สัญญารักจอมโหดแดนเถื่อน
"พี่สตรองไม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา" มันคือคำสัญญาก่อนจากลา
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 1
บทที่ 1
บนศาลาสวดศพที่วัดแห่งหนึ่ง หญิงสาวร่างบางอรชรงดงามสมส่วนชวนมอง ผิวขาวใสอมชมพู ผมยาว
สลวยดุจแพรไหมรวบไว้ด้านหลังด้วยที่รัดผมสีดำเข้ากับชุดดำ ทว่าใบหน้าสวยใสน่ารักกับดวงตากลมโตนั้นกลับ
หม่นหมองเศร้ายิ่งนักยามจ้องมองรูปถ่ายข้างโรงศพของสตรีสูงวัยผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ สักพักน้ำตาก็เริ่ม
อ่อคลอดวงตาคู่สวยก่อนจะจางหายไปเพราะเจ้าของไม่มีวันยอมให้มันหลั่งรินให้ใครเห็นแม้จะสูญเสียบุคคลอัน
เป็นที่รักไปชั่วชีวิตก็ตาม
‘แม่คะ มันเร็วไปที่แม่มาด่วนจากฟางไป ฟางไม่เชื่อว่าแม่ตายเพราะโรคหัวใจกำเริบ แต่ฟางไม่มีอำนาจ
อะไรไปแย้งพวกเขา พี่นุเองก็เชื่ออย่างนั้น สิ้นแม่แล้วฟางไม่รู้จะอยู่อย่างไรกับคนพวกนั้น นอกจากพี่นุแล้วทุกคน
อยากขับไล่ใสส่งฟางทั้งนั้น แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฟางเข้มแข็งพอและจะเก็บของที่แม่ฝากฟางไว้อย่างดีจนกว่า
จะถึงเวลาเปิดมันออกมา ฟางจะไม่บอกใครแม้แต่พี่นุ แม่หลับให้สบายนะคะ ไม่ต้องห่วง ฟางดูแลตัวเองได้’
สองมือบางก้มลงกราบศพที่อยู่เบื้องหน้าก่อนขยับตัวลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงบ่นโวยวายดังมาจากด้านหลัง
“ตายแล้วงานยังไปไม่ถึงไหนเลย เดี๋ยวแขกก็จะมาแล้ว ไหนนุบอกว่าน้องฟางดูแลได้ ขืนไม่เรียบร้อย เสียชื่อ
กันพอดีงานศพคุณแม่ชาดาที่ใครๆต่างพากันนับถือ” วรดาแกล้งโวยเสียงดังหวังจะให้น้องสาวนอกไส้ของสามีได้ยิน
เธอเพิ่งแต่งงานกับทานุได้ไม่ทันถึงสองเดือน คุณชาดาแม่สามีที่ไม่ค่อยปลื้มสะใภ้อย่างเธอนักก็มาเสียซึ่งสร้าง
ความดีใจให้กับเธอมากเพราะแม่สามีนั้นไม่ค่อยชอบเธอตั้งแต่ยังไม่แต่งด้วยซ้ำแต่ก็ขวางไม่ได้ คิดแล้วอดทอด
สายตามองดูรูปแม่สามีด้วยแววสะใจไม่ได้
‘อีแก่ ตายได้ก็ดี มีลูกสะใภ้เป็นถึงหลานสาวนายกเทศมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของจังหวัด ยังไม่ปลื้มอีก ตายได้
ก็ดี แต่แกไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลนังลูกสาวกาฝากของแกอย่างดี หลับให้สบายก็แล้วกัน’
“ดาด้า ท่าที่เห็นมันก็เรียบร้อยดี คุณแม่เสีย น้องฟางก็เสียใจจะแย่อยู่แล้วคุณจะโวยให้มันได้อะไรขึ้นมา”
ชายหนุ่มหน้าตาดี ร่างสูงเพรียว ผิวขาวใส ปรามภรรยาคนสวยรูปร่างอวบระยะแรกที่มาด้วยกันอย่างเสียไม่ได้
เลยทำให้หญิงร่างสูงท้วมอายุเลยเลขห้าที่ตามมาด้วยรู้สึกไม่พอใจ
“นุ อาว่านุไปว่าหนูดาด้าก็ไม่ถูกนะ อาเห็นนังน้องนอกไส้ของเราเอาแต่ปั้นหน้าเศร้าเรียกร้องความเห็นใจ
หลังพี่ดาจากไป ไม่เห็นช่วยงานอย่างที่ปากว่าเลย” ปิยดาพยายามเข้าข้างวรดาหลานสะใภ้ ด้วยหวังพึ่งวรดา
นางเองนั้นหลังจากสามีเสียก็มาอาศัยใบบุญพี่ชายที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนและไม่ค่อยถูกกับชาดา
หรือสะใภ้ซึ่งเพิ่งจากไปด้วยโรคหัวใจกำเริบนักเพราะชาดารู้จักนิสัยของนางดีซ้ำร้ายกว่านั้นยังรักหลงนังเด็กเก็บ
มาเลี้ยงอย่างลษิดาเหมือนลูกเลยกลัวว่าจะยกสมบัติส่วนหนึ่งให้ด้วยจึงต้องหาทางกำจัดไปให้พ้นๆโดยยุยง
หลานชายบ่อยๆและธานุนั้นค่อนข้างเชื่อนางมากกว่าเพราะเคยเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็ก
“ผมขอเถอะครับงานศพคุณแม่ ถ้าไม่พอใจอะไรก็ขอให้เก็บไว้ก่อน ผมต้องการให้งานผ่านไปอย่างราบรื่น
แล้วค่อยมาว่ากัน แขกใกล้มาแล้ว ผมขอไปคุยกับน้องฟางก่อน” ทานุตัดรำคาญและเดินไปหาน้องสาวนอกไส้ที่มาร
ดารักยิ่งนักเพราะหลังคลอดเขาท่านก็ไม่สามารถมีลูกได้อีก และเคยบ่นอยู่บ่อยๆอยากได้ลูกสาวสักคน กระทั่งเขา
อายุแปดขวบท่านก็ได้สมใจหลังท่านไปทำธุระที่ต่างจังหวัดหลายวันพร้อมบิดาและกลับมาพร้อมเด็กทารกหญิง
อายุไม่ถึงแปดเดือน หน้าตาน่าเกลียดน่าชังมากที่ชื่อว่าลษิดาหรือน้องฟาง ตอนนั้นเขายอมรับว่าชิงชังน้องคนนี้
และทำให้สนิทกับปิยดาผู้เป็นอามากขึ้น แต่ด้วยความน่ารักของลษิดาจึงทำให้เกลียดไม่ลงแต่ไม่ถึงกับรักมากมาย
เพราะมีคนเป็นอาคอยยุยงอยู่เรื่อยกลัวเขาจะรักหลงเด็กที่มารดาเก็บมาเลี้ยงอีกคน ถึงปิยดาจะยุยงอย่างไรก็ไม่
เป็นผลทั้งนี้เพราะทรัพย์สมบัติของบิดามารดานั้นตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวยกเว้น เงินสดกับทิ่ดินบางแปลง
ที่มารดาซื้อในระยะหลังและเครื่องเพชรซึ่งท่านยังไม่ได้ยกให้ใคร หากจะยกให้ลษิดาบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร ถึงอย่าง
ไรเธอก็ได้ชื่อว่าน้องสาวของเขาอยู่ดีและใช้นามสกุลเดียวกับเขา
“น้องฟาง เป็นไง ทุกอย่างเรียบร้อยไหม” ทานุถามพลางมองหน้าสวยใสน่ารักที่ดูหม่นหมองแล้วให้นึก
สงสารเหมือนกัน มารดาสิ้นไปน้องสาวที่น่าสงสารคงสะเทือนใจไม่น้อยเพราะลษิดานั้นผูกพันกับมารดาของเขา
มากยิ่งกว่าลูกแท้ๆอย่างเขาเสียอีก
“ค่ะ พี่นุจะดูความเรียบร้อยไหมคะ” ลษิดาไม่อยากพูดอะไรมาก เธอรู้หลังสิ้นมารดาแล้ว ลูกสาวนอกไส้
อย่างเธอคงจะอยู่ในบ้านสิทธิไพศาลอย่างลำบากและอาจต้องหาที่อยู่ใหม่ก็ได้ ทั้งปิยดาน้องสาวของบิดาบุญธรรม
กับวรดาพี่สะใภ้ต่างไม่ชอบเธอ เห็นเป็นกาฝากมาตลอด แต่เธอก็ไม่มีที่ไป ไม่รู้จะไปอยู่ไหน หลังเรียนจบก็คอยเฝ้า
ดูแลมารดามาตลอด คนอื่นอาจมองเธอเป็นแค่ลูกที่เก็บมาเลี้ยงของคุณชาดาแต่เธอรู้ความรักของท่านที่มีต่อเธอ
นั้นไม่ต่างจากแม่แท้ๆที่มีต่อลูกแม้คนในบ้านจะตอกย้ำให้เธอรู้ตลอดว่าเป็นแค่ลูกเลี้ยงและเธอก็ไม่ได้น้อยใจ
เพราะมารดามักพูดกับเธอเสมอว่า
‘ฟาง ถึงแม่ไม่ได้คลอดฟางออกมาแต่แม่ก็รักฟางเหมือนลูกแท้ๆและความรักที่แม่มีให้ฟางก็ไม่ต่างจาก
แม่ที่ให้นมลูกดื่มกินในยามหิวตลอดเวลา อย่าไปใส่ใจคำพูดของคนอื่นแค่ฟางมีแม่รักก็พอแล้วลูก’
นึกถึงคำพูดมารดาแล้วดวงตากลมโตคู่สวยเริ่มมีน้ำตาคลอเอ่อขึ้นอีก ทานุเห็นแล้วให้สงสารนักจึง
อดเอ่ยคำพูดปลอบประโลมไม่ได้
“อะไรกันน้องสาวคนเก่งของพี่ ไหนว่าจะไม่ร้องอีก แล้วนี่จะร้องอีกแล้วเหรอ ไม่เอาไปกับพี่ดีกว่า ช่วยกัน
ไปต้อนรับแขกดีกว่า” มือหนาจูงมือบางไปหาแขกผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานศพคุณชาดา สิทธิไพศาล เศรษฐีนีหม้าย
ผู้ใจบุญประจำจังหวัด
“ต๊าย หนูดาด้าดูนังเด็กนั่นแกล้งสำออยตีบทโศรกให้ตานุสงสารจนต้องปลอบจับจูงมือกันพาไปรับแขก
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ตานุยิ่งเป็นคนขี้สงสารอยู่ด้วย อีกอย่างไม่ใช่พี่น้องกันจริง อากลัวว่า..” ปิยดาเห็นแล้วอดยุ
วรดาไม่ได้ การกำจัดลษิดาต้องอาศัยหลานสะใภ้ช่วยอีกแรง นางรู้วรดานั้นร้ายแค่ไหนแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่ง
หญิงจึงทำให้ทานุหลงจนยอมแต่งด้วย แต่ไม่ว่าวรดาจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่สนเพราะคนที่นางชิงชังคือลูกเลี้ยง
ของพี่สะใภ้ที่เพิ่งตายไป
