หวานใจจอมอหังการ์
บารอนโซ่เคลื่อนฝ่ามือไปตามแถวกระดุม สะกิดปลายนิ้วเพียงเล็กน้อยกระดุมเม็ดจิ๋วก็หลุดออกจากรัง เม็ดที่หนึ่ง
“อย่าค่ะ”
“ขอฉันเถอะสาวน้อย แผลทั่วตัวฉันยังไม่สาหัสเท่าที่ต้องตัดใจจากเธอ”
ดวงตาของเขาเข้มจัดไปด้วยความต้องการอันแรงกล้า ดึงดูดให้หล่อนจ้องตอบอย่างไม่อาจถอนสายตา กลีบปากสีกุหลาบสั่นระริกจากอารมณ์บางอย่างที่กำลังปั่นป่วนจนขนบนร่างลุกเกรียว โดโรธีได้แต่จ้องเข้าไปในดวงตาที่สะกดหล่อนให้อยู่เฉย จนไม่รู้ว่ากระดุมเสื้อที่ยังคั่งค้างอยู่ในรังดุมเหลือเพียงเม็ดเดียว
ดอกบัวบนร่างเพียงสองดอกเบียดชิดงามงดยิ่งกว่าดอกบัวในบึงร้อยดอกรวมกัน ยั่วยวนสายตาคมให้จับจ้องก่อนโน้มใบหน้าลงใกล้แล้วซุกซอนปลายจมูกสูดดมความหอมหวาน โดโรธีตัวสั่นคว้าสาปเสื้อของเขาแล้วกำแน่น ขาแข้งกำลังจะอ่อนแรงลมหายใจเริ่มติดขัดเหมือนคนใกล้จะจมน้ำ
“บารอนโซ่”
“เรียกฉันอีก เรียกฉันบารอนโซ่ ฉันรักเสียงสั่นๆ ร่างกายสั่นๆ ของเธอสาวน้อย”

Tags: หวานใจ

ตอน: ตอนที่ 3 รอดชีวิตเพราะเธอ

ตอนที่ 3 รอดชีวิตเพราะเธอ
หลังจากที่เดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ บารอนโซ่ก็ตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะไปเยี่ยมเด็กสาวเจ้าของชื่อโดโรธีที่สวนยางพาราแห่งนั้น
“เจ้านายจะไปไหนครับ”
ร่างสูงชะงักเมื่อลูกน้องส่งเสียงถาม ทุกครั้งถ้าต้องทำให้ร่างสูงชะงักกึกแบบนี้ เป็นได้ต้องเห็นสีหน้าขุ่นเคืองเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว แต่ครั้งนี้เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อเจ้านายสุดหล่อมาดเท่ห์หันมายิ้มที่มุมปาก ดวงตาสีน้ำเงินคล้ายจะแวววาวเหมือนกับมีเรื่องสนุก ๆ ให้สนใจมากกว่าจะขุ่นข้องหมองใจกับเรื่องเดิมๆ
“ฉันจะไปเยี่ยมโดโรธี แกจำทางไปบ้านเธอได้ไหมเอียน”
“จำได้ครับ แต่ว่าผมไม่ได้ส่งเธอถึงบ้านนะครับ ผมส่งแค่ปากทางเข้าสวนยางพารา ถ้าเจ้านายจะไปก็คงไปได้แค่ทางเข้า”
“ไอ้บ้าเอียน รู้แค่ทางเข้าก็พอแล้ว หลังจากนั้นปากมีก็ค่อยถาม” บารอนโซ่เอ็ดเสียงขุ่น อารมณ์ดี ๆ เลยขุ่นมัวเพราะลูกน้องสมองหยักน้อยแท้ ๆ ร่างสูงย่ำเท้าตรงไปยังรถเช่าที่จอดอยู่
รถของเจ้าพ่อบารอนโซ่ที่เช่ามาจาก Rental Car สุดหรู ทะยานไปข้างหน้าตามเป้าหมายที่ตั้งใจ แต่แล้วรถคันโตที่ไร้สมรรถนะในการกันกระสุนต้องเสียหลัก เมื่อจู่ ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้นโดยที่คนขับรถไม่ได้เฉลียวใจมองกระจกส่องหลัง รถคันงามถูกยิงเข้าที่ยางทำให้สูญเสียการควบคุมเพราะควบขับมาด้วยความเร็ว ตามใจปรารถนาของเจ้านายใหญ่ที่นั่งอยู่บนเบาะหลัง
“เจ้านายครับ เราถูกยิง”
บารอนโซ่ไม่ตอบแต่เขาดึงปืนที่เหน็บอยู่ตรงซอกเอวออกมาแล้วเปิดกระจกยิงสวนรถคันที่ขับตามหลัง
“ปัง ๆ ๆ” เสียงปืนดังสนั่นรัว แต่รถคันหน้าต้องจอดลงเพราะยางถูกยิงจนพรุนไปต่อไม่ได้
“เจ้านายหนีไปครับ” เสียงลูกน้องตะโกนบอกเจ้านายใหญ่ แต่ทว่าเจ้าพ่อบารอนโซ่ไม่คิดจะเกรงกลัวสิ่งใด และไม่เคยหนีเอาชีวิตรอดปล่อยให้ลูกน้องปะทะแล้วตามมาด้วยความสูญเสีย โดยตัวเองรอดชีวิตแต่เพียงผู้เดียว
ร่างสูงใช้รถเช่าเป็นเกราะกำบัง ยิงสวนพวกมันอย่างไม่คิดยอมแพ้ รู้โดยแน่แท้ว่าพวกมันหมายจะเอาชีวิตไม่ใช่แค่คิดจะสั่งสอน และรู้ด้วยว่าใครเป็นคนส่งพวกมันมา
“ปัง ๆ ๆ” เสียงปืนยังดังติดต่อกันอีกหลายนัด จนกระทั่งฝ่ายที่ไม่ได้เตรียมกระสุนสำรองเพราะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในต่างแดนก็ตัดสินใจหนีเพื่อไปตั้งหลัก
“พวกแกแยกกันไปคนละทาง แล้วไปเจอกันตรงที่พัก พวกมันมีจำนวนเยอะกว่า เราสู้ไม่ไหว” เพราะไม่เคยเอาเปรียบ เมื่อถึงคราวที่ต้องหนีบารอนโซ่ก็ไม่คิดจะหนีไปคนเดียว เมื่อกระสุนหมดทั้ง 3 ก็แยกย้ายกันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่รู้ทิศรู้ทางรู้แต่เพียงว่าต้องรอดเพื่อจะกลับไปทวงคืนให้สาสม
บารอนโซ่วิ่งเข้าไปในป่าเพราะคิดว่าน่าจะเป็นการดีกว่าจะวิ่งบนถนนคอนกรีตในทางเปลี่ยว ๆ แบบนี้ เขาสามารถใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นที่กำบังและอาจซ่อนตัวอยู่ตรงไหนสักแห่ง ขายาว ๆ พาร่างสูงวิ่งไปหลบอยู่หลังเนินเขาใช้ความใหญ่โตแต่ไม่สูงสักเท่าไหร่ซ่อนตัวจากพวกคนร้าย
สายตาคมกล้าสอดส่ายหาอาวุธที่คิดว่าน่าจะถนัดมือ ก็เจอเข้ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาถือไว้มั่นรอให้พวกมันตามมาจนถึงจุดนี้ แต่ทว่า...
