มนต์เมโลดี้
“...น้องร้องหนุ่มผิวเข้ม นัยน์ตาหวาน เสียงกังวานหวานปานน้ำผึ้ง
ผู้ซึ่งมีอาชีพเสริมคือจอมสร้างภาพในวงการมายา
ที่น้อยคนนักหนาจะหารู้ความอัปยศของนักร้องอักษรย่อ ตก. คนนี้ไม่
นักร้องหนุ่มมาดเข้มดูดีผู้มีดีกรีชนะเลิศเรียลลิตี้คว้าฝันเพิ่งคว้าเบญจเพสหมาดๆ ในลัคนาราศีธนู
จะถูกธนูรักแผลงผลักให้เจออาเพศถึงขั้นสูญเสียความสามารถการร้องเพลงที่ตนเองถนัด
จะอัตคัดแฟนคลับ จงระวังคนสนิทชนิดแทงข้างหลังกระอักไปถึงขั้วหัวใจ
ภาพลักษณ์ที่สร้างลวงเป็นมายาที่ฉาบทาด้วยทองปลอมจะถูกลอกด้วยนิสัยช่างหลบใน
ไม่เห็นหัวใคร ไม่เกรงใจใคร
หากไม่ลด ละ เลิก นิสัยเสียที่ซ้อนเร้น
เห็นทีจะต้องปิดฉากลาจากวงการมายาไปโดยปริยาย คอมเม้นท์!”

‘รักตกัณฐ์’ ไม่คิดเลยว่าคำทำนายจากหมอดูในนิตยสารจะเป็นจริง
เมื่อ ‘เทพีเมโลดี้’ ปรากฏกายและสาปเขาที่ขัดคำสั่งของหล่อนจนร้องเพลงไม่ได้จริงๆ!!!

แต่สวรรค์เมตตา...
ส่ง ‘น้ำหนึ่ง’ สาวผู้ซึ่งไร้ประสบการณ์การเป็นผู้จัดการมาเป็น ‘ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่’ ให้กับเขา!!!

แม้ไร้ประสบการณ์... แต่หญิงสาวเชื่อมั่นว่า
สัญชาตญาณและพื้นฐานของความจริงใจจะทำให้หล่อนและเขาก้าวผ่านวิกฤติเหนือธรรมชาตินี้ไปได้อย่างแน่นอน คอมเม้นท์!!!


Tags: ความรัก นักร้อง เสียงเพลง

ตอน: ตอนที่ ๔ : ผู้จัดการคนใหม่ด่วน!!!

ตอนที่ ๔
ผู้จัดการคนใหม่ด่วน!!!

บรรยากาศในห้องประชุมเล็กอย่างไม่เป็นทางการค่อนข้างตึงเครียด
ที่มีรักตกัณฐ์ นพวรรณ จตุรงค์และ
วีรดา น้องนุชสุดท้องของตระกูล ‘ภีษมะโยธิน’
ผู้รับหน้าที่ดูแลเมโลดี้ รีเฟลคชั่น บริษัทเพลงในเครือของ บริษัทรีเฟลคชั่น
บริษัทผู้ผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ชื่อดังของเมืองไทย

วีรดากำลังเครียดจัด
หลังฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากปากนักร้องหนุ่มเสียงเทพคนสำคัญของบริษัท

“พี่ว่ากล้าใจเย็นๆ ก่อนนะ” วีรดาพยายามประนีประนอม
“วรรณคงจะเมาน่ะ อะไรๆ เลยเลยเถิดไปบ้าง
ให้อภัยเถอะนะ เพราะทางเราไม่รู้จะหาใครที่ไว้ใจได้มาดูแลคิวงานให้กล้า”
หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีใครกล้าที่จะมาทำงานกับเขาต่างหาก

“ไม่เป็นไรครับ กล้าให้พ่อกับแม่หาให้แล้ว
จะเอาคนรู้จักที่ไว้ใจมาทำเอง เอาที่ไว้ใจได้จริงๆ”
เขาถลึงตาใส่นพวรรณที่หน้าซีดอยู่ฝั่งตรงข้าม

“แต่ว่า...” วีรดาพยายามหาทางออกแต่รักตกัณฐ์ยืนยัน

“กล้าไม่สะดวกใจจะทำงานกับพี่วรรณ ให้เขาออกไปจากชีวิตกล้าเถอะครับ”

นพวรรณมองรักตกัณฐ์ด้วยสายตาผิดหวัง เจ็บแปลบ
ทั้งที่หล่อนทนทำดีมาเพื่อเขาทุกอย่างร่วม ๕ ปี
แต่เขากลับไม่เคยเห็นความดีหล่อนเลยหรือนี่