ที่จริงนางจะไม่ชิงชังลษิดามากนักหากเด็กสาวไม่ทำให้เธอไม่กล้าสู้หน้าพี่สะใภ้และอยู่อย่างอับอาย
เพราะหลังสามีมาด่วนตายไปนางก็กลับมาอยู่กับพี่ชายแต่เพราะความเหงาทำให้ไปหลงใหลพ่อหม้ายเมียเผลอ
จนมีอะไรกันและต่อมาก็สอนให้นางติดการพนันจนเป็นหนี้ก้อนโตถึงขั้นเจ้าของบ่อนคิดขู่ฆ่าถ้าไม่เอาเงินมาใช้
และระหว่างที่จนหนทางนั้นพี่สะใภ้บังเอิญเพิ่งไปเบิกเงินก้อนโตมาซื้อที่นางจึงฉวยทีเผลอขโมยมาแต่บังเอิญ
เด็กน้อยเพิ่งกลับจากโรงเรียนมาเห็นเข้าและร้องถามออกมาเรื่องจึงแดงขึ้นมาจนพี่สะใภ้จับได้และยินดีใช้ให้
แต่บังคับให้เลิกเล่นไม่อย่างนั้นจะขับออกจากบ้านปล่อยให้เจ้าของบ่อนตามล่าเอาชีวิตเอง ตั้งแต่นั้นมานางก็
ชิงชังพี่สะใภ้เข้าไส้โดยเฉพาะลูกเลี้ยงซึ่งพี่สะใภ้รักนักหนา วันนี้พี่สะใภ้จากไปแล้วถึงคราวนังลูกสาวนอกไส้
ที่รักนักหนา คอยดูนางจะทำให้ย่อยยับไปกับตาโดยอาศัยวรดานั่นเอง
“อาดา ไม่ต้องบอกก็ได้ ดาด้ารู้หรอกน่าจะทำอย่างไรกับนังฟาง รอให้งานศพผ่านไปก่อน ค่อยจัดการกับ
มันยังไม่สาย” ร่างอวบเย้ายวนลุกเดินไปหาร่างสูงเพรียวของสามีและฉีกยิ้มหวานเมื่อไปถึง
“นุคะ ที่ในครัวกำลังยุ่งเรื่องอาหารรับแขก ให้น้องฟางไปช่วยดีกว่า คนอื่นไม่เก่งเรื่องกับข้าวกับปลาเท่า
น้องฟางเลยต้องวานให้ช่วยหน่อย” วรดาทำทีเป็นพูดจาอ่อนหวานต่อหน้าแขกและชื่นชมลษิดาให้แขกผู้ใหญ่ที่
มาได้ยิน
“ดาด้าแต่น้องฟางถือเป็นเจ้าของงานคนหนึ่งนะ ให้ต้อนรับแขกพร้อมผมก็สมควรแล้วนี่” ทานุไม่เห็นด้วย
และทำให้วรดาชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“พี่นุอยู่ต้อนรับแขกกับคุณดาด้าเถอะค่ะ น้องฟางขอไปดูเรื่องอาหารเลี้ยงแขกก่อนค่ะ” ลษิดาไม่อยากมี
ปัญหาหรือทะเลาะกันให้อายแขกจึงจำยอมปลีกตัวมาหลังศาลาที่เป็นที่ทำอาหารเลี้ยงแขกในงาน งานศพมารดา
มีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานมากมาย อาหารจึงต้องดูแลให้ทั่วถึงทั้งนี้เพื่อหน้าตาของพี่ชายกับพี่สะใภ้ซึ่งเป็นถึง
หลานสาวนายกเทศมนตรีผู้ทรงอิทธิพลด้วย
ร่างบางอรชรงดงามเดินมาหลังศาลาตั้งศพของวัดซึ่งแม่ครัวกับคนในบ้านกำลังปรุงอาหารและเครื่องดื่ม
ไว้คอยต้อนรับแขกในงานแต่พอเห็นหญิงสาวซึ่งเป็นบุตรสาวผู้ตายเดินมาจึงหันไปยิ้มให้
“คุณฟางขา ทำไมไม่ไปต้อนรับแขกคะ ที่นี่ปล่อยให้ป้ากับพวกนี้ทำก็ได้ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” แม่ครัวเอก
ของบ้านสิทธิไพศาลบอก นางนั้นนึกสงสารคุณหนูของตนยิ่งนัก จากนี้ไปเห็นทีจะอยู่ยาก ตอนคุณผู้หญิงอยู่ไม่มีใคร
กล้าแตะต้องลูกรักของท่านแต่จากนี้ไปคงยากเต็มที่เพราะทุกคนต่างชิงชังลษิดาทั้งนั้น จะให้หวังพึ่งพี่ชายเห็นที
จะยาก ปกติก็ไม่ค่อยมาสุงสิงวุ่นวายกับน้องสาวอยู่แล้วเพราะยุ่งอยู่กับงาน พวกตนเป็นเพียงลูกจ้างอาศัยใบบุญ
นายคงช่วยอะไรมากไม่ได้ถึงแม้จะรักและเอ็นดูหญิงสาวมากแค่ไหนก็ตาม
“มีคนทำแทนแล้วป้าจิน ที่นี่มีป้าจินคุมอยู่ ฟางก็วางใจ งั้นฟางขอไปดูที่อื่นก่อน” ลษิดาบอกแล้วเดิน
จากมาเงียบๆจนผู้คนในครัวต่างพากันถอนใจด้วยความสงสาร ตั้งแต่คุณชาดาสิ้นร่างบางนั้นดูเหมือนบางลงอีก
เพราะโศรกเศร้ากับการจากไปของมารดาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับก็ว่าได้แต่พวกตนก็ไม่อาจช่วยได้จึงได้แต่หวัง
ให้คุณหนูคนสวยน่ารักของพวกตนอยู่รอดปลอดภัยในบ้านนับจากนี้เป็นต้นไปเถอะ
ร่างบางอรชรเดินเลยมานั่งพักบนแคร่ไม้ไฝ่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดห่างจากศาสาสวดศพไม่ไกลนัก ดวงตา
กลมโตงดงามจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ชีวิตนับแต่นี้ไปจะทำอย่างไรต่อไปดี สิ้นมารดาแล้วคง
ไม่มีใครคอยคุ้มครองอีก คิดพลางเหลียวมองรอบๆพลันเห็นสระน้ำใหญ่ในวัดแล้วให้นึกถึงใครคนหนึ่งเมื่อ
สิบกว่าปีก่อน รูปร่างสูงเพรียวเก้งก้างหน่อยที่เคยมาพักอาศัยอยู่ด้วยพักหนึ่งและมักไปไหนมาไหนกับเธอ
และมารดาเสมอ ลษิดายังจำได้ดีถึงเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีก่อนกับพี่ชายแสนดีที่คอยคุ้มกันน้องฟางตลอดเวลา
ที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันมาเกือบปี
มันเริ่มต้นจากผู้หญิงวัยเดียวกับมารดานำพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งตัวสูงเพรียวหน้าตาดีมาหา
‘ดา ฉันมีความจำเป็นต้องไปอยู่ที่อื่นสักพัก เอาลูกไปด้วยไม่สะดวก ไว้ได้ที่อยู่แน่นอนแล้วจะมารับไปอยู่
ด้วยกัน อยู่กับเธอฉันมั่นใจลูกฉันต้องปลอดภัย ก่อนที่อะไรๆจะคลี่คลาย ฉันคงต้องฝากลูกไว้กับเธอก่อน’ พีรชา
บอกเพื่อนรักตามตรงเพราะชาดาได้ไล่ทุกคนออกไปหมด ยกเว้นบุตรสาวที่อายุแค่เจ็ดขวบหน้าตาหน้าเอ็นดู
ซึ่งนั่งทำการบ้านอยู่ไม่ไกลนัก
‘นี่พวกนั้นทำกันถึงเพียงนี้เชียว ไม่ต้องห่วงไม่มีใครรู้แน่ ฉันจะคอยส่งข่าวให้รู้ ดีเหมือนกันลูกสาวฉัน
น้องฟางจะได้มีพี่ชายบ้าง ลูกฉันมันอิจฉาน้องไม่อยากมีน้องสาว นี่เลยพานโกรธแม่ไปด้วยหาว่ารักน้องมากกว่า
ตอนนี้กลายเป็นหลานรักของอาไปแล้ว ฉันไม่อยากให้อยู่ใกล้แม่ปิยดาเท่าไหร่แต่พูดมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวคุณวัฒน์
หาว่ารังเกียจน้องสาวเขา’ ชาดาปรับทุกข์ให้เพื่อนรักฟังบ้าง
‘ไม่ต้องกลัวไปหรอก ตานุมีพ่อแม่ดี พื้นฐานก็ต้องดี ไม่ช้าจะคิดได้เองและเลิกอิจฉาน้อง ผิดกับลูกชายฉัน
นั่นอยากมีน้องสาวแต่..ช่างเถอะ ฉันคงอยู่นานไม่ได้ ว่าแต่เธอไม่เดือดร้อนแน่นะที่จะให้ลูกฉันมาอาศัยอยู่สักพัก
ฉันกลัวคุณวัฒน์จะไม่พอใจ’ พิรชารู้สึกเกรงใจเพื่อนรักกลัวสร้างปัญหาให้เพื่อนกับสามี
‘อย่าห่วงเลย รายนั้นอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ก็พอ ไหนล่ะลูกชายเธอ เมื่อครู่ยังเห็น
อยู่นี่อยู่เลย’ ชาดาถามพลางสอดส่ายสายตามองหาบุตรชายเพื่อนซึ่งก็ไม่ต่างจากพิรชาซึ่งมีสีหน้าตกใจเมื่อไม่
เห็นบุตรชายแล้วต่อมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีร่างสูงเพรียวกำลังนั่งคุยกับเด็ก
หญิงหน้าตาน่ารักแก้มใสที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกลนัก
‘เห็นมั้ยล่ะ ฉันบอกแล้วลูกชายฉันอยากมีน้องสาว นั่นคงเป็นลูกสาวเธอสินะ หน้าตาน่ารักน่าชังมาก
ฉันขอเข้าไปดูใกล้ๆหน่อย’ ว่าแล้วร่างบางของพิรชาก็เดินเข้าไปหาบุตรชายกับบุตรสาวตัวน้อยของเพื่อนรักที่นั่ง
อ่านหนังสืออยู่ไม่ไกล
‘ว๊า คำนี้สะกดยังไง อ่านยากจังภาษาอังกฤษนี่’ เสียงใสของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูบ่น
ออกมาเมื่อเจอกับคำศัพท์ใหม่
‘อ่านว่า เมคครับ M A K E เมค แปลว่าทำ’ เสียงห้าวของเด็กหนุ่มตอบให้แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเมื่อเห็น
ดวงตากลมโตของเด็กหญิงจ้องมองเขาด้วยแววฉงนพลางถามออกมาว่า ‘พี่เป็นใครคะ เข้ามาบ้านแม่น้องฟางได้
ได้อย่างไร’
‘พี่ชื่อ ปรินทร์ เรียกว่าพี่สตรองก็ได้ มากับแม่ แล้วน้องล่ะชื่ออะไร’ เด็กหนุ่มบอกพลางจ้องมองใบหน้าสวย
ใสแก้มเนียนใสขาวอมชมพูบอกความเป็นเด็กสุขภาพดีเห็นแล้วอยากหอมพวงแก้มใสด้วยความมันเคี่ยวนัก