“กูนึกว่าจะแน่ ที่แท้เจ้าพ่อบารอนโซ่ก็หนีหางจุกตูดแบบนี้นี่เอง” พวกมันโผล่มาตรงหน้า ยืนประจันหน้ากัน 4 ต่อ 1 บารอนโซ่ไม่กลัวกับเหตุการณ์แบบนี้ซึ่งผ่านมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และทุกครั้งเขาก็รอดไปได้ ส่วนพวกศัตรูก็ตายหมดเหลือแค่หัวหน้าของพวกมันที่ต้องลงให้เขาอย่างไม่มีทางเลือก
และคราวนี้ถ้าบารอนโซ่จะไม่แน่ใจว่าสุดท้ายเขาจะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า แต่เขาจะสู้ให้ถึงที่สุด ถ้าจะตายก็ตายอย่างสมศักดิ์ศรีเจ้าพ่อบารอนโซ่
“ฮ่า ๆ” พวกมันหัวเราะแล้วเริ่มรุมล้อมเขาเป็นวงกลม อย่างพวกหมาหมู่ไร้เกียรติและน่าดูถูกเหยียดหยาม
“ใครส่งพวกมึงมา ไอ้ฟรานเชสโก้ใช่ไหม” บารอนโซ่กำท่อนไม้ในมือให้แน่นพอเหมาะ หากพวกมันยิงใส่ เขาสาบานว่าต้องเอาชีวิตพวกมันไม่น้อยกว่าหนึ่งชีวิตให้จงได้ แล้วพวกมันจะต้องเห็นว่าความเร็วของเขาไม่แพ้ลูกกระสุน
“ไม่โง่นี่หว่า มึงมีปัญหากับใครก็คนนั้นแหละว่ะ พวกกูก็แค่ทำงานให้เสร็จ ๆ แล้วรับเงินก็จบ”
“แล้วถ้ากูให้เงินมึงมากกว่าล่ะ” บารอนโซ่เสนอ หากแต่ดวงตาคมยังคงจับจ้องกราดมองพวกมันทุกคนไม่วางตา ไอ้คนพวกนี้มันเก่งแต่หมาลอบกัด ชอบทำตัวเป็นหมาหมู่เพราะคิดว่ามันต้องชนะ เขาต้องดูท่าทีของพวกมันทุกคนให้แน่ใจ และดูเหมือนพวกหมาหมู่พวกนี้จะหิวโซเต็มทน ดูจากสภาพผ่ายผอมของพวกมันแล้วไม่น่าผิดพลาด
“กูไม่เชื่อ มึงอย่าพยายามหลอกล่อให้พวกกูไว้ชีวิตมึงหน่อยเลย ทางเดียวที่กูจะได้เงินก็คือฆ่ามึงเท่านั้น”
“เปรี้ยง!!!” สิ้นประโยคไอ้คนพูดมันก็ยิงใส่บารอนโซ่ เจ้าพ่อหนุ่มกระโดดหลบฟาดท่อนไม้ใส่หน้าของมันคนหนึ่ง เลือดกระฉูดออกจากปาก พวกมันที่เหลือก็เข้ามาห้อมล้อมตั้งท่าจะยิงใส่
“เปรี้ยง ๆ ๆ”
ร่างของบารอนโซ่ทรุดฮวบ กระสุนหลายนัดไม่ได้พุ่งเข้าใส่เขาทุกนัด ตาคมมองปราดไปด้านหลัง ลูกน้องของเขาตามมาช่วย
“กูบอกให้มึงไปไง!” บารอนโซ่ตะโกนกร้าว รับปืนที่ลูกน้องโยนมาให้
“ผมไม่มีวันทิ้งเจ้านายหรอกครับ” ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ บารอนโซ่ก็คงทำยิ่งกว่าการซาบซึ้ง ทว่าสถานการณ์ที่ยังตกเป็นรองแบบนี้ เขาจะมามัวซึ้งไปกับความซื่อสัตย์ที่ลูกน้องมอบให้ก็คงไม่ได้ มือหนายิงใส่พวกมัน ผืนดินที่ปกคลุมด้วยพงหญ้าเตี้ย ๆ มีแต่หยดน้ำสีแดงข้นกระจัดกระจาย
“เปรี้ยง ๆ ๆ” จากที่คิดว่ามีแค่ 4 มันมาจากไหนอีกไม่รู้ 2 คน ความเจ็บปวดก็ยังกระหน่ำโจมตีบารอนโซ่ด้วยแผลกระสุนที่สาดใส่หน้าท้อง เขากัดฟันสู้ด้วยปืนกระบอกเดียว ตราบใดที่กระสุนยังไม่หมดเขาจะไม่ยอมนอนตายจมกองเลือดแน่แท้
“อ๊ากส์!!!” คงไม่ใช่คนของพวกมัน เพราะลูกน้องของเขาล้มทั้งยืนตาเบิกโพลง ร่างสูงที่เหวี่ยงปืนไปมากราดยิงใส่พวกมันไม่ยั้ง ริมฝีปากถูกไรฟันกัดจนชาไปหมด พวกเดนนรกล้มลงทีละคนเพราะความแม่นยำของเขา แต่แล้ว...
