Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้

นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 29 : เส้นทางไปทะเล

“ไนท์จะมาอยู่บ้านแม่ก่อนมั้ยลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หลังจากรับรู้ว่าลูกชายลาออกจากงานที่บริษัทและยังไม่พร้อมเริ่มงานใหม่
“ครับ” พีรพงษ์ตอบตกลงอย่างว่าง่าย ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นต้องปฏิเสธสุดตัว
“ที่รีสอร์ทมีงานหลายๆ อย่างให้ทำ หรือจะมาอยู่ช่วยแม่เก็บค่าเช่าห้องพักไปพลางๆ พอทุกอย่างเข้าที่แล้วค่อยกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯก็ได้” ผู้ให้กำเนิดว่า โดยมีลูกชายรับคำ

คำชักชวนของผู้เป็นแม่นี้เองที่เป็นเหตุที่ทำให้เขามายืนอยู่ริมโขงในตอนนี้ แม่น้ำโขงเมื่อช่วงต้นปีที่น้ำหลากไหลรุนแรง ตอนนี้มันเอื่อยไหลไปเรื่อยๆ แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนหลายประเทศที่มันไหลผ่านดูงามตาตามธรรมชาติที่มันเป็น ชายหนุ่มยืนเกาะราวเหล็กริมทางเท้าที่ทาง อบต.ทำไว้อย่างสวยงาม ปล่อยสายตามองลงไปยังลานดินและสันดอนทรายที่ปรากฎขึ้นตามฤดูกาล ลากสายตาผ่านแผ่นน้ำข้ามไปยังอีกฝั่ง แสงไฟนีออนสว่างวับแวมจากฟากนู้นเผยตัวต้อนรับบรรยากาศที่กำลังโรยตัวสู่ความมืด

ลุงตุลย์สามีใหม่ของแม่เป็นคนท้องถิ่นที่นี่ เมื่อก่อนแกทำธุรกิจสินค้าขายส่งจากฝั่งหนองคายไปเวียงจันทน์ พอได้กำรี้กำไรก็เอามาซื้อที่ดินสะสมไว้ มีเงินพอก็ยกห้องพักให้คนเช่า เมื่อเขามาแต่งงานกับลำดวนผู้เป็นมารดาของพีรพงษ์ ตอนนั้นเองที่ลุงตุลย์เริ่มเปลี่ยนทางตัวเองมาทำธุรกิจพวกบ้านพักอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเพิ่มรีสอร์ทแถบชานเมืองหนองคายเป็นอาชีพของครอบครัวอีกหนึ่งอย่างเมื่อสองปีก่อน

จากตอนที่ผู้ให้กำเนิดเอ่ยถามจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วสำหรับชีวิตในเมืองใหม่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนมากมายแม้แต่ในตัวเมืองหนองคายเอง มีเพียงงานเล็กๆ น้อยๆ ในรีสอร์ทช่วงกลางวัน และออกมาเดินเล่นริมโขงในตอนเย็นๆ แบบนี้เท่านั้นที่เขาทำเป็นประจำ แม้ว่าชีวิตเชื่องช้าที่นี่ทำให้ใจของเขาสงบ แต่บางครั้งก็เงียบเหงาเกินไปสำหรับคนที่เคยอยู่ในเมืองมาตลอดชีวิต รวมทั้งเงียบเกินไปจากข่าวคราวของบางคน

ทีแรกที่เขากลับมาจากออสเตรเลีย พีรพงษ์ตั้งใจขึ้นไปหาจูนที่เชียงใหม่ แต่มีเพียงคำพูดที่ฝากพ่อกับแม่ไว้ของหญิงสาวเท่านั้น

“น้องเค้าฝากน้าไว้ว่าถ้าไนท์มาถามหาเค้า ก็ให้บอกว่าวันหนึ่งเค้าจะติดต่อไปหาเอง” ผู้เป็นแม่เลี้ยงบอก
“แล้วตอนนี้จูนอยู่ไหนเหรอครับ?” เขาไถ่ถามด้วยหวังจะได้คำตอบ
“...” หญิงวัยกลางคนตรงหน้าสั่นศีรษะ
“เค้าไม่อยากเจอผมเหรอครับ?” ชายหนุ่มเสียงเศร้า เหลียวไปมองผู้เป็นพ่อของสรัญญาที่นั่งฟังอยู่ไม่ไกล
“น้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้แต่พ่อเค้า น้องก็ไม่ยอมบอกว่าจะไปไหน” น้าผู้หญิงพูดต่อ
“รอน้องมันหน่อยเถอะนะพ่อหนุ่ม” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูให้กำลังใจ
“ครับ” พีรพงษ์ตอบรับแบบคนสิ้นหวัง

ความรู้สึกที่ว่าหญิงสาวคงไม่ยินดีที่จะลองกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้งเกาะกุมหัวใจของเขา มันเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงอยู่เป็นระยะ แต่เขาก็คิดว่านั่นเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะทำเช่นนั้น ในเมื่อคนที่ปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ถูกหยิบยื่นมาให้ก่อนคือตัวเขา

ชายหนุ่มเดินอ้อยอิ่งอยู่ริมตลิ่งจนฟ้ามืดสนิทดี ไฟนีออนบนเสาไฟฟ้าถูกเปิดให้ความสว่าง ชายหนุ่มย่างเท้าเหยียบเงาตัวเองอย่างคนไม่มีอะไรจะทำ บ่ายหน้ากลับสู่รีสอร์ท

“แม่ให้ป้าสายใจต้มแกงกะทิไก่ไว้ในครัวนะลูก” หญิงสูงวัยบอกโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอทีวี โดยมีป้าสายใจแม่บ้านของรีสอร์ทนั่งประกบอยู่ไม่ห่างตามประสาเพื่อนดูละครด้วยกัน
“ครับ”
“เออนี่... โทรศัพท์บนห้องของไนท์หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แม่ได้ยินมันดังตั้งนานแล้ว” เธอบอกลูกชาย

พีรพงษ์เอ่ยขอบคุณและรีบเดินตรงไปยังห้องส่วนตัว ห้องที่มืดมีเพียงแสงไฟกระพริบของโทรศัพท์มือถือที่แสดงตัวอยู่ ชายหนุ่มเข้าไปหยิบมาดูโดยไม่คิดจะเปิดไฟด้วยซ้ำ เขาชอบที่จะอยู่เงียบๆ ในห้องมืดๆ เช่นนี้เสมอ กระทั่งผู้เป็นมารดาก็นึกห่วงว่าเขายังมีปัญหาทางจิตใจอยู่อีกหรือเปล่า

หมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นเบอร์ไม่คุ้นทำให้ชายหนุ่มลังเลใจ แต่ก็เป็นมิสคอลตั้งห้าครั้งซึ่งอาจจะเป็นใครสักคนที่มีธุระสำคัญ ยังไม่ทันจะคิดว่าจะโทรกลับดีหรือไม่ หมายเลขดังกล่าวก็โทรเข้ามาอีกครั้ง

“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยรับสาย
“สวัสดีค่ะไนท์ จูนนะ” เธอบอก เสียงคุ้นเคยของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจ
“จูนเหรอ? สบายดีไหม? เป็นยังไงบ้าง? อยู่ที่ไหนเนี่ย?” เขารีบร้อนถามความดีใจ
“โอ้โห...ไนท์ ถามแบบนี้จะให้ตอบยังไงคะ?”
“อ๊ะ.. ขอโทษ ขอโทษที” เขารีบบอก
“จูนอยู่บางแสนนะ ไนท์อยู่ไหน?” หญิงสาวถาม
“หนองคาย” เขาตอบ

ด้วยคำตอบ หนองคายกับบางแสนเหมือนตัวบอกระยะห่าง ระหว่างคนสองคนชายหนุ่มรู้ว่าระยะทางนั้นไกลพอดู แต่ที่ชายหนุ่มไม่รู้คือระยะระหว่างหัวใจในตอนนี้ยังไกลเท่าเดิมหรือไกลยิ่งกว่าแต่ก่อน

“หนองคายเหรอ ไกลจังเลยนะ” หญิงสาวออกอาการบ่นเล็กๆ
“เหรอ?”
“ก็ใช่สิคะ ไกลจากบางแสนตั้งเยอะ” เธอว่า
“ก็ไม่ไกลนะ ขับรถไปเองจากที่นี่ถ้าออกตอนเย็นๆ ไปถึงนู่นก็เช้าพอดี” เขาบอก
“งั้นจูนคงจะไม่มีโอกาสเจอไนท์ที่นี่พรุ่งนี้เช้าสินะ?” หญิงสาวเอ่ยเสียงเศร้า
“ได้สิ...ได้... จูนรอที่นั่นนะเดี๋ยวผมไป” เขารีบร้องบอก
“ค่ะ แล้วจะรอนะ” คนอยู่เมืองติดทะเลตอบกลับ คำว่ารอนั้นหนักแน่นเหลือเกิน
....................

พีรพงษ์รีบถลันออกจากห้อง ปากร้องบอกผู้เป็นมารดาว่าเขาจะไปบางแสนด่วน ขณะที่ตัวก็หากุญแจรถจ้าละหวั่น

“ไม่กินข้าวก่อนเหรอลูก?” เธอถาม
“ไม่ล่ะ!” เขาปฏิเสธ
“แม่!! เห็นกุญแจรถยนต์มั้ย?” ชายหนุ่มร้องถามเสียงลั่นบ้าน
“ก็แกขับอยู่เมื่อวันก่อน อยู่ในกระเป๋ากางเกงหรือเปล่า? ตัวที่อยู่ในตะกร้ารอซักนะ” ผู้เป็นแม่ร้องเตือน เห็นแต่หลังเขาไวๆ วิ่งจากห้องนั่งเล่นไปหลังบ้าน
“ป้าซักแล้วไม่มีกุญแจอะไรนั่นนะลูก” ป้าสายใจร้องบอก
“โอ๊ย.... คนยิ่งรีบๆ อยู่ มันหายไปไหนล่ะเนี่ย?” ชายหนุ่มเริ่มโวยวายกับตัวเอง เดือดร้อนสองสาวสูงวัยต้องลุกมาช่วยหาอีกแรง
“กุญแจๆๆๆๆๆๆๆๆ” พีรพงษ์เริ่มเหมือนคนเสียสติ
“เอ้านี่... ทั้งไว้บนเคาท์เตอร์กาแฟเอง แม่บอกแล้วว่า...” ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคว่าอย่าวางอะไรทิ้งไว้มั่วไปหมด มือของลูกชายก็คว้ากุญแจในมือไปแล้ว
“ว้าย!” เธออุทาน
“อุ๊ยตาเถรหล่น!” เสียงของลำดวนร้องดังจนสายใจที่ช่วยหาของอยู่ใกล้ๆ ร้องตามด้วยความตกใจ
“ขอบคุณครับแม่” ชายหนุ่มตะโกนบอก สองเท้าเดินลิ่วๆ ไปยังโรงรถที่ลุงตุลย์แยกไว้อีกส่วนจากตัวบ้านเมื่อคราวเริ่มสร้างรีสอร์ท
“ขับช้าๆ ไม่ต้องรีบนะ” หญิงสูงวัยร้องเตือน
“คร้าบบบ” ชายหนุ่มตะโกนตอบ พุ่งตัวเองเข้ารถแล้วถอยออกจากที่จอดอย่างรวดเร็ว
“ก็บอกว่าไม่ต้องรีบไงตาไนท์” ผู้เป็นแม่ร้องโวยวาย แต่ลูกชายคงไม่ได้ยินแล้วเพราะเขาขับรถพุ่งออกไปจากที่นั่นอย่างกับจรวด
....................

พีรพงษ์ขับรถอย่างเร่งรีบเพราะใจนั้นนำหน้าไปถึงหญิงสาวแล้ว เข็มความเร็วขึ้นไปที่ระดับ 120 กิโลเมตรมาตลอดทางแต่ขนาดนั้นก็ยังช้าไม่ทันใจ ความร้อนรนที่อยากเจอหน้าทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะกดโทรศัพท์หาหญิงสาว

“โทรมาทำไมคะ ขับรถไปคุยโทรศัพท์ไปเดี๋ยวก็ถูกตำรวจจับหรอก” เธอทวงติง
“ก็... ผม... ผม...” ชายหนุ่มพยายามหาคำตอบ
“อยากคุยกับจูนเหรอ?”
“ใช่ครับ... ใช่” เขาเออออตามทันที
“ขับรถเท่าไหร่อยู่คะเนี่ย?” เธอเอ่ยถาม
“เก้าสิบห้า” เขาบอกเสียงอ่อย
“อย่าโกหกจูนนะ เท่าไหร่บอกมาดีๆ” ดูท่าทางว่าหญิงสาวจะไม่เชื่อ
“ห้ามโกหก!” หญิงสาวย้ำเสียงหนัก
“ก็ได้.. ร้อยยี่สิบ” ชายหนุ่มสารภาพ
“ใช่สมอลทอล์คหรือเปล่า?” เธอถามดักทาง
“เปล่า” ชายหนุ่มตอบเบาๆ
“หา!!! ขับร้อยยี่สิบ แล้วไนท์จะคุยโทรศัพท์ไปด้วยทำไมล่ะคะ” เธอต่อว่า
“ก็ผมอยากคุยกับคุณนี่” พีรพงษ์เถียง
“ไม่ล่ะ จูนไม่คุยด้วย ขับรถมาดีๆ นะแล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน” หญิงสาวตัดบทและวางสายไปโดยไม่ทันที่เขาจะทักท้วง
“ตรู๊ด... ตรู๊ด... ตรู๊ด...” เสียงจากโทรศัพท์ที่แนบอยู่กับหูดังอยู่นานสองนาน
“ทำไมไม่รับสายนะ?” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ ก่อนกดโทรใหม่อีกครั้ง
“ตรู๊ด... ตรู๊ด... ตรู๊ด...” เสียงยังคงดังอยู่เช่นเดิม

พีรพงษ์รู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเพ่งสมาธิกับการขับรถตามที่อีกฝ่ายสั่งความ แต่แม้จะพยายามสนใจกับเส้นทางข้างหน้า ความนึกคิดเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้ก็ยังคงลอยเด่นขึ้นมา

เธอเคยถามเขาว่าทำไมชอบเอามือล้วงกระเป๋า แล้วเธอก็เอาฝ่ามือบอบบางมาวางบนที่ว่างของฝ่ามือเขา มันทำให้มือของเธอและเขาสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เธอเคยสัมผัสแผ่วเบาด้วยริมฝีปากสวย กระซิบกล่อมหูด้วยเสียงแผ่วหวานว่ารัก ดวงตาใสเป็นประกายที่มองเขาอย่างชื่นชมและขอบคุณในสายฝนพรำ ท่อนแขนบอบบางซึ่งเกี่ยวกอดแขนของเขา รวมไปถึงสัมผัสรักและปรารถนา

เขาจดจำได้ถึงรอยยิ้มตอนที่หญิงสาวหัวเราะ นึกถึงตอนที่เธอโผนเข้าหาอ้อมกอดของเขา สีหน้าเหรอหราล้อเลียนตอนที่เขาตกเทรนด์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ผู้หญิงคนนี้ที่เข้ามาใกล้ชิดและแนบแน่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่เป็นชีวิตที่เขาไม่ได้เหลียวมองหรือเอะใจ

คุณจะยังรักผมไหม? พีรพงษ์ได้แต่ภาวนาในใจให้ตัวเอง



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ย. 2556, 20:48:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ย. 2556, 20:49:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 766





<< บทที่ 28 : บางคนที่คิดถึง   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account