‘แล้วแม่รู้จักแม่น้องฟางหรือเปล่า’ เด็กหญิงถามเสียงเข้มจัดกลัวเป็นคนร้าย
‘รู้จักสิจ๊ะลูก พี่สตรองเป็นลูกของเพื่อนแม่ จะมาอยู่กับแม่ กับน้องฟางสักพัก จนกว่าได้ที่เรียน น้องฟาง
ยินดีให้พี่เขาอยู่กับน้องฟางไหมเอ่ย’ ชาดาเป็นคนตอบเอง
‘สวัสดีค่ะ พี่สตรอง น้องฟางยินดีต้อนรับค่ะ’ พอมารดาบอกเด็กหญิงก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแถมยกมือไหว้
ผู้สูงวัยกว่าอย่างมีมารยาทจนเรียกความเอ็นดูให้ผู้ใหญ่กับเด็กหนุ่มได้
‘แล้วน้าล่ะจ๊ะ ไม่ไหว้บ้างเหรอน้องฟาง’ เห็นความน่ารักของบุตรสาวเพื่อนรักแล้วพิรชาอดเย้าไม่ได้และ
เด็กหญิงก็น่ารักยกมือไหว้อย่างงดงามตามมาด้วยเสียงใสชวนฟัง ‘น้องฟางสวัสดีคุณน้าค่ะ’
‘สตรองน้องไหว้แม่แล้ว ลูกไหว้น้าดาด้วยสิ อยู่กับน้าดาสักพัก เชื่อฟังน้าดาและคอยดูแลน้องฟางด้วยนะ
ไว้แม่มีที่อยู่แน่ชัดแล้วจะมารับไปอยู่ด้วย’ พอพิรชาบอกบุตรชายจึงรีบยกมือไหว้ชาดาแล้วพูดขึ้นว่า ‘ผมรบกวน
น้าดาด้วยครับ’
‘ไม่เป็นไรน้ายินดีให้รบกวนนานๆ อยู่นี่ก็ดีเหมือนกันจะได้ช่วยสอนการบ้านลูกสาวน้า เป็นเพื่อนเล่นก็ได้
ถือว่าเล่นกับน้องสาวก็แล้วกันนะ’ ชาดามอบหน้าที่ให้และเด็กหนุ่มก็ตอบรับด้วยเสียงหนักแน่นจริงจังว่า
‘ครับ’
จากนั้นมาพี่สตรองก็คอยสอนการบ้านเล่นกับน้องฟางและคอยปกป้องยามน้องฟางถูกคนในบ้านอย่าง
ปิยดาหรือคนอื่นรังแกเอาและคอยตามชาดามาวัดบ่อยๆ ระหว่างนั้นน้องฟางรู้สึกมีความสุขมากเหมือนมีพี่ชาย
คอยปกป้องกระทั่งวันจากลามาถึงพี่สตรองได้ให้สัญญากับน้องฟางที่วัดแห่งนี้
‘พี่สตรองม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา’
จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ลษิดาคิดถึงคำสัญญาแล้วพลางถอนใจ เวลาผ่านมาเกือบสิบห้าปีแล้ว
พี่สตรองคงลืมน้องฟางหมดแล้ว พี่สตรองขาตอนนี้พี่ไปอยู่ที่ไหน น้องฟางไม่มีใครแล้ว แม่ก็จากน้องฟางไปแล้ว
ไม่มีใครคอยชี้แนะอีกต่อไป ทำอย่างไรดีกับชีวิต ยิ่งคิดหญิงสาวยิ่งอ้างว้างมองไม่เห็นแสงสว่างในชีวิตแล้วก็แทบ
สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทักขึ้นดังๆ
“โอ๊ะโอ ไม่นึกไม่ฝันน้องฟางจะมาคอยต้อนรับพี่ สงสัยจะดีใจที่พี่บิ๊กจะมางานศพแม่น้องฟาง ต้องขอบใจ
เจ้านุมันหน่อยที่บอก ช่างรู้ใจเพื่อนจริง”
ลษิดาเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตดำกางเกงดำ บุตรชายคนเดียวของเสี่ยประกิต
เจ้าของบริษัทขนส่งผู้ทรงอิทธิพลและเป็นเพื่อนของทานุชื่อตนัย นิสัยเจ้าชู้ใช้ผู้หญิงเปลืองเพราะหน้าตาสะดุดตา
พอควรแต่นิสัยไม่ดีจากที่เธอได้สัมผัสมา ทุกครั้งที่มาหาทานุที่บ้านก็ทำตัวกร่างใหญ่คับบ้านโดยที่พี่ชายไม่ว่าสัก
นิด เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เมื่อก่อนยังมีมารดาอยู่จึงเกรงๆบ้างแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว คงไม่มีใครมาคิดปก
ป้องลูกเลี้ยงอย่างเธอแน่แม้ว่าทานุจะเอ็นดูเธอก็ตาม ฉะนั้นจึงต้องระวังตัวโดยการไปให้ห่างจากผู้ชายเลวๆคนนี้
เสีย ไม่อย่างนั้นเธอาจถูกรังแกได้ ร่างบางอรชรจึงคิดลุกหนีกลับเข้าไปในงานแต่ก็ทำไม่ได้ดังใจหวังเมื่อร่างสูงได้
มายืนขวางไว้
“คุณตนัยถ้าจะมาคารวะศพคุณแม่ก็เชิญที่ศาลา แต่ถ้าไม่ใช่ก็กรุณาหลีกทางด้วย” หญิงสาวพูดจาไม่
หวานหูสำหรับคนฟังเลยสักนิด
“ดุเสียด้วย ดุอย่างนี้พี่ชอบ มาเป็นแฟนพี่ดีกว่าจะได้มีคนคุ้มครอง” ตนัยกลับชอบใจพลางจ้องมองไป
ทั่วร่างน้องสาวนอกไส้ของเพื่อนที่ถูกใจเขาแต่แรกเห็นหน้าแต่ติดที่ผู้ใหญ่คุ้มหัว เพราะคุณชาดานั้นจัดได้ว่ามี
คนนับหน้าถือตาเยอะแต่วันนี้ยายแก่นั่นไม่อยู่เป็นก้างขวางอีกแม่สาวน้อยนี่ไม่รอดมือเขาแน่
“ขอบคุณในความหวังดี แต่ฉันดูแลตัวเองได้ หลีกทางด้วย” คราวนี้หญิงสาวเหลืออดจึงพูดด้วยน้ำเสียง
ห้วนจัดและทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดจึงยื่นมือใหญ่ไปหมายจะจับมือหากไม่มีเสียงถามดังขึ้นก่อน
“นั่นใครกัน มาทำอะไรตรงนี้” ภิกษุสูงวัยเป็นที่เคารพของผู้คนในจังหวัดเดินตรงเข้ามาหา
ลษิดายกมือไหว้ทำความเคารพขณะที่อีกฝ่ายกลับทำเฉยเพราะเขานั้นไม่ถูกชะตากับภิกษุสูงวัยรูปนี้แต่
ก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะผู้คนต่างให้ความเคารพนับถือในความดี ความประพฤติที่เหมาะกับคำว่าพุทธบุตร ไม่เคย
ทำผิดพระวินัยหนำซ้ำยังช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนตลอดและเป็นพระที่ผู้ตายนับถือมากด้วย
“คิดว่าใครที่แท้ก็โยมตนัยนี่เอง มาร่วมงานศพโยมชาดาไม่ใช่รึ ทำไมไม่ไปบนศาลา เจ้าของงานเขายืน
ต้อนรับแขกอยู่ตรงโน้น” ภิกษุสูงวัยถามเหมือนไล่กรายๆทว่ากลับทำให้ผู้ถูกถามทำหน้าไม่พอใจอย่างหนักแต่ที่
ทำได้คือเอ่ยคำพูดประชดภิกษุสูงวัยอย่างไม่กลัวเกรงบาปกรรมออกมา
“กำลังจะไปเหมือนกันแค่เห็นลูกสาวคุณนายชาดานั่งทำหน้าเศร้าก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาปลอบ หลวงพ่อ
ไม่ต้องรีบไล่ก็ได้” ได้ทำอะไรสะใจแล้วก็รีบพาร่างสูงโปร่งไปทันทีขณะที่ภิกษุสูงวัยได้แต่ส่ายหน้าพลางเอ่ยเบาๆ
ว่า “โปรดไม่ได้จริงๆ น่าเสียดาย”
“หลวงตาคะ ฟางต้องกราบขอบพระคุณหลวงตามากที่มาช่วยไว้ ไม่รู้ว่า...” หญิงสาวไม่กล้าพูดต่อและ
คิดต่อว่าอนาคตเธอจะโชคดีเหมือนครั้งนี้หรือไม่
“หนูเป็นคนดี กตัญญูต่อมารดาแม้ไม่ได้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดแต่ก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กถือว่ามีบุญคุณมากพอๆ
กับแม่ผู้ให้กำเนิด ความดีจะเป็นเกราะคุ้มภัย เป็นแรงผลักดันให้คนที่เคยสัญญาจะปกป้องคุ้มครองกลับมาทำหน้า
ที่นี้แทนโยมชาดา” ภิกษุสูงวัยบอกในสิ่งที่ท่านเห็นผ่านญาณซึ่งมนุษย์ธรรมดามิอาจเห็นได้
“ฟางคงไม่มีวาสนาอย่างนั้นอีกแล้วค่ะหลวงตา เท่าที่ผ่านมาก็ถือว่าโชคดีมากเกินที่เด็กกำพร้าคนหนึ่งจะ
ได้รับ ต่อไปฟางคงต้องเผชิญชีวิตด้วยตัวเองเสียที ไม่มีแม่แล้วฟางต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ท่านต้องเป็น
ห่วง วิญญาณจะไปสู่สุคติค่ะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแม้จะคาดเดาชะตากรรมของตัวเองออกหลัง
งานศพมารดาผ่านพ้นไปหากยังฝืนทนอยู่ในบ้านต่อไป
“ได้ยินหนูพูดอย่างนี้ ถ้าวิญญาณโยมชาดาได้รับรู้ คงดีใจไม่น้อย”
“ฟางหวังให้ท่านไปอย่างสงบและหมดห่วง...ฟางออกมานานแล้วควรเข้าไปช่วยพี่นุเสียที ลาละค่ะหลวงตา”
หญิงสาวยกมือขึ้นประณมกราบภิกษุสูงวัยด้วยใจเคารพก่อนเดินจากไป
สายตาเปี่ยมไปด้วยเมตตาทอดมองร่างบางงดงามที่เดินจากไปพลางรำพึงในจิต ‘ไม่ช้าหนอกหนูจะรู้ว่า
หลวงตาพูดจริง’
==========
เวลาเดียวกันแต่สถานที่ต่างกันภายในห้องทำงานส่วนตัวของเจ้าของบ้านซึ่งมักใช้ชีวิตอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง
และมีรีสอร์ตอยู่เกือบทุกภาคของประเทศไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวพ่วงด้วยพืชผลทางการเกษตรที่เป็นสิ่งดึงดูดผู้คน
ให้อยากมาพักเพราะสามารถเก็บกินและชื่นชมได้ตลอดเวลาที่มาพักอยู่ แต่เวลานี้ชายหนุ่มเจ้าของสถานที่กลับไม่