“โอ๊ย!!!” ร่างที่โชกไปด้วยเหงื่อและอาบไปด้วยเลือดก็มีอันต้องทรุดลง บารอนโซ่ถูกยิงเข้าที่หัวไหล่ข้างขวา ทำให้ปืนในมือขวาสั่น กระนั้นเขาก็พยายามบังคับมือให้สั่นน้อยที่สุด สาดกระสุนใส่เดนนรกคนสุดท้ายด้วยสติที่เหลืออยู่ และความชำนาญยิ่ง
“เปรี้ยง ๆ” กระสุนหมดแม็กซ์พร้อมกับร่างของมันฮวบลงต่อหน้า ริมฝีปากทะลักล้นด้วยเลือดสด ๆ ดวงตาของมันเบิกค้างและลมหายใจก็ขาดหาย
บารอนโซ่พาร่างที่บาดเจ็บสาหัสเข้าไปหาลูกน้องที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น เขาลูบเปลือกตาให้คนตายตาหลับ แล้วเอ่ยให้สัตย์สัญญาต่อคนตายเสียงสั่น
“หลับให้สบายนะ ถ้าฉันไม่ตาย ฉันสัญญาว่าจะดูแลครอบครัวของนายให้ดีที่สุดเอียน”
เอียนคือชื่อของลูกน้องผู้ซื่อสัตย์คนนี้ ถึงจะไม่ค่อยใกล้ชิดหรือสนิทสนมกันจนแทบจะไม่รู้เรื่องของเอียนสักเท่าไหร่ จวบจนตอนนี้ชื่อของเอียนจะอยู่ในใจของบารอนโซ่ตลอดไป
ร่างสูงสะดุ้งเมื่อข้อเท้าถูกมือของไอ้พวกเดนนรกที่ยังไม่ตายคว้าไว้ บารอนโซ่สะบัดแล้วกระทืบลงบนหน้าอกจนเลือดสีเข้มพวยพุ่งออกมาจากปาก ก่อนที่มันจะขาดใจตายไปจริง ๆ บารอนโซ่เดินโซซัดโซเซไปตามชายป่า จากผืนหญ้าเตี้ย ๆ ก็เริ่มรกชัด ทางออกสำหรับเขาแล้วมันมืดสนิท กระทั่งยังไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังเดินอยู่ ณ แห่งหนใด
ความเจ็บปวดที่บาดแผลก็ยิ่งทวีคูณในยามที่ขยับร่างแต่ละก้าว มันกำลังอักเสบและเลือดก็กำลังจะหมดร่าง หากไม่จัดการห้ามเลือดให้ได้เสียก่อน บารอนโซ่จึงถอดเสื้อแล้วฉีกออก ไม่ว่ามันจะแพงสักแค่ไหน ตอนนี้มันก็กลายเป็นเศษผ้าที่มีความสำคัญต่อชีวิตเขาในขณะนี้ทีเดียว เศษผ้าถูกนำมาพันรัดหน้าท้องจนแน่น แต่ดูเหมือนมันจะช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะไม่นานเศษผ้าผืนนั้นก็ชุ่มไปด้วยเลือด
ลมหายใจของบารอนโซ่เริ่มอ่อนลง ความเจ็บปวดจวนเจียนจะขาดใจเริ่มบั่นทอนชีวิตเขาลงอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากส์!!” เขาครางอย่างเจ็บปวดเมื่อล้มลงกับพื้น ก่อนจะกลิ้งหลุน ๆ ลงสู่หน้าผาเบื้องหน้า

“โดโรธี”
“คะแม่”
สาวน้อยวัย 18 ละมือจากตำราเรียนที่กำลังอ่านอย่างขะมักเขม้นเดินเข้าไปหามารดา
“วันนี้หนูไปเก็บดอกบัวที่บึงมาให้แม่หน่อยนะลูก แม่รู้สึกมึน ๆ หัวยังไงไม่รู้ อยากนอนพักเสียหน่อย”
“ตายจริง แล้วแม่ทานยาหรือยังคะ” โดโรธีประคองร่างมารดาเดินเข้าบ้าน ปัดที่หลับที่นอนเสียใหม่อย่างกุลีกุจอ “นอนก่อนนะคะ เดี๋ยวโดโรธีไปหายาที่ลุงฉัตรให้”
“ถ้าจะไปหาลุงฉัตร แม่ฝากตักกับข้าวใส่ปิ่นโตแล้วถือไปให้ลุงฉัตรด้วยนะลูก”
โดโรธียิ้มกว้าง หล่อนคาดหวังว่าสักวันความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับลุงฉัตรชัยจะพัฒนาขึ้น แต่จนแล้วจนรอดลุ้นแทบตายก็ยังเหมือนเดิม ทั้งที่ก็เห็นว่าท่าทีของทั้งคู่มันดูยังไง๊ยังไงบอกไม่ถูก ลุ้นมาเป็นสิบ ๆ ปี ก็ไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้น หรือจะอายก็ไม่รู้
ร่างระหงลุกขึ้นไปทำตามคำสั่ง ตักกับข้าวที่เพิ่งจะทำเสร็จใหม่ ๆ ใส่ปิ่นโต แล้วถือเดินไปที่บ้านใหญ่สีส้ม ซึ่งเป็นบ้านของลุงฉัตรชัยเจ้าของสวนยาง โดโรธีรักและเคารพลุงฉัตรชัยเหมือนพ่อแท้ ๆ ของหล่อน ถึงจะไม่เคยสัมผัสความรักของคนเป็นพ่อ แต่ความรักและเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานที่ลุงฉัตรชัยมอบให้ ก็น่าจะเทียบได้กับความรักของพ่อล่ะนะ
ฉัตรชัยกำลังลงกล้ายางบนที่ดินแปลงใหม่ที่เพิ่งจะซื้อมาได้ เป็นที่ดินติด ๆ กัน กว่าจะเจ้าของเดิมจะยอมขายต่อได้ก็เป็นโดโรธีที่พยายามช่วยพูดหว่านล้อมให้ใจอ่อน กระนั้นก็ถูกรีดราคาเสียจนเลือดออกซิบ ๆ ดีหน่อยที่ฉัตรชัยรวยใช่ย่อย ถึงมีเงินให้เขาโดยไม่เจ็บตัวมากนัก ก็แค่แสบ ๆ คัน ๆ
