ปานฤทัย
หล่อนคือดอกหญ้า เขาคือดอกฟ้า แต่ความรักไม่มีชนชั้น...
---------
ปล.เรื่องนี้อัพเร็วลบเร็วค่ะ... หลังจากลงได้ 10 ตอนแล้วจะเริ่มลบตั้งแต่ตอนที่ 4 ลงมาค่ะ...

Tags: ปานฤทัย ปานกมล ฤทัยรัตน์

ตอน: บทที่ 1 อุบัติเหตุ


บทที่ 1 อุบัติเหตุ
ฤทัยรัตน์ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมายังไม่ทันพ้นเขตปานทิพย์ก็ถูกฝนที่เทลงมาสาดจนเปียกปอน หนำซ้ำยังมองทางไม่เห็น จนต้องชะลอความเร็วลงจนแทบจูง

“โธ่เอ้ย! ทำไมต้องมาตกตอนนี้ด้วยนะ ให้กลับถึงบ้านก่อนไม่ได้หรือไง…”
คนบ่นเริ่มมองไม่เห็นทาง หนาวสั่นจนฟันกระทบกัน คิดว่าถึงศาลารอรถโดยสารข้างหน้าเมื่อไรจะจอดพักจนฝนหยุดตก ทว่ายังไม่ทันได้ถึงไหนด้วยสภาพรถที่ค่อนข้างเก่ามากแล้ว ทำให้ล้อยางไม่มั่นคงเหมือนเดิม ดอกยางที่มีหน้าที่ยึดเกาะถนนสึกหลอตามกาล ทำให้คนตัวบางที่แทบจะทรงตัวไม่อยู่เพราะความแรงของลมและฝนต้องล้มโครมลงไปข้างทางอย่างไม่เป็นท่า

เอี๊ยดด… โคร้มม…

“โอ้ย!”
เสียงร้องด้วยความตกใจและเสียงรถไถลล้มไม่ดังไปกว่าเสียงของห่าฝน หญิงสาวนอนแบ็บถูกรถทับท่อนขาจนรู้สึกแปลบร้าวไปทั้งแถบ หมวกกันน็อกกันอะไรได้ไม่มากกลิ้งออกไปค้างอยู่ใต้โคนไม้ ใบหน้าหวานที่บัดนี้เปียกชุ่มด้วยสายฝนเหยเกเจ็บปวด ริมฝีปากเม้มแน่นขณะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งจนได้ หากแต่เมื่อพยายามผลักตัวรถออกห่างความเสียววาบก็แล่นปราดเข้ามาในท่อนขา ร้าวเข้าไปในกระดูก น้ำฝนปนน้ำตาเปียกชื้น หวาดหวั่นกริ่งกลัวสายฟ้าที่แล่นวาบเป็นสาย กลัวเสียงร้องครืนคลานบ้างก็ผ่าลงมาจนสะดุ้งโหยง มองไปทางไหนไม่มีใครให้ร้องขอความช่วยเหลือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนสาวน้อยจึงพยายามตะเกียกตะกายพาตนเองออกไปให้พ้นรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าอย่างทุกลักทุเล…

ขณะเดียวกันปานกมลกวาดสายตามองอย่างระมัดระวัง ฝนตกหนักจนแม้แต่ผู้ชำนาญทางเช่นเขายังต้องขับขี่อย่างระมัดระวัง แล้วแม่สาวน้อยนุ่มนิ่มนั่นขับหายไปไหนไวเสียจนมองไม่เห็นเล่านี่ หรือว่า…

คิดไปใจก็หายวาบ หากหล่อนเป็นอะไรขึ้นมา เขาคงไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด เพราะถือได้ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวต้องประสบเคราะห์ ชายหนุ่มภาวนาขออย่าให้หญิงสาวเป็นอะไร ทว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงรับคำภาวนาของเขาช้าเกินไป เพราะเมื่อชายหนุ่มเลี้ยวรถออกจากไร่ สายตาของเขาก็ไปปะทะเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าสีตุ่นคุ้นตา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าร่างเล็กของฤทัยรัตน์กำลังผลักรถมอเตอร์ไซค์ออกจากขาของหล่อน!

“นุ่ม!!” เขาตะโกนดังเท่าไรไม่ทราบ หากแต่เพียงแค่จอดเขาก็แทบโจนเข้าหาร่างเล็กใต้รถมอเตอร์ไซค์นั้นทันที ฤทัยรัตน์เบิกตาโพลง ดีใจสุดประมาณ ทั้งที่ไม่คิดว่าจะมีใครมาช่วยและแอบคิดถึงเขาเช่นกัน

“คุณปาน…”

“ไม่ต้องพูด! อยู่เฉยๆ” ชายหนุ่มสั่งหญิงสาวทำตาม คิ้วเรียวสวยขมวดพันเมื่อชายหนุ่มดึงรถของหล่อนออกห่าง แล้วจูงมันตรงไปยังกระบะของเขาก่อนยกขึ้นราวกับเป็นสิ่งของเบาๆ ไปไว้บนนั้น ก่อนจะปราดมาหาหล่อนแล้วรวบไหล่เล็กทั้งสองข้างตะโกนเสียงแข่งกับฝน
“เป็นไงมั่ง? เจ็บตรงไหนบอกฉัน”

“ขาคะ! นุ่มเจ็บขา” หญิงสาวตะโกนตอบพร้อมกับเอื้อมมือลงกุมท่อนขาที่มีเลือดออก ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นแล้วก็รีบช้อนหญิงสาวขึ้นแนบอก โดยระมัดระวังส่วนที่บาดเจ็บ สาวน้อยใจกระตุก รู้สึกเจ็บระคนขัดเขิน เขาวางหล่อนลงข้างที่นั่งคนขับ ก่อนจะอ้อมไปประจำตำแหน่ง

“ต้องกลับบ้านฉันก่อน ตอนนี้ไปโรง’บาลไม่ได้ ฝนตกหนักขนาดนี้ น้ำอาจท่วมถนน” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวแล้วเคลื่อนรถยนต์มุ่งหน้ากลับสู่ฟาร์มปานทิพย์ เขาค่อยๆ พาเจ้ากระบะคันเก่าที่ใช้ขนสัมภาระต่างๆ คลานไปตามเส้นทาง หากแต่ฝนที่ตกหนักทำให้แทบจะมองไม่เห็นข้างหน้า หญิงสาวมองคนตัวโตๆ ที่บัดนี้เปียกปอนไม่แพ้หล่อนด้วยความตื้นตันใจสุดซึ้ง เจ็บนั้นเจ็บอยู่แล้ว แต่ซึ้งใจมีมากกว่าหลายเท่า ก่อนนี้หล่อนคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงน้อง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกท่านจะรับรู้ว่าหล่อนกำลังประสบสิ่งใดอยู่ ส่วนลึกลงไปสาวน้อยกวัดคิดถึงเจ้านายหนุ่มอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าเมื่อคิดถึง เขาก็มาปรากฏกายพร้อมกับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว…

“เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหม?” เขาถามเมื่อหันมาพบว่าสาวน้อยกำลังมองเขาด้วยแววตาซาบซึ้งใจ

“เอ่อ ไม่มากค่ะ แต่นุ่มต้องขอขอบคุณคุณปานมากนะคะ ที่ตามมาดูนุ่ม” พูดไปก็กัดริมฝีปากไป ข่มกลั้นความเจ็บปวด ไม่ให้เผลอปล่อยเสียงครางออกมา แต่ความพยายามของหญิงสาวไม่ได้รอดพ้นสายตาคมกริบของปานกมลได้เลยสักนิด

“โกหกเก่งจริงนะเรา เจ็บก็บอกเจ็บ ไม่รู้อะไรหักมั่งหรือเปล่า?” เขาบ่นอย่างนึกกังวล หากฝนไม่ตกขนาดนี้เขาไม่มีทางกลับบ้านโดยที่หล่อนยังเจ็บแน่ แต่เพราะรู้เส้นทางดีว่าอันตราย ดีไม่ดีเขาและหล่อนอาจไปเจออุบัติเหตุด้วยกันทั้งคู่แล้วจะยุ่ง เขาเองพอรู้จักการรักษาพยาบาลเบื้องคิดว่าพอจะช่วยหล่อนได้ในระยะแรก

“นุ่มต้องขอโทษ ที่ทำให้คุณปานต้องลำบาก ถนนมันลื่นค่ะ นุ่มพยายามขับช้าๆ แล้วแต่ลมมันแรง มันพัดนุ่มตกข้างทาง รถทับขานุ่ม…” หญิงสาวอธิบายแล้วเงียบไป ใบหนาซีดเผือดลงเรื่อยๆ จนเขาเริ่มไม่ไว้ใจอาการของหล่อนเช่นกัน

“ช่างเถอะ” หากหล่อนดีกว่านี้เขาคงจะเอ็ดไปแล้วว่าไม่รู้จักคิด ฝนฟ้ามาครึ้มยังจะออกมา จะอ้างว่าเขาไล่ให้กลับบ้านยังไงก็ฟังไม่ขึ้น เพราะตอนอนุญาตให้หล่อนกลับบ้านเร็วกว่าทุกวันนั้นเขาไม่ทันสังเกต ว่าฝนจะตกกะทันหันและตกหนักเช่นนี้

รถยนต์เทียบท่าหน้าบ้าน ชายหนุ่มวิ่งอ้อมไปอีกด้านแล้วเปิดประตูออกรอรับฤทัยรัตน์ คนตัวบางยังรู้สึกวูบวาบร้อนผ่าวกับสัมผัสแข็งแกร่งของเจ้านายหนุ่ม ยิ่งสบตาดุกระด้างก็ยิ่งหวั่นไหว

“เอ่อ นุ่มเดินเองก็ได้ค่ะ” บอกเสียงเบา ชายหนุ่มถอนใจกับนางอายตรงหน้า หล่อนนุ่มเหมือนชื่อ เหมือนที่เขาชอบค่อนหล่อนในใจว่าแม่นุ่มนิ่ม ต่างออกไปจากเด็กสาวสมัยนี้หลายคน ที่ใจกล้าจนเขายังนึกไม่ถึงในบางครั้ง ตรงข้ามกับสาวน้อยฤทัยรัตน์ หล่อนขาดความมั่นใจและนุ่มนิ่มสมชื่อ…

“อย่าดื้อ ลงมา ให้ฉันอุ้มเธอไม่ต้องกลัวว่าฉันจะหนัก ไม่ต้องเกรงใจ เพราะคนผิดคือฉัน ถ้าฉันไม่สั่งให้เธอกลับ เธอก็คงไม่เป็นแบบนี้” เขาโทษตนเองก็จริงแต่นัยน์ตากลับคมวับราวจะดุกรายๆ อย่างไรอย่างนั้น

แล้วในที่สุดหญิงสาวก็ต้องยอมให้เขาอุ้มเข้าไปภายในบ้าน แม่บ้านสายใจทำตาโตเมื่อพบว่าทั้งนายหนุ่มและลูกจ้างสาวน้อยเปียกปอน แถมเจ้านายของนางยังอุ้มหญิงสาวเขาบ้านเสียอีก ไหนจะน้องเต้ที่ทำตาพองโตมองคุณลุงกับพี่เลี้ยงด้วยแววตาตื่นเต้น
“คุณลุงอุ้มพี่นุ่ม!” ปานกมลเหลือบตามองหลานชายแวบหนึ่งขณะเดินผ่านหน้าสายใจ

“พี่นุ่มรถล้ม เดินไม่ได้ เจ็บขา ลุงต้องอุ้ม ป้าใจช่วยเปิดห้องพยาบาลให้ทีครับ” ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ สายใจเดินลิ่วๆ นำนายจ้างไปยังห้องพยาบาล โดยมีปานชีวาวิ่งตามไปติดๆ เขาวางร่างบางลงบนเก้าอี้ทำแผลแล้วหันไปยังสายใจ

“รบกวนขอยืมผ้าให้นุ่มผลัดเปลี่ยนสักชุดเถอะครับ”

“ค่ะได้ค่ะ รอประเดี๋ยวนะคะ” สายใจรีบออกไปทันที ปานกมลหันมามองเจ้าตัวน้อยที่เมียงมองเข้าไปยังคนเจ็บแล้วทำตาลุกวาว

“มีเลือด… ที่ขาพี่นุ่มมีเลือดไหลคับลุงปาน” เขามองตามที่หลานชายบอกแล้วกวาดมองใบหน้าเผือดซีดของฤทัยรัตน์อย่างเป็นห่วง

“เป็นไง เจ็บมากเลยหรือ?” เขามองหน้าซีดๆ สลับกับท่อนขาที่มีเลือดซึมออกมาจากกางเกงยีน

“มะ ไม่ค่ะ”

“ไม่?” ย้ำถามอย่างไม่อยากเชื่อนัก “ไม่เจ็บทำไมหน้าซีด หรือว่าหนาว”
หญิงสาวสั่นหน้าขณะเหลือบตามองเลือด หัวใจพลอยหวิวคล้ายจะเป็นลม เจ็บแต่ไม่เท่ากับกลัว…