ได้ใช้ห้องนี้ทำงานทว่ากลับใช้เป็นที่พิพากษาใครบางคนแทน ไม่ช้าไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เข้ามาได้” เสียงอนุญาตจากชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนหันหน้ามองผนังกระจกซึ่งสามารถมองเห็น
วิวธรรมชาติของท้องทุ่งอันงดงามด้านนอกได้บอก
“มาแล้วครับปรสิตที่แฝงตัวเข้ามาล้วงตับในผาตะวัน คุณสตรองจะให้ลงโทษอย่างไรดีครับ” คนถามเป็น
ชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่เกินคนทั่วไป ใบหน้าดุเหี้ยมจัด ผิวสองสี สวมกางเกงยีนเสื้อเชิ้ทสีดำ สายตาสี
สนิมเหล็กจ้องมองผู้เป็นนายในวัยสามสิบ เครื่องหน้าทุกอย่างคมเข้มรับกับใบหน้าหล่อได้รูปแบบแมนๆจนสาวๆ
ที่ผาตะวันพากันหลงทว่ากลับไม่กล้าเข้าใกล้ทั้งนี้เพราะทุกคนรู้ดีภายใต้หน้าตาหล่อขั้นเทพอายนั้นเด็ดขาด
น่ากลัวแค่ไหนสำหรับผู้ทำผิดกฎของผาตะวันที่ทุกคนต่างทำตาม
“เอาตัวเข้ามา” คำสั่งนั้นเย็นจนหน้ากลัว
สักพักชายร่างกำยำในชุดเสื้อผ้าป่านกางเกงยีนก็จับชายหนุ่มร่างสูงกำยำสวมกางเกงยีน เสื้อยืดสีดำเอามือ
ไพล่หลังเดินเข้ามาหาเจ้าของห้องหน้าตาหล่อดูดีจนใครๆก็ไม่อาจมองข้ามได้ทว่าแววตายามจ้องมองผู้กระทำผิด
นั้นหาแววปราณีไม่เจอเอาเสียเลย
“พวกมึงปล่อยกูนะ มาจับกูทำไม คุณสตรองผมไม่ได้ทำอะไรผิดมาจับผมทำไม” ร่างสูงกำยำพยายดิ้น
พลางทำหน้าไม่เข้าใจทว่านัยน์ตากลับจับจ้องมองผู้ที่เปรียบเหมือนผู้พิพากษาตรงหน้าอย่างท้าทาย
“ฉันขอคำถามเดียว ใครส่งแกมาสืบหาความลับในผาตะวัน ถ้าไม่ตอบนอกจากแกจะไม่ได้กลับไปในที่ๆ
มา แกยังต้องไปใช้ชีวิตในบ้านอเวจีอีก แกแฝงตัวอยู่ที่นั่นมานานคงทราบดี ว่าที่นั่นเป็นแดนสวรรค์สำหรับคนรัก
ธรรมชาติขณะเดียวกันก็เป็นนรกสำหรับคนที่มีใจไม่บริสุทธิ์ได้เช่นกัน ให้เลือกเอาจะใช้ชีวิตแบบไหน” ไม่มีคำว่า
เห็นใจสำหรับคนของศัตรูที่ถูกจับได้จากชายหนุ่มเจ้าของผาตะวัน หนึ่งในรีสอร์ตแสนงดงามสมบูรณ์แบบที่สุด
ในเครือวอเตอร์ฮิลล์รีสอร์ตแอนด์สปาซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามโดยมีขุนเขาล้อม
รอบ งดงามดั่งเมืองในฝันที่นักท่องเที่ยวต่างใฝ่ฝันอยากไปอยู่แต่มีการจำกัดนักท่องเที่ยวที่มาพักในแต่ละปี
แถมเลือกผู้ที่จะเข้าไปพักด้วยจนถูกล่ำลือกันถึงความลึกลับของรีสอร์ตแห่งนี้ที่มีทั้งความลึกลับและมนต์เสน่ห์
ที่ใครๆต่างอยากเข้าไปสัมผัสแต่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะเข้าไปพักได้
“กูไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมต้องสารภาพด้วย พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาจับคนแล้วทำโทษตามอำเภอใจด้วย
ถ้ากูผิดก็จับไปส่งตำรวจสิ” สำหรับผู้ที่ถูกนักล่าของผาตะวันจับได้การตกไปอยู่ในมือผู้รักษากฎหมายย่อมดีกว่า
ถูกพิพากษาจากผู้ยิ่งใหญ่แห่งผาตะวันที่นานๆจะไปพักอยู่สักครั้งเพราะเดินทางไปตรวจตราธุรกิจในเครือวอเตอร์
ฮิลล์ที่มีอยู่เกือบทุกภาคของประเทศรวมถึงต่างประเทศด้วยตลอด ถึงแม้ตัวจะไม่อยู่แต่กลับรู้เห็นทุกเรื่องที่เกิดใน
ผาตะวันราวกับมีตาทิพย์และไม่เคยมีใครหนีพ้นนักล่าของผาตะวันไปได้เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นเห็นทีไม่ต้องพูดกันอีก ฟาลพามันกลับไปที่ผาตะวันจับเข้าบ้านอเวจี จนกว่ามันจะรู้ซึ้งถึง
คำว่านรกบนดินและยอมสารภาพ ถ้าไม่ก็อยู่นั่นจนตาย” คำสั่งเรียบสนิทแต่น่ากลัวนัก ผู้ใดได้เข้าไปใช้ชีวิตในบ้าน
อเวจีแล้วไม่เคยได้กลับออกมาเล่าถึงความโหดร้ายในบ้านนั้นให้คนภายนอกได้ยินแม้แต่รายเดียว มีแต่คำร่ำลือ
ถึงความน่ากลัวเท่านั้นดังนั้นจึงเป็นที่เกรงกลัวของชาวผาตะวันมาก และถ้าโทษไม่หนักจริงๆนายใหญ่ไม่เคย
ส่งตัวเข้าไปอยู่ในนั้น
“มึงฝันไปเถอะว่ากูจะยอมไป ถึงขั้นนี้แล้วกูยอมตาย” พูดจบมันก็ดิ้นสุดแรงเกิดจนตัวหลุดจากการจับกุม
แล้วรีบปราดเข้าหาผู้พิพากษาหมายจะจับตัวแต่กลับต้องล้มลงเพราะถูกหมัดหนักๆเสยเข้าที่คางจนสลบจาก
ฝีมือของผู้พิพากษาซึ่งลงมือได้ไวมากก่อนเสียงสั่งราบเรียบจะตามมา
“ฟาลเอาตัวไปได้แล้ว” จากนั้นห้องทั้งห้องก็เงียบสงบเหมือนเดิม ชายหนุ่มเจ้าของห้องจึงได้ฤกษ์ทำงาน
กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมสตรีร่างบางใบหน้าอิ่มเอิบสวยสมวัยอายุหกสิบกว่าเดินเข้ามาพร้อมจดหมาย
ในมือกับสีหน้าวิตก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลังจะเซ็นแล้วลุกไปหาร่างบางทันที
“ใครทำให้แม่ไม่สบายใจ ผมจะเอาตัวมาลงโทษตัดมือตัดลิ้นเลย” คำพูดกับใบหน้านิ่งสนิทแต่แววตาขี้
เล่นผิดจากท่าทางโหดๆยามรับบทผู้พิพากษาหรือนายใหญ่แห่งผาตะวันจากหน้ามือเป็นหลังมือนั้นถ้ามารดามา
เห็นก่อนคงปรับโหมดแทบไม่ทัน
“สตรองแม่บอกกี่ครั้งแล้ว ให้เลิกพูดคำโหดๆหน้าตายเสียที ถ้าคนนอกมาได้ยินเข้าจะหาว่าลูกแม่เป็นพวก
ป่าเถื่อนโจรใจโหดหรอก” คนเป็นแม่ตีเข้าให้ที่ท่อนแขนแข็งแรงด้วยความหมั่นไส้เต็มทีกับวาจาโหดๆของบุตรชาย
ที่ถูกผู้คนนำไปร่ำลือในความโหดจนยากจะแก้ตัวแทน
“ก็ปล่อยให้คิดไป จะได้กันสาวๆด้วย แม่ออกมาจากผาตะวันเพื่อมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศทำไมทำหน้า
เครียดละครับ หรือว่าที่นี่ไม่ถูกใจแม่ ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คนพาแม่ไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ส่วนผมขอตัวตรวจงานอีกสัก
สองสามวันจะตามไป” ได้ยินน้ำเสียงห่วงใบจากปรินทร์บุตรชายคนเดียวที่ต้องใช้ชีวิตหนีหัวซุกหัวซุนร่วมกับเธอ
มาตั้งแต่เล็กกว่าจะมีวันนี้ได้นั้นทำให้พีรชาอดปลื้มใจไม่ได้ แม้ที่ผ่านมาจะลำบากแค่ไหนแต่บุตรชายกลับไม่เคย
แสดงอาการท้อแท้ให้เห็นแถมสู้ทุกอย่างเพื่อเรียกร้องของๆตัวเองคืนมา เธอภูมิในบุตรชายคนนี้มากแต่วันี้เธอมี
เรื่องสำคัญอยากให้บุตรชายไปทำให้ หากชักช้ากลัวจะไม่ทันการ
“สตรองแค่ได้เห็นลูกอยู่ดีมีสุขแม่ก็ดีใจแล้ว แต่ที่ทำให้แม่ไม่สบายใจก็เรื่องของชาดาเพื่อนรักของแม่ที่จด
หมายมาขอให้แม่ช่วย สตรองลูกจำน้าดาที่ลูกเคยไปพักด้วยพักหนึ่งได้หรือเปล่า” พีรชาถามพลางจ้องมองบุตร
ชายที่ทำท่านิ่งเงียบไปเฉยๆสักพักก็พึมพำเบาๆให้ได้ยิน
“น้องฟาง”
=======================
เรื่องใหม่ที่อยากอ่านแนวนี้เลยแต่ง มาจากความรู้สึกที่เบื่อสังคมที่วุ่นวาย เลยคิดถ้ามีที่ที่อยู่แล้วงดงามดังฝัน
ราวกับหลงเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่วุ่นวายเต็มไปด้วยตึกราทันสมัยจะเป็นอย่างไร แต่กลับมีความลับให้
น่าค้นหามากมายกับชะตากรรมของตัวละคร หวังว่าจะชอบนะคะ
บนศาลาสวดศพที่วัดแห่งหนึ่ง หญิงสาวร่างบางอรชรงดงามสมส่วนชวนมอง ผิวขาวใสอมชมพู ผมยาว
สลวยดุจแพรไหมรวบไว้ด้านหลังด้วยที่รัดผมสีดำเข้ากับชุดดำ ทว่าใบหน้าสวยใสน่ารักกับดวงตากลมโตนั้นกลับ
หม่นหมองเศร้ายิ่งนักยามจ้องมองรูปถ่ายข้างโรงศพของสตรีสูงวัยผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ สักพักน้ำตาก็เริ่ม