“ลุงฉัตรคะ แม่ให้เอาปิ่นโตมาส่งค่ะ แล้วก็ขอยาแก้มึนหัวหน่อยค่ะ” หล่อนบอกหลังจากยื่นปิ่นโตให้เจ้าของสวนยางพาราผู้มีพระคุณ
“อ้าวเดือนไม่สบายเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ” เมื่อได้ยินว่าเดือนเต็มป่วย ฉัตรชัยก็ออกอาการเป็นห่วงให้เห็น
โดโรธีจับความกังวลระคนเป็นห่วงได้จากน้ำเสียงที่ดูจะสั่นเล็กน้อยของฉัตรชัย แล้วมือใหญ่ก็ยังทิ้งด้ามพลั่วก่อนจะถอดถุงมือสะบัดทิ้ง ท่าทางแบบนี้จะบอกได้หรือเปล่าว่าลุงฉัตรชัยรู้สึกยังไงกับมารดา
“แม่บอกว่ามึนหัวค่ะ ให้หนูมาเอายาแล้วก็เอาปิ่นโตมาส่งแทน หนูก็เลยให้แม่นอนพัก”
“งั้นเดี๋ยวลุงเอาไปให้เอง จะได้ไปดูอาการสักหน่อยด้วย” ลุงฉัตรของหล่อนคงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อไปดูอาการของคนที่ใฝ่ปอง โดโรธีคิดเรื่อยเปื่อยอยากให้ความคิดของหล่อนเป็นความจริงเหลือเกิน
“ค่ะคุณลุง หนูฝากแม่ด้วยนะคะ พอดีแม่ใช้ให้ไปเก็บฝักบัวที่บึงน่ะค่ะ หนูไปก่อนนะคะ”
ฉัตรชัยพยักหน้าพร้อมทั้งยกมือลูบหัวโดโรธีเบา ๆ เด็กสาวเพิ่งจะ 18 ปีเต็มในวันนี้อย่างโดโรธี ใครได้พบได้คุยก็หลงรักเหมือนเขา และดูเหมือนความเอ็นดูจะผ่านเลยไปให้คนเป็นแม่ด้วย
ฉัตรชัยเข้าไปล้างมือก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านพักของเดือนเต็ม เห็นหล่อนนอนอยู่บนฟูกหนาภายในห้องนอนแต่ไม่ได้ปิดประตูก็ถือวิสาสะเข้าไปนั่งข้าง ๆ เดือนเต็มรู้สึกเหมือนมีคนเข้ามาก็ลืมตา เห็นว่าเป็นฉัตรชัยหล่อนก็พยุงตัวขึ้นนั่ง
“ไม่ต้องหรอก นอนตามสบายเถอะ ผมเอายามาให้”
“แล้วโดโรธีล่ะคะ” หล่อนมองหาลูก แต่ไม่เห็นก็เลยถาม
“โดโรธีบอกว่าจะไปเก็บบัวในบึง ผมก็เลยอาสาเอายามาให้คุณ เป็นยังไงบ้างถ้ามากนักน่าจะไปหาหมอดูอาการสักนิดนะ”
“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ อายุมากแล้วร่างกายก็ย่อมเสื่อมถอยลงเป็นธรรมดา” ขณะนี้เดือนเต็มอายุ 45 น้อยกว่าฉัตรชัย 1 ปี ก็ถือว่ายังไม่แก่แค่ก้าวเข้าสู่วัยทองเท่านั้น
“พูดอย่างกับคุณอายุ 60 อายุขนาดนี้ยังไม่แก่หรอก” ฉัตรชัยอมยิ้มนึกขันคนที่ชอบว่าตัวเองว่าแก่
“45 นี่น่ะหรือคะไม่แก่” เดือนเต็มอุทานและเผลอค้อนคม ๆ ให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายจ้าง
“ถ้าคุณแก่ ผมก็แก่กว่าสิ ผมยังไม่อยากแก่แล้วคุณจะอยากแก่ไปทำไม ต้องคิดว่าเรายังมีแรงมากมายเหลือเฟือ พอจะทำทุกอย่างเหมือนคนอายุ 30 สิ ถึงจะถูก”
เดือนเต็มหัวเราะออกก็ตอนนี้
“เอาเถอะค่ะ ไม่แก่ก็ไม่แก่ ไม่แก่แต่ผมสีดอกเลาแล้วนะคุณน่ะ” หล่อนแกล้งเย้าสีผมขาวตรงบริเวณจอนของฉัตรชัย ความจริงสีผมของเขาไม่ได้ทำให้ดูแก่ แต่กลับทำให้ดูภูมิฐาน ดูน่าเคารพนับถือ ที่สำคัญเจ้านายของหล่อนยังดูดีเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยน
“ทานยาแล้วนอนพักซะนะ มื้อเย็นคุณไม่ต้องทำกับข้าวให้ผมก็แล้วกัน รอให้คุณหายเมื่อไหร่ค่อยทำ”
“แล้วใครจะทำให้คุณทานล่ะคะ” เดือนเต็มเป็นห่วงเพราะนอกจากหล่อนแล้ว ก็ไม่มีใครทำอาหารได้ถูกใจฉัตรชัยเลยสักคน
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมให้จ้อยทำให้ก่อนก็ได้ จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณ เพราะถ้ายังขืนให้คุณทำงานต่อ บางทีผมอาจต้องหามคุณเข้าไปนอนในโรงพยาบาลก็เป็นได้”
“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เดือนเต็มกล่าวขอบคุณก่อนที่ฉัตรชัยจะออกไปจากห้อง เจ้านายหนุ่มใหญ่หันมายิ้มแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ก็เดินจากไปโดยไม่ลืมดึงประตูปิดให้