“แต่กล้าแน่ใจเหรอว่าคนที่พ่อกับแม่หามาจะไว้ใจได้
ไม่ใช่พวกบ้าดาราและจ้องจะมาทำร้ายเราหรอกนะ
คราวนี้เสียหายหลายแสนกว่าเดิม” วีรดาถามย้ำ

“นั่นสิคะน้องกล้า ให้อภัยน้องวรรณเถอค่ะ คงจะเมาจริงๆ แหละแม่คุณ
โถ...น่าสงสาร ทำอะไรไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมจ๊ะ”
จตุรงค์โผกอดปลอบนพวรรณและช่วยพูดให้รักตกัณฐ์เห็นใจ
เพราะหล่อนเองก็ร่วมงานกับนพวรรณและรักตกัณฐ์มานาน
แม้จะแอบรู้ว่าฝ่ายผู้จัดการสาวนั้นอยากจะ ‘แอ้ม’ นักร้องหนุ่มในความดูแลมาบ้างก็เถอะ
แต่ถ้าไม่เมา นพวรรณคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้

“ไม่ครับ และกล้ามั่นใจว่าคนใหม่ที่กล้าหาเองนี้จะไว้ใจได้
หรือถ้าหากจะเกิดอะไรขึ้นกล้าจะขอรับผิดชอบคนเดียว” รักตกัณฐ์ยืนยันมั่นคง

วีรดาถอนใจอย่างจำยอม

“ก็ได้ ตามใจกล้าแล้วกัน”
ถึงอย่างไรรักตกัณฐ์ก็ทำกำไรและชื่อเสียงให้บริษัทมามาก
และยังต้องทำงานด้วยกันไปอีกนาน
หล่อนไม่อยากขัดใจเขา อย่างน้อยหากเขาสบายใจก็คงจะทำให้ร่วมงานกันได้ยาวนานขึ้น
ยอมรับว่าบริษัทเพลงของหล่อนต้องพึงพ่อนักร้องคิวทองเสียงเทพคนนี้
แม้จะมีนักร้องในต้นสังกัดที่ได้จากการประกวดมากมาย
แต่ก็ไม่มีใครที่ครองใจแฟนเพลงได้ทั้งน้ำเสียง
และเสน่ห์อื่นๆ เท่ากับรักตกัณฐ์คนนี้

วีรดาหันมาทางนพวรรณ

“วรรณ ช่วงนี้ก็พักผ่อนไปก่อนละกันนะ
ไว้ฉันหางานที่เหมาะสมกับวรรณได้จะโทร.ไปบอกอีกที แต่คิดว่าเร็วๆ นี้คงจะมี”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณวี วรรณตัดสินใจแล้ว”
นพวรรณลุกขึ้นยืนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ตัดสินใจอะไรเหรอ” วีรดาย้อนถาม

“วรรณขอลาออกค่ะ” นพวรรณย้ำชัด

“อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด น้องวรรณขา ทำไมคิดเร็วอย่างนั้นล่ะคะ
คิดนานๆ ค่ะคุณน้องขา งานหาไม่ได้ง่ายๆ นะคะ”
จตุรงค์รีบเข้าประคองปลุกปลอบให้อดีตผู้จัดการนักร้องหนุ่มใจเย็นๆ

“วรรณขอลาออกค่ะคุณวี”
หล่อนยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองก่อนปรายตาไปทางนักร้องหนุ่ม
ที่มองมาด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่สะทกสะท้านสะเทือนหรือตกใจใดๆ
“ในเมื่อวรรณทำงานพลาดและไม่มีใครเห็นความดีของวรรณอีกแล้ว
วรรณก็ขอลาออกค่ะ”

พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
จตุรงค์ยกมือทาบอกตกใจกับความเด็ดขาดของสาวเจ้า
ขณะที่วีรดายกมือกุมขมับอย่างเครียดขึงกับเรื่องราวทั้งหลาย

“ผมขอโทษนะครับคุณวี” เขายกมือไหว้
วีรดายกมือบอกปัดขณะที่มืออีกข้างยังกุมขมับ
จตุรงค์รีบขยับเข้าหากระดาษ หาสมุดพัดวีและวิ่งหายาดมให้ควัก