อ่อคลอดวงตาคู่สวยก่อนจะจางหายไปเพราะเจ้าของไม่มีวันยอมให้มันหลั่งรินให้ใครเห็นแม้จะสูญเสียบุคคลอัน
เป็นที่รักไปชั่วชีวิตก็ตาม
‘แม่คะ มันเร็วไปที่แม่มาด่วนจากฟางไป ฟางไม่เชื่อว่าแม่ตายเพราะโรคหัวใจกำเริบ แต่ฟางไม่มีอำนาจ
อะไรไปแย้งพวกเขา พี่นุเองก็เชื่ออย่างนั้น สิ้นแม่แล้วฟางไม่รู้จะอยู่อย่างไรกับคนพวกนั้น นอกจากพี่นุแล้วทุกคน
อยากขับไล่ใสส่งฟางทั้งนั้น แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฟางเข้มแข็งพอและจะเก็บของที่แม่ฝากฟางไว้อย่างดีจนกว่า
จะถึงเวลาเปิดมันออกมา ฟางจะไม่บอกใครแม้แต่พี่นุ แม่หลับให้สบายนะคะ ไม่ต้องห่วง ฟางดูแลตัวเองได้’
สองมือบางก้มลงกราบศพที่อยู่เบื้องหน้าก่อนขยับตัวลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงบ่นโวยวายดังมาจากด้านหลัง
“ตายแล้วงานยังไปไม่ถึงไหนเลย เดี๋ยวแขกก็จะมาแล้ว ไหนนุบอกว่าน้องฟางดูแลได้ ขืนไม่เรียบร้อย เสียชื่อ
กันพอดีงานศพคุณแม่ชาดาที่ใครๆต่างพากันนับถือ” วรดาแกล้งโวยเสียงดังหวังจะให้น้องสาวนอกไส้ของสามีได้ยิน
เธอเพิ่งแต่งงานกับทานุได้ไม่ทันถึงสองเดือน คุณชาดาแม่สามีที่ไม่ค่อยปลื้มสะใภ้อย่างเธอนักก็มาเสียซึ่งสร้าง
ความดีใจให้กับเธอมากเพราะแม่สามีนั้นไม่ค่อยชอบเธอตั้งแต่ยังไม่แต่งด้วยซ้ำแต่ก็ขวางไม่ได้ คิดแล้วอดทอด
สายตามองดูรูปแม่สามีด้วยแววสะใจไม่ได้
‘อีแก่ ตายได้ก็ดี มีลูกสะใภ้เป็นถึงหลานสาวนายกเทศมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของจังหวัด ยังไม่ปลื้มอีก ตายได้
ก็ดี แต่แกไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลนังลูกสาวกาฝากของแกอย่างดี หลับให้สบายก็แล้วกัน’
“ดาด้า ท่าที่เห็นมันก็เรียบร้อยดี คุณแม่เสีย น้องฟางก็เสียใจจะแย่อยู่แล้วคุณจะโวยให้มันได้อะไรขึ้นมา”
ชายหนุ่มหน้าตาดี ร่างสูงเพรียว ผิวขาวใส ปรามภรรยาคนสวยรูปร่างอวบระยะแรกที่มาด้วยกันอย่างเสียไม่ได้
เลยทำให้หญิงร่างสูงท้วมอายุเลยเลขห้าที่ตามมาด้วยรู้สึกไม่พอใจ
“นุ อาว่านุไปว่าหนูดาด้าก็ไม่ถูกนะ อาเห็นนังน้องนอกไส้ของเราเอาแต่ปั้นหน้าเศร้าเรียกร้องความเห็นใจ
หลังพี่ดาจากไป ไม่เห็นช่วยงานอย่างที่ปากว่าเลย” ปิยดาพยายามเข้าข้างวรดาหลานสะใภ้ ด้วยหวังพึ่งวรดา
นางเองนั้นหลังจากสามีเสียก็มาอาศัยใบบุญพี่ชายที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนและไม่ค่อยถูกกับชาดา
หรือสะใภ้ซึ่งเพิ่งจากไปด้วยโรคหัวใจกำเริบนักเพราะชาดารู้จักนิสัยของนางดีซ้ำร้ายกว่านั้นยังรักหลงนังเด็กเก็บ
มาเลี้ยงอย่างลษิดาเหมือนลูกเลยกลัวว่าจะยกสมบัติส่วนหนึ่งให้ด้วยจึงต้องหาทางกำจัดไปให้พ้นๆโดยยุยง
หลานชายบ่อยๆและธานุนั้นค่อนข้างเชื่อนางมากกว่าเพราะเคยเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็ก
“ผมขอเถอะครับงานศพคุณแม่ ถ้าไม่พอใจอะไรก็ขอให้เก็บไว้ก่อน ผมต้องการให้งานผ่านไปอย่างราบรื่น
แล้วค่อยมาว่ากัน แขกใกล้มาแล้ว ผมขอไปคุยกับน้องฟางก่อน” ทานุตัดรำคาญและเดินไปหาน้องสาวนอกไส้ที่มาร
ดารักยิ่งนักเพราะหลังคลอดเขาท่านก็ไม่สามารถมีลูกได้อีก และเคยบ่นอยู่บ่อยๆอยากได้ลูกสาวสักคน กระทั่งเขา
อายุแปดขวบท่านก็ได้สมใจหลังท่านไปทำธุระที่ต่างจังหวัดหลายวันพร้อมบิดาและกลับมาพร้อมเด็กทารกหญิง
อายุไม่ถึงแปดเดือน หน้าตาน่าเกลียดน่าชังมากที่ชื่อว่าลษิดาหรือน้องฟาง ตอนนั้นเขายอมรับว่าชิงชังน้องคนนี้
และทำให้สนิทกับปิยดาผู้เป็นอามากขึ้น แต่ด้วยความน่ารักของลษิดาจึงทำให้เกลียดไม่ลงแต่ไม่ถึงกับรักมากมาย
เพราะมีคนเป็นอาคอยยุยงอยู่เรื่อยกลัวเขาจะรักหลงเด็กที่มารดาเก็บมาเลี้ยงอีกคน ถึงปิยดาจะยุยงอย่างไรก็ไม่
เป็นผลทั้งนี้เพราะทรัพย์สมบัติของบิดามารดานั้นตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวยกเว้น เงินสดกับทิ่ดินบางแปลง
ที่มารดาซื้อในระยะหลังและเครื่องเพชรซึ่งท่านยังไม่ได้ยกให้ใคร หากจะยกให้ลษิดาบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร ถึงอย่าง
ไรเธอก็ได้ชื่อว่าน้องสาวของเขาอยู่ดีและใช้นามสกุลเดียวกับเขา
“น้องฟาง เป็นไง ทุกอย่างเรียบร้อยไหม” ทานุถามพลางมองหน้าสวยใสน่ารักที่ดูหม่นหมองแล้วให้นึก
สงสารเหมือนกัน มารดาสิ้นไปน้องสาวที่น่าสงสารคงสะเทือนใจไม่น้อยเพราะลษิดานั้นผูกพันกับมารดาของเขา
มากยิ่งกว่าลูกแท้ๆอย่างเขาเสียอีก
“ค่ะ พี่นุจะดูความเรียบร้อยไหมคะ” ลษิดาไม่อยากพูดอะไรมาก เธอรู้หลังสิ้นมารดาแล้ว ลูกสาวนอกไส้
อย่างเธอคงจะอยู่ในบ้านสิทธิไพศาลอย่างลำบากและอาจต้องหาที่อยู่ใหม่ก็ได้ ทั้งปิยดาน้องสาวของบิดาบุญธรรม
กับวรดาพี่สะใภ้ต่างไม่ชอบเธอ เห็นเป็นกาฝากมาตลอด แต่เธอก็ไม่มีที่ไป ไม่รู้จะไปอยู่ไหน หลังเรียนจบก็คอยเฝ้า
ดูแลมารดามาตลอด คนอื่นอาจมองเธอเป็นแค่ลูกที่เก็บมาเลี้ยงของคุณชาดาแต่เธอรู้ความรักของท่านที่มีต่อเธอ
นั้นไม่ต่างจากแม่แท้ๆที่มีต่อลูกแม้คนในบ้านจะตอกย้ำให้เธอรู้ตลอดว่าเป็นแค่ลูกเลี้ยงและเธอก็ไม่ได้น้อยใจ
เพราะมารดามักพูดกับเธอเสมอว่า
‘ฟาง ถึงแม่ไม่ได้คลอดฟางออกมาแต่แม่ก็รักฟางเหมือนลูกแท้ๆและความรักที่แม่มีให้ฟางก็ไม่ต่างจาก
แม่ที่ให้นมลูกดื่มกินในยามหิวตลอดเวลา อย่าไปใส่ใจคำพูดของคนอื่นแค่ฟางมีแม่รักก็พอแล้วลูก’
นึกถึงคำพูดมารดาแล้วดวงตากลมโตคู่สวยเริ่มมีน้ำตาคลอเอ่อขึ้นอีก ทานุเห็นแล้วให้สงสารนักจึง
อดเอ่ยคำพูดปลอบประโลมไม่ได้
“อะไรกันน้องสาวคนเก่งของพี่ ไหนว่าจะไม่ร้องอีก แล้วนี่จะร้องอีกแล้วเหรอ ไม่เอาไปกับพี่ดีกว่า ช่วยกัน
ไปต้อนรับแขกดีกว่า” มือหนาจูงมือบางไปหาแขกผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานศพคุณชาดา สิทธิไพศาล เศรษฐีนีหม้าย
ผู้ใจบุญประจำจังหวัด
“ต๊าย หนูดาด้าดูนังเด็กนั่นแกล้งสำออยตีบทโศรกให้ตานุสงสารจนต้องปลอบจับจูงมือกันพาไปรับแขก
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ตานุยิ่งเป็นคนขี้สงสารอยู่ด้วย อีกอย่างไม่ใช่พี่น้องกันจริง อากลัวว่า..” ปิยดาเห็นแล้วอดยุ
วรดาไม่ได้ การกำจัดลษิดาต้องอาศัยหลานสะใภ้ช่วยอีกแรง นางรู้วรดานั้นร้ายแค่ไหนแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่ง
หญิงจึงทำให้ทานุหลงจนยอมแต่งด้วย แต่ไม่ว่าวรดาจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่สนเพราะคนที่นางชิงชังคือลูกเลี้ยง
ของพี่สะใภ้ที่เพิ่งตายไป
ที่จริงนางจะไม่ชิงชังลษิดามากนักหากเด็กสาวไม่ทำให้เธอไม่กล้าสู้หน้าพี่สะใภ้และอยู่อย่างอับอาย
เพราะหลังสามีมาด่วนตายไปนางก็กลับมาอยู่กับพี่ชายแต่เพราะความเหงาทำให้ไปหลงใหลพ่อหม้ายเมียเผลอ
จนมีอะไรกันและต่อมาก็สอนให้นางติดการพนันจนเป็นหนี้ก้อนโตถึงขั้นเจ้าของบ่อนคิดขู่ฆ่าถ้าไม่เอาเงินมาใช้
และระหว่างที่จนหนทางนั้นพี่สะใภ้บังเอิญเพิ่งไปเบิกเงินก้อนโตมาซื้อที่นางจึงฉวยทีเผลอขโมยมาแต่บังเอิญ
เด็กน้อยเพิ่งกลับจากโรงเรียนมาเห็นเข้าและร้องถามออกมาเรื่องจึงแดงขึ้นมาจนพี่สะใภ้จับได้และยินดีใช้ให้
แต่บังคับให้เลิกเล่นไม่อย่างนั้นจะขับออกจากบ้านปล่อยให้เจ้าของบ่อนตามล่าเอาชีวิตเอง ตั้งแต่นั้นมานางก็