“นุ่ม คือนุ่ม กลัว กลัวเลือดค่ะ”
ว่าแล้วเชียว… ปานกมลนึกในใจ

“งั้นไม่ต้องมองสิ กลัวแล้วยังจะมองอยู่นั่น” คนเจ็บเลยถูกเอ็ดเข้าให้อีก ซึ่งก็พอดีกับที่สายใจเข้ามาพร้อมกับผ้าที่ใช้เปลี่ยน

“ได้แล้วค่ะคุณปาน”

“ขอบคุณครับ ลุกไหวไหม?” หันมาถามคนเจ็บที่นั่งตัวสั่นตรงหน้า

“วะ… ไหวค่ะ” บอกแล้วก็พยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง แต่สุดท้ายจึงถูกเอ็ดอีกจนได้เมื่อล้มแผละลงไปจนเกือบตกเก้าอี้

“ว้าย! เจ้านุ่ม!” สายใจอุทานเมื่อชายหนุ่มรับหญิงสาวไว้ทันก่อนล้มลงไปจ้ำเบ้ากับพื้นห้อง

“ระวังหน่อย ถ้าไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหว อย่าฝืนจนได้เรื่องเดือดร้อน!” แล้วฤทัยรัตน์ก็ถูกตาคมๆ ของเจ้านายหนุ่มตวัดขวับเข้าให้ทีหนึ่ง อยากคิดด้วยซ้ำว่ากำลังถูกขว้างค้อนจากผู้ชายตัวโต เพราะถ้าใช่ หล่อนก็อยากบอกกับเขาว่ามันเป็นค้อนที่น่าดูที่สุดในโลก…

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ? ลุกมาผลัดผ้าก่อน แล้วค่อยมาทำแผล นั่งแบบนี้นานๆ เดี๋ยวก็ปอดบวมตายกันพอดี”
เขาบ่นเหมือนตาแก่ทั้งที่ยังหนุ่มแน่น หญิงสาวเหลือบมองไปยังสายใจที่ยิ้มแหยให้เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเอ็ดลูกจ้างสาวเข้าให้แล้ว…

หลังจากเข้าไปเปลี่ยนผ้ากับสายใจในห้องน้ำเพียงห้านาที ประตูห้องน้ำจึงเปิดออก ชายหนุ่มทำท่าขยับไปรับ แต่เมื่อเห็นว่าสายใจประคองเข้ามาจึงอยู่นิ่งกับที่ ฤทัยรัตน์มองร่างสูงที่ยังคงเปียกปอนจนน้ำเจิ่งนองที่เดิมแล้วรู้สึกเป็นห่วง

“คุณปานไม่เปลี่ยนเสื้อหรือคะ”

“ทำแผลให้เธอก่อน ค่อยอาบน้ำทีเดียว มาเถอะ” เขาไม่พูดมาก รีบจัดเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่ง แล้วเตรียมอุปกรณ์ทำแผลขึ้นมาวางบนโต๊ะเสร็จสรรพ หญิงสาวมองตามแล้วเริ่มใจไม่ดี เห็นเครื่องไม้เครื่องมือคล้ายๆ กับที่แพทย์พยาบาลใช้แล้วใจสั่น

“เอ่อ”

“ไม่ต้องกลัวนะคับพี่นุ่ม ลุงปานทำไม่เจ็บเลย น้องเต้เคยหกล้ม ลุงปานทำแผลให้ ไม่เจ็บสักนิด…” น้องเต้คุยอวดพลางยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ ปานกมลยิ้มตอบหลายชายตัวน้อย แล้วหันไปสบตาตื่นกลัวของฤทัยรัตน์อย่างขบขัน

“เห็นไหม น้องเต้ยังไม่กลัวเลย เธอโตกว่าน้องเต้ต้องเยอะ จะกลัวอะไรนักหนา ถ้ากลัวมากๆ ก็หลับตาลงซะ รับรองว่าไม่เจ็บเหมือนที่น้องเต้บอก” ปานกมลพยายามปลอบให้หญิงสาวคลายความตื่นกลัว คนตัวเล็กในชุดของสายใจที่ดูจะหลวมโพลกหันไปมองแม่บ้านด้วยใบหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะหลับตาปี๋เมื่อชายหนุ่มจุ่มสำลีกับน้ำใสๆ ในขวด เพียงครู่ก็รู้สึกเย็นวาบ แสบๆ คันๆ จนเกือบชักขาหนี

“เฉยๆ เดียวก็เสร็จแล้ว” หญิงสาวยังหลับตาและนั่งเกร็งจนแทบลืมหายใจ ก่อนสะดุ้งลืมตาเมื่อถูกดึงขาจนเจ็บแปลบ เขาสบตาหล่อนแวบหนึ่งอย่างโล่งอก

“ถ้ายังขยับได้แบบนี้แปลว่ายังไม่หัก เส้นคงพลิก” กล่าวเบาๆ แล้วจัดการทำแผลให้หญิงสาวอย่างรวดเร็ว โดยมีกองเชียร์ที่คอยสังเกตการณ์ถึงสองคน และไม่นานนัก การทำแผลที่แสบๆ คันๆ ก็จบลง…

“เอ้า! เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ย ฤทัยรัตน์ค่อยๆ ลืมตาก็เห็นว่าบริเวณหน้าแข้งของตนมีผ้าก๊อตพันไว้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาคมแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณคุณปานมากนะคะ ที่ช่วยเหลือนุ่ม” เสียงหวานๆ เอ่ยหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น

“ไม่เป็นไร แต่วันนี้คงกลับไม่ได้แล้วล่ะ เอาเป็นว่าค้างนี่ก็แล้วกันอย่าลืมโทรบอกแม่ของเธอด้วย เดี๋ยวท่านจะเป็นห่วง” ฤทัยรัตน์ทำหน้าตื่น เพราะนับแต่เข้าทำงานกับปานกมล หล่อนไม่เคยต้องอยู่ค้างอ้างแรมที่นี่ เหตุเพราะบ้านของหล่อนอยู่ไม่ไกลจากไร่ปานทิพย์นัก

“เอ่อ แต่ว่า…”

“ป้าใจ ช่วยขึ้นไปจัดห้องให้นุ่มด้วยนะครับ” ชายหนุ่มไม่ฟังเสียงเอ้ออ้าของหญิงสาว เขาหันไปสั่งแม่บ้านแล้วหันกลับมามองคนเจ้าปัญหานัยน์ตาคมดุ “ไม่ต้องยกเอาอะไรมาอ้างทั้งนั้น ดูสภาพตัวเองเสียก่อน”
ฤทัยรัตน์ก้มหน้ามองขาแล้วถอนใจเฮือก ก่อนเงยขึ้นมองร่างสูงเมื่อชายหนุ่มจามฮัดเช้ยออกมา เขาบอกให้หล่อนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ตนเองกลับมายืนเปียกอยู่นั่น ดูเถอะคงจะไม่สบายแล้วล่ะสิ