เดือนเต็มซาบซึ้งในความเป็นคนที่มีน้ำจิตน้ำใจดีของฉัตรชัย ตั้งแต่เจอเขาครั้งแรกจวบจนวันนี้ไม่มีวันที่ผู้ชายคนนี้จะไม่ทำให้หล่อนปลาบปลื้มและรู้สึกอบอุ่น แม้ความรู้สึกนั้นจะถูกเจ้าตัวขับไล่ให้ไปจากใจอยู่เสมอ เดือนเต็มจะมีสายตามองใครได้เล่า ในเมื่อหล่อนยังมีผู้ชายที่ชื่อดาเรนโน่อยู่ในหัวใจ

ร่างระหงปราดเปรียวกระโดดเหยียบบนหินก้อนใหญ่ไปตามขอบบึงบัว บึงนี้เป็นบึงขนาดกลางไม่ใหญ่มาก มีดอกบัวสีชมพู สีม่วง ลอยอยู่เต็ม หล่อนแก้เชือกที่ผูกกาบเรือแล้วเข็นเรือพายออกไปในบึงก่อนนั่งบนเรือหยิบไม้พายขึ้นมาจ้วงน้ำอย่างชำนาญ ดอกบัวสีสวยดอกแล้วดอกเล่าถูกเก็บมาอยู่ในเรือ
โดโรธีไม่ได้ออกไปกลางบึงมากนักเพราะมีดอกบัวอยู่หนาแน่นทำให้ไม่สามารถพายฝ่ามันไปได้ หล่อนจึงลัดเลาะเรียบเคียงขอบ ๆ ดึงแล้วตัดอยู่อย่างนั้นจนคิดว่าน่าจะพอกับความต้องการ
“นอกจากจะเอาไปไหว้พระแล้ว น่าจะพอสำหรับแกงส้มด้วยนะเนี่ย”
โดโรธีพำพึมมือบางยกก้านบัวขึ้นมาหนึ่งก้าน เพ่งมองดูความงามของมันอย่างสนุกสนาน โดยไม่ได้บังคับเรือปล่อยให้มันลอยอยู่ในน้ำ กระทั่งหล่อนวางดอกบัวลงก็พลันเห็นร่าง ๆ หนึ่งนอนสงบนิ่งก้มหน้าอยู่ริมตลิ่ง
“เอ๊ะ!!! คนนี่นา”
หล่อนรีบพายเรือเข้าไปหา พอเข้าไปใกล้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ สมองคิดไปต่าง ๆ นานาว่าคน ๆ นี้จะยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า หรือว่า...
พระเจ้า... ไม่นะ!!
หัวใจของโดโรธีเต้นโลดเมื่อหล่อนพายเรือมายังตลิ่งฝั่งนั้นแล้วกระโดดลงไปยืนมอง คน ๆ นี้เป็นผู้ชาย สายตาของหล่อนบอกว่าอย่างนั้น ร่างเล็กกระเถิบเข้าไปใกล้แล้วย่อตัวลงแตะมือกับต้นแขนของเขา
“ตัวยังอุ่น แสดงว่ายังไม่ตาย”
หล่อนใช้มือดันร่างหนาใหญ่ พยายามออกแรงดันแล้วจับพลิกให้เขานอนหงายให้ได้ ในที่สุดหล่อนก็ทำสำเร็จ โดโรธีตาโตเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนเปรอะและซีดเซียวของเขาถนัด ผู้ชายคนนี้นี่เองคนที่เขาเคยช่วยชีวิตหล่อนเอาไว้
“คุณ!! คุณคะ คุณ!!!” สาวน้อยพยายามเรียกและเขย่าอย่างหวังว่าเขาจะรู้สึกตัว คล้ายจะไม่แน่ใจว่าเขายังมีลมหายใจอยู่จริงหรือไม่ มือบางก็ยื่นไปอังที่รูจมูก สัมผัสอุ่น ๆ ที่ปะทะกับหลังมือบอกหล่อนว่าเขายังไม่ตายจริง ๆ เขายังมีลมหายใจอยู่
โดโรธีนั่งลงคุกเข่าจับใบหน้าของชายหนุ่มให้ตั้งตรง เขาไม่ได้ใส่เสื้อแต่มีเศษผ้าพันอยู่กลางลำตัว และผ้าผืนนั้นก็ยังมีคราบเลือดที่ซึมออกมาอย่างต่อเนื่องให้เห็น ที่บ่าก็ยังมีบาดแผลจากคมกระสุน บาดแผลพวกนี้ไม่ผิดแน่ ผู้ชายคนนี้ถูกยิงมา
สมองของหล่อนกำลังว้าวุ่นอย่างครุ่นคิดหาทางช่วยเหลือเขา ผู้ชายคนนี้อาจตกน้ำแล้วลอยมาเกยตื้นอยู่ริมตลิ่ง แต่เขาตกลงมาจากที่ใดล่ะ หรือว่า... คงไม่ใช่หน้าผาสูงนั่นหรอกนะ ถ้าใช่เขาคงดวงแข็งน่าดูชม
‘อย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่นในตอนนี้ เธอจะต้องพาเขาออกไปจากตรงนี้ก่อนโดโรธี’
หญิงสาวเอ็ดตัวเองที่ดูจะลนลานเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไรก่อน แล้วร่างระหงก็ลุกขึ้นยืนโน้มตัวลงดึงมือทั้งสองข้างของเขา แต่ในขณะที่ดึงดวงจิตของหล่อนก็มองเห็นภาพการไล่ล่า โดโรธีตกใจเลยปล่อยมือใหญ่แล้วหันไปมองรอบ ๆ ตัว สรรพสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่จิตของหล่อนต่างหากที่ไม่เหมือน ภาพอะไร หล่อนเห็นภาพนั้นได้ยังไง มันเหมือนหล่อนไปนั่งดูภาพยนตร์ที่ไหนสักแห่ง หนังเรื่องนั้นเป็นหนังบู๊ล้างผลาญซึ่งหล่อนไม่เคยชอบเลยสักนิด เป็นไปได้ยังไงกัน