ชิงชังพี่สะใภ้เข้าไส้โดยเฉพาะลูกเลี้ยงซึ่งพี่สะใภ้รักนักหนา วันนี้พี่สะใภ้จากไปแล้วถึงคราวนังลูกสาวนอกไส้
ที่รักนักหนา คอยดูนางจะทำให้ย่อยยับไปกับตาโดยอาศัยวรดานั่นเอง
“อาดา ไม่ต้องบอกก็ได้ ดาด้ารู้หรอกน่าจะทำอย่างไรกับนังฟาง รอให้งานศพผ่านไปก่อน ค่อยจัดการกับ
มันยังไม่สาย” ร่างอวบเย้ายวนลุกเดินไปหาร่างสูงเพรียวของสามีและฉีกยิ้มหวานเมื่อไปถึง
“นุคะ ที่ในครัวกำลังยุ่งเรื่องอาหารรับแขก ให้น้องฟางไปช่วยดีกว่า คนอื่นไม่เก่งเรื่องกับข้าวกับปลาเท่า
น้องฟางเลยต้องวานให้ช่วยหน่อย” วรดาทำทีเป็นพูดจาอ่อนหวานต่อหน้าแขกและชื่นชมลษิดาให้แขกผู้ใหญ่ที่
มาได้ยิน
“ดาด้าแต่น้องฟางถือเป็นเจ้าของงานคนหนึ่งนะ ให้ต้อนรับแขกพร้อมผมก็สมควรแล้วนี่” ทานุไม่เห็นด้วย
และทำให้วรดาชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“พี่นุอยู่ต้อนรับแขกกับคุณดาด้าเถอะค่ะ น้องฟางขอไปดูเรื่องอาหารเลี้ยงแขกก่อนค่ะ” ลษิดาไม่อยากมี
ปัญหาหรือทะเลาะกันให้อายแขกจึงจำยอมปลีกตัวมาหลังศาลาที่เป็นที่ทำอาหารเลี้ยงแขกในงาน งานศพมารดา
มีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานมากมาย อาหารจึงต้องดูแลให้ทั่วถึงทั้งนี้เพื่อหน้าตาของพี่ชายกับพี่สะใภ้ซึ่งเป็นถึง
หลานสาวนายกเทศมนตรีผู้ทรงอิทธิพลด้วย
ร่างบางอรชรงดงามเดินมาหลังศาลาตั้งศพของวัดซึ่งแม่ครัวกับคนในบ้านกำลังปรุงอาหารและเครื่องดื่ม
ไว้คอยต้อนรับแขกในงานแต่พอเห็นหญิงสาวซึ่งเป็นบุตรสาวผู้ตายเดินมาจึงหันไปยิ้มให้
“คุณฟางขา ทำไมไม่ไปต้อนรับแขกคะ ที่นี่ปล่อยให้ป้ากับพวกนี้ทำก็ได้ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” แม่ครัวเอก
ของบ้านสิทธิไพศาลบอก นางนั้นนึกสงสารคุณหนูของตนยิ่งนัก จากนี้ไปเห็นทีจะอยู่ยาก ตอนคุณผู้หญิงอยู่ไม่มีใคร
กล้าแตะต้องลูกรักของท่านแต่จากนี้ไปคงยากเต็มที่เพราะทุกคนต่างชิงชังลษิดาทั้งนั้น จะให้หวังพึ่งพี่ชายเห็นที
จะยาก ปกติก็ไม่ค่อยมาสุงสิงวุ่นวายกับน้องสาวอยู่แล้วเพราะยุ่งอยู่กับงาน พวกตนเป็นเพียงลูกจ้างอาศัยใบบุญ
นายคงช่วยอะไรมากไม่ได้ถึงแม้จะรักและเอ็นดูหญิงสาวมากแค่ไหนก็ตาม
“มีคนทำแทนแล้วป้าจิน ที่นี่มีป้าจินคุมอยู่ ฟางก็วางใจ งั้นฟางขอไปดูที่อื่นก่อน” ลษิดาบอกแล้วเดิน
จากมาเงียบๆจนผู้คนในครัวต่างพากันถอนใจด้วยความสงสาร ตั้งแต่คุณชาดาสิ้นร่างบางนั้นดูเหมือนบางลงอีก
เพราะโศรกเศร้ากับการจากไปของมารดาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับก็ว่าได้แต่พวกตนก็ไม่อาจช่วยได้จึงได้แต่หวัง
ให้คุณหนูคนสวยน่ารักของพวกตนอยู่รอดปลอดภัยในบ้านนับจากนี้เป็นต้นไปเถอะ
ร่างบางอรชรเดินเลยมานั่งพักบนแคร่ไม้ไฝ่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดห่างจากศาสาสวดศพไม่ไกลนัก ดวงตา
กลมโตงดงามจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ชีวิตนับแต่นี้ไปจะทำอย่างไรต่อไปดี สิ้นมารดาแล้วคง
ไม่มีใครคอยคุ้มครองอีก คิดพลางเหลียวมองรอบๆพลันเห็นสระน้ำใหญ่ในวัดแล้วให้นึกถึงใครคนหนึ่งเมื่อ
สิบกว่าปีก่อน รูปร่างสูงเพรียวเก้งก้างหน่อยที่เคยมาพักอาศัยอยู่ด้วยพักหนึ่งและมักไปไหนมาไหนกับเธอ
และมารดาเสมอ ลษิดายังจำได้ดีถึงเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีก่อนกับพี่ชายแสนดีที่คอยคุ้มกันน้องฟางตลอดเวลา
ที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันมาเกือบปี
มันเริ่มต้นจากผู้หญิงวัยเดียวกับมารดานำพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งตัวสูงเพรียวหน้าตาดีมาหา
‘ดา ฉันมีความจำเป็นต้องไปอยู่ที่อื่นสักพัก เอาลูกไปด้วยไม่สะดวก ไว้ได้ที่อยู่แน่นอนแล้วจะมารับไปอยู่
ด้วยกัน อยู่กับเธอฉันมั่นใจลูกฉันต้องปลอดภัย ก่อนที่อะไรๆจะคลี่คลาย ฉันคงต้องฝากลูกไว้กับเธอก่อน’ พีรชา
บอกเพื่อนรักตามตรงเพราะชาดาได้ไล่ทุกคนออกไปหมด ยกเว้นบุตรสาวที่อายุแค่เจ็ดขวบหน้าตาหน้าเอ็นดู
ซึ่งนั่งทำการบ้านอยู่ไม่ไกลนัก
‘นี่พวกนั้นทำกันถึงเพียงนี้เชียว ไม่ต้องห่วงไม่มีใครรู้แน่ ฉันจะคอยส่งข่าวให้รู้ ดีเหมือนกันลูกสาวฉัน
น้องฟางจะได้มีพี่ชายบ้าง ลูกฉันมันอิจฉาน้องไม่อยากมีน้องสาว นี่เลยพานโกรธแม่ไปด้วยหาว่ารักน้องมากกว่า
ตอนนี้กลายเป็นหลานรักของอาไปแล้ว ฉันไม่อยากให้อยู่ใกล้แม่ปิยดาเท่าไหร่แต่พูดมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวคุณวัฒน์
หาว่ารังเกียจน้องสาวเขา’ ชาดาปรับทุกข์ให้เพื่อนรักฟังบ้าง
‘ไม่ต้องกลัวไปหรอก ตานุมีพ่อแม่ดี พื้นฐานก็ต้องดี ไม่ช้าจะคิดได้เองและเลิกอิจฉาน้อง ผิดกับลูกชายฉัน
นั่นอยากมีน้องสาวแต่..ช่างเถอะ ฉันคงอยู่นานไม่ได้ ว่าแต่เธอไม่เดือดร้อนแน่นะที่จะให้ลูกฉันมาอาศัยอยู่สักพัก
ฉันกลัวคุณวัฒน์จะไม่พอใจ’ พิรชารู้สึกเกรงใจเพื่อนรักกลัวสร้างปัญหาให้เพื่อนกับสามี
‘อย่าห่วงเลย รายนั้นอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ก็พอ ไหนล่ะลูกชายเธอ เมื่อครู่ยังเห็น
อยู่นี่อยู่เลย’ ชาดาถามพลางสอดส่ายสายตามองหาบุตรชายเพื่อนซึ่งก็ไม่ต่างจากพิรชาซึ่งมีสีหน้าตกใจเมื่อไม่
เห็นบุตรชายแล้วต่อมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีร่างสูงเพรียวกำลังนั่งคุยกับเด็ก
หญิงหน้าตาน่ารักแก้มใสที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกลนัก
‘เห็นมั้ยล่ะ ฉันบอกแล้วลูกชายฉันอยากมีน้องสาว นั่นคงเป็นลูกสาวเธอสินะ หน้าตาน่ารักน่าชังมาก
ฉันขอเข้าไปดูใกล้ๆหน่อย’ ว่าแล้วร่างบางของพิรชาก็เดินเข้าไปหาบุตรชายกับบุตรสาวตัวน้อยของเพื่อนรักที่นั่ง
อ่านหนังสืออยู่ไม่ไกล
‘ว๊า คำนี้สะกดยังไง อ่านยากจังภาษาอังกฤษนี่’ เสียงใสของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูบ่น
ออกมาเมื่อเจอกับคำศัพท์ใหม่
‘อ่านว่า เมคครับ M A K E เมค แปลว่าทำ’ เสียงห้าวของเด็กหนุ่มตอบให้แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเมื่อเห็น
ดวงตากลมโตของเด็กหญิงจ้องมองเขาด้วยแววฉงนพลางถามออกมาว่า ‘พี่เป็นใครคะ เข้ามาบ้านแม่น้องฟางได้
ได้อย่างไร’
‘พี่ชื่อ ปรินทร์ เรียกว่าพี่สตรองก็ได้ มากับแม่ แล้วน้องล่ะชื่ออะไร’ เด็กหนุ่มบอกพลางจ้องมองใบหน้าสวย
ใสแก้มเนียนใสขาวอมชมพูบอกความเป็นเด็กสุขภาพดีเห็นแล้วอยากหอมพวงแก้มใสด้วยความมันเคี่ยวนัก
‘แล้วแม่รู้จักแม่น้องฟางหรือเปล่า’ เด็กหญิงถามเสียงเข้มจัดกลัวเป็นคนร้าย
‘รู้จักสิจ๊ะลูก พี่สตรองเป็นลูกของเพื่อนแม่ จะมาอยู่กับแม่ กับน้องฟางสักพัก จนกว่าได้ที่เรียน น้องฟาง
ยินดีให้พี่เขาอยู่กับน้องฟางไหมเอ่ย’ ชาดาเป็นคนตอบเอง
‘สวัสดีค่ะ พี่สตรอง น้องฟางยินดีต้อนรับค่ะ’ พอมารดาบอกเด็กหญิงก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแถมยกมือไหว้
ผู้สูงวัยกว่าอย่างมีมารยาทจนเรียกความเอ็นดูให้ผู้ใหญ่กับเด็กหนุ่มได้
‘แล้วน้าล่ะจ๊ะ ไม่ไหว้บ้างเหรอน้องฟาง’ เห็นความน่ารักของบุตรสาวเพื่อนรักแล้วพิรชาอดเย้าไม่ได้และ