“เอ่อ คุณปานอาบน้ำก่อนเถอะนะคะ นุ่มนั่งรอป้าใจตรงนี้ได้ค่ะ” เสียงอ่อนๆ ที่เอ่ยออกมาไม่ทำให้คนตัวใหญ่กระตือรือร้นทำตาม เขายืนกอดอกเฉยมองหล่อนนิ่งจนหญิงสาวเริ่มกระดากอาย หลบตาคมเข้มเต็มไปด้วยพลังอำนาจเหนือใครอย่างหวาดหวั่น
เจ้าของปานทิพย์ฟาร์มโคลงศีรษะเบาๆ เขาไม่รู้ว่าตนเองน่ากลัวตรงไหน ทำไมสาวน้อยนุ่มนิ่มจึงได้กลัวหัวหดแบบนี้ ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ที่แทบจะวิ่งใส่ทันทีที่พบหน้า นึกมาถึงตรงนี้ความคิดก็หยุดชะงัก ใบหน้าสวยหวานของเปรมปรีดิ์ลอยวนเข้ามาก่อกวน ชายหนุ่มสะบัดหน้าไล่ภาพนั้นออกไป ก่อนขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวเมื่อสายใจเข้ามารายงานว่าจัดห้องเรียบร้อย แล้วรวบร่างเล็กเบาหวิวของพี่เลี้ยงสาวน้อยขึ้นไว้ในวงแขนอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนเจ้าตัวยังอุทานแทบไม่ทัน

“อุ๊ย! คุณปาน…” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากเต็มอิ่มสีหวานเผยอค้าง พวงแก้มสีซีดแดงปลั่งจนเท้าที่กำลังจะก้าวต้องชะงัก ลมหายใจผะผ่าวสะดุดลงกับกิริยาอาการของสาวน้อย ก่อนหลุบตาลงแล้วลอบถอนหายใจเมื่อความรู้สึกหนึ่งพลุ่งพล่านเหนือการควบคุม
บ้า! เกิดมาคิดต้องการบ้าอะไรกันตอนนี้!!

งานเปิดตัวสินค้าระดับชั้นนำ มีนักธุรกิจแนวหน้ามากมายร่วมงาน เปรมปรีดิ์และคุณปาหนันต่างพาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะงานที่เจ้าสัวทรงชัยได้รับเชิญ สองแม่ลูกมักจะติดสอยห้อยตามเสมอ จึงเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งสองอาจเกี่ยวดองกันในเร็ววัน ซึ่งก็ไม่ผิดคาดนัก เพราะเมื่อถูกนักข่าวสอบถามความสัมพันธ์เจ้าสัวทรงชัยก็ไม่ได้ปกปิด เขาบอกตามความจริง ว่าอยู่ในช่วงคบหาดูใจกับเปรมปรีดิ์…

“แล้วข่าวว่าคุณนัดดาลูกสาวของท่านไม่เห็นด้วยนี่จริงหรือเปล่าคะ?” นักข่าวสาวยื่นเทปมาใกล้ เจ้าสัวทรงชัยหัวเราะร่าเริงไม่ได้มีทีท่าว่าจะเห็นเป็นเรื่องลำบากใจแต่อย่างใด

“โอ้ย ไม่มีหรอกครับ ลูกๆ โตกันหมดแล้ว เขาเข้าใจพ่อ ไม่มีใครว่าหรอกครับ”
เปรมปรีดิ์ลอบค้อนนักข่าวสาวขวับหนึ่ง ก่อนยิ้มหวานโปรยเมื่อมีเทปหันมาจ่อรอที่หล่อนบ้าง

“แล้วคุณเปรมปรีดิ์ล่ะคะ กับคุณผู้ชายที่เคยคบหากันก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร?”
ทั้งปาหนันและเปรมปรีดิ์หน้าเจื่อนลงไปนิด หากแต่เพียงชั่ววินาทีก็กลับมายิ้มใสเช่นเดิม

“อุ๊ย! ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพื่อนกันธรรมดาๆ นี่ล่ะค่ะ รู้จักกันมานานแล้ว นี่เขาก็รู้นะคะว่าเปรมคบหาอยู่กับคุณทรงชัย” เปรมปรีดิ์ออกตัวอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับมารดาของหล่อนที่ยิ้มเชิดสู้สายตานักข่าว ไม่พรั่นพรึงว่าจะถูกขุดคุ้ยไปในทางเสียหาย

“ถ้าอย่างนั้นดิฉันคงจำคนผิด เพราะที่ดิฉันเห็นที่ชายหาดทางใต้เมื่อเดือนก่อน คงเป็นคนหน้าคล้ายคุณเปรมปรีดิ์กับคุณผู้ชายคนนั้นใช่ไหมคะ”
หากไม่ใช่เปรมปรีดิ์แล้วคงหน้าถอดสีจนถูกจับได้ แต่สำหรับหล่อนไม่สะทกสะท้านกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก แม้จะจริงตามที่นักข่าวถามออกมาก็ตาม เพราะก่อนหน้านี้เพียงเดือนเดียวหล่อนและปานกมลยังไปเที่ยวด้วยกันที่ชายหาดแห่งหนึ่ง และเมื่อคิดถึงก็ให้ขนลุกเกลียวทั้งสรรพางค์กาย จำได้ทุกบททุกตอนและทุกรสเสน่หาที่เขาฝากฝังไว้ พลันนึกเจ็บใจที่เขาอีกเช่นกันทำหล่อนค้างคา…

“แน่นอนค่ะ คงเป็นแค่คนหน้าเหมือน เพราะเดือนก่อนดิฉันยังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการสถาบันความงามสาขาที่สองอยู่เลย จะไปไหนได้อย่างไรล่ะค่ะ?” ปดเรื่องสถาบันที่กำลังจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่แล้วโปรยยิ้มหวานชื่น นักข่าวสาวและไม่สาวหันมองหน้ากันนิดก่อนจะหันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับธุรกิจของเจ้าสัวทรงชัยแทน เปรมปรีดิ์จึงใช้ช่วงเวลานี้จับจูงมารดาเข้าไปยังด้านหลังห้องพักอย่างอารมณ์เสีย

“เปรมเกลียดพวกมัน! อีพวกชอบสอดรู้สอดเห็น” ก่นด่าทันทีที่พ้นหน้านักข่าว ปาหนันมองบุตรสาวแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน

“แกก็ระวังตัวหน่อย แกเองก็รู้ว่าพวกนักข่าวมันขุดคุ้ยไม่เลิก แล้วทำไมไม่ระวังตัว คราวก่อนก็ที แกอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าพานายปานเข้าบ้านอีกแล้ว” มารดาสะบัดหน้าไปอีกทาง หญิงสาวจึงถอนหายใจเฮือก

“โธ่คุณแม่! ไม่มีอะไรสักหน่อย แค่นัดเคลียร์ปัญหาทั้งหมด ก็คุณแม่เป็นคนบอกให้เปรมนัดคุยกับเขาให้รู้เรื่องไม่ใช่หรือคะ” สะบัดหน้าหนีบ้างเมื่อมารดาหันกลับมามอง

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ว่าแต่นายนั่นว่าอะไรหรือเปล่า” จ้องหน้าบุตรสาวอย่างคาดคั้น เปรมปรีดิ์หน้าตึงเมื่อนึกถึงสิ่งที่ปานกมลทำไว้กับหล่อน คิดแล้วให้เจ็บใจ ทั้งที่ก่อนหน้าปานกมลแสดงออกนักหนาว่ารักหลงแค่ไหน แต่เพียงแค่ถูกบอกเลิกเขาก็หันหลังให้ทันทีโดยไม่อ้อนวอนขอให้เห็นใจเหมือนชายอื่นสักคำ หนำซ้ำยังทำให้โหยหาเขาแทนเสียนี่ คนบ้า!!

ปาหนันขมวดคิ้ว เมื่อใบหน้างามของบุตรสาวเง้างอคล้ายคนกำลังเจ็บใจอะไรบางอย่าง

“เป็นอะไรไปยัยเปรม นี่แกอย่าบอกนะว่าถูกไอ้บ้านนอกนั่นด่าเข้าให้น่ะ!?” เปรมปรีดิ์ถอนหายใจเฮือก หันมาสบตามารดาอย่างระอา
“คุณแม่… ปานเขาไม่ใช่คนปากจัดอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ”

“ก็แล้วทำไมแกต้องทำหน้ายุ่งด้วย?” เมื่อถูกเค้นเอาคำตอบจึงสายหน้าเร็วๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวหรู

“เขาไม่ว่าอะไรค่ะ ไม่เลยสักคำ แล้วก็ไป ไปแบบไม่หันกลับมามองด้วย!”
ว่าแล้วก็เดินลิ่วออกไปด้านนอกด้วยความรู้สึกว้าวุ่นในช่องอก ปาหนันมองตามร่างสมส่วนงดงามของบุตรสาวแล้วถอนใจ จะว่านางเป็นต้นเหตุคงไม่ถูกนัก เพราะทุกอย่างที่ทำไปเพราะต้องการให้บุตรสาวมีความมั่นคงในชีวิต กับปานกมลนางก็เห็นว่านิสัยใจคอดีใช้ได้ ถ้าไม่นับเรื่องรูปร่างหน้าตาที่นายแบบดาราบางคนยังอาย เสียอย่างเดียวที่ไม่รวยสะใจเท่ากับเจ้าสัวทรงชัยก็เท่านั้น รายหลังแม้อายุมากแล้วแต่ก็มีเงินถุงเงินถังใช้ทั้งชาติไม่หมด แล้วเช่นนี้ใครจะโง่ปล่อยให้ลูกสาวไปกัดก้อนเกลือกินกับไอ้หนุ่มโคบาลบ้านนอกเล่า ไม่มีทางแน่นอน!

หลังจากประสบอุบัติเหตุเมื่อห้าวันก่อน มาวันนี้ฤทัยรัตน์อาการดีขึ้น หญิงสาวถูกพาไปตรวจเช็ครางกายที่โรงพยาบาลก่อนส่งกลับบ้านในเช้ารุ่งขึ้นโดยปานกมล ทั้งบิดามารดาพากันขอบคุณเขายกใหญ่ จนวันนี้มีอาการเกือบเป็นปกติ เหลือเพียงแผลเป็นที่ฝากรอยจาลึกไว้ให้ดูต่างหน้า แต่กระนั้นปานกมลก็ไม่ดูดายเขาซื้อยาทาให้หลอดใหญ่ กว่าจะหมดหลอดก็คงหมดรอยแผลเป็นเช่นกัน…

“อ้าว! มาทำงานได้แล้วหรือนุ่ม” แม่บ้านร้องถามใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเห็นสาวน้อยก้าวขึ้นมาบนบ้าน

“ได้แล้วค่ะ”

“แต่ก็ดูยังเดินไม่ค่อยถนัดเท่าไรนะ” แม่บ้านเอ่ยเมื่อสังเกตการเดินของหญิงสาว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างสูงเดินส่วนออกมาจากด้านใน

“หายดีแล้วหรือ?” ถามพลางหลุบตามองท่อนขาภายใต้กางเกงยีนสีซีดแล้วเงยหน้าสบตา ส่วนแม่บ้านเดินเลี้ยงเข้าไปภายในครัวอย่างรู้หน้าที่

“ค่อยยังชั่วมากแล้วค่ะ”

“ยังไม่หายดีแล้วรีบมาทำไม” เขาว่าพลางเดินผ่านหน้าไปยังโต๊ะตัวเล็กริมหน้าต่าง ซึ่งมีกาแฟดำรออยู่ หญิงสาวกระเผลกตามไปแล้วหยุดยืนไม่ห่างนัก “นั่งก่อนสิ”

บุ้ยปากบอก หญิงสาวจึงกระเผลกเข้าไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามระหว่างเขา

“กินอะไรมาหรือยัง?” ถามพลางกวาดตามองใบหน้าหวานๆ ที่ดูสดใสขึ้นอย่างสำรวจ

“นุ่มทานข้าวมาแล้วค่ะ น้องเต้ไปโรงเรียนแล้วหรือคะ” เอ่ยถามถึงเจ้านายตัวน้อยที่กลายเป็นเพื่อนซี้ของหล่อนมากว่าครึ่งปี

“ไปแล้ว…” ตอบพลางสบตาคู่สวย “ไหนๆ ก็มาแล้ว วันนี้ช่วยดูบัญชีให้หน่อยแล้วกันนะ” การดูแลเรื่องบัญชีเป็นอีกงานที่เขาหยิบยื่นให้หล่อนทำหลังจากที่เด็กชายปานชีวาไปโรงเรียน ซึ่งถือเป็นหน้าที่หลักพอๆ กับการดูแลหลานรักของปานกมลเลยก็ว่าได้