โดโรธีก้มลงมองคนที่สลบแน่นิ่ง และเพิ่งจะสังเกตเห็นศีรษะของเขาแตกมีเลือดไหลออกมา ผู้ชายคนนี้มีแผลฉกรรจ์หลายแห่งและควรได้รับการเยียวยาอย่างเร็วด่วน
สาวน้อยไม่มีเวลาจะสนใจอะไรอีก โน้มตัวลงจับมือหนาทั้งสองข้างอีกครั้ง ก่อนจะถอนใจโล่งอกเมื่อหล่อนมองไม่เห็นภาพการไล่ล่านั้นอีก หล่อนใช้แรงที่มีทั้งหมดลากชายหนุ่มขึ้นฝั่งทั้งตัว
“พี่โดโรธีทำอะไรน่ะ”
โดโรธีสะดุ้งเฮือกหันไปมองขวับ เห็นก้องกล้ายืนมองอยู่อย่างตื่นตะลึงไม่ผิดแผกไปจากหล่อนในตอนแรก
“กล้ามาเร็ว มาช่วยพี่หน่อย”
“คะ... ใครน่ะพี่ ตะ... ตายหรือยัง” ก้องกล้าถามแต่ขาข้างหนึ่งก้าวไปข้างหลังเตรียมเผ่นหนี หากได้คำตอบที่ไม่น่าจะพอใจ
“ยัง มาเร็วกล้า ขืนชักช้าเขาอาจตายก็ได้”
ก้องกล้าได้ยินดังนั้นก็รีบรุดเข้าไปช่วยหญิงสาวลากผู้ชายตัวโตคล้ายยักษ์ปักหลั่นขึ้นมาบนฝั่ง พาหลบไปนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้
“เขาเป็นใคร แล้วโดนอะไรมาพี่” ถ้าโดโรธีไม่เคยพบผู้ชายคนนี้มาก่อน หล่อนคงได้เอ็ดว่าก้องกล้าบ้าหรือเปล่า คนก็เพิ่งเจอแล้วจะรู้ได้ไงว่าชื่ออะไร
“เขาเป็นใครพี่ไม่รู้ แต่เขาเคยช่วยชีวิตพี่ คราวนี้ถึงทีพี่ที่ต้องช่วยเขาบ้าง” หล่อนตอบ
“แล้วพี่จะช่วยยังไง หรือจะเรียกใครให้มาช่วย กล้าจะได้ไปตามให้”
โดโรธีมองหน้าคนถาม ถ้าเรียกให้คนมาช่วย ทุกคนในอำเภอเป็นได้รู้กันหมดว่าผู้ชายคนนี้อยู่ที่นี่ และถ้าเขามีศัตรูที่กำลังต้องการชีวิต หล่อนก็ไม่ควรจะบอกเรื่องนี้กับใครสินะ
“ไม่ เราจะบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ไม่ได้ ถ้าคิดจะช่วยเขา”
ก้องกล้ามองหน้าโดโรธีอย่างไม่เข้าใจ ถ้าไม่บอกแล้วใครจะช่วยคน ๆ นี้ได้
“แล้วเราจะทำยังไงกันล่ะพี่ นายยักษ์นี่ก็ต้องการหมอ ดูสิเลือดท่วมตัวซะขนาดนี้ ตัวก็ซีดลง ๆ เดี๋ยวก็ต้องขาดใจตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
ก้องกล้าไม่ได้พูดเกินความจริงไปเลยแม้แต่น้อย หล่อนเองก็เห็นว่าอาการของเขาไม่น่าไว้วางใจ เขากำลังต้องการการรักษา และคนที่จะรักษาได้คงมีแต่หมอ บาดแผลขนาดนี้กำลังอักเสบและอาจจะติดเชื้อ จะให้ใช้ยาสมุนไพรที่หาได้จากแถวนี้คงเสี่ยงเกินไป
“เอาอย่างนี้ กล้าช่วยพี่พาเขาไปที่กระท่อมนั่นก่อนนะ” หญิงสาววัย 18 บุ้ยใบ้ไปยังกระท่อมหลังเล็กริมตลิ่งฝั่งที่กำลังยืนอยู่ เด็กหนุ่มวัย 15 มองตามแล้วทำหน้าฉงน
“กระท่อมนั่นน่ะหรือพี่ อูย... จะไหวเร้อ”
กระท่อมเล็ก ๆ ไร้ความสะดวกสบายทุกอย่าง เป็นเหมือนเถียงนาเปล่า ๆ ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำ แล้วจะเอาคนป่วยเข้าไปพักในนั้นได้ยังไง
“พี่รู้ว่ากล้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่พี่ไม่มีทางเลือก คิดดูสิกล้า ถ้าทุกอย่างเป็นเหมือนในหนังบู๊ล้างผลาญ แล้วคนที่กำลังถูกตามล่าควรจะให้ใครรู้หรือว่าเขาอยู่ที่ไหน ถ้าเราพาเขาไปรักษาในโรงพยาบาล แล้วเขาถูกฆ่าปิดปากทั้งที่ยังนอนพะงาบ ๆ อยู่บนเตียงคนไข้ การช่วยเพื่อเอาบุญก็จะกลายเป็นผลักคนให้ไปตาย แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปเพิ่มขึ้น เฮ้อ... ตอนนี้พวกเราก็ไม่รู้จะเหลือบุญสักเท่าไหร่ด้วยนะ”
โดโรธีสาบานได้ว่าหล่อนไม่ได้ยกแม่น้ำทั้ง 5 มาอ้าง แต่หล่อนพูดด้วยเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ในชีวิตของผู้ชายที่ยังไม่ได้สติคนนี้ ที่สำคัญเขาเคยช่วยชีวิตหล่อนและหล่อนก็ต้องตอบแทนบุญคุณนั้น
“ถ้าพี่โดโรธีว่างั้น ผมก็คงต้องว่าตามกัน” ในที่สุดก้องกล้าก็ตอบตกลง