เด็กหญิงก็น่ารักยกมือไหว้อย่างงดงามตามมาด้วยเสียงใสชวนฟัง ‘น้องฟางสวัสดีคุณน้าค่ะ’
‘สตรองน้องไหว้แม่แล้ว ลูกไหว้น้าดาด้วยสิ อยู่กับน้าดาสักพัก เชื่อฟังน้าดาและคอยดูแลน้องฟางด้วยนะ
ไว้แม่มีที่อยู่แน่ชัดแล้วจะมารับไปอยู่ด้วย’ พอพิรชาบอกบุตรชายจึงรีบยกมือไหว้ชาดาแล้วพูดขึ้นว่า ‘ผมรบกวน
น้าดาด้วยครับ’
‘ไม่เป็นไรน้ายินดีให้รบกวนนานๆ อยู่นี่ก็ดีเหมือนกันจะได้ช่วยสอนการบ้านลูกสาวน้า เป็นเพื่อนเล่นก็ได้
ถือว่าเล่นกับน้องสาวก็แล้วกันนะ’ ชาดามอบหน้าที่ให้และเด็กหนุ่มก็ตอบรับด้วยเสียงหนักแน่นจริงจังว่า
‘ครับ’
จากนั้นมาพี่สตรองก็คอยสอนการบ้านเล่นกับน้องฟางและคอยปกป้องยามน้องฟางถูกคนในบ้านอย่าง
ปิยดาหรือคนอื่นรังแกเอาและคอยตามชาดามาวัดบ่อยๆ ระหว่างนั้นน้องฟางรู้สึกมีความสุขมากเหมือนมีพี่ชาย
คอยปกป้องกระทั่งวันจากลามาถึงพี่สตรองได้ให้สัญญากับน้องฟางที่วัดแห่งนี้
‘พี่สตรองม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา’
จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ลษิดาคิดถึงคำสัญญาแล้วพลางถอนใจ เวลาผ่านมาเกือบสิบห้าปีแล้ว
พี่สตรองคงลืมน้องฟางหมดแล้ว พี่สตรองขาตอนนี้พี่ไปอยู่ที่ไหน น้องฟางไม่มีใครแล้ว แม่ก็จากน้องฟางไปแล้ว
ไม่มีใครคอยชี้แนะอีกต่อไป ทำอย่างไรดีกับชีวิต ยิ่งคิดหญิงสาวยิ่งอ้างว้างมองไม่เห็นแสงสว่างในชีวิตแล้วก็แทบ
สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทักขึ้นดังๆ
“โอ๊ะโอ ไม่นึกไม่ฝันน้องฟางจะมาคอยต้อนรับพี่ สงสัยจะดีใจที่พี่บิ๊กจะมางานศพแม่น้องฟาง ต้องขอบใจ
เจ้านุมันหน่อยที่บอก ช่างรู้ใจเพื่อนจริง”
ลษิดาเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตดำกางเกงดำ บุตรชายคนเดียวของเสี่ยประกิต
เจ้าของบริษัทขนส่งผู้ทรงอิทธิพลและเป็นเพื่อนของทานุชื่อตนัย นิสัยเจ้าชู้ใช้ผู้หญิงเปลืองเพราะหน้าตาสะดุดตา
พอควรแต่นิสัยไม่ดีจากที่เธอได้สัมผัสมา ทุกครั้งที่มาหาทานุที่บ้านก็ทำตัวกร่างใหญ่คับบ้านโดยที่พี่ชายไม่ว่าสัก
นิด เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เมื่อก่อนยังมีมารดาอยู่จึงเกรงๆบ้างแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว คงไม่มีใครมาคิดปก
ป้องลูกเลี้ยงอย่างเธอแน่แม้ว่าทานุจะเอ็นดูเธอก็ตาม ฉะนั้นจึงต้องระวังตัวโดยการไปให้ห่างจากผู้ชายเลวๆคนนี้
เสีย ไม่อย่างนั้นเธอาจถูกรังแกได้ ร่างบางอรชรจึงคิดลุกหนีกลับเข้าไปในงานแต่ก็ทำไม่ได้ดังใจหวังเมื่อร่างสูงได้
มายืนขวางไว้
“คุณตนัยถ้าจะมาคารวะศพคุณแม่ก็เชิญที่ศาลา แต่ถ้าไม่ใช่ก็กรุณาหลีกทางด้วย” หญิงสาวพูดจาไม่
หวานหูสำหรับคนฟังเลยสักนิด
“ดุเสียด้วย ดุอย่างนี้พี่ชอบ มาเป็นแฟนพี่ดีกว่าจะได้มีคนคุ้มครอง” ตนัยกลับชอบใจพลางจ้องมองไป
ทั่วร่างน้องสาวนอกไส้ของเพื่อนที่ถูกใจเขาแต่แรกเห็นหน้าแต่ติดที่ผู้ใหญ่คุ้มหัว เพราะคุณชาดานั้นจัดได้ว่ามี
คนนับหน้าถือตาเยอะแต่วันนี้ยายแก่นั่นไม่อยู่เป็นก้างขวางอีกแม่สาวน้อยนี่ไม่รอดมือเขาแน่
“ขอบคุณในความหวังดี แต่ฉันดูแลตัวเองได้ หลีกทางด้วย” คราวนี้หญิงสาวเหลืออดจึงพูดด้วยน้ำเสียง
ห้วนจัดและทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดจึงยื่นมือใหญ่ไปหมายจะจับมือหากไม่มีเสียงถามดังขึ้นก่อน
“นั่นใครกัน มาทำอะไรตรงนี้” ภิกษุสูงวัยเป็นที่เคารพของผู้คนในจังหวัดเดินตรงเข้ามาหา
ลษิดายกมือไหว้ทำความเคารพขณะที่อีกฝ่ายกลับทำเฉยเพราะเขานั้นไม่ถูกชะตากับภิกษุสูงวัยรูปนี้แต่
ก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะผู้คนต่างให้ความเคารพนับถือในความดี ความประพฤติที่เหมาะกับคำว่าพุทธบุตร ไม่เคย
ทำผิดพระวินัยหนำซ้ำยังช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนตลอดและเป็นพระที่ผู้ตายนับถือมากด้วย
“คิดว่าใครที่แท้ก็โยมตนัยนี่เอง มาร่วมงานศพโยมชาดาไม่ใช่รึ ทำไมไม่ไปบนศาลา เจ้าของงานเขายืน
ต้อนรับแขกอยู่ตรงโน้น” ภิกษุสูงวัยถามเหมือนไล่กรายๆทว่ากลับทำให้ผู้ถูกถามทำหน้าไม่พอใจอย่างหนักแต่ที่
ทำได้คือเอ่ยคำพูดประชดภิกษุสูงวัยอย่างไม่กลัวเกรงบาปกรรมออกมา
“กำลังจะไปเหมือนกันแค่เห็นลูกสาวคุณนายชาดานั่งทำหน้าเศร้าก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาปลอบ หลวงพ่อ
ไม่ต้องรีบไล่ก็ได้” ได้ทำอะไรสะใจแล้วก็รีบพาร่างสูงโปร่งไปทันทีขณะที่ภิกษุสูงวัยได้แต่ส่ายหน้าพลางเอ่ยเบาๆ
ว่า “โปรดไม่ได้จริงๆ น่าเสียดาย”
“หลวงตาคะ ฟางต้องกราบขอบพระคุณหลวงตามากที่มาช่วยไว้ ไม่รู้ว่า...” หญิงสาวไม่กล้าพูดต่อและ
คิดต่อว่าอนาคตเธอจะโชคดีเหมือนครั้งนี้หรือไม่
“หนูเป็นคนดี กตัญญูต่อมารดาแม้ไม่ได้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดแต่ก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กถือว่ามีบุญคุณมากพอๆ
กับแม่ผู้ให้กำเนิด ความดีจะเป็นเกราะคุ้มภัย เป็นแรงผลักดันให้คนที่เคยสัญญาจะปกป้องคุ้มครองกลับมาทำหน้า
ที่นี้แทนโยมชาดา” ภิกษุสูงวัยบอกในสิ่งที่ท่านเห็นผ่านญาณซึ่งมนุษย์ธรรมดามิอาจเห็นได้
“ฟางคงไม่มีวาสนาอย่างนั้นอีกแล้วค่ะหลวงตา เท่าที่ผ่านมาก็ถือว่าโชคดีมากเกินที่เด็กกำพร้าคนหนึ่งจะ
ได้รับ ต่อไปฟางคงต้องเผชิญชีวิตด้วยตัวเองเสียที ไม่มีแม่แล้วฟางต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ท่านต้องเป็น
ห่วง วิญญาณจะไปสู่สุคติค่ะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแม้จะคาดเดาชะตากรรมของตัวเองออกหลัง
งานศพมารดาผ่านพ้นไปหากยังฝืนทนอยู่ในบ้านต่อไป
“ได้ยินหนูพูดอย่างนี้ ถ้าวิญญาณโยมชาดาได้รับรู้ คงดีใจไม่น้อย”
“ฟางหวังให้ท่านไปอย่างสงบและหมดห่วง...ฟางออกมานานแล้วควรเข้าไปช่วยพี่นุเสียที ลาละค่ะหลวงตา”
หญิงสาวยกมือขึ้นประณมกราบภิกษุสูงวัยด้วยใจเคารพก่อนเดินจากไป
สายตาเปี่ยมไปด้วยเมตตาทอดมองร่างบางงดงามที่เดินจากไปพลางรำพึงในจิต ‘ไม่ช้าหนอกหนูจะรู้ว่า
หลวงตาพูดจริง’
==========
เวลาเดียวกันแต่สถานที่ต่างกันภายในห้องทำงานส่วนตัวของเจ้าของบ้านซึ่งมักใช้ชีวิตอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง
และมีรีสอร์ตอยู่เกือบทุกภาคของประเทศไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวพ่วงด้วยพืชผลทางการเกษตรที่เป็นสิ่งดึงดูดผู้คน
ให้อยากมาพักเพราะสามารถเก็บกินและชื่นชมได้ตลอดเวลาที่มาพักอยู่ แต่เวลานี้ชายหนุ่มเจ้าของสถานที่กลับไม่
ได้ใช้ห้องนี้ทำงานทว่ากลับใช้เป็นที่พิพากษาใครบางคนแทน ไม่ช้าไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เข้ามาได้” เสียงอนุญาตจากชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนหันหน้ามองผนังกระจกซึ่งสามารถมองเห็น
วิวธรรมชาติของท้องทุ่งอันงดงามด้านนอกได้บอก
“มาแล้วครับปรสิตที่แฝงตัวเข้ามาล้วงตับในผาตะวัน คุณสตรองจะให้ลงโทษอย่างไรดีครับ” คนถามเป็น
ชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่เกินคนทั่วไป ใบหน้าดุเหี้ยมจัด ผิวสองสี สวมกางเกงยีนเสื้อเชิ้ทสีดำ สายตาสี
สนิมเหล็กจ้องมองผู้เป็นนายในวัยสามสิบ เครื่องหน้าทุกอย่างคมเข้มรับกับใบหน้าหล่อได้รูปแบบแมนๆจนสาวๆ
ที่ผาตะวันพากันหลงทว่ากลับไม่กล้าเข้าใกล้ทั้งนี้เพราะทุกคนรู้ดีภายใต้หน้าตาหล่อขั้นเทพอายนั้นเด็ดขาด
น่ากลัวแค่ไหนสำหรับผู้ทำผิดกฎของผาตะวันที่ทุกคนต่างทำตาม
“เอาตัวเข้ามา” คำสั่งนั้นเย็นจนหน้ากลัว
สักพักชายร่างกำยำในชุดเสื้อผ้าป่านกางเกงยีนก็จับชายหนุ่มร่างสูงกำยำสวมกางเกงยีน เสื้อยืดสีดำเอามือ
ไพล่หลังเดินเข้ามาหาเจ้าของห้องหน้าตาหล่อดูดีจนใครๆก็ไม่อาจมองข้ามได้ทว่าแววตายามจ้องมองผู้กระทำผิด
นั้นหาแววปราณีไม่เจอเอาเสียเลย
“พวกมึงปล่อยกูนะ มาจับกูทำไม คุณสตรองผมไม่ได้ทำอะไรผิดมาจับผมทำไม” ร่างสูงกำยำพยายดิ้น
พลางทำหน้าไม่เข้าใจทว่านัยน์ตากลับจับจ้องมองผู้ที่เปรียบเหมือนผู้พิพากษาตรงหน้าอย่างท้าทาย
“ฉันขอคำถามเดียว ใครส่งแกมาสืบหาความลับในผาตะวัน ถ้าไม่ตอบนอกจากแกจะไม่ได้กลับไปในที่ๆ
มา แกยังต้องไปใช้ชีวิตในบ้านอเวจีอีก แกแฝงตัวอยู่ที่นั่นมานานคงทราบดี ว่าที่นั่นเป็นแดนสวรรค์สำหรับคนรัก
ธรรมชาติขณะเดียวกันก็เป็นนรกสำหรับคนที่มีใจไม่บริสุทธิ์ได้เช่นกัน ให้เลือกเอาจะใช้ชีวิตแบบไหน” ไม่มีคำว่า
เห็นใจสำหรับคนของศัตรูที่ถูกจับได้จากชายหนุ่มเจ้าของผาตะวัน หนึ่งในรีสอร์ตแสนงดงามสมบูรณ์แบบที่สุด
ในเครือวอเตอร์ฮิลล์รีสอร์ตแอนด์สปาซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามโดยมีขุนเขาล้อม
รอบ งดงามดั่งเมืองในฝันที่นักท่องเที่ยวต่างใฝ่ฝันอยากไปอยู่แต่มีการจำกัดนักท่องเที่ยวที่มาพักในแต่ละปี
แถมเลือกผู้ที่จะเข้าไปพักด้วยจนถูกล่ำลือกันถึงความลึกลับของรีสอร์ตแห่งนี้ที่มีทั้งความลึกลับและมนต์เสน่ห์
ที่ใครๆต่างอยากเข้าไปสัมผัสแต่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะเข้าไปพักได้
“กูไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมต้องสารภาพด้วย พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาจับคนแล้วทำโทษตามอำเภอใจด้วย
ถ้ากูผิดก็จับไปส่งตำรวจสิ” สำหรับผู้ที่ถูกนักล่าของผาตะวันจับได้การตกไปอยู่ในมือผู้รักษากฎหมายย่อมดีกว่า
ถูกพิพากษาจากผู้ยิ่งใหญ่แห่งผาตะวันที่นานๆจะไปพักอยู่สักครั้งเพราะเดินทางไปตรวจตราธุรกิจในเครือวอเตอร์
ฮิลล์ที่มีอยู่เกือบทุกภาคของประเทศรวมถึงต่างประเทศด้วยตลอด ถึงแม้ตัวจะไม่อยู่แต่กลับรู้เห็นทุกเรื่องที่เกิดใน
ผาตะวันราวกับมีตาทิพย์และไม่เคยมีใครหนีพ้นนักล่าของผาตะวันไปได้เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นเห็นทีไม่ต้องพูดกันอีก ฟาลพามันกลับไปที่ผาตะวันจับเข้าบ้านอเวจี จนกว่ามันจะรู้ซึ้งถึง
คำว่านรกบนดินและยอมสารภาพ ถ้าไม่ก็อยู่นั่นจนตาย” คำสั่งเรียบสนิทแต่น่ากลัวนัก ผู้ใดได้เข้าไปใช้ชีวิตในบ้าน
อเวจีแล้วไม่เคยได้กลับออกมาเล่าถึงความโหดร้ายในบ้านนั้นให้คนภายนอกได้ยินแม้แต่รายเดียว มีแต่คำร่ำลือ
ถึงความน่ากลัวเท่านั้นดังนั้นจึงเป็นที่เกรงกลัวของชาวผาตะวันมาก และถ้าโทษไม่หนักจริงๆนายใหญ่ไม่เคย
ส่งตัวเข้าไปอยู่ในนั้น
“มึงฝันไปเถอะว่ากูจะยอมไป ถึงขั้นนี้แล้วกูยอมตาย” พูดจบมันก็ดิ้นสุดแรงเกิดจนตัวหลุดจากการจับกุม
แล้วรีบปราดเข้าหาผู้พิพากษาหมายจะจับตัวแต่กลับต้องล้มลงเพราะถูกหมัดหนักๆเสยเข้าที่คางจนสลบจาก
ฝีมือของผู้พิพากษาซึ่งลงมือได้ไวมากก่อนเสียงสั่งราบเรียบจะตามมา
“ฟาลเอาตัวไปได้แล้ว” จากนั้นห้องทั้งห้องก็เงียบสงบเหมือนเดิม ชายหนุ่มเจ้าของห้องจึงได้ฤกษ์ทำงาน
กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมสตรีร่างบางใบหน้าอิ่มเอิบสวยสมวัยอายุหกสิบกว่าเดินเข้ามาพร้อมจดหมาย
ในมือกับสีหน้าวิตก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลังจะเซ็นแล้วลุกไปหาร่างบางทันที
“ใครทำให้แม่ไม่สบายใจ ผมจะเอาตัวมาลงโทษตัดมือตัดลิ้นเลย” คำพูดกับใบหน้านิ่งสนิทแต่แววตาขี้
เล่นผิดจากท่าทางโหดๆยามรับบทผู้พิพากษาหรือนายใหญ่แห่งผาตะวันจากหน้ามือเป็นหลังมือนั้นถ้ามารดามา
เห็นก่อนคงปรับโหมดแทบไม่ทัน
“สตรองแม่บอกกี่ครั้งแล้ว ให้เลิกพูดคำโหดๆหน้าตายเสียที ถ้าคนนอกมาได้ยินเข้าจะหาว่าลูกแม่เป็นพวก
ป่าเถื่อนโจรใจโหดหรอก” คนเป็นแม่ตีเข้าให้ที่ท่อนแขนแข็งแรงด้วยความหมั่นไส้เต็มทีกับวาจาโหดๆของบุตรชาย
ที่ถูกผู้คนนำไปร่ำลือในความโหดจนยากจะแก้ตัวแทน
“ก็ปล่อยให้คิดไป จะได้กันสาวๆด้วย แม่ออกมาจากผาตะวันเพื่อมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศทำไมทำหน้า
เครียดละครับ หรือว่าที่นี่ไม่ถูกใจแม่ ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คนพาแม่ไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ส่วนผมขอตัวตรวจงานอีกสัก
สองสามวันจะตามไป” ได้ยินน้ำเสียงห่วงใบจากปรินทร์บุตรชายคนเดียวที่ต้องใช้ชีวิตหนีหัวซุกหัวซุนร่วมกับเธอ
มาตั้งแต่เล็กกว่าจะมีวันนี้ได้นั้นทำให้พีรชาอดปลื้มใจไม่ได้ แม้ที่ผ่านมาจะลำบากแค่ไหนแต่บุตรชายกลับไม่เคย
แสดงอาการท้อแท้ให้เห็นแถมสู้ทุกอย่างเพื่อเรียกร้องของๆตัวเองคืนมา เธอภูมิในบุตรชายคนนี้มากแต่วันี้เธอมี
เรื่องสำคัญอยากให้บุตรชายไปทำให้ หากชักช้ากลัวจะไม่ทันการ
“สตรองแค่ได้เห็นลูกอยู่ดีมีสุขแม่ก็ดีใจแล้ว แต่ที่ทำให้แม่ไม่สบายใจก็เรื่องของชาดาเพื่อนรักของแม่ที่จด
หมายมาขอให้แม่ช่วย สตรองลูกจำน้าดาที่ลูกเคยไปพักด้วยพักหนึ่งได้หรือเปล่า” พีรชาถามพลางจ้องมองบุตร
ชายที่ทำท่านิ่งเงียบไปเฉยๆสักพักก็พึมพำเบาๆให้ได้ยิน
“น้องฟาง”
=======================
เรื่องใหม่ที่อยากอ่านแนวนี้เลยแต่ง มาจากความรู้สึกที่เบื่อสังคมที่วุ่นวาย เลยคิดถ้ามีที่ที่อยู่แล้วงดงามดังฝัน
ราวกับหลงเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่วุ่นวายเต็มไปด้วยตึกราทันสมัยจะเป็นอย่างไร แต่กลับมีความลับให้
น่าค้นหามากมายกับชะตากรรมของตัวละคร หวังว่าจะชอบนะคะ
เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ต.ค. 2556, 18:33:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ต.ค. 2556, 18:33:53 น.
จำนวนการเข้าชม : 1933
ตอนที่ 2 >> |
konhin 13 ต.ค. 2556, 20:33:18 น.
ว้าววววววน่าสนใจมากๆค่ะ
ว้าววววววน่าสนใจมากๆค่ะ
ใบบัวน่ารัก 14 ต.ค. 2556, 00:23:52 น.
วิ้งๆๆๆๆๆ
วิ้งๆๆๆๆๆ
anOO 14 ต.ค. 2556, 18:30:20 น.
มาลงชื่อ รอตอนต่อไปค่ะ
มาลงชื่อ รอตอนต่อไปค่ะ
goldensun 14 ต.ค. 2556, 18:31:32 น.
รออ่านค่ะ ว่าแต่ชาดากับพีรชา ทำไมลูกของแต่ละฝ่ายเรียกน้าทั้งคู่คะ ข้างนึงน้า อีกข้างต้องเรียกป้าไม่ใช่หรือคะ
ฟางน่าสงสาร เจอแต่คนร้ายๆ ทั้งนั้น สตรองจะมาช่วยพาออกไปเมื่อไหร่
รออ่านค่ะ ว่าแต่ชาดากับพีรชา ทำไมลูกของแต่ละฝ่ายเรียกน้าทั้งคู่คะ ข้างนึงน้า อีกข้างต้องเรียกป้าไม่ใช่หรือคะ
ฟางน่าสงสาร เจอแต่คนร้ายๆ ทั้งนั้น สตรองจะมาช่วยพาออกไปเมื่อไหร่
ผักหวาน 14 พ.ย. 2556, 13:46:34 น.
ชอบเรื่องนี้จังเลยค่ะ
ชอบเรื่องนี้จังเลยค่ะ