”

“เอ่อ ค… ค่ะ ได้ค่ะ” สายใจรีบหมุนตัวตรงไปยังเคาน์เตอร์บรั่นดี ไม่เข้าใจนักแต่ก็ทำตามอย่างไม่รอช้า ชายหนุ่มหันมามองร่างบางที่นั่งหน้าซีดตัวสั่นด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนจะยกมือขึ้นโอบไหล่นุ่มเพื่อปลอบให้หายสั่นหายกลัว ปานชีวาเห็นคุณลุงทำก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วสวมกอดเอวบางของพี่เลี้ยงสาวเอาไว้แน่น

“ไม่ต้องกลัวนะคับ เต้กับคุณลุงจะคุ้มครองพี่นุ่มเอง” เด็กน้อยไม่รู้อะไรมาก เขารู้แต่ว่าพี่เลี้ยงสาวกำลังหวาดกลัวและเขาก็อยากคุ้มครองหล่อนบ้าง เหมือนที่หล่อนเคยคุ้มครองเขา ฤทัยรัตน์หลุบมองเด็กชายตัวน้อยด้วยความตื้นตัน ก่อนจะกอดรัดร่างอ้วนแน่นแล้วซุกหน้าลงกับผมเส้นเล็กๆ ของเขาอย่างต้องการเรียกขวัญกำลังใจตนเองกลับคืนมาดังเดิม ซึ่งในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความอบอุ่นบริเวณแถวหัวไหล่…

นางสายใจเดินกลับมาพร้อมบรั่นดีก็ต้องชะงัก เมื่อสามคนที่เห็นจากเบื้องหลังทำให้นางคิดถึงภาพของครอบครัว
“เอ่อ บรั่นดีได้แล้วค่ะ”

ปานกมลไม่ได้ปล่อยแขนที่โอบไหล่เล็กของฤทัยรัตน์ออก แต่เขาใช้อีกมือที่ว่างรับแก้วบรั่นดีจากแม่บ้านแล้วหันไปยังหญิงสาวโดยไม่สนใจคนที่ยืนเก้กังสักนิด

“ดื่มน้ำนี่หน่อยนะ” ดวงตากลมโตหลุบมองน้ำสีคล้ำที่ถูกยื่นมาตรงหน้า แล้วสบตาคมอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรคะ?” ที่ต้องถามเพราะกลิ่นของมันไม่ต่างจากแอลกอฮอล์เลยสักนิด และหล่อนก็ไม่เคยแตะต้องของพวกนี้มาก่อนในชีวิต นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ถูกนายจ้างยื่นมาจนถึงปากทีเดียว

“ดื่มเถอะ มันจะช่วยให้เธอหายตกใจลงได้บ้าง” ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ้น้ำสีคล้ำนี้จะช่วยอะไรได้สักกี่มากน้อย แต่ก็อ้าปากรับอย่างว่าง่าย แต่แล้วต้องทำหน้าเหยเก ผละออกจากแก้วบรั่นดี ชายหนุ่มยิ้มมุมปากแล้วบอก

“ให้หมดแก้ว”

ฤทัยรัตน์รู้สึกถึงความร้อนวาบผ่านลำคอลงไปยังท้อง ก่อนจะสบตาเขาอย่างหวาดๆ แต่แววตาสีเข้มที่บ่งบอกว่าเขาอยากช่วยหล่อนให้หายตกใจ หญิงสาวจึงดื่มจนหมดแก้วก่อนจะชะงักเมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำที่เปรอะอยู่ที่มุมปากอย่างแผ่วเบา นางสายใจเห็นแล้วให้รู้สึกขัดตาเล็กน้อยก่อนจะแสร้งกระแอมให้ทั้งคู่รู้ตัว

“เอ่อ จะเอาอะไรอีกไหมคะคุณปาน” ถามพลางมองคนหน้าแดงที่ตกอยู่ในวงล้อมอ้อมแขนทั้งลุงและหลานอย่างประเมิน

“ไม่ต้องแล้ว ขอบคุณ จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”

แนะ! ไล่เราเสียอีก สายใจลอบค้อนนายจ้างขณะที่ฤทัยรัตน์ขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อสบตาแม่บ้าน อีกฝ่ายเพียงรับคำแล้วเดินห่างออกไป แต่ในใจครุ่นคิด ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนายหนุ่มจึงต้องดูแลลูกจ้างสาวน้อยใกล้ชิดขนาดนี้ด้วย หรือว่าปนกมลจะคิดอะไรๆ กับฤทัยรัตน์! สายใจหยุดกึก หันขวับกลับไปมองชายหนุ่มและหญิงสาวด้วยสายตาจ้องจับผิด หญิงชายเปรียบได้ดั่งไฟกับน้ำมัน อยู่ใกล้กันมีหรือจะไม่เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ดูเอาเถอะ! ขนาดว่ามีคุณเต้อยู่ข้างๆ คุณลุงก็ยังโอบกอดสาวน้อยหน้าตาเฉย ฤทัยรัตน์ก็เอาแต่นั่งหน้าแดงๆ ซีดๆ อยู่ตรงกลางยอมให้ชายต่างวัยกอดอย่างไม่กล้าขัด ชีกอทั้งลุงทั้งหลานแบบนี้เห็นทีแม่สาวน้อยจะแย่…

“เฮ้อ! คุณปานนะคุณปาน” สายใจงึมงำ โคลงศีรษะก่อนจะพาตัวเข้าไปอยู่ในครัวตามเดิม ปานกมลสังเกตอาการของฤทัยรัตน์แล้วก็เบาใจ เมื่อหญิงสาวไม่สั่นเหมือนก่อนหน้านี้

“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะเรียกสายตาหวาดหวั่นให้มองเขาอีกครั้ง ก่อนหลุบตาลงเมื่อสำนึกถึงความใกล้ชิดระหว่างเขาและหล่อนในขณะนี้

“เอ่อ ค่ะ ดีขึ้นแล้วค่ะ” ปานกมลมองคนที่ก้มหน้างุดแล้วถอนใจ

“นายครับ เจอตัวแล้วครับ!”

เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความอัดอัดเรียกสายตาคมกริบให้มองไปยังคนขัดจังหวะทันที ฤทัยรัตน์หน้าตื่น ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะที่ดวงตาคมกริบของเจ้านายหนุ่มก็เข้มจัดขึ้นทันทีที่ได้รับรายงาน…

“ขอบใจ ฉันจะตามออกไป!” ดวงตาคมมองคนงานที่หมุนตัวออกไปจากห้องแล้วหันมามองคนหน้าซีดอีกครั้งด้วยสายตาอ่านยาก

“อยู่นี่นะนุ่ม น้องเต้อยู่กับพี่นุ่มนะครับ”

“คับ เต้จะอยู่กับพี่นุ่ม” ปานชีวารับคำหนักแน่นและกอดรัดเอวเล็กแน่นขึ้นตามคำสัญญา ชายหนุ่มผุดลุกเต็มความสูง หญิงสาวจึงได้แต่มองเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้ เนื้อตัวเย็นเฉียบเมื่อร่างสูงเพรียวก้าวห่างออกไป ความอบอุ่นก็จางหายไปด้วย ใครจะคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับหล่อนได้ ทั้งที่เคยคุ้นกันดี เห็นหน้ากันมานาน แต่แล้วคนเหล่านั้นก็ยังคิดไม่ซื่อกับหล่อน!

คนที่ถูกคุมตัวถูกห้อมล้อมโดยคนงานชายที่จ้องมองด้วยสายตาโกรธขึ้งและสมเพช ก่อนจะแยกห่างออกเป็นทางเพื่อหลีกให้ร่างสูงของปานกมลเดินผ่านเข้ามา คนรู้ตัวดีว่าผิดหลบตาเกรี้ยวกราดของคนตรงหน้า ชายหนุ่มกวาดตามองคนงานทั้งสองอย่างโกรธเคืองและผิดหวัง

“ฉันบอกพวกนายแต่แรกก่อนรับเข้าทำงานแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ก่อเรื่องระยำพวกนี้! แล้วทำไม?...”
โจเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายหนุ่มด้วยแววตาเลิกลั่ก หวาดกลัวไม่น้อยหากถูกลงทัณฑ์ทั้งที่ไม่มีความคิดมาก่อน

“เอ่อ ปะ… เปล่าครับ ผมไม่รู้เห็น ไม่มีส่วนเกี่ยวทั้งนั้น ผมเปล่านะครับ” ร้องบอกเสียงสั่นใบหน้าหวาดกลัวเห็นได้ชัด ปานกมลจึงหันไปยังคนที่นั่งก้มหน้านิ่งอีกคนด้วยสายตาคมกริบ หากเป็นมีดก็คงตัดขาดสองท่อน!

“แล้วนายล่ะ! มีอะไรจะแก้ตัวไหม?” คนถูกถามเหงื่อแตกพลั่ก เหลือบตามองเพื่อนที่ไม่ยอมมองมาทางมันด้วยสายตาแค้นเคืองระคนหวาดกลัวไม่น้อยไปกว่ากัน “ว่าไง!?”

“เอ่อ เอ่อ คือ คือผม”

“นวย! ไปเอาเชือกมา!”
เพียงเท่านั้น นายชายก็ตาเหลือก มันรีบร้องบอกปานกมลอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่าเมื่อเชือกมาถึงแล้วตนจะถูกกระทำเช่นไร แน่นอน… เชือกเส้นนั้นจะพาเขาวิ่งไปทั่วอาณาเขตฟาร์มอันกว้างใหญ่ไพศาลด้วยม้าสีน้ำตาลตัวโปรดที่ปานกมลชอบขี่!!

“อย่านายอย่า! บอกแล้วครับบอกแล้ว!” ปานกมลกระตุกยิ้มมุมปาก ส่งสัญญาณให้คนงานรอก่อนขณะมองคนตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเข้มดุ

“ไหนนายลองบอกฉันมาสิ ว่าทำแบบนี้ทำไม?” ปลายรองเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ทำให้อีกฝ่ายใจกระตุกวาบ

“คือ คือผม ผมชอบน้องนุ่มครับ!” ปานกมลเหลือบตามองไปยังคนงานชายวัยกลางคนที่เคยกระซิบกระซาบบอกเขาด้วยแววตาเข้มจัด ก่อนหันกลับมายังคนพูดพร้อมความรู้สึกไม่พอใจขึ้นวูบหนึ่ง เขาไม่ทันได้หาคำตอบว่าเพราะเหตุใดนอกจากจะถามคนตรงหน้าให้รู้เรื่อง…

“แล้วทำไมนุ่มถึงได้วิ่งหนีนายมาอย่างนั้น” คำถามนี้ทำให้ทั้งโจและชายหันสบตากันด้วยอาการอึกอัก “ว่าไง?”

“เอ่อ คือ ผม ผมแค่จะไปส่งน้องนุ่มที่บ้าน แล้วก็แค่หยอกน้องเล่นเท่านั้น แต่น้องตกใจวิ่งหนีผมครับ”

“แล้วนายวิ่งตามมาทำไม วิ่งไล่เขาให้ตกใจทำไม?” น้ำเสียงนั้นไม่บ่งบอกเลยสักนิดว่าจะเชื่อในคำแก้ตัวของเขา หากแต่เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังอีกเสียงเรียกสายตาทุกคู่ให้หันกลับไป

“เขาจะทำร้ายนุ่มค่ะ!”

“น้องนุ่ม!” นายชายและนายโจอุทานเสียงสั่น ยิ่งเมื่อสบสายตาราวเหยี่ยวจ้องจิกทึ้งเหยื่อของปานกมลก็ยิ่งกลัวจับใจ

“ว่ามานุ่ม สองคนนี่จะทำอะไรเธอ?” เมื่อชายหนุ่มเปิดโอกาสให้ฤทัยรัตน์ได้อธิบาย หญิงสาวก็ต้องหลบตาคมกล้าของเขาและคนงานไปหยุดยังนายชายและนายโจ ข่มกลั้นความอับอายทั้งหมดทั้งมวล “เอ่อ คือ เขาจะ เขาจะลวนลามนุ่มค่ะ!”

