ยามเมื่อลมห่มฟ้า...มะนิลา
'ฟิลิปปินส์' ประเทศหมู่เกาะที่พายุลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านสร้างความเสียหาย
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา
'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที
กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ
แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา
'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที
กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ
แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๖/๒
๖/๒
ร่างสูงกระโดดลงจากหลังม้าก่อนถึงที่หมาย ก่อนลิปดาจะลงจากม้าของตนแล้วนำมาผูกกับท่อนไม้ที่วางพาดเหนือรางน้ำขึ้นไป
พวกเขาไม่ได้ขึ้นไปบนระเบียงชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวจับกลุ่มอยู่พอสมควร หากรัญชน์กลับตรงไปยังชะง่อนหินสีน้ำตาลใกล้กัน เมื่อมองลงไปยังแอ่งน้ำวงกลมที่อยู่ในปากปล่องภูเขาไฟแล้วก็พลอยขนลุกซู่กับความงามของธรรมชาตินั้น เหมือนทะเลสาบย่อมๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขารอบทิศทาง
"วู้ววว!" เขาป้องปากตะโกน เรียกสายตานักท่องเที่ยวคนอื่นให้หันมอง
ลิปดาทั้งขันทั้งอาย รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้มีลูกบ้าไม่เหมือนใคร เขาไม่มีบุคลิกของนักธุรกิจที่เธอทราบจากนามบัตรในกระเป๋าสตางค์เขาเลย ดูเขาไม่จริงจังกับชีวิต ออกจะเสเพลด้วยซ้ำในสายตาเธอ
"ให้ฉันถ่ายรูปไหมคะ"
"ไม่ๆ คุณมานี่" เขากวักมือเรียก
หญิงสาวสั่นศีรษะดิก "ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุณจี้ฉันตกลงไป"
รัญชน์เท้าเอวพลางกรอกตาอ่อนใจ ก่อนเขาจะเดินกลับมายืนข้างเธอเสียเอง
"มุกตลกอะไรน่ะ เชื่อผม คุณไม่มีเซนส์ด้านนี้เลย"
ลิปดายิ้มแห้ง อดเถียงในใจไม่ได้ว่าใครจะรวยอารมณ์ขันเหมือนเขา ขณะตามนายจ้างหนุ่มขึ้นไปยังระเบียงที่พื้นปูด้วยไม้ มีราวไม้เพื่อความปลอดภัยกันนักท่องเที่ยวพลัดตกลงไป ถือเป็นจุดชมวิวที่ได้เห็นทิวทัศน์ทะเลสาบขนาดย่อมในปากปล่องภูเขาไฟชัดเจน
"เห็นเป็นภูเขาไฟขนาดเล็ก แต่ภูเขาไฟตาอัลปะทุครั้งล่าสุดเมื่อปี ๑๙๗๗ นี่เองค่ะ"
"แล้วมีอะไรร้ายแรงหรือเปล่า"
"มีควันและเถ้าถ่านออกมา ต้องอพยพผู้คนที่อยู่บนเกาะนี้ แต่ก็ไม่มีใครได้รับอันตรายร้ายแรง"
ชายหนุ่มผงกศีรษะ มีรอยยิ้มมุมปากเมื่อมองออกไปยังทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ
"ผมว่าที่เราเห็นนี้อาจเป็นส่วนยอดภูเขาไฟก็ได้ ฐานของมันอาจจะยิ่งใหญ่อยู่ใต้ทะเลสาบ หรือคุณว่าไง" เขาวิเคราะห์พลางหันมามอง
"ไม่ทราบสิคะ ฉันเห็นแต่สิ่งตรงหน้าเท่านั้น" เธอหันไปตอบเขาพร้อมกับกลั้นยิ้มที่ได้เอาคืน
รัญชน์ปรายตามองคนข้างๆ ด้วยความมันเขี้ยว รู้หรอกว่าเธอย้อนเขาเข้าให้ที่บังอาจไปว่าเจ้าหล่อนไม่มีอารมณ์ขัน แต่ดวงตาพราวระยับสุกสกาวคู่นั้นก็พาเอาใจคนมองสั่นไหว ยากจะปฏิเสธได้ว่าเขายังคงประทับใจในตัวเธอไม่ว่าบทบาทไหน