รักตกัณฐ์มองวีรดาอย่างเห็นใจ
เขาไม่ได้อยากจะเรื่องมากนักเรื่องผู้จัดการส่วนตัวของเขา
แต่ที่ทนกับนพวรรณมาร่วม ๕ ปีนี่ก็มากนักหนา
แม้ว่าในด้านหน้าที่การงานนพวรรณไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่ในแง่ของพฤติกรรมส่วนตัวนี่สิที่เขารู้สึกระแวดระวังมานานแล้ว
ยิ่งช่วงนี้เขาเจอคำสาปของแม่เทพธิดาอะไรนั่นจนร้องเพลงไม่ได้อีก
บอกใครไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
เขาถึงต้องการคนที่จะไว้ใจได้มาช่วยเขาแก้ไขปัญหาร้องเพลง
อันเป็นปัญหายิ่งใหญ่ของเขาที่ต้องปิดเป็นความลับแบบสุดยอด
แม้แต่จตุรงค์เขาก็ยังไม่ไว้ใจ
แต่รักตกัณฐ์มั่นใจว่าคนที่พ่อกับแม่เขาส่งมานี่แหละ
คือคนที่เขาจะไว้ใจได้มากที่สุด
ชายหนุ่มลุกออกจากห้องประชุม

“สวัสดี รักตกัณฐ์”
เสียงใสๆ ของเมโลดี้ดังขึ้นทันทีที่เขาก้าวออกจากห้องประชุมเล็ก
ทำเอารักตกัณฐ์ผงะด้วยความตกใจก่อนจะรีบปิดประตูให้สนิท
มองซ้ายมองขวาเพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า

“ไม่ต้องกังวลหรอก พวกเขาไม่เห็นเรา
ถ้าเราไม่อยากให้ใครเห็นก็จะไม่มีใครมองเห็นเราแน่นอน” เทพธิดาน้อยบอก

“มาได้ไงเนี่ย” เขาถามเสียงรอดไรฟันเบาๆ

“ก็ใช้เวทมนต์สิ เราเป็นเทพธิดานะ ไม่ใช่คนธรรมดา ลืมแล้วเหรอ”
เทพธิดาน้อยตอบ

“แล้วมาทำไม”

“มาหาเจ้าไง จะมาขอโทษด้วยที่เมื่อคืนเราไม่ได้ลงมาช่วยเหลือเจ้า
พอดีอินทัชลงมาตามเราขึ้นไปหาท่านพ่อท่านแม่น่ะ” เมโลดี้ตอบ

“ไม่ต้องมาช่วยเลย เพราะเธอนั่นแหละ
ชีวิตฉันถึงเป็นแบบนี้ วุ่นวายไปหมด” เขาดุเบาๆ ก่อนถาม
“แล้วใครคืออินทัช”

“อินทัชเป็นพี่เลี้ยงเรา เจ้าอยากพบเหรอ แต่อย่าเลย
เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ อินทัชขี้บ่น จู้จี้จุกจิก น่ารำคาญ” นางบ่นไปเรื่อย

พลันก็ปรากฏกายร่างชายหนุ่มชุดขาวเคียงข้างเมโลดี้
ที่ทำให้รักตกัณฐ์ถึงกับผงะ
ชายหนุ่มมาใหม่รูปร่างสูงโปร่ง
มีใบหน้าสะอาดสะอ้านล่อเหลาคมคายแต่ไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่นัก

“องค์หญิง” เสียงของผู้มาใหม่เรียกทุ้มต่ำจนเมโลดี้ผงะ ห่อปาก ทำตาโต

“อินทัช” นางเรียกพี่เลี้ยงหนุ่มรูปงามและแนะนำทันที
“รักตกัณฐ์ นี่อินทัช พี่เลี้ยงเรา อายุแก่กว่าเรา ๓๐๐ ปี”

รักตกัณฐ์จะเป็นลม
อยากจะร้องขอยาดมจากจตุรงค์ที่กำลังปรนนิบัติพัดวีวีรดาอยู่
จะบ้าตาย แค่เมโลดี้คนเดียวเขาก็จะแย่อยู่แล้ว
นี่หล่อนยังมีพี่เลี้ยงตามมาวุ่นวายอีกเหรอ

ราวกับผู้มาใหม่เดาใจนักร้องหนุ่มออกจึงเอ่ยเสียงเรียบ

“เราไม่ได้มาวุ่นวายชีวิตเจ้า”

รักตกัณฐ์นิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนบอก

“ก็ดี ในเมื่อนายเป็นพี่เลี้ยงยัยจุ้นนี่
ก็ช่วยลากขึ้นไปเก็บหน่อย และจะดีมากหากจะรีบๆ ถอนมนต์
ถอนคำสาปอะไรบ้าบอนั่นเสียที”

“เจ้าต้องทำดี มีความรักและความเสียสละ
เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนอย่างจริงใจ คำสาปนั้นจึงจะหายไป”
เทพบุตรนามอินทัชตอบก่อนขยายความ
“องค์หญิงเมโลดี้อายุครบ ๒๐๐ ปี และนางเป็นธิดามหาเทพแห่งดุรียวิมาน
เมื่อตอนเกิดมีเสียงดนตรีไพเราะเสนาะก้องกังวานไปทั่ววิมาน
เหล่าเทพต่างพากันมาอวยพรและมอบของขวัญในวันเกิดของนาง
ซึ่งเทพีพอลล่าได้มอบศรวิเศษสามดอกกับนาง
ซึ่งคำสาปในศรวิเศษจะสัมฤทธิ์ผลเมื่อเมโลดี้อายุครบ ๒๐๐ ปี”