เสียงฮือฮาของคนงานดังขึ้นเมื่อหญิงสาวโพล่งออกมาด้วยดวงหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาคมกริบวาวโรจน์พุ่งตรงไปยังทั้งสอง แต่คนกลัวความผิดรีบปฏิเสธทันควัน

“เปล่าครับ! ผมเปล่า โธ่ น้องนุ่มพี่แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะทำจริงๆ สักหน่อย จริงไหมไอ้โจ?” หันไปหาแนวร่วม ทว่านายโจไม่คิดจะร่วมหัวจมท้ายกับคนที่กำลังเข้าตาจน

“ไม่รู้โว้ย! ผมไม่รู้นะครับนาย ผมแค่ออกจากโต๊ะไปตามหาไอ้ชายเท่านั้น ยังบ่นกับเพื่อนเลยว่าทำไมออกไปนาน ผมก็เลยตามออกไปดู พอไปถึงก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ก็เลยวิ่งตามเสียงไป พอไปถึงก็เจอน้องนุ่มกำลังถูกไอ้ชายรังแกอยู่ครับ”

“เฮ้ย! มึงพูดยังงี้ได้ไงวะ กูยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย มึงก็เพิ่งไปถึงจะรู้ได้ไงวะ!” สองคนงานเริ่มด่าทอกันเอง นายชายโกรธจัดที่เพื่อนไม่ช่วย ส่วนนายโจก็หวังกันตนเองออกจากความผิดให้ได้เช่นกัน

“ทำไมกูจะไม่รู้ ในเมื่อมึงเป็นคนชวนกูทำไม่ดีไม่ร้ายกับน้องนุ่มเอง!” พูดออกไปแล้วก็ใจหายวาบ เมื่อนัยน์ตาคมกริบของปานกมลกร้าวขึ้นและเข้มจัด

“นวย! ไปเอาเชือกมา!” โจเบิกตากว้างก่อนระล่ำระลักบอก

“นาย! นายผมไม่เกี่ยวนะนาย ผม…”

“หุบปาก!” ปานกมลตวาดเสียงห้วน กวาดมองไปโดยรอบไม่เว้นคนใดคนหนึ่งก่อนประกาศกร้าว “จำไว้ทุกคน ฉันจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย! หากมีใครฝ่าฝืนกฎของปานทิพย์อีกเป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร! หรือว่าหน้าไหน! ฉันจะไม่เอาไว้ทั้งนั้น!”

บริเวณนั้นทั้งหมดเงียบกริบ มีเพียงเสียงหายใจเท่านั้นที่ดังแผ่วๆ ชายหนุ่มหลุบตามองคนที่ก้มหน้านิ่งด้วยแววตาดุกระด้าง นวยกลับมาพร้อมเชือกเส้นใหญ่ในมือ พร้อมแล้วกับบทลงโทษที่แสนหฤโหดแห่งปานทิพย์ฟาร์ม ปานกมลปรายตามองแล้วหันกลับมายังลูกจ้างหนุ่มกลัดมันพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่ผุดขึ้นเหนือริมฝีปาก ฝ่ายนั้นตัวสั่นเมื่อรับรู้จุดจบของเรื่องนี้

“นาย! นายอย่า ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอีกแล้วนาย ได้โปรดนายอย่าทำแบบนี้เลยนาย!” นายชายคุกเข่าลงแล้วกราบปานกมลปลกๆ อย่างคนจนตรอก

“หึ!” ปานกมลนายแห่งปานทิพย์ฟาร์มหัวเราะในลำคอ นายชายเงยหน้าขึ้นสบตานายจ้างอย่างหวาดๆ “ก็ได้…”
คนที่รอคอยด้วยความหวังยิ้มกว้างเมื่อนายหนุ่มเอ่ยปากรับคำง่ายดาย ส่วนคนที่ล้อมรอบต่างเริ่มอื้ออึ้งอย่างไม่ใคร่พอใจนัก กระทั่ง…

“แต่ฉันไล่นายออก!” เสียงอื้ออึงเงียบกริบ เช่นเดียวกับรอยยิ้มยินดีจากนายชายและนายโจที่ค่อยๆ หุบลงจนซีดเผือดอีกครั้ง “นับจากนี้ นายชายไม่ใช่คนงานของปานทิพย์อีกต่อไป! และขอสั่งห้ามไม่ให้นายเข้ามาข้องแวะกับคนงานในไร่อีกไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น เจอกันที่อื่นไม่ว่า แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่!”

“นาย!” นายชายตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คิดว่าจะต้องมาตกงานกะทันหัน แต่คนงานอื่นต่างพยักหน้าอย่างพอใจในคำตัดสินของชายหนุ่ม แม้จะมีบางคนที่เห็นใจคนเคยร่วมงานกันมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะยื่นมือออกมาช่วยเหลือ ส่วนนายโจก็หน้าเผือดลงไม่แพ้เพื่อน หมดแรงเมื่อคิดว่าตนต้องพลอยตกงานไปโดยไม่ใช่ที่ด้วยอีกคน

“ส่วนนาย…” สายตาคมกริบที่ตวัดมองไปยังโจทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง “ฉันจะให้โอกาสอีกครั้ง แต่จะหักเงินค่าแรงเป็นการลงโทษฐานที่สามารถห้ามปรามเพื่อนได้แต่กลับลังเลที่จะห้าม จำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นของค่าจ้างรายวันจนกว่าจะครบหนึ่งเดือน! แต่ถ้ารับไม่ได้ก็ลาออกไปซะ!”

ไม่ใช่แค่รับได้ แต่นายโจยังโล่งอกราวกับยกภูเขาออก ใครก็รู้ว่าทำงานกับปานกมลแม้จะหนักแต่ค่าตอบแทนสูงที่สุดในบริเวณนี้ ไม่รวมสวัสดิการดีเยี่ยมและส่วนใหญ่มีแต่เข้าไม่มีออก…

“ครับ! ครับ! ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ ขอบคุณครับนาย ขอบคุณครับ!” ระล่ำระลักบอกด้วยน้ำเสียงที่บ่งถึงความดีใจ ต่างจากนายชายที่ก้มหน้าบดกรามแน่น จากความเสียใจ เสียหน้า ค่อยกลายเป็นความคับแค้นใจที่ถูกไล่ออก ปานกมลหลุบมองร่างหนาของคนที่ร่วมงานด้วยกันมากว่าสองปีแล้วหรี่ตามองมือใหญ่ที่กำแน่นของมันนิ่ง เขาพอจะรู้ว่าได้สร้างศัตรูเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ก็ด้วยความเต็มใจของเขาเอง

“ส่วนนาย กลับไปได้แล้วนายชาย และก็หวังว่าฉันคงจะไม่เจอนายแถวๆ นี้อีก” เขากล่าวกับอดีตคนงานของตนทิ้งท้าย ก่อนจะเดินเข้าไปยังร่างบางที่ยืนนิ่งอึ้ง ไม่คาดคิดว่าทุกอย่างจะบานปลาย และคิดไม่ถึงว่าปานกมลจะลงโทษสูงสุดกับคนงานของเขา มือหนายกขึ้นกระชับต้นแขนเล็กข้างหนึ่งของหญิงสาว แล้วประกาศก้องให้ทุกคนรับทราบ

“ขอบใจทุกคนมาก แต่วันนี้พอแค่นี้ก่อน เหล้าเบียร์ที่เหลืออนุญาตให้เอากลับบ้านได้ แต่พรุ่งนี้ต้องมาทำงานกันได้ทุกคนนะ อย่าให้เห็นเชียวว่าใครเมาแอ๋มา ไม่งั้นก็จะต้องถูกลงโทษเหมือนกัน ฐานที่กินจนลืมหน้าที่!”


สิ้นสุดคำสั่งเข้มงวดเด็ดขาด ชายหนุ่มก็ดึงร่างเพรียวเล็กของฤทัยรัตน์กลับเข้าไปภายในบ้านซึ่งมีสายใจและปานชีวารออยู่ คนงานต่างแยกย้ายกระจายตัวกลับบ้านใครบ้านมัน บ้างก็เข้ามาบอกให้นายชายรีบกลับออกไปเสีย บ้างก็เสียดสีอย่างสนุกปาก นายชายกำมือแน่นนัยน์ตาเปล่งประกายความแค้นเคือง ถูกไล่ออก ขาดรายได้ ซ้ำยังอับอายต่อหน้าพรรคพวกนับสิบ วันนี้เขาเพลี่ยงพล้ำแต่วันหน้าไม่ยอม ร่างหนาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไม่สนเพื่อนที่มองตามอย่างช่วยไม่ได้ กวาดสายตามองเข้าไปยังตัวบ้านของอดีตเจ้านายด้วยสายตาวาววับ ก่อนจะก้าวออกไปอย่างรวดเร็วไม่หันกลับมามองข้างหลังอีกแม้แต่แวบเดียว…

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง วันหลังกูจะมาเอาคืนพวกมึงให้สาสม!”
คนคลั่งแค้นสั่งเสียเมื่อไปหยุดยืนมองตัวบ้านสีขาวโดดเด่นและบริเวณฟาร์มด้วยหัวใจร้อนรุ่ม ไม่วันนี้ก็วันหน้า ยังไงเสียเขาต้องเอาคืนให้สาแก่ใจ ทั้งปานกมลและฤทัยรัตน์!


ฤทัยรัตน์ถูกพาตัวเข้าไปนั่งที่เดิม เช่นเดียวกับปานกมลที่ทิ้งตัวลงนั่งไม่ห่างกันนัก หญิงสาวเหลือบตามองใบหน้าคมที่ดูเครียดด้วยความรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหากหล่อนไม่ออกไปเขาก็คงไม่ต้องไล่คนงานออก…

“นุ่มขอโทษค่ะคุณปาน” สองมือเล็กประนมไหว้เขาอย่างสำนึกในความผิดส่วนหนึ่งที่เป็นของหล่อน แต่กลับทำให้คิ้วหนาเข้มของเจ้านายหนุ่มต้องขมวดย่น

“เรื่องนี้เธอไม่ใช่คนผิดต้องมาขอโทษฉันทำไม” ชายหนุ่มกวาดตามองใบหน้าเล็กเรียวในกรอบผมสั้นท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวด้วยสายตาเป็นห่วง เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่ไล่นายชายออกไปแล้วอีกฝ่ายจะแค้นเคืองสักแค่ไหน แต่ปฏิกิริยาที่อดีตคนงานแสดงออกหลังจากถูกไล่ออกทำให้เขาไม่อาจไว้วางใจนัก ฤทัยรัตน์หลบตาเข้มจัดลงมองมือที่ประสานเข้าหากันของตนด้วยความรู้สึกที่ยังคงใจหวิวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“เป็นยังไงบ้าง หายตกใจหรือยัง?”
สาวน้อยเงยหน้าขึ้นสบตาคนถามแล้วพยักหน้าเบาๆ แม้ความเป็นจริงจะยังรู้สึกขวัญหายแต่ก็ไม่กล้าทำให้เขากังวลใจกับหล่อนมากจนเกินไปนัก

“ค่ะ นุ่มดีขึ้นแล้วค่ะ” ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนมองเลยไปยังแม่บ้านและหลานชายที่ยืนอยู่ข้างๆ

“เอาล่ะ ป้าใจ ช่วยดูแลน้องเต้ด้วยนะครับ ผมจะไปส่งนุ่มและก็คุยกับพ่อแม่เขาสักหน่อย” ทั้งสายใจและฤทัยรัตน์ต่างแปลกใจกับคำพูดของชายหนุ่ม เมื่อจู่ๆ เขาก็ต้องการที่จะพูดคุยกับบิดามารดาของหญิงสาว

“เอ่อ คือ ความจริง นุ่มไม่เป็นไรมาก ให้นุ่มกลับบ้านเองก็…”

“ไม่ได้ยินหรือไง ว่าฉันมีเรื่องต้องคุยกับพ่อแม่ของเธอ…”
สายใจเหลือบมองหน้าที่เจื่อนลงของสาวน้อยอย่างนึกเห็นใจ ก่อนจะรีบจูงมือปานชีวาและชวนกันย้ายไปอีกห้องเมื่อนายหนุ่มตวัดสายตาดุๆ มองมาอย่างให้รู้ตัวว่าควรออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว…

“เอ่อ คุณเต้คะ เราไปห้องนั่งเล่นกันดีกว่าค่ะ วันนี้เห็นมีการ์ตูนเรื่องใหม่ด้วย”

“การ์ตูนใหม่เหรอคับ แต่เต้อยากดูเรื่องเก่ามากกว่า”

“ก็ได้ค่ะ เรื่องเก่าก็เรื่องเก่านะคะ”
เสียงแม่บ้านและหลานชายห่างออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงหันกลับมายังคนที่นั่งตัวลีบอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเข้มคม อ่านยากในความคิดของฤทัยรัตน์…

“เอ่อ…” ฤทัยรัตน์สบตาเจ้านายจอมดุแล้วก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ไหน เพราะหากเขาดีก็ดีใจหาย แต่ถ้าร้ายก็เหมือนไฟบันลัยกัลป์

“ไปกันเถอะ!” คนตัวผอมบางรีบลุกขึ้นตามชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ความกลัวบวกกับใจที่ยังสั่นทำให้หญิงสาวซุ่มซ่ามสอดเท้าเล็กๆ เกี่ยวเข้าไปในขาโต๊ะกระจกทรงเตี้ยหน้าโซฟาจนถลาหน้าทิ่มไปข้างหนาทันที

“ว้าย!”

“นุ่ม!” ใจดวงเล็กกระตุกวาบ อีกนิดเดียวหน้าหล่อนก็จะกระแทกกับกระจกเข้าเต็มเปาแล้ว แต่โชคดีที่ชายหนุ่มหันมาคว้าเอาไว้ได้ทันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นฤทัยรัตน์ก็ไม่อยากจะคิดว่าจะเป็นเช่นไรบ้างวันนี้…

“เป็นอะไรหรือเปล่า” คนถามสำรวจร่างที่สั่นระริกในมือของเขาอย่างจริงจัง วันนี้วันซวยของหล่อนหรือไงกัน ฤทัยรัตน์จึงได้เจอแต่เรื่องน่าหวาดเสียวทั้งนั้น…

“ไม่ค่ะ นุ่ม นุ่มไม่เป็นไร นุ่ม เอ้อ…” ฤทัยรัตน์เอ่ยทันไม่จบ ร่างของหล่อนก็ถูกนายจ้างรั้งเข้าไปกอดไว้แนบแน่น สร้างความตื่นตระหนกแก่คนขวัญหายไม่น้อย แล้วก่อนที่หญิงสาวจะเป็นลมเพราะเขา เสียงกระซิบเบาๆ ก็ดังขึ้นเหนือศีรษะได้รูป…

“ขวัญเอ๋ยขวัญมาอยู่กับเนื้อกับตัวนะ ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่มีอะไรแล้ว” ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรดลใจให้เขารั้งร่างบางเข้ามากอดปลอบใจ ไม่รู้ว่าทำไมจึงพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้ รู้แต่เพียงว่าเขาอยากทำให้หล่อนหายจากอาการหวาดกลัวก็ ยิ่งได้เห็นใบหน้าซีดเผือดกับดวงตาเลื่อนลอยของเจ้าหล่อนเขาก็ยิ่งสงสาร “นุ่ม!”

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เมื่อแก้มนวลด้านหนึ่งถูกมือหนาหยาบแตะลงมาเบาๆ คล้ายเรียกสติของหล่อนให้กลับคืนจากอาการตกใจ ทว่าเวลานี้สาวน้อยกลับร้อนผ่าววูบวาบทั่วใบหน้านวล และพยายามดันกายออกห่างร่างของนายจ้างด้วยความกระดากอาย แม้หล่อนจะเคยถูกเขาปรามาสว่าเป็นคนไม่ทันคน หรือแม้แต่ถูกกล่าวหาว่าซื่อบื้อก็ตามที แต่เรื่องแบบนี้หล่อนก็พอจะรู้ว่าไม่เหมาะไม่ควรนักหรอก หากให้ปล่อยเขายืนกอดนานๆ

“เอ่อ! คะ… ไม่เป็นไรค่ะ นุ่มไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณค่ะ” ระล่ำระลักบอกกล่าวเสียงสั่น มือหนาที่โอบรัดร่างเล็กของสาวน้อยจึงคลายออกเจ้าหล่อนทำท่าผละห่าง ดวงตาสีสนิมหรี่มองคนก้มหน้างุดแล้วให้ถอนใจเฮือก ผ่านร้อนหนาวมากว่าสามสิบฤดูมีหรือไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกเช่นไร จะโทษใครหากไม่โทษเขา ความเป็นห่วงทำให้ลืมคิดหน้าคิดหลัง ลืมไปว่าหล่อนคือสาวน้อยที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน อีกปีสองปีก็เป็นสาวเต็มตัวแล้ว และเขาเองก็เป็นหนุ่ม แม้จะอายุมากกว่าเป็นรอบแต่ก็ดูไม่เหมาะสมอยู่ดีหากใครมาพบเจอเข้าโดยบังเอิญ…

เสียงหายใจออกยาวๆ คล้ายอ่อนใจของนายหนุ่มแห่งปานทิพย์ฟาร์มไม่ทำให้คนตัวบางที่ก้มหน้ากล้าเงยขึ้นสบตา เพราะยังอกสั่นขวัญระทึกเสียยิ่งกว่าตอนที่ถูกนายชายไล่กวดทำมิดีมิร้ายเสียอีก…

“ถ้าไม่เป็นไรแล้วก็ไปกันเถอะ” เจ้าของเสียงทุ้มกังวานเอ่ยขึ้น ยุติทุกอย่างก่อนสาวเท้านำออกไปด้านนอก ฤทัยรัตน์ลังเลอยู่ครู่จึงเดินตามไปอย่างเงียบๆ…


สองข้างทางที่กระบะสีขรึมแล่นผ่าน เต็มไปด้วยหญ้าพุ่มเตี้ยและดอกไม้เล็กๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสีม่วงสีขาวออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง มองออกไปด้านคนขับคือส่วนของฟาร์มโคนม หลายสิบปีมาแล้วที่ปานทิพย์ฟาร์มบุกเบิกการเลี้ยงวัวนม เริ่มตั้งแต่ไม่กี่ตัวจากครอบครัวเล็กๆ ขยายใหญ่จนกลายเป็นร้อยตัวในปัจจุบัน โดยมีกำลังหลักคือบิดาของปานกมลซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการบุกเบิกและพัฒนา ท่านส่งเสียชายหนุ่มจนจบด้านปศุสัตว์ในประเทศ ก่อนส่งไปต่อยังต่างประเทศอีกทอด ทั้งนี้ก็เพื่อกลับมาพัฒนาและสานต่อฟาร์มโคนมต่อจากบิดานั่นเอง กระทั่งเรียนจบจากนอกก็กลับมาช่วยบิดามารดาขยายฟาร์ม เขามุมานะและนำวิธีการที่ทันสมัยจากต่างทวีปซึ่งได้เรียนรู้กลับมาพัฒนาจนในที่สุดปานทิพย์ฟาร์มได้รับมาตรฐานให้เป็นฟาร์มวัวนมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ…

เมื่อลงจากทางลาดยางก็เลี้ยวสู่ถนนลูกลังสีแดง ซึ่งเป็นทางเข้าไปยังหมู่บ้านของฤทัยรัตน์ หญิงสาวนั่งมองข้างทางด้วยความรู้สึกหลากหลายนานับปการ หลายวันมานี้มีแต่เรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจอยู่เสมอ ใช่เพียงแค่หล่อน แต่ยังลามไปถึงคนข้างๆ นี้อีก เขาคงเหนื่อยใจและเบื่อหน่ายกับลูกจ้างปัญหามากไม่น้อย แต่ด้วยความเป็นผู้นำของเขา ประกอบกับความมีน้ำใจ ทำให้อีกฝ่ายยังสนใจไยดี คอยช่วยเหลือสม่ำเสมอ ไม่คิดรังเกียจว่าเป็นเพียงลูกจ้างรายวันธรรมดา หัวนอนปลายเท้าต่ำต้อย…

ปานกมลเป็นผู้ชายที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าสมบูรณ์แบบทุกประการ ไม่ว่าจะเงินทองที่มีอยู่เป็นทุนเดิมโดยไม่ต้องดิ้นรนแล้ว เขายังหามาเพิ่มอีกไม่รู้จักเท่าไร รูปร่างหน้าตานั้นไม่ต้องกล่าวอะไรก็สรุปได้เป็นเอกฉันท์ว่าเขารูปงามเหนือชายใดที่หล่อนเคยพบเจอ เป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์เหลือล้ำในทุกด้านจนใครต่างยกให้เขาเป็นบุรุษเหนือเอกบุรุษ เรื่องน้ำใจก็ไม่เป็นสองรองใคร แต่ที่สุดของที่สุดคือความเด็ดขาด ปานกมลเรียกได้ว่าเป็นนายจ้างที่มีความเด็ดขาดในเรื่องการทำงาน เขาต้องคุมคนมากนับร้อยจึงทำให้ค่อนข้างจะแข็งกระด้างไปสักนิดในสายตาของคนทั่วไป และบางครั้งก็ดูจะโหดไปสักหน่อยหากไม่รู้จักเขาอย่างลึกซึ้ง…

แต่สำหรับฤทัยรัตน์ ปานกมลคือเทพบุตร เขาคือชายหนุ่มในฝัน เป็นคนแรกที่ทำให้หัวใจที่เริ่มเบ่งบานเพราะวัยสาวกระตุกวูบนับแต่วินาทีแรกที่สบตา สุดท้ายสิ่งที่ไม่อาจบอกใครได้คือ เขาเป็นคนแรกที่ทำให้หล่อนได้รู้จักกับความรัก ซึ่งเป็นรักที่ต้องซ่อนเร้น…

ดวงตากลมโตตวัดหางตามองคนที่ประคองพวงมาลัยด้วยใบหน้าเคร่งขรึมแล้วรีบเมินกลับมาที่เดิม ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ยืน เดิน นั่งหรือกระทั่งขับรถ ทุกอิริยาบถล้วนน่าดูในสายตาหล่อนเสมอ เขาคงไม่รู้หรอกว่าได้สร้างความไม่มั่นคงให้เกิดขึ้นกับหัวใจดวงน้อยของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่นานวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ สำคัญไปกว่านั้น เขาคงเห็นหล่อนเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ขยันสร้างปัญหาให้มากกว่าสาวน้อยที่กำลังเติบโตเต็มวัย พร้อมที่จะรับและมอบความรักต่อใครสักคนที่เป็นยอดดวงใจในอนาคต…

รถยนต์เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานแคบๆ บริเวณหน้าบ้านของฤทัยรัตน์ มารดาและน้องๆ ออกมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ กระทั่งหล่อนและนายจ้างลงจากรถทั้งสามจึงคลายความกังขา ก่อนจะสาวเท้าออกมาต้อนรับโดยมีน้องหญิงชายตามออกมาด้วย

“สวัสดีค่ะคุณปานวันนี้มาถึงบ้าน ว่าแต่มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” เอ่ยถามพลางสำรวจบุตรสาวที่กลับมากับเจ้านายแทนที่จะขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าของหล่อนกลับมา ปานกมลหลุบตามองเส้นผมสลวยที่เคลียแก้มใสของสาวน้อยซึ่งก้มหน้าหลบตามารดาแล้วผ่อนลมหายใจ เขาคงไม่อาจปล่อยให้หล่อนต้องไปๆ กลับๆ ได้อีกหากยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยในขณะนี้

“คือ ผมมีเรื่องอยากปรึกษากับพี่ทั้งสองคนเกี่ยวกับนุ่มครับ…”
คิ้วบางของนางฤทัยขมวดย่น มองนายจ้างหนุ่มหล่อสลับกับบุตรสาวด้วยความประหลาดใจไม่น้อย

“ได้สิคะ แต่เชิญเข้าไปนั่งบนแคร่ก่อนเถอะค่ะ ยืนแบบนี้นานๆ จะเมื่อยนะคะ จ๋า ไปหาน้ำหาท่ามาให้คุณปานเร็ว” ลูกสาวคนรองอายุสิบสามปีรีบรับคำแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน ขณะที่น้องนุชสุดท้องอายุเพียงสิบปีเดินตามพี่สาวต้อยๆ ไปยังแคร่ไม้ไผ่ขนาดกะทัดรัดใต้ต้นชมพู่ทูนเกล้า ให้สีสวย ผลโตและรสชาติหวานฉ่ำ…

“พูดมาเถอะค่ะคุณปาน เพราะกว่าพ่อเด็กๆ จะกลับก็โน่นมืดค่ำ อาศัยรถหัวหน้าคนงานเขา ไปกลับไม่เป็นเวลานัก กว่าจะส่งคนโน้นคนนี้ครบก็มืดพอดีค่ะ” ชายหนุ่มรับฟังเงียบๆ ขณะที่ดวงตาคมกวาดมองสภาพบ้านช่องและความเป็นอยู่ภายในครอบครัวของสาวน้อย แม้ไม่ถึงอัตคัดแต่ดูก็รู้ว่าการเงินคงไม่ราบรื่นนัก

หญิงสาวสบตามารดาแล้วลอบถอนใจเมื่อนึกถึงสายตาของชายหนุ่มที่มองกราดไปทั่ว เขาคงสมเพชไม่น้อยกับความเป็นอยู่ของหล่อนและครอบครัว แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อสิ่งที่เห็นคือสิ่งที่เป็นอยู่ พ่อยังคงต้องออกทำงานก่อสร้างเป็นจับกังปีนป่ายเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ส่วนแม่ก็ต้องออกรับจ้างหาเช้ากินค่ำตามไร่เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกทาง ห้าชีวิตในบ้านหลังเล็กต้องปากกัดตีนถีบ เด็กๆ แม้มีหน้าที่เรียนหนังสือแต่เมื่อกลับมาก็ต้องช่วยกันทำงานบ้าน วันหยุดก็ต้องออกไปกับมารดาเพื่อรับจ้างได้วันละเล็กละน้อยก็ยังถือว่าได้ สำหรับหล่อนแล้วถือเป็นกำลังหลักของครอบครัว เพราะได้ค่าจ้างรายวันมากกว่าบิดามารดา เดือนหนึ่งๆ หญิงสาวจะนำเงินสดสามในสี่มอบให้แก่มารดาเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย อีกส่วนที่เหลือหญิงสาวจะฝากธนาคารไว้เพื่อเป็นการศึกษาให้กับน้องๆ ในอนาคต

ส่วนตัวหล่อนนั้นไม่ต้องพูดถึง เสื้อผ้าหน้าตาไม่ได้แต่ง ไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องใช้ของดีๆ ในเมื่อปากท้องและการศึกษาของน้องสำคัญกว่าอื่นใด หญิงสาวจึงไม่ใส่ใจเรื่องสวยงามนัก แม้ในบางครั้งบางคราวก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองของสวยงามตามประสาสาวน้อย แต่ด้วยฐานะทำให้ต้องมองข้ามสิ่งเหล่านั้น…

ชายหนุ่มตัดสินใจอยู่ครู่ จึงค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฤทัยรัตน์ สร้างความตื่นตกใจให้กับมารดาของหญิงสาวไม่น้อย

“ตายจริง! ไม่น่าเชื่อ” ฤทัยครางด้วยความตื่นตระหนก เอื้อมมือลงจับมือบุตรสาวไว้แน่น เกิดความเป็นห่วงคนตัวบางที่นั่งหน้าซีดสลับแดงจับหัวใจ ชายหนุ่มมองสองแม่ลูกแล้วเสนอในสิ่งที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดในเวลานี้…

“เพราะแบบนี้ ผมจึงคิดว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวนุ่มเอง นุ่มไม่ต้องไปกลับเหมือนก่อนหน้านี้ ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่บ้านผมยังมีห้องว่างเหลืออีกหลายห้อง ห้องติดกับป้าใจแม่บ้านเก่าแก่ของปานทิพย์ก็ยังว่าง ยังไงให้นุ่มพักที่นั่นก็ได้”

ฤทัยมองบุตรสาวกับนายจ้างหนุ่มหล่อแล้วให้ต้องคิดหนัก ใช่ว่าไม่ห่วงบุตรสาวเรื่องความปลอดภัย ยิ่งยินดีเมื่อปานกมลใส่ใจให้ความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สบายใจนักหากฤทัยรัตน์ต้องร่วมชายคาเดียวกับนายจ้างซึ่งยังหนุ่มแน่นและครองตัวเป็นโสด แม้จะมีแม้บ้านเก่าแก่อยู่แต่ก็ยังเสี่ยงต่อคำครหาอยู่ดี ที่สำคัญนางไม่อยากให้ใครมากล่าวหาว่าบุตรสาวของตนคิดการใหญ่ใฝ่สูง เพราะอย่างที่รู้ๆ กันดี ปานกมลเป็นที่หมายตาของสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วทั้งเมือง

สาวน้อยขยับเข้าใกล้มารดาแล้วนั่งนิ่งไม่มีความคิดเห็นใดๆ ตามประสาเด็กสาวหัวอ่อน พ่อแม่ตัดสินใจเช่นใดหล่อนก็ตามใจไปเช่นนั้น ฤทัยนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดหลังจากที่ฟังชายหนุ่มพูดจนจบ มือหยาบกร้านของนางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กของบุตรสาวคนโตอย่างรักใคร่และสงสาร รู้สึกได้ว่าระยะหลังฤทัยรัตน์มีแต่เรื่องร้ายๆ เข้ามาในชีวิต

“ไม่มีอะไรแล้วนะลูก ขวัญมานะลูก” ฤทัยรัตน์เม้มปากแน่นเมื่อมารดากระซิบปลอบข้างใบหู ก่อนจะหันไปซุกใบหน้าหวานกับซอกคอมารดาแล้วพยายามเก็บเสียงร้องจนสะอื้นออกมาเงียบๆ เนื้อตัวสาวน้อยสั่นสะท้านขณะกอดรัดมารดาเอาไว้แน่น ปานกมลมองภาพนั้นอย่างเข้าใจว่าหญิงสาวคงเก็บกลั้นความหวาดกลัวมาเนิ่นนาน กระทั่งเมื่อถูกปลอบโยนจากคนที่รักและไว้ใจจึงไม่อาจยับยั้งอาการเสียขวัญได้อีกต่อไป

“นิ่งเสียลูกนิ่งซะ มันผ่านไปแล้วลูก” ฤทัยปลอบโยนพลางลูบแผ่นหลังบอบบางของบุตรสาวแผ่วเบา ขณะที่มือหนึ่งของหญิงสาวก็ถูกน้องคนกลางที่เพิ่งนำน้ำออกมาเสิร์ฟและน้องคนสุดท้องกุมเอาไว้แน่นเช่นกัน ปานกมลมองเห็นสายสัมพันธ์ที่หนาแน่นของคนทั้งสี่แล้วให้รู้สึกเต็มตื้นในความรักของพวกเขา แม้ไม่ได้มีมากมายแต่กำลังใจจะช่วยเติมเต็มความขาด ใบหน้าคมคายเมินมองไปอีกทาง ยิ่งเสียงร่ำไห้จากฤทัยรัตน์หนักขึ้นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างคอยบีบรัดหัวใจให้เต้นช้าลง คิ้วสีเข้มพันขมวดกับความรู้สึกแปลกประหลาดของตน ณ ขณะนั้น แต่ยังไม่ทันได้ค้นหาหรือไถ่ถามเสียงรถยนต์ก็แล่นมาจอดหน้าบ้านก่อนจะผ่านเลยไปเมื่อมีใครคนหนึ่งกระโดดลงจากกระบะท้าย

ประทีป ชายร่างเล็กที่มีความขยันขันแข็งเป็นนิจคือบิดาของฤทัยรัตน์นั่นเอง เขาสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาด้วยสีหน้างุนงงเห็นได้ชัด

“เกิดอะไรขึ้นแม่ อีหนูเป็นอะไรไป ทำไมร้องไห้” มือคล้ำหยาบกร้านที่วางลงบนไหล่บ่าบอบบางของบุตรสาวทำให้คนตัวบางซึ่งกำลังเสียขวัญกับเหตุการณ์วันนี้ต้องหันมาโผเข้าหาบิดาทันทีราวกับต้องการผู้คุ้มครอง

“นุ่ม! เป็นอะไรลูก?” ประทีปเขย่าบุตรสาวเบาๆ อย่างปลอบโยนขณะสบตาภรรยาและปานกมลอย่างคาดคั้น ไม่นานนักทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆ หลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากของฤทัยจนหมดสิ้น ก่อนได้รับคำยืนยันอีกครั้งจากปานกมล
“ไอ้สารเลว!” ปรีชาสบถเสียงกร้าว เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธที่แทบจะทนไม่ไหว หากไม่มีปานกมลนั่งอยู่ไม่แน่เขาอาจชักชวนพรรคพวกแล้วออกตามหาตัวไอ้คนที่มันบังอาจคิดมิดีมิร้ายลูกสาวของเขาเป็นแน่แท้…

“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ สำหรับเรื่องนายชาย ตอนนี้ผมให้ออกจากงานแล้วครับ” คำตอบนั้นทำให้คนที่กำลังคุโชนด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวต้องชะงัก สบตาเจ้านายของบุตรสาวด้วยสายตาค้นคว้า หากแต่อีกฝ่ายกลับเบนหน้าไปยังฤทัย

“วันนี้ผมมาส่งนุ่มเพราะไม่ไว้ใจนายชาย ส่วนพรุ่งนี้เช้าผมจะขับรถมารับนุ่มเอง แล้วเรื่องจะให้ไปอยู่ประจำที่ปานทิพย์เลยหรือไม่อันนี้แล้วแต่พี่ทั้งสองนะครับ แต่สำหรับผม ผมคิดว่านุ่มไม่ควรไปกลับในระยะนี้ เพราะไม่รู้ว่านายชายจะโกรธแค้นผมกับนุ่มแค่ไหน แต่ถ้าให้ดี เพื่อความปลอดภัยของนุ่ม อนุญาตให้นุ่มพักที่ปานทิพย์จะดีที่สุด เพราะที่นั่นผมรับรองได้ว่าจะไม่มีใครมาทำอันตรายนุ่มได้แน่นอนครับ”

สองผัวเมียสบตากันอย่างครุ่นคิด ห่วงความปลอดภัยของลูกก็ห่วง ห่วงชื่อเสียงก็ห่วง สองจิตสองใจไม่รู้จะตัดสินใจเช่นไรให้เหมาะสม นั่งอึดอัดอยู่พักใหญ่ฤทัยก็เป็นคนกล่าวออกมา

“เรื่องนี้ ฉันขอปรึกษากันสักคืนก็แล้วกันนะคะ แต่ยังไง พวกเราก็ต้องขอขอบคุณคุณปานมากที่ช่วยลูกสาวของฉันอยู่เสมอ” สองผัวเมียและลูกๆ พากันไหว้ชายหนุ่มรุ่นน้องด้วยความซาบซึ้งและเต็มใจ ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบรับไหว้และห้ามปราม

“ไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นในอาณาเขตฟาร์มของผม เพราะฉะนั้นผมเองก็ต้องเป็นคนดูแลทุกอย่างอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย”

น้ำใจของปานกมลทำให้ทั้งห้าชีวิตต่างสำนึกในบุญคุณ และพวกเขาไม่มีสิ่งใดตอบแทนนอกเสียจากคำว่าขอบคุณจากใจเท่านั้น จวนค่ำ ชายหนุ่มจึงขอตัวกลับ ฤทัยรัตน์รับหน้าที่เดินมาส่งเจ้านายที่รถของเขา

“พรุ่งนี้ฉันจะมารับแต่เช้า อาจจะเลยเข้าเมืองด้วย ยังไงก็เตรียมเก็บเสื้อผ้าไว้บ้างก็แล้วกัน” คิ้วเรียวขมวดพันเมื่ออีกฝ่ายหมุนตัวก้าวขึ้นรถ

“แต่นุ่มยังไม่ติดสินใจเลยนะคะ” สาวน้อยแย้งก่อนเงียบลงเมื่อชายหนุ่มหันกลับมาสบตาหล่อนนิ่ง

“แต่ฉันไม่คิดว่าฉันจะคาดการณ์ผิด” ปานกมลสบตาลังเลไม่แน่ใจของหญิงสาวแล้วตัดบท

“เอาเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” หันไปสตาร์ตรถเตรียมออกตัว

“คุณปานคะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยนุ่มวันนี้” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้เขาอีกครั้งอย่างเคยชิน ชายหนุ่มหันมองคนตัวเล็กหน้าจ๋อยๆ แล้วพยักหน้ายิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ก่อนจะขับเคลื่อนรถยนต์ออกไปตามเส้นทางที่ผ่านเข้ามาก่อนหน้านี้ โดยมีสายตาของสาวน้อยมองตามไปจนเห็นเขาเป็นจุดเล็กๆ ในสายตา เช่นเดียวกับปานกมลที่มองร่างบางผ่านกระจกส่องหลังจนหล่อนกลายเป็นจุดเล็กๆ จึงค่อยเปลี่ยนไปมองทิศทางเบื้องหน้าพลางถอนหายใจด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

ทั้งโล่งอกและอึดอัดจนแยกไม่ได้ว่าสิ่งไหนมากกว่ากัน โดยเฉพาะเรื่องของฤทัยรัตน์ที่เข้ามาวนเวียนในความคิดของเขาจนสลัดไม่หลุด จะว่าไป หล่อนเป็นตัวปัญหาของเขาแท้ๆ เลยทีเดียว…








วิลัลวลี วิลัลลา เจตคมน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2556, 18:10:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2556, 18:10:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 750





<< บทที่ 1 อุบัติเหตุ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account