“ดี ถ้างั้นกล้าช่วยพี่พาเขาขึ้นไปบนกระท่อมก่อน หลังจากนั้นกล้าก็ไปตามหมอยมมา”
ก้องกล้าพยักหน้ารับ แล้วช่วยโดโรธีประคองร่างที่ทั้งหนาและหนักขึ้นบันได 3 ขั้น แล้วพาไปนอนบนฟูกบาง ๆ ที่มีอยู่แล้ว กระท่อมหลังนี้เป็นสถานที่พักผ่อนของโดโรธีและก้องกล้าตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก ลุงปลวกพ่อของก้องกล้าเป็นคนสร้างมันขึ้นแล้วหลังจากนั้นหล่อนกับเพื่อนชายต่างวัยก็ยึดเป็นที่เล่นสนุก จึงไม่แปลกถ้าในนี้จะมีฟูกกับหมอนพร้อมอยู่แล้ว
โดโรธีไม่แน่ใจว่าตนคิดผิดหรือคิดถูก แต่หล่อนไม่รู้จะทำยังไงนอกจากทางนี้ ตากลมสีน้ำตาลหวานมองร่างหนาที่นอนราบนิ่ง มือบางยื่นออกไปแตะซีกแก้ม ไม่ได้คิดจะแต๊ะอั๋งหรืออยากจับ แค่ต้องการจะรู้ว่าเขายังตัวอุ่นอยู่หรือไม่ แล้วหล่อนก็ต้องถอนใจเมื่อร่างหนาไม่เพียงแค่อุ่นแต่เริ่มร้อนคงเพราะพิษไข้ ปากซีด ๆ ขบกันในบางครั้ง คล้ายว่าเขากำลังจะรู้สึกตัวตื่นแต่ไม่ใช่ สาวน้อยเดาว่าพิษไข้กำลังทำให้เขาหนาวจึงมองหาผ้าห่มเพื่อคลุมตัว ทว่าในกระท่อมหลังเล็กไม่มีสิ่งอื่นสิ่งใดนอกจากฟูกกับหมอน
“หนูจะทำยังไงกับคุณดี หนูจะช่วยคุณยังไง อดทนหน่อยนะคะ เดี๋ยวหมอก็มารักษาคุณแล้ว” สาวน้อยพร่ำบอกกับร่างที่สั่นสะท้านแต่ไม่ได้สติ เขาจะรับรู้ถ้อยคำของหล่อนไหมนะ
“หนะ... หนาว” โดโรธีได้ยินไม่ถนัด จึงโน้มใบหน้าลงไปเอียงหูใกล้ริมฝีปากที่ขยับแผ่ว ๆ
“คุณพูดใหม่ซิคะ หนูไม่ได้ยิน” หล่อนกระซิบบอก
“หนาว”
คราวนี้ได้ยินชัด เขาหนาวหล่อนรู้ แล้วจะให้หล่อนทำยังไง ครั้นจะใช้วิธีที่เคยเห็นพระเอกทำให้เวลานางเอกไม่สบาย ก็ดูจะน่าอายไปหน่อย
“หนาว... หนาวจัง” ผู้ชายไร้สติกำลังมีไข้สูงยืดมือขึ้นไขว่คว้าหาไออุ่น มือหนาป่ายปัดไปทั่วอากาศไล่คว้าอะไรบางอย่างจนแตะถูกต้นแขนเรียว แล้วเขาก็ดึงหล่อนเข้าไปกอดแน่น
“คุณ!!!” โดโรธีพยายามแกะมือตุ๊กแกที่เกี่ยวร่างหล่อนไปกอดหน้าตาเฉย คนไข้ขึ้นสูงไม่มีสติพอจะปล่อยหล่อน กว่าจะแกะมือเขาออกจากลำตัวได้ก็ต้องกอดปล้ำกันอยู่นานจนหญิงสาวเหงื่อตก
ไม่ได้การล่ะ หล่อนจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว กว่าหมอจะมาถึงถ้าไม่ช่วยเขาอาจจะขาดใจตายไปเสียก่อน ร่างระหงหยัดตัวขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีหวาน 3 เม็ด แล้วขยุ้มสาปเสื้อเมื่อสองจิตสองใจว่าจะทำดีไหม หรือไม่จำเป็นต้องถอด แต่เอ... ในหนังมันถอดนี่นา
แล้วสุดท้ายโดโรธีก็ไม่ได้ถอดเสื้อเพียงแค่ปลดกระดุมเปิดเนื้อที่บนร่างกาย แล้วทอดร่างนอนเคียงข้างโดยวาดวงแขนโอบทับบริเวณอกกว้าง สัมผัสแรกระหว่างชายหญิงอย่างใกล้ชิดที่สุดของวัยสาวก็เกิดขึ้น สาวน้อยนอนนิ่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเพราะเกรงว่าจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปมากกว่านี้ นึกดีใจว่าเขาเองก็นอนนิ่งอาการกระวนกระวายคลายลงแม้จะไม่มากแต่ก็น่าพอใจไม่น้อย
สาวน้อยวัยกำดัดลอบมองเรือนกายหนาใหญ่อย่างอยากรู้อยากเห็น ร่างกายผู้ชายอย่างเขาทำไมต่างจากร่างกายของคนงานชายในสวน เท่าที่หล่อนเคยเห็นพวกคนงานไม่มีคนไหนจะมีกล้ามเป็นมัด ๆ มีไรขนสีเข้มเรียงเส้นอยู่บนหน้าอก ไรขนสีดำไล่ตั้งแต่กลางหว่างอกเป็นแถวเรื่อยลงต่ำจนหายไปในขอบกางเกง ผิวของเขาขาวสะอ้านตัดกับสีขนเข้ม ๆ เครื่องหน้าทุกชิ้นก็คมคายอย่างหาตัวจับได้ยาก มองแบบนี้เห็นจมูกโด่งแหลม ริมฝีปากหนาเป็นกระจับสีเข้ม ไรเคราขึ้นเขียวเป็นตอ ๆ ดูแล้วน่าจะแข็งกว่าขนหน้าอก อุ๊ย! คิดแล้วก็ขนลุก