ความโกรธเคืองอาจลดความเสน่หาลง แต่นั่นก็ช่วยให้เขาได้รู้จักแง่มุมอื่นของผู้หญิงคนนี้มากขึ้นเช่นกัน
"รู้ไหม ผมชอบชาวฟิลิปปินส์อย่างหนึ่ง ที่ถึงแม้ประเทศพวกเขาจะมีปัญหามากมาย ทั้งการเมือง ภัยธรรมชาติ หรือแม้แต่เรื่องแบ่งแยกดินแดน พวกเขาก็เผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้นได้เสมอมา ถึงเรื่องการรับมือกับปัญหาดีแค่ไหนจะเป็นอีกเรื่องก็เถอะ แต่มันทำให้เห็นความแข็งแกร่งของคนที่นี่"
ลิปดามองผู้เอ่ยคำชมอย่างจริงใจนั้นราวไม่รู้จักเขามาก่อน หัวใจสาวพองโต ด้วยตระหนักดีแก่ใจว่าตนเองก็เป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศหมู่เกาะแห่งนี้เช่นกัน และสิ่งที่หลอมรวมจิตใจเธอไว้ให้ผูกพันกับเพื่อนร่วมชาติก็คือความหวังถึงอนาคตที่ชาวฟิลิปปินส์ทุกคนจะมีพื้นฐานชีวิตที่ดีขึ้นไป
"ผมพูดอย่างนี้คุณโกรธหรือเปล่า" เขาถามเมื่อเห็นเธอเงียบไป
หญิงสาวค่อยรู้ตัวว่าเผลอจ้องมองเขาจึงรีบสั่นศีรษะ
"เปล่าค่ะ จะโกรธทำไมล่ะคะ คุณพูดถูกทุกอย่าง"
รัญชน์ยิ้มรับ เขาไม่ได้เอ่ยต่อไปดังใจหรอกว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งคนในนั้นที่ทำให้เขามองคนบ้านเมืองนี้ชัดเจนขึ้น
"มา ผมถ่ายรูปให้" เขาอาสาพลางก้าวถอยไป
ลิปดาหันหน้าจากทิวทัศน์อันงดงามมายิ้มให้กล้อง ท่าทางยามจับผมซึ่งปลิวสยายมาทัดหูแลดูเหมือนเจ้าหล่อนออกจะขัดเขิน แต่ภาพหญิงสาวที่แสดงออกอย่างนั้นถูกใจคนกดชัตเตอร์เป็นที่สุด จนเขาต้องละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมในกล้องมาจ้องผู้หญิงตรงหน้าที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
เขาหลุบตามองเสี้ยวหน้าผากมนของคนที่เดินมาดูรูปที่ถ่ายใกล้ตัว มือไม้อ่อนจนปล่อยกล้องให้เธอขยับไปดูห่างออกไปนิดหนึ่งอย่างง่ายดาย
"โห มุมนี้เห็นวิวสวยมาก" เธอเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดี
"เหรอ" เขาถามไปตามเรื่อง แทบไม่มีสติกับตัวเมื่อใบหน้าเปื้อนยิ้มมองตอบกลับมา "แต่ผมว่าคุณสวยกว่า ลิเบอร์ตี้"
ลิปดาจ้องตอบดวงตาอ่อนเชื่อม เห็นประกายหวานอย่างหนึ่งไหวระริกในดวงตาคู่คมของคนตรงหน้า ก่อนตนจะเป็นฝ่ายหลบตาแล้วพึมพำขอบคุณเขาไปตามมารยาท ร่างระหงเสหันไปยืนชมทิวทัศน์ยังริมราวระเบียง ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนเท้าเอวพลางยกมือหนึ่งถูจมูกเก้อๆ
รัญชน์ก่นด่าตัวเองในใจ ไม่แปลกหรอกหากเขาจะหลงใครสักคนเข้าจังเบ้อเร่อ และใช้เสน่ห์เกี้ยวพาเพื่อให้ได้เชยชมสมใจ แต่แปลกที่ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาเสียความมั่นใจครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทีของเธอทำให้เขารู้สึกละอายใจอย่างที่ไม่เคยเกิดกับคนหน้าหนาอย่างเขาเลย
.....................................
วันแห่งการเดินทางนั้นยังไม่จบเสียทีเดียวเมื่อนายจ้างเอาแต่ใจดูจะยังไม่อิ่มหนำกับความงามของธรรมชาติ ครั้นกลับลงมาจากเขาด้วยเจ้าม้าแกลบผู้น่าสงสารและขึ้นเรือกลับเข้าฝั่งมาแล้ว รัญชน์ก็ชวนกึ่งบังคับมัคคุเทศก์สาวเช่าเรือคายัคพายชมทิวทัศน์ทะเลสาบต่อจนได้
"คุณว่าผมสมัครสมาชิกที่นี่เลยเป็นไง ผมว่าผมหลงเสน่ห์ที่นี่เข้าแล้วล่ะ" เขาถามเอากับคนที่นั่งหันหลังให้จากหัวเรือ
ลิปดาแทบไม่ได้ออกแรงพายเสียด้วยซ้ำ เธอใช้ไม้พายแบบสองด้านเช่นนี้ไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่เมื่อหันไปมองชายหนุ่มข้างหลังก็เห็นเขาจ้วงใบพายสลับซ้ายขวาอย่างถนัดมือ
"ก็ดีสิคะ ฉันจะได้ไม่ต้องคิดโปรแกรมสำหรับสามวันที่เหลือของคุณ"
ตอบไปแล้วหญิงสาวก็ก้มหลบน้ำที่เขาวักใส่แทบไม่ทัน
"คุณ... เสื้อฉันก็เปียกสิ" เธอโวยเมื่อน้ำเย็นซึมผ่านเสื้อชูชีพเข้าไป
"ใครใช้ให้เจ้าเล่ห์กับผมล่ะ" เขาว่าพร้อมกับหัวเราะขัน
รัญชน์รีบยกไม้พายขึ้นปรามเมื่อคนข้างหน้าถือไม้พายในท่าเตรียมพร้อมจะหันมาเอาคืน
"อย่านะ ถ้าตกน้ำเปียกทั้งคู่ ผมล็อกตัวคุณค้างที่นี่จริงๆ ด้วย"
คำเตือนข่มขู่นั้นได้ผลชะงัด ลิปดาได้แต่เม้มปากก่อนหันกลับไปจ้วงพายด้วยแรงอารมณ์ จนน้ำกระเซ็นใส่คนข้างหลังที่นั่งนิ่งเป็นตัวถ่วง เสียงหัวเราะกังวานบาดหูบาดใจเจ้าหล่อนยิ่งนัก
ทนนั่งให้เธอพายไม่ไปไหนได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็จ้วงพายแต่เพียงผิวน้ำจนเรือแล่นฉิวไปตามระลอกคลื่นลมอีกครั้งหนึ่ง
"คิดไว้หรือยังว่าพรุ่งนี้เราจะไปไหนกัน" เขาถามเสียงอ่อนลง ไม่มีวี่แววยียวนอีก
"คุณตื่นเช้ากว่าวันนี้สักหน่อยได้ไหมคะ ฉันตั้งใจไว้ว่าเราจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่ 'วอเตอร์ฟอล เรสเตอรองต์' แล้วก็ดูการแสดงที่ 'วิลล่า เอสคูเดโร' "
"ไม่มีปัญหา"
"งั้นกลับไปเย็นนี้ฉันจะลองติดต่อโรงแรมของคุณดูค่ะ ส่วนมากแล้วจะมีรถตู้ไปรับไปส่งนักท่องเที่ยวที่นั่นทุกวัน เราอาจโชคดีไม่ต้องนั่งรถทัวร์แบบวันนี้ก็ได้"
"แต่ถ้าไม่มีเราก็ไปกันเองแบบนี้ได้ ผมโอเคนะ"
ลิปดาไม่ได้โต้ตอบมาอีก เธอปล่อยมือราน้ำขณะเรือพายไหลไปเรื่อย เขารู้ว่าเธอได้ยินจึงไม่เซ้าซี้ ต่างฝ่ายต่างดื่มด่ำกับธรรมชาติที่โอบล้อมพวกตน
...................................
"ลิปดา" เสียงเรียกชื่อดังขึ้นทันทีที่ร่างระหงก้าวลงจากบันไดหน้าโรงแรม
"มาร์ค มาได้ไง" เธอถามอย่างแปลกใจ
หญิงสาวก้าวเร็วรี่ไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่ข้างกระถางต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้เขามาดักรอตนนานหรือยัง เพราะทันทีที่กลับมาถึงลิปดาก็รีบติดต่อเจ้าหน้าที่โรงแรมที่นายจ้างหนุ่มพักเพื่อจองที่นั่งสำหรับเดินทางไปเที่ยวพรุ่งนี้ ไม่ทันสังเกตเลยว่าเพื่อนมาถึงตั้งแต่เมื่อไร
"เชอริลให้ฉันมาดูเธอ โทรหาเธอก็ไม่ได้ เราเป็นห่วงเธอมาก"
ลิปดารีบค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายตนก็เห็นหน้าจอมันดับอยู่ ครั้นกดเปิดเครื่องก็ไม่ติด
"ขอโทษจริงๆ เถอะมาร์ค มือถือฉันแบตฯ หมด มันเกเรกับฉันมาตั้งนานแล้ว คงต้องเปลี่ยนแบตฯ เสียที" เธอเอ่ยพลางเก็บมันใส่กระเป๋าเซ็งๆ "ว่าแต่เชอริลอยู่ไหน"
"รอเธอที่ห้อง เรามีเรื่องงานมะรืนนี้จะพูดกับเธอน่ะ"
"งั้นไปกันเถอะ"
หนุ่มสาวออกเดินไปยังช่องจอดรถจักรยานยนต์ยังลานหน้าโรงแรมด้วยกัน โดยที่ทั้งสองหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนที่เพิ่งแยกจากรอมองส่งหญิงสาวมาจากระเบียงห้องพักชั้นแปด
รัญชน์แน่ใจว่าสตรีในเสื้อยืดสีขาวที่เห็นไกลๆ นั้นเป็นมัคคุเทศก์ส่วนตัวของเขาไม่ผิดแน่ แต่ท่าทางตวัดขาขึ้นซ้อนรถจักรยานยนต์และเกาะไหล่ชายหนุ่มที่ขับขี่ออกไปนั้นทำให้เขานึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก
เสน่ห์แรงจริงนะแม่คุณ... เขาผิดเองที่สั่งห้ามเธอรับงานซ้อน แต่ลืมสั่งห้ามเธอรับนัดใครซ้อนอีกเรื่องหนึ่ง
.....................................................
มาร์คต้องเป็นกรรมการห้ามศึกซักฟอดที่แฟนสาวตั้งท่าจะสอบสวนเพื่อนสนิทตลอดคืน ด้วยการเอ่ยเตือนเชอริลให้นึกถึงเรื่องสำคัญกว่านี้มากนัก อันเป็นจุดประสงค์แรกที่พวกเขาตั้งใจพูดกับเธอ
"ก็ได้ พักเรื่องที่เธอตะลอนไปกับหมอนั่นไว้ก่อนก็ได้" เจ้าหล่อนตัดบทก่อนเริ่มธุระจริงจัง "คืออย่างนี้นะลิปดา เรื่องสถานที่ที่เราจะไปรณรงค์กันวันมะรืนนี้มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย สรุปเราจะรณรงค์กันที่เกซอนนี่แหละ"
"ก็ดีน่ะสิ" ลิปดาหันไปยิ้มกับเพื่อนที่นั่งอยู่บนเตียง ขณะเธอยืนแกะเปียอยู่ข้างๆ
เชอริลลอบสบตาคนรักนิดหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจเอ่ยต่อจนจบ
"ก็ดี งานนี้คงมีเพื่อนๆ มาช่วยกันเยอะขึ้น ฉันเลยคิดว่าถ้าเธอไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรน่ะ"
"หมายความว่าเธอขีดชื่อฉันออกไปแล้วเหรอ" หญิงสาวถามด้วยสีหน้าผิดหวัง
"เปล่าหรอกลิปดา" มาร์คเป็นฝ่ายตอบแทน "เราแค่คิดว่าเธออาจไม่อยากกลับไปแถวบ้านตอนนี้ เรื่องเจนิสยังใหม่เกินไป และพวกเราก็ไม่อยากให้การรณรงค์อย่างบริสุทธิ์ใจนี้เป็นเสมือนการยั่วยุแม่เลี้ยงของเธอ"
ลิปดาพอเข้าใจเหตุผลของเพื่อน เพราะสถานที่ที่จะไปรณรงค์โครงการนี้อยู่ใกล้บ้านเธอ เธอจึงไม่ควรไปเพื่อลดแรงเสียดทานน่ะหรือ แล้วถ้านางจูลี่รู้เรื่องโครงการนี้แล้วรวบรวมพลสมัครพรรคพวกมาต่อต้านล่ะ นางจูลี่ขึ้นชื่อว่ากว้างขวางในชุมชน แน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีเรื่อง
"มาร์ค เธอบอกเองนี่นาว่าเราบริสุทธิ์ใจ แล้วจะต้องกลัวถูกมองไม่ดีทำไม แล้วตลอดมาเราก็สู้กับความคิดของผู้คนที่มองเราติดลบมาตลอดไม่ใช่หรือ"
"ลิปดา เราแค่ไม่อยากให้เธอกับนางจูลี่ต้องแตกกันมากไปกว่านี้" เชอริลเอ่ยตามความรู้สึก "อาจารย์มาเรียรู้เรื่องเจนิสแล้ว ท่านห่วงเธอมากนะ"
หญิงสาวมองเพื่อนสนิททั้งสองสลับกัน แล้วทั้งคู่ก็เสหลบตา
"ทุกคนก็เลยจะลอยแพฉัน...อีกคนน่ะหรือ"
"เปล่านะลิปดา ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น" เพื่อนสาวปฏิเสธ
"เชอริล ฉันรู้ว่าเธอห่วงฉัน แต่เธอก็รู้จักฉันดีกว่าใครนี่นาว่างานนี้เป็นความหวัง เป็นความภูมิใจของฉัน แล้วทำไมฉันจะไม่อยากมีส่วนร่วมกับมันในชุมชนของฉันยิ่งกว่าที่ไหนๆ"
ลิปดาทรุดลงนั่งข้างๆ เพื่อนรัก กุมมือบนตักเพื่อนไว้อย่างให้ความมั่นใจว่าเธอพร้อมยอมรับผลที่จะตามมาจริงๆ
"เราเข้าใจเธอแล้วลิปดา" มาร์คเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
เชอริลสบตาคนรัก ก่อนหันมามองเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมรอยยิ้มที่ค่อยคลี่แย้มออกมา
"ทุกอย่างจะเหมือนเดิม" เจ้าหล่อนว่าพร้อมกับโอบไหล่เพื่อนซี้เข้ามา "ว่าแต่เมื่อกี้เล่าเรื่องของเธอกับนายรูปหล่อนั่นถึงไหนแล้วนะ"
"โธ่..."
ลิปดาหัวเราะอ่อนใจ แล้วกลับเป็นฝ่ายผลักไหล่เพื่อนออกเสียเอง
.........................
กลับจากเมืองตะเกย์เตย์แล้ว คราวหน้าไปวอเตอร์ฟอล เรสเตอรองต์กันนะคะ
เป็นร้านอาหารที่มีน้ำตกไหลผ่านใต้โต๊ะเราเลยจ้า
ฝากติดตามด้วยนะคะ
ร่างสูงกระโดดลงจากหลังม้าก่อนถึงที่หมาย ก่อนลิปดาจะลงจากม้าของตนแล้วนำมาผูกกับท่อนไม้ที่วางพาดเหนือรางน้ำขึ้นไป
พวกเขาไม่ได้ขึ้นไปบนระเบียงชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวจับกลุ่มอยู่พอสมควร หากรัญชน์กลับตรงไปยังชะง่อนหินสีน้ำตาลใกล้กัน เมื่อมองลงไปยังแอ่งน้ำวงกลมที่อยู่ในปากปล่องภูเขาไฟแล้วก็พลอยขนลุกซู่กับความงามของธรรมชาตินั้น เหมือนทะเลสาบย่อมๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขารอบทิศทาง
"วู้ววว!" เขาป้องปากตะโกน เรียกสายตานักท่องเที่ยวคนอื่นให้หันมอง
ลิปดาทั้งขันทั้งอาย รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้มีลูกบ้าไม่เหมือนใคร เขาไม่มีบุคลิกของนักธุรกิจที่เธอทราบจากนามบัตรในกระเป๋าสตางค์เขาเลย ดูเขาไม่จริงจังกับชีวิต ออกจะเสเพลด้วยซ้ำในสายตาเธอ
"ให้ฉันถ่ายรูปไหมคะ"
"ไม่ๆ คุณมานี่" เขากวักมือเรียก
หญิงสาวสั่นศีรษะดิก "ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุณจี้ฉันตกลงไป"
รัญชน์เท้าเอวพลางกรอกตาอ่อนใจ ก่อนเขาจะเดินกลับมายืนข้างเธอเสียเอง
"มุกตลกอะไรน่ะ เชื่อผม คุณไม่มีเซนส์ด้านนี้เลย"
ลิปดายิ้มแห้ง อดเถียงในใจไม่ได้ว่าใครจะรวยอารมณ์ขันเหมือนเขา ขณะตามนายจ้างหนุ่มขึ้นไปยังระเบียงที่พื้นปูด้วยไม้ มีราวไม้เพื่อความปลอดภัยกันนักท่องเที่ยวพลัดตกลงไป ถือเป็นจุดชมวิวที่ได้เห็นทิวทัศน์ทะเลสาบขนาดย่อมในปากปล่องภูเขาไฟชัดเจน
"เห็นเป็นภูเขาไฟขนาดเล็ก แต่ภูเขาไฟตาอัลปะทุครั้งล่าสุดเมื่อปี ๑๙๗๗ นี่เองค่ะ"
"แล้วมีอะไรร้ายแรงหรือเปล่า"
"มีควันและเถ้าถ่านออกมา ต้องอพยพผู้คนที่อยู่บนเกาะนี้ แต่ก็ไม่มีใครได้รับอันตรายร้ายแรง"
ชายหนุ่มผงกศีรษะ มีรอยยิ้มมุมปากเมื่อมองออกไปยังทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ
"ผมว่าที่เราเห็นนี้อาจเป็นส่วนยอดภูเขาไฟก็ได้ ฐานของมันอาจจะยิ่งใหญ่อยู่ใต้ทะเลสาบ หรือคุณว่าไง" เขาวิเคราะห์พลางหันมามอง
"ไม่ทราบสิคะ ฉันเห็นแต่สิ่งตรงหน้าเท่านั้น" เธอหันไปตอบเขาพร้อมกับกลั้นยิ้มที่ได้เอาคืน
รัญชน์ปรายตามองคนข้างๆ ด้วยความมันเขี้ยว รู้หรอกว่าเธอย้อนเขาเข้าให้ที่บังอาจไปว่าเจ้าหล่อนไม่มีอารมณ์ขัน แต่ดวงตาพราวระยับสุกสกาวคู่นั้นก็พาเอาใจคนมองสั่นไหว ยากจะปฏิเสธได้ว่าเขายังคงประทับใจในตัวเธอไม่ว่าบทบาทไหน
ความโกรธเคืองอาจลดความเสน่หาลง แต่นั่นก็ช่วยให้เขาได้รู้จักแง่มุมอื่นของผู้หญิงคนนี้มากขึ้นเช่นกัน
"รู้ไหม ผมชอบชาวฟิลิปปินส์อย่างหนึ่ง ที่ถึงแม้ประเทศพวกเขาจะมีปัญหามากมาย ทั้งการเมือง ภัยธรรมชาติ หรือแม้แต่เรื่องแบ่งแยกดินแดน พวกเขาก็เผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้นได้เสมอมา ถึงเรื่องการรับมือกับปัญหาดีแค่ไหนจะเป็นอีกเรื่องก็เถอะ แต่มันทำให้เห็นความแข็งแกร่งของคนที่นี่"
ลิปดามองผู้เอ่ยคำชมอย่างจริงใจนั้นราวไม่รู้จักเขามาก่อน หัวใจสาวพองโต ด้วยตระหนักดีแก่ใจว่าตนเองก็เป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศหมู่เกาะแห่งนี้เช่นกัน และสิ่งที่หลอมรวมจิตใจเธอไว้ให้ผูกพันกับเพื่อนร่วมชาติก็คือความหวังถึงอนาคตที่ชาวฟิลิปปินส์ทุกคนจะมีพื้นฐานชีวิตที่ดีขึ้นไป
"ผมพูดอย่างนี้คุณโกรธหรือเปล่า" เขาถามเมื่อเห็นเธอเงียบไป
หญิงสาวค่อยรู้ตัวว่าเผลอจ้องมองเขาจึงรีบสั่นศีรษะ
"เปล่าค่ะ จะโกรธทำไมล่ะคะ คุณพูดถูกทุกอย่าง"
รัญชน์ยิ้มรับ เขาไม่ได้เอ่ยต่อไปดังใจหรอกว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งคนในนั้นที่ทำให้เขามองคนบ้านเมืองนี้ชัดเจนขึ้น
"มา ผมถ่ายรูปให้" เขาอาสาพลางก้าวถอยไป
ลิปดาหันหน้าจากทิวทัศน์อันงดงามมายิ้มให้กล้อง ท่าทางยามจับผมซึ่งปลิวสยายมาทัดหูแลดูเหมือนเจ้าหล่อนออกจะขัดเขิน แต่ภาพหญิงสาวที่แสดงออกอย่างนั้นถูกใจคนกดชัตเตอร์เป็นที่สุด จนเขาต้องละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมในกล้องมาจ้องผู้หญิงตรงหน้าที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
เขาหลุบตามองเสี้ยวหน้าผากมนของคนที่เดินมาดูรูปที่ถ่ายใกล้ตัว มือไม้อ่อนจนปล่อยกล้องให้เธอขยับไปดูห่างออกไปนิดหนึ่งอย่างง่ายดาย
"โห มุมนี้เห็นวิวสวยมาก" เธอเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดี
"เหรอ" เขาถามไปตามเรื่อง แทบไม่มีสติกับตัวเมื่อใบหน้าเปื้อนยิ้มมองตอบกลับมา "แต่ผมว่าคุณสวยกว่า ลิเบอร์ตี้"
ลิปดาจ้องตอบดวงตาอ่อนเชื่อม เห็นประกายหวานอย่างหนึ่งไหวระริกในดวงตาคู่คมของคนตรงหน้า ก่อนตนจะเป็นฝ่ายหลบตาแล้วพึมพำขอบคุณเขาไปตามมารยาท ร่างระหงเสหันไปยืนชมทิวทัศน์ยังริมราวระเบียง ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนเท้าเอวพลางยกมือหนึ่งถูจมูกเก้อๆ
รัญชน์ก่นด่าตัวเองในใจ ไม่แปลกหรอกหากเขาจะหลงใครสักคนเข้าจังเบ้อเร่อ และใช้เสน่ห์เกี้ยวพาเพื่อให้ได้เชยชมสมใจ แต่แปลกที่ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาเสียความมั่นใจครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทีของเธอทำให้เขารู้สึกละอายใจอย่างที่ไม่เคยเกิดกับคนหน้าหนาอย่างเขาเลย
.....................................
วันแห่งการเดินทางนั้นยังไม่จบเสียทีเดียวเมื่อนายจ้างเอาแต่ใจดูจะยังไม่อิ่มหนำกับความงามของธรรมชาติ ครั้นกลับลงมาจากเขาด้วยเจ้าม้าแกลบผู้น่าสงสารและขึ้นเรือกลับเข้าฝั่งมาแล้ว รัญชน์ก็ชวนกึ่งบังคับมัคคุเทศก์สาวเช่าเรือคายัคพายชมทิวทัศน์ทะเลสาบต่อจนได้
"คุณว่าผมสมัครสมาชิกที่นี่เลยเป็นไง ผมว่าผมหลงเสน่ห์ที่นี่เข้าแล้วล่ะ" เขาถามเอากับคนที่นั่งหันหลังให้จากหัวเรือ
ลิปดาแทบไม่ได้ออกแรงพายเสียด้วยซ้ำ เธอใช้ไม้พายแบบสองด้านเช่นนี้ไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่เมื่อหันไปมองชายหนุ่มข้างหลังก็เห็นเขาจ้วงใบพายสลับซ้ายขวาอย่างถนัดมือ
"ก็ดีสิคะ ฉันจะได้ไม่ต้องคิดโปรแกรมสำหรับสามวันที่เหลือของคุณ"
ตอบไปแล้วหญิงสาวก็ก้มหลบน้ำที่เขาวักใส่แทบไม่ทัน
"คุณ... เสื้อฉันก็เปียกสิ" เธอโวยเมื่อน้ำเย็นซึมผ่านเสื้อชูชีพเข้าไป
"ใครใช้ให้เจ้าเล่ห์กับผมล่ะ" เขาว่าพร้อมกับหัวเราะขัน
รัญชน์รีบยกไม้พายขึ้นปรามเมื่