“ค่ะ นุ่มตั้งใจมาเคลียร์งานที่ค้างด้วย ต้องขอโทษนะคะที่ทำให้เสียงานหลายวัน” หญิงสาวเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก” วางถ้วยกาแฟลงแล้วมองตรงๆ “ฉันออกไปทำงานก่อน เธอก็ค่อยๆ ทำไป อย่าเพิ่งเดินเหินมาก”
หญิงสาวมองร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ได้กลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆ แบบผู้ชายโชยมา จึงเผลอสูดดมเข้าเสียเต็มปอด ผ่านไปครู่ใหญ่จนได้ยินเสียงสตาร์ตรถออกไป หญิงสาวจึงพาตัวเองเข้าไปยังห้องทำงาน ซึ่งมีกองเอกสารตั้งอยู่หลายกอง คาดว่าปานกมลคงหยิบเอาออกมาตรวจสอบตามปกติ

“ยุ่งเหยิงหน่อยนะจ๊ะ เมื่อคืนสงสัยไม่ได้นอนทั้งคืนเลยล่ะ” เสียงนั้นคือเสียงของแม่บ้าน ที่ยกน้ำและขนมมาให้หญิงสาวในห้องทำงาน ฤทัยรัตน์ขอบคุณเบาๆ แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเคยชิน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่คุณปานนอกดึกทุกคืนเลยหรือคะ” ถามอย่างเกรงใจ เพราะนอกจากเขาจะต้องดูแลฟาร์มแล้วคงมาดูแลเรื่องบัญชีเพิ่มต่อหลังจากที่หล่อนหยุดยาวอีก

“ก็เหมือนๆ ที่ผ่านมาล่ะจ้ะ แต่พักหลังดูคุณปานแกเงียบๆ ขรึมๆ ลงไป ป้าเองก็ไม่กล้าเซ้าซี้แกมาก”
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น พลางครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเครียดขรึม นั่นสิ… หล่อนเองยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเงียบลงไป คล้ายคนมีความในใจบางอย่าง

“แล้วเอ่อ… แฟนคุณปานไม่มาบ้างเหรอคะ?”
ฤทัยรัตน์เอ่ยถามถึงสาวสวยที่เคยปานกมลเคยพามาสามสี่ครั้ง และดูเหมือนว่านายหนุ่มของหล่อนก็มีใจให้สาวสวยคนนั้นไม่น้อย ที่แน่ๆ ทั้งคู่สนิทสนมกันจนหล่อนต้องพาตัวเองและน้องเต้ออกห่าง เพราะเกรงว่าจะพาเด็กน้อยไปพบเจอบทรักหวานเจี๊ยบจากทั้งคู่รักเข้าโดยบังเอิญ แต่ดูเหมือนปานกมลจะรู้ตัวดีเขาจึงไม่ประเจิดประเจ่อ ซึ่งต่างจากคู่รักของเขาคนนั้นที่ดูเหมือนจงใจเหลือเกินที่จะประกาศทางอ้อมว่าพวกเขามีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันถึงขั้นไหน…

“ก็นี่แหละ…” เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “สงสัยจะทะเลาะกัน วันนั้นที่ฝนตกไง คุณปานเธอออกไปข้างนอก ป้าสงสัยว่าคงไปหาคุณคนสวยนั่น แต่ไม่รู้ทำไมถึงกลับเร็วกว่าปกติ”

แม่บ้านวัยกลางคนตั้งข้อสังเกต

“อาจจะไปทำธุระอื่นก็ได้นะคะป้าใจ” หญิงสาวกล่าวขณะหันไปหยิบแฟ้มเอกสารออกมาเปิด

“ก็อาจเป็นได้นะ แต่เอาเถอะ จะไปไหนก็แล้วแต่ ขอแค่ให้หายหน้าบูดสักทีก็พอ” ว่าแล้วนางสายใจก็หมุนตัวออกจากห้องทำงาน ปล่อยให้ฤทัยรัตน์ครุ่นคิดถึงสาเหตุตามลำพัง ก่อนลงมือทำงานของตนอย่างตั้งใจ ลืมเรื่องที่คุยกันไปชั่วขณะ…

ตกเย็น เสียงหัวเราะของคนงานดังครืนใกล้เข้ามาทำให้ฤทัยรัตน์ที่กำลังสอนการบ้านน้องเต้ต้องเดินออกไปดูสถานการณ์ด้านนอก แล้วก็เห็นว่าพวกคนงานทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มช่วยกันยกลังเบียร์ลังเหล้าลงมาจากท้ายรถกระบะ หนำซ้ำยังมีกับแกล้ม อีกพวกช่วยกันยกโต๊ะม้าขนาดยาวออกมายังลานหน้าบ้าน แล้วจัดจานชามใส่กับแกล้มรวมทั้งแก้วน้ำออกมาใส่น้ำแข็งรินเหล้าเบียร์ลงไปอย่างกระตือรือร้น

“นั่นเขาทำอะไรกันคะป้าใจ?” ฤทัยรัตน์หันไปถามนางสายใจที่กำลังยกจานอีกชุดหนึ่งออกไปให้คนงานด้านนอก

“คุณปานเลี้ยงเหล้าไอ้พวกนี้จ้ะ นี่คงหมดไปหลายตังค์ ไม่รู้นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไร” เปรยเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปพร้อมจานใส่กับแกล้ม หญิงสาวมองตามไปแล้วก็ย่นคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะถอยหลังเข้าบ้านเมื่อสายตาไปปะทะกับดวงตาคู่คมของเจ้านายหนุ่มเข้าเต็มเปา

“นายอย่าคิดมากเลยนะครับเรื่องผู้หญิง หมดคนนี้เดี๋ยวคนโน้นก็เข้ามา ทางที่ดีผมว่านายลองมองคนใกล้ๆ ตัวดูหน่อยเป็นไรไป อย่างหนูนุ่มก็ใช้ได้นะครับ น่ารักวัยขบเผาะกำลังดี” คนงานวัยใกล้เกษียณเอียงหน้ากระซิบกระซาบกับเจ้านาย ใบหน้าของแกยิ้มยวนหากแต่ก็ไม่ทะลึ่งทะเล้นจนเกินรับ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังสั่นหน้าอยู่ดี

“ทำไมถึงคิดว่าผมคิดมากเรื่องผู้หญิงล่ะ” ถามพลางมองน้ำสีนวลภายในแก้วใสอย่างไม่แสดงอาการใดๆ ให้อีกฝ่ายจับผิด หากแต่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนมีหรือรู้ไม่ทัน ฝ่ายนั้นยิ้มมุมปากแล้วตอบ

“แหม… อย่าหาว่าผมอวดรู้เลยครับ แต่ผมมันก็ปูนนี้แล้ว มีหรือจะมองไม่ออกว่าคนหนุ่มเลือดเนื้อร้อนแรงอย่างนายจะมีเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องผู้หญิง อีกอย่างนายชวนพวกเรากินเหล่าเป็นน้ำวันนี้มีหรือผมจะเดาไม่ออก ผมสังเกตนายมาหลายวันแล้วนา แล้วไหนคุณคนสวยไม่เห็นมาอีกเลยผมก็เดาได้ล่ะว่าคงมีปัญหาชัวร์…”
คนเริ่มเมาเหล้าอวดภูมิหนำซ้ำยังกล้าฟันธง หากแต่มันก็ทำให้ปานกมลต้องก้มหน้าอย่างยอมรับในที เขาอยากกินให้สะใจ กินให้เมา และบอกตัวว่าเป็นวันสุดท้ายที่จะคิดถึงเปรมปรีดิ์ ชายหนุ่มเงยหน้ามองเข้าไปภายในบ้าน อีกฝ่ายที่จับตามองอยู่ก่อนแล้วจึงยิ้มถูกใจ

“ลองคิดดูนะครับ ไอ้หนูนุ่มมันน่ารักออก เลี้ยงดีๆ รอให้โตอีกสักหน่อยก็ได้ค่อยว่ากัน แต่ต้องคอยกันไอ้พวกหนุ่มๆ ไว้ให้ดีนะครับ ไอ้พวกนี้มันจ้องตาเป็นมัน อีกอย่างหนูนุ่มยิ่งโตก็ยิ่งสวย ถ้าปล่อยให้คนอื่นได้ไปก็น่าเสียดาย” คนงานวัยกลางคนทิ้งท้ายก่อนหันไปคุยกับพวกกันเองที่เอ่ยถามอะไรสักอย่าง แล้วหันกลับมาอีกอย่างลุ้นอยู่ในใจ

“ผมไม่นิยมทำตัวเป็นสมภารแล้วหันมากินไก่วัดที่เลี้ยงไว้เสียเอง”
ปานกมลพูดเสียงเรียบ หากแต่คนฟังกลับย่นคิ้วไม่เห็นด้วยนัก เพราะไก่วัดตัวนี้มีคุณสมบัติดีไม่น้อยหน้าใครที่ไหน หากเจ้านายไม่สนใจเขาก็เสียดายแทน เพราะแก่ปูนนี้เขาก็พอจะดูออกว่า ‘ใครเป็นยังไง’ หากเปรียบเปรมปรีดิ์เป็นดั่งหงษ์ ฤทัยรัตน์ก็เปรียบเป็นช้างเผือกที่รอการค้นพบจากผู้มีบุญเท่านั้น…

“โธ่นาย คิดมากทำไม นายทำเป็นไม่สนใจ ยึดถือคติเก่าๆ ระวังไก่วัดตัวงามจะถูกคนนอกลากไปกินนะครับ”
ปานกมลไม่ตอบโต้หากแต่อมยิ้มมุมปาก นึกถึงบางอย่างที่จะลากไก่ตัวงามเอาไปกิน

“แถวนี้ไอ้พวกหนุ่มๆ มันยิ่งแย่งกันอยู่ เวลาหนูนุ่มเดินผ่านก็เป่าปากให้เจี๊ยวจ๊าว ลองหน่อยเถอะน่า ไก่สาวเนื้อนุ่มเคี้ยวง่ายกระดูกยังอ่อน ที่สำคัญ ไม่คาวจัดเหมือนไก่แก่แม่ปลาช่อนนะครับ…”
คำพูดทุกคำของคนงานแฝงไว้ด้วยความจริงทุกประการ แต่เขาไม่อาจทำลายความไว้วางใจที่ฤทัยรัตน์มีต่อเขาได้ หล่อนยังเด็ก ยังมีอนาคต ควรได้พบเจอคนรุ่นราวคราวเดียวกันถึงจะถูก ที่สำคัญหล่อนกลัวเขาอย่างกับกลัวยักษ์มาร เรียกได้ว่าไม่เคยเข้าใกล้กันเกินหนึ่งเมตร ยกเว้นครั้งนั้น วันที่รถล้ม และมันก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ มาจนถึงทุกวันนี้…

ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะกระดกเหล้าขาวเข้าปากราวกับไม่รู้สึกรู้สารสชาติบาดคอของมัน เมื่อภายในใจครุ่นคิดถึงสิ่งที่คนงานชายวัยกลางคนเอ่ยวนเวียนซ้ำซาก ก่อนจะบอกตนเองว่าเขาควรเลิกคิดเรื่องเหลวไหลเสียที…

ฤทัยรัตน์มองออกไปยังลานหน้าบ้านที่มีโต๊ะตัวยาวต่อกันแล้วมีคนงานนั่งดื่มกินร่วมกับเจ้านายอย่างครึกครื้นด้วยความไม่สบายใจนัก

“นี่เขาจะกินจนมืดค่ำเลยหรือคะป้าใจ” หันไปถามนางสายใจที่เดินเข้ามา

“คงจะยังงั้นล่ะ ว่าแต่นุ่มทำไมยังไม่กลับล่ะ นี่เย็นมากแล้วนะ ฟ้าครึ้มแล้ว” ฤทัยรัตน์หลุบตามองคนตัวเล็กที่ก้มหน้าวาดรูปแล้วยิ้มให้คนถาม

“กำลังจะกลับแล้วล่ะค่ะ ยังไงฝากน้องเต้ด้วยนะคะ” น้องเต้เงยหน้ามองพี่เลี้ยวสาวแล้วยิ้ม

“พรุ่งนี้มาอีกนะคบ น้องเต้จะรอ” คนตัวเล็กบอกเพื่อนซี้ต่างวัย

“ครับผ๊ม!” หญิงสาวทำท่าตะเบ๊ะให้กับน้องเต้ เด็กน้อยหัวเราะร่าอย่างถูกใจก่อนจะเลี่ยงไปยังห้องทำงาน หยิบกระเป๋าสะพายออกมาแล้วเดินเลี่ยงกลุ่มคนงานไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของตนที่จอดไว้ใต้ร่มไม้ไม่ไกลนัก

“เฮ้ยไอ้ชาย นั่นน้องนุ่มของเอ็งนี่หว่า สงสัยกลับบ้าน?”
คนงานชายวันคะนองตวัดตามันวาวมองไปยังร่างบอบบางของสาวน้อยอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก เขาหลงรักฤทัยรัตน์มาตั้งแต่แรกพบ จนวันนี้ก็ยังคงรักไม่เสื่อมคลาย แต่เจ้าหล่อนกลับไม่ยอมมองเขาเลยสักนิด เรียกว่าไม่มองใครเลยถ้าจะถูกต้องกว่า

“อ้าว! จะไปไหนวะ?” ‘นายโจ’ คนเดิมเอ่ยถาม เมื่อ ‘นายชาย’ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่

“ไปหาที่ยิงกระต่ายหน่อย” ว่าแล้วก็เดินปลีกตัวออกไปจากกลุ่มเพื่อน หากแต่คนเดิมยังมองตามอย่างครุ่นคิดก่อนหันไปกระซิบกระซาบกับคนที่ยังอยู่

“พวกเอ็งว่าไอ้ชายมันไปไหนวะ?”

“ข้าว่าตามน้องนุ่มว่ะ”

“อืม… ข้าก็ว่ายังงั้นเหมือนกัน” อีกคนเสริม โจมองเพื่อนแล้วหันไปมองคนที่หายลับไปยังพุ่มไม้แล้วหันกลับมาใส่ใจกับเหล้ายาปลาปิ้งตรงหน้า หากแต่ในใจเขากำลังคิด…

ฤทัยรัตน์สวมหมวกนิรภัยแล้วสตาร์ตรถออกไปช้าๆ อย่างเช่นทุกวัน วันนี้หญิงสาวตั้งใจกลับไปทำแกงเปรอะให้มารดาทาน เพราะท่านบ่นอยากทานมาหลายวันแล้ว ผ่านตลาดคงต้องแวะซื้อผักติดๆ ไปบ้าง คิดเพลินๆ ยังไม่ถึงไหนก็ต้องเบรกรถหัวเกือบทิ่ม เมื่อจู่ๆ ร่างหนาของใครคนหนึ่งโผล่มาขวางหน้ากะทันหัน…

“ว้าย!” ร่างสันทัดส่วนสูงไม่เกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตรของคนที่ก้าวเข้ามาทำให้ฤทัยรัตน์ต้องเม้มปากแน่นด้วยความโกรธจัด “มาขวางทำไม ทำแบบนี้รถล้มได้นะ!”
ชายแสยะยิ้มพลางกวาดกตามองตลอดร่างระหงด้วยแววตาหื่นกระหาย

“แหม พี่ชายหยอกเล่นนิดหน่อยตกใจไปได้ จะกลับบ้านใช่ไหมล่ะ ให้พี่ไปส่งนะ” ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยของนายชายทำให้ฤทัยรัตน์ใจไม่ดี หญิงสาวกวาดตามองโดยรอบอย่างระแวดระวัง แม้ตรงที่หล่อนจอดรถจะยังอยู่ในอาณาเขตปานทิพย์ก็จริง แต่ก็ไกลจากตัวบ้านมากแล้วเช่นกัน

“ไม่ต้อง ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่อยู่กับพวกคนงานข้างในล่ะ?” หัวจิตหัวใจของสาวน้อยเต้นรัวหวั่นกลัวคนตรงหน้า เพราะทั้งสีหน้าแววตาไม่น่าไว้ใจ พลันหญิงสาวก็คิดถึงปานกมลขึ้น หล่อนกำลังกลัวและอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ เหลือเกิน

“พี่ก็แค่อยากมาส่งน้องนุ่มเท่านั้น ให้พี่ไปส่งบ้านนะจ๊ะคนสวย” เสียงนั้นไม่ได้บอกว่าคนพูดเมามายอะไร หากแต่กลิ่นเหล้าที่คลุ้งออกมาจากริมฝีปากสีคล้ำทำให้หญิงสาวต้องรีบจอดรถแล้วถอยห่างอย่างตกใจ

“ไม่ต้อง! ฉันกลับเองได้ ถอยไปสิฉันจะรีบ” เสียงหวานเริ่มสั่น และอีกฝ่ายก็จับความหวาดกลัวของหญิงสาวได้

“หึหึ จะรีบกลับไปทำไมเล่าจ๊ะ มาอยู่คุยกับพี่ก่อน พี่อยากบอกน้องนุ่มมานานแล้ว ว่าพี่รักน้องนุ่มมากแค่ไหน นะจ๊ะ เรามาหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า” นายชายขยับเข้าใกล้ฤทัยรัตน์ หญิงสาวเห็นท่าไม่ดีจึงถอยหลังกรูดใบหน้าเผือดซีด

“ไม่! หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คุณปานมาช่วย!”

“หือ? คุณปานเหรอ… ฮ่ะ ฮ้า” นายชายหัวเราะเยาะพลางส่ายหน้าอย่างเห็นว่าไม่เข้าท่าสักนิด “ป่านนี้คงเมาเหล้าขาวกลิ้งไปแล้ว จะบอกให้นะจ๊ะน้องนุ่ม คุณปานเขาไม่มาได้ยินเสียงร้องของน้องนุ่มหรอก นี่ก็ไกลจากบ้านพอสมควร”

“ก็ไม่แน่! เพราะถ้าแกเข้ามาฉันร้องจริงๆ ด้วย อย่างน้อยๆ ก็อาจจะมีคนเดินผ่านมาแถวนี้มั่งล่ะ!” หญิงสาวขู่มันออกไป ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งหัวเราะดังมากขึ้น

“โธ่! พูดอะไรไม่คิดเลยนะจ๊ะน้องนุ่ม ตอนนี้คนงานมันพากันแห่ไปกินเหล้าที่บ้านนายจนหมด แล้วแบบนี้จะมีใครมาได้ยินอีกล่ะจ๊ะ”
ยิ่งได้ฟังฤทัยรัตน์ก็ยิ่งวิตกกังวล และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดแน่ หญิงสาวจึงตัดสินใจหมุนตัววิ่งเร็วสุดชีวิตกลับไปยังตัวบ้านของปานกมลทันที นายชายเบิกตากว้างด้วยความโกรธแล้ววิ่งตามไปติดๆ ไม่ว่ายังไงมันก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องสยบสาวน้อยที่มันหมายตามานานลงในวันนี้ให้ได้…







เริ่มมีปัญหากับการลงนิยาย เริ่มเมื่อยมือและ ต้องเอนเตอร์เมื่อจบบทสนทนาตลอดเลย ทำไงดีล่ะเนี่ย แต่ละตอนยาวเสียด้วยสิคะ...



วิลัลวลี วิลัลลา เจตคมน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2556, 17:53:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2556, 17:53:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 821





<< บทนำ   บทที่ 2 ขวัญเอ๋ยขวัญมา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account