ก่อนที่หล่อนจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยมากกว่านี้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดเตี้ย ๆ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วรีบติดกระดุมเสื้อมือไม้สั่น ดีที่ปิดประตูเอาไว้ก้องกล้าจึงต้องเสียเวลาเคาะประตู
“พี่โดโรธี หมอมาแล้ว”
หมอยมเคยเป็นหมอรักษาคนไข้ในโรงพยาบาล แต่ตอนนี้เกษียณอายุแล้วจึงอุทิศตนมาเป็นหมอชาวบ้าน ให้การรักษาได้ทุกโรคยกเว้นโรคที่ต้องผ่าตัด หมอยมมียารักษาทุกโรคและยาของหมอยมก็ล่ำลือว่ารักษาได้หายขาดในช่วงเวลาไม่กี่วัน
โดโรธีไม่เคยรักษากับหมอยมเพราะหล่อนเป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงมาตั้งแต่เกิด แม่บอกว่าขนาดหอบหิ้วหล่อนมาไกลจากกรุงเทพฯ จนถึงจังหวัดนี้ เด็กทารกน้อยแรกเกิดอย่างหล่อนก็ยังไม่มีอาการไข้ให้ต้องกังวล จนถึงบัดนี้โดโรธีเคยแค่ฉีดวัคซีนตามช่วงอายุเท่านั้น
“ไหนคนเจ็บ” หมอยมพาวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีขึ้นมาบนกระท่อม เห็นร่างหนาที่อาบไปด้วยเลือดนอนหมดสติก็รีบเข้าไปตรวจ “ถูกยิงมานี่นา นี่พวกเธอไปเจอเขาที่ไหน แล้วทำไมเขาอยู่ในสภาพนี้ใครรู้บ้าง”
“หนูเจอที่ริมตลิ่งหน้ากระท่อมนี่แหละค่ะ หมอยมคะช่วยรักษาเขาหน่อยนะ หนูไม่มีเงินทองจะตอบแทนหมอ แต่หนูก็ปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ค่ะ”
หมอยมจับนั่นจับนี่แล้วแก้ผ้าที่พันช่วงลำตัวออก
“ดูท่ากระสุนคงจะฝังใน จะต้องทำการผ่าเอากระสุนออกมา” หมอดูแผลทั่วตัว ทั้งบ่าขวาและที่ศีรษะ นอกจากนั้นก็ยังมีรอยฟกช้ำดำเขียวถลอกปอกเปิกทั่วตัว แล้วก็ถอนใจออกมาหนัก ๆ “อาการสาหัสมาก ตอนนี้แผลก็เริ่มจะอักเสบ ที่สำคัญหมอดูแล้วแผลที่ท้องกำลังจะติดเชื้อ น่าจะพาเขาส่งโรงพยาบาลนะ”
“หมอยมคะ หนูก็อยากพาเขาส่งโรงพยาบาล แต่คิดแล้วไม่ดีกว่า หนูเห็นแผลบนร่างก็คิดว่าเขาน่าจะถูกตามล่า ถ้าส่งโรงพยาบาลคนที่กำลังไล่ล่าก็จะควานหาตัวเขาเจอนะคะ จะกลายเป็นว่าแทนที่จะช่วยเขาก็กลับส่งเขาไปตายซะงั้น หนูถึงตัดสินใจให้กล้าไปตามหมอมาไงคะ”
หมอฟังเหตุผลของโดโรธีก็เข้าใจและเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหญิงสาว เขาพยักหน้าแล้วเริ่มทำความสะอาดบาดแผลรวมทั้งตัวของคนเจ็บ
“ถ้างั้นหมอจะต้องผ่าเอาลูกกระสุนออก เจ้ากล้าไม่ได้บอกว่าคนเจ็บเป็นอะไร หมอเลยไม่ได้เอายาชากับมีดมาด้วย ทำไงดีล่ะ จะกลับไปเอาก็คงไม่ทันการ พ่อหนุ่มคนนี้ใกล้จะทนพิษบาดแผลไม่ไหวเต็มทีแล้ว”
“ผมมีมีดมาด้วยครับ” ก้องกล้าดึงมีดที่ตนนำติดตัวเพราะตั้งใจจะมาเก็บข้าวโพดไปต้มกิน มีดของก้องกล้าเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยยื้อชีวิตของคนเจ็บไว้ได้
“ถ้างั้นก็ต้องผ่าสด เร็วเข้าไปก่อไฟให้หน่อย หมอจะต้องทำการฆ่าเชื้อที่มีดซะก่อนจึงจะผ่าได้”
จบคำก้องกล้าและโดโรธีก็กุลีกุจอไปช่วยกันก่อกองไฟเล็ก ๆ ริมกระท่อม
“เจ้ากล้า เอ็งปล่อยให้หนูโดโรธีก่อกองไฟไปคนเดียว ส่วนเอ็งไปหากาต้มน้ำมาให้หน่อย หมอจะต้องใช้น้ำร้อน อ้อ... แล้วก็หาเสื้อผ้าชุดใหม่ ผ้าขนหนูสะอาด ๆ กับผ้าห่มมาให้พ่อหนุ่มนี่ด้วยนะ”
“ได้จ้ะหมอ” ว่าแล้วก้องกล้าก็วิ่งลัดป่าหญ้าไปยังบ้านของตน


ฝากด้วยนะคะ นิยายเรื่องนี้จำหน่ายเป็นอีบุ๊คเท่านั้นค่ะ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=7682



นางสาวบราวนี่
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ต.ค. 2556, 19:26:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ต.ค. 2556, 19:26:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 2505





<< ตอนที่ 2 บารอนโซ่ เชนร็อคกี้   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account