รักตกัณฐ์ทำหน้าปั้นยากเหมือนไม่อยากเชื่อ
ขณะที่เจ้าของประวัติยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“อินทัชเป็นพี่เลี้ยงเรา และเมื่อเราลงมาที่โลกมนุษย์
ท่านพ่อและท่านแม่ก็ให้อินทัชตามมาดูแลเรา”

“น่าจะรับกลับไปซะจะได้สิ้นเรื่อง” นักร้องหนุ่มว่าพลางเบ้ปาก

“นี่เจ้าไล่เราอีกแล้วนะ” เทพธิดาน้อยไม่พอใจพร้อมขู่
“หรือจะให้เราใช้ศรวิเศษสาปเจ้าอีกรักตกัณฐ์”

“ฉันทำอะไรผิดนักหนา แค่ไม่ร้องเพลงให้เธอฟังนี่นะ
ถึงต้องสาปกันเลยเหรอ รู้มั้ยว่าฉันรักการร้องเพลงมากแค่ไหน
มันเป็นอาชีพและชีวิตของฉัน เป็นพรสวรรค์ที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด
ไม่มีนักร้องคนไหนสู้พรสวรรค์และพรแสวงของฉันได้
แต่เธอกลับทำมันพังหมด
คอยดูนะ...ถ้าฉันต้องสูญเสียการร้องเพลงไปตลอดชีวิตเพราะเธอล่ะก็
ฉันจะตามจองล้างจองผลาญทุกชาติไป” พูดจบก็เดินจากไปทันที

เมโลดี้กระทืบเท้าขัดใจ
ก่อนมองร่างสูงโปร่งเดินจากไปอย่างหงุดหงิดก่อนหันมาถามอินทัช

“อินทัช อะไรคือตามจองล้างจองผลาญ”

“บนโลกมนุษย์ การตามจองล้างจองผลาญก็คือ
การตามแก้แค้นกันทุกภพทุกชาติไปจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง”
อินทัชตอบพร้อมค้อมศีรษะเล็กน้อย

“พวกมนุษย์นี่ใจร้ายที่สุดเลย”

++++++++++++++++++++++++

ประตูกระจกหน้าห้องถูกผลักออก
พร้อมเสียงสดใสใส่ภาษาต่างประเทศสำเนียงไทยก็ดังขึ้นทันที
ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวเข้ามาในห้องเต็มตัว

“ฮัลโหล ไอคัมฟอร์มไชนี้ส พลีสเล็ทมีโกโฮมแดดดี๊ อ้าว...”

หญิงสาวเจ้าของเสียงสดใสมีอันต้องเบรกเสียงของตัวเองลง
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องแล้วพบว่า ‘แดดดี๊’ ของหล่อนไม่ได้อยู่ตามลำพัง
หนำซ้ำยังส่งสายตาดุๆ แต่ไม่จริงจังนักมาให้
เพราะดูแววตาแล้วมีความตื่นเต้นดีใจมากกว่าที่ได้พบหญิงสาวผู้มาใหม่

“อ้าว ลูกสาวปลัดเรอะ”

ผู้เป็นแขกของ ‘แดดดี๊’ หญิงสาวเอ่ยถามยิ้มๆ เสียงเหน่อๆ ตามสำเนียงท้องถิ่น
ขณะมองหญิงสาวผู้มาใหม่
ซึ่งสวมเสื้อสีแดงติดกระดุมแบบกี่เผ้าจีนแขนกุด
กับกระโปรงยีนสีเข้มไม่สั้นจนเกินไปกำลังสุภาพเมื่อเข้ามาในสถานที่ราชการ
พิมพ์หน้าละม้ายคล้ายกับคนที่เขากำลังสนทนาไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งหน้าเรียว คิ้วโก่ง ตาเรียวใส จมูกโด่ง
จะมีก็แค่ริมฝีปากนี่กระมังที่น่าจะได้จากมารดามากกว่าบิดา

“ไหว้ลุงกำนันเขาสิ” ปลัดชลธี ‘แดดดี๊’ หรือบิดาของหญิงสาวเอ่ย เขาพูดชัด
ไม่ติดสำเนียงเหน่อเหมือนคู่สนทนาแม้แต่น้อย

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวผู้มาใหม่ยกมือไหว้แขกของบิดาก่อนยิ้มแหยๆ
“แฮ่ๆ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีหนูเห็นผ่านกระจกนึกว่าเตี่ยอยู่คนเดียวน่ะค่ะ”

“เอ้อ ลุงมาคุยธุระกับพ่อหนูน่ะ” โกสินหรือกำนันโก๊ะตอบ

“ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแหยๆ
ยังรู้สึกผิดอยู่เมื่อตอนเข้ามาตะโกนเสียงดังเหมือนคนไม่มีมารยาท
ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ หล่อนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศนี่นา
ไม่เจอบิดาหลายปี ตั้งใจจะทักให้ท่านเซอร์ไพรส์เสียหน่อย
กลายเป็นเสียหน้าเสียอย่างนั้น

“แล้วนี่กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่นี่”
ชลธีถามลูกสาว
ใช่จะไม่รู้ว่าลูกสาวต้องการทักทายอย่างเซอร์ไพรส์
หลังจากที่จากไปเรียนไกลถึงเมืองจีนตามที่เจ้าตัวใฝ่ฝันถึงสองปีด้วยเงินเก็บตัวเอง

เขารู้ว่าลูกสาวจะเดินทางกลับมาวันนี้
แต่ไม่ได้ไปรับด้วยตัวเองเพราะอโณมาภรรยาของเขาไปรอรับเรียบร้อย
และคงพากันมาเซอร์ไพรส์เขาที่นี่แหละ

“เครื่องลงแต่เช้าแล้วล่ะ
แต่เมื่อกี้ทักเป็นภาษาอังกฤษเพราะกลัวเตี่ยฟังภาษาจีนไม่ออก” ลูกสาวตอบยิ้มๆ

“กำนัน นี่น้ำ น้ำหนึ่ง ลูกสาวคนโตผม เพิ่งกลับจากจีน”
ชลธีหันไปแนะนำลูกสาวกับกำนันโกสิน

“เก่งนะ ไปเรียนเมืองนอกด้วย
เอ...ถ้าจะโตกว่าเจ้ากล้าลูกชายผมนะเนี่ย”
กำนันโกสินว่ายิ้มๆ หลังจากดูผิวหน้า การแต่งกายและคะเนอายุของหญิงสาว

“แหม...ไม่อยากบอกหรอกนะคะ ๒๖ จะ ๒๗ อยู่แล้วค่ะ” น้ำหนึ่งยิ้มเขินๆ

“เป็นผู้ใหญ่แต่ชอบทำเหมือนเด็กๆ” ชลธีเปรย ก่อนจะยิ้มน้อยๆ และถาม
“แม่กับน้องๆ ไปไหน”

“ไปตลาดจ้ะ แต่หนูคิดถึงเตี่ยเลยขอแวะมาหาก่อน”
น้ำหนึ่งเดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟารับแขกที่ริมห้องก่อนจะนึกขึ้นได้
“จริงสิ คุยธุระกันอยู่รึเปล่าคะ งั้นหนูขอตัวก่อนดีกว่า”

“ไม่เป็นไร นั่งนี่แหละ” กำนันโกสินบอกอย่างใจดี
“ลุงมาคุยกับพ่อหนูเรื่องลูกชายลุงแหละ”

“ค่ะ” น้ำหนึ่งตอบก่อนจะลุกไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาดื่มและกลับมานั่งที่โซฟา
หยิบนิตยสารการเมืองท้องถิ่นมาเปิดคั่นเวลา
บิดาของหล่อนเป็นข้าราชการส่วนภูมิภาค หรือระดับท้องถิ่น
เป็นปลัดเทศบาลหนองหมาหอนแห่งนี้เอง

สายตาจับจ้องที่ตัวอักษรหนังสือ
แต่ทว่าสองหูของน้ำหนึ่งกลับได้ยินเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองสนทนากันชัดเจน

“พอดีมีปัญหาว่าผู้จัดการคนเก่าบุกเข้าห้องมาปล้ำน่ะ เจ้ากล้าลูกชายผมก็เลยทนไม่ได้...”

เอ...สงสัยลูกชายกำนันโกสินจะเป็นเกย์แฮะ โดนผู้ชายบุกปล้ำ
น้ำหนึ่งคิดขำๆ แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมายิ้มขำให้ชัดเจน
ยังคงส่งสายตามองหนังสือต่อไป แต่หูเริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น
“ผู้จัดการเป็นผู้หญิงน่ะ แก่กว่าสักสี่ซ้าห้าปีเห็นจะได้
คงแก่กว่าหนูน้ำนิดหน่อย...”

แหนะ...มีพาดพิงหรือคะลุงกำนันขา

“ทีนี้ลูกชายผมก็เลยอยากจะหาคนใหม่ไปช่วยดูแลเขา เอาที่ไว้ใจได้
ผมล่ะก็ไม่รู้จะหาใครเลยปลัด ญาติพี่น้องก็ไปเรียน ไปทำงานกันหมด
ไม่มีใครมีเวลาไปเดินตามนักร้องต้อยๆ หรอก”

อึก น้ำหนึ่งสะอึก อะไรนะ...นักร้อง ลูกชายกำนันเป็นนักร้องเหรอ

“เอาเจ้าน้ำไปไหมล่ะกำนัน มันเรียนจบตกงานตามหลักสูตรพอดีเป๊ะ”
ปลัดชลธีหันไปทางลูกสาวที่เงยหน้ายิ้มแหยๆ

กำนันโกสินหัวเราะชอบใจ
ถูกชะตาในความใสซื่อของลูกสาวปลัดชลธีเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามทีเล่นทีจริง

“ไปไหมหนูน้ำ ลูกลุงเป็นนักร้องดังเชียวนา
ไปทำงานกับมัน ไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ที”

น้ำหนึ่งส่ายหน้าหวือ

“ไม่ไหวล่ะค่ะ ไม่ได้เรียนการจัดการหรืออะไรมาทำนองนั้นน่ะค่ะ”
หล่อนปฏิเสธอย่างถ่อมตัว

กำนันโกสินหัวเราะชอบใจ ชลธีเลยเสริมต่อ

“ลูกชายลุงกำนันเขาเป็นนักร้องดังเลยนะ
ที่เธอเคยเชียร์เคยโหวตเมื่อตอนประกวดดรีมๆ อะไรนั่นน่ะ”

น้ำหนึ่งเอียงหน้าเล็กน้อย พยายามนึก ‘ประกวดดรีมๆ’ อะไรของบิดากันนะ
ก่อนจะนึกได้ว่าบิดาคงหมายถึงโครงการล่าฝัน Dream come true นั่นเอง
แต่นั่นแหละ หล่อนก็เชียร์ก็โหวตหลายคนอยู่นะ แถมก็ดังกันทุกคนด้วย

“ต้นกล้าน่ะ หนูน้ำรู้จักไหม”

พรวด!

น้ำหนึ่งสำลักน้ำที่กำลังดื่มจนถูกชลธีเอ็ดว่าไม่ระวัง
ก็จะไม่ให้ตกใจจนสำลักได้ไง
ก็คุณลุงกำนันกำลังจะบอกว่า ต้นกล้า รักตกัณฐ์ ก้องกิดาการ
จาก Dream come true season3 ที่กำลังดังสุดขีดอยู่ตอนนี้น่ะเหรอ
คือลูกชายของลุงกำนันน่ะ

“ระ รู้จักค่ะ” น้ำหนึ่งค่อยๆ ตอบ
“แต่ว่า...หนูไม่เคยรู้นะคะว่าเขาเป็นลูกคุณลุง”
อะไรนี่...หล่อนพลาดได้ไง
ในบรรดานักล่าฝันของเวที Dream come true
รักตกัณฐ์นี่แหละที่หล่อนเชียร์ขาดใจ หลงใหลสุดชีวิต
โดยเฉพาะน้ำเสียงและลีลาท่าเต้นที่โยกทีไรก็ชวนหัวใจไหวเอนไปเสียทุกที
เคยเข้าเว็บบอร์ดหรือเว็บแฟนคลับพ่อหนุ่มน้อยนี้อยู่บ้าง
เมื่อตอนประกวดชนะเลิศใหม่ๆ พอรู้ประวัติครอบครัวว่าเป็นคนจังหวัดเดียวกับหล่อน
ถึงได้เชียร์สุดกำลัง แต่ไม่รู้ว่าอำเภออะไร
เพราะข่าววงในของบรรดาแฟนคลับบอกกันมาหลายอำเภอเหลือเกิน
จนเกือบจะครบทั้งจังหวัดอยู่แล้ว

แต่ว่าน้ำหนึ่งไม่ใช่พวกแฟนคลับที่บ้าคลั่งบุกถึงรังนักร้องเสียเมื่อไหร่
เพราะโตแล้วหล่อนจึงชื่นชอบและติดตามอยู่ห่างๆ
ไม่ได้คิดจะบุกบ้านพ่อนักร้องคนนี้แต่อย่างใด
กระทั่งหล่อนไปเรียนต่อก็ไม่ได้ตามข่าวพ่อนักร้องหน้าเข้มนัยน์ตาหวานคนนี้อีกเลย
นอกจากเพื่อนๆ จะคอยอัพเดทผลงานเพลงของพ่อนักร้องเสียงเทพคนนี้ให้ฟังบ้างเป็นระยะ
และก็ไม่คาดฝันว่าพ่อของเขาจะมารู้จักกับพ่อของหล่อน

“ลุงเพิ่งมาเป็นกำนันเมื่อปีก่อนนี่เอง ก่อนหน้านั้นอยู่หนองหมาเห่า เพิ่งย้ายมา
เพิ่งรู้จักกับพ่อหนูนี่แหละ” กำนันโกสินเสริมเมื่อเห็นน้ำหนึ่งทำหน้างงๆ

“อ๋อ” น้ำหนึ่งพยักหน้า ‘หนองหมาเห่า’
ฟังจากชื่อหลายคนคิดว่าไม่น่าไกลจาก ‘หนองหมาหอน’ เพราะความหมายใกล้เคียงกัน
แต่ความจริงแล้วอยู่ห่างไกลกันพอสมควรเลยทีเดียว

“งั้นกลับก่อนดีกว่านะปลัด ลูกสาวเพิ่งกลับมา จะได้สังสรรค์กันให้เต็มที่”
กำนันโกสินเอ่ยขอตัว

ชลธีลุกขึ้นยืนส่งแขกผู้อาวุโส น้ำหนึ่งลุกตามก่อนรีบบอก

“เอ่อ คุณลุงคะ อันที่จริง ช่วงนี้หนูก็ว่างงานอยู่นะคะ
อยากลองทำงานนี้เหมือนกันค่ะ หาประสบการณ์ให้ตัวเองก็ดีค่ะ”

กำนันโกสินอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจความหมายแล้วหัวเราะชอบใจ
ขณะที่ชลธีปรามลูกสาว

“อย่าเลย เธอทำไม่ได้หรอก แค่หน้าที่ที่บ้านยังจะไม่รอดเลย”

“โธ่ เตี่ย อย่าเพิ่งขัดสิ ให้ลุงกำนันเขาตัดสินใจเอง”
น้ำหนึ่งว่าพลางส่งสายตาอ้อนๆ ให้กำนันโกสินพร้อมบอก
“ตอนน้องกล้าประกวดเนี่ย หนูเชียร์ หนูโหวตทุกอาทิตย์เลยนะคะลุงกำนันขา
แต่พอน้องกล้าได้ตำแหน่งและออกอัลบั้มแรกได้ไม่เท่าไหร่หนูก็ไปเรียนต่อซะก่อน
ตอนนี้กลับมาแล้วก็ยังพอรู้ความเคลื่อนไหวของน้องเขาอยู่บ้าง
ถ้าคุณลุงไว้ใจหนู หนูก็อยากลองทำดูนะคะ”

กำนันโกสินหัวเราะชอบใจในความตรงไปตรงมาของหญิงสาวก่อนหันไปทางปลัดชลธี

“ปลัด งั้นผมขอลูกสาวปลัดไปเลยได้ไหมเนี่ย เหอๆ”

++++++++++++++++++++++

อโณมากอดอกมองลูกสาวคนโต
ขณะรับประทานอาหารมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรกในรอบสองปี
นับแต่ที่น้ำหนึ่งไม่อยู่เพราะไปเรียนภาษาต่อที่เมืองจีนอย่างที่ตัวเองชอบ
ส่วนธารทิพย์ลูกสาวคนรองกำลังเรียนแพทย์ปีสอง
พักหอพักใกล้มหาวิทยาลัย เดือนหนึ่งจะกลับบ้านสักครั้งสองครั้ง
จึงเหลือเพียงน่านชล ลูกชายคนเล็กที่เรียนม.๖ ที่โรงเรียนใกล้บ้าน
และเตรียมจะเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า

“อย่าไปเลยลูก อยู่บ้านเรานี่แหละ
แม่ไม่อยากให้หนูไปกรุงเทพฯ อยู่ตัวคนเดียวมันอันตราย”
อโณมาเอ่ยอย่างเป็นห่วงลูกสาวคนโตจริงๆ
หลังรู้จากสามีว่าน้ำหนึ่งตัดสินใจไปทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับลูกชายของกำนันโกสิน
ซึ่งเป็นนักร้องดังอยู่ในขณะนี้

“โถแม่...ก่อนพี่น้ำไปจีนแม่ก็พูดแบบนี้เป๊ะ”
ธารทิพย์ล้อมารดาขำๆ จำได้ว่าเมื่อตอนพี่สาวคนโตตัดสินใจจะลัดฟ้าไปเรียนภาษาที่ใฝ่ฝันเมื่อสองปีก่อน
มารดาก็พูดประโยคนี้ เปลี่ยนแค่ชื่อสถานที่เท่านั้น

“แต่ก็ห้ามพี่น้ำไม่ได้” น่านชลเสริมต่อขณะตักไข่พะโล้ใส่จานตัวเอง

“โหแม่จ๋า หนูไปอยู่คนเดียวมาสองปีแล้วนะจ๊ะ
ไม่เป็นอะไรเลยสักหน่อย แถมไกลกว่ากรุงเทพฯ ตั้งเยอะ
แล้วตอนนี้หนูก็ยังไม่ได้งานด้วยนะ” น้ำหนึ่งเกลี้ยกล่อมมารดา

“ก็เขียนนิยายเอาสิ” มารดาว่า

“แม่จ๋า นั่นมันงานอดิเรก”
น้ำหนึ่งบอก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่านั่นก็หนทางหาเงินของหล่อนเช่นกัน
นั่นแหละคือวิธีหาเงินที่ทำให้หล่อนทำตามความฝัน

สมัยเรียนน้ำหนึ่งเริ่มแต่งนิยายไปด้วยยามว่างเป็นงานอดิเรก
พอแต่งจบก็ส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณา ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้างก็แล้วแต่เรื่อง
ประกวดเรื่องสั้นเรื่องยาวเอารางวัล
ได้เงินค่าต้นฉบับหรือค่ารางวัลก็เก็บมาทำทุนจนมีมากพอ
ที่อยากจะสานฝันไปเรียนต่อด้านภาษาที่เมืองจีนที่ฝันมานานแล้ว
โดยมีชลธีช่วยออกค่าใช้จ่ายให้กึ่งหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นน้ำหนึ่งก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะยึดอาชีพนักเขียนนิยายนี้เป็นอาชีพประจำ
หล่อนเพิ่งกลับมาจากจีน ยังไม่ได้คิดว่าหางานอะไรทำเป็นหลักแหล่ง
โชคดีหน่อยที่ตอนใกล้กลับมาแต่งนิยายจบเรื่องหนึ่ง
และส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณาและผ่านตาบรรณาธิการ
หล่อนกลับมาเซ็นสัญญาที่เมืองไทย
และคิดว่าน่าจะมีเงินทุนจากยอดขายของผลงานล่าสุดเป็นขวัญถุงระหว่างหางานทำอยู่บ้าง

“แม่ไม่อยากให้ไป มันไม่เหมือนกัน นั่นเราไปเรียน
แต่นี่ไปทำงาน แล้วก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน
เกิดไปโดนเขาหลอกว่าไง เขาให้ไปดูแลนักร้อง
เกิดโดนหลอกเองจะทำไง” อโณมายังกังวล

“เอาน่า อย่าไปกังวลมากเลย น้ำมันก็โตแล้ว ให้ลองไปหาประสบการณ์ดูก็ได้” ชลธีเอ่ย
น้ำหนึ่งยิ้มแก้มปริที่บิดาช่วยพูด ชลธีพูดต่อ
“น้ำมันไปทำได้ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวเขาก็ไล่ออก”

“อ้าว เตี่ย” น้ำหนึ่งหุบยิ้มแทบไม่ทัน “ทำไมเป็นงั้นล่ะ”

“ก็จริง เกิดยังซุ่มซ่าม ทำอะไรเงอะๆ งะๆ
ไม่เกินสองวันหรอก เธอโดนเขาไล่ออกแน่ยายน้ำเอ๋ย” บิดาบอกยิ้มๆ

“โถ...เตี่ยดูถูก ลูกสาวไปอยู่ไกลตาเขาปั๊ดตะนาแล้วน้า”
หล่อนล้อเลียนเสียงกับบิดาอย่างขำขันก่อนเอ่ยอีกครั้ง
“นะจ๊ะแม่จ๋า เตี่ยจ๋า ให้หนูไปลองทำเถอะนะ ต่อให้สองวันเขาไล่ออกก็ไม่เป็นไร
ขอแค่ได้เจอน้องต้นกล้าตัวเป็นๆ ก็พอแล้วนะ น้า”
หล่อนทอดเสียงอ้อนสองบุพากรีที่มีหรือจะปฏิเสธได้
ธารทิพย์สบตากับน่านชลแล้วอมยิ้มอย่างรู้กัน
++++++++++++++++++++++

ชะแว้บมาแปะตอนใหม่ค่า
ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจ
ติดตามตอนต่อไปในช้าๆ นี้ เอ๊ย เร็วๆ นี้นะคะ
อิอิอิ
ตอนนี้ขอเวลาไปรบกับเด็กๆ ต่อ ฮิๆ ^^



สังขยาชาเย็น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มิ.ย. 2554, 10:22:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มิ.ย. 2554, 10:22:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1891





<< ตอนที่ ๓ : ฝันร้าย คำทำนายที่กลายเป็นจริง   
ของขวัญ 11 มิ.ย. 2554, 23:11:28 น.
ท่าทางต้นกล้าจะได้ผู้จัดการคนใหม่ที่จะมาแก้คำสาปหรือเปล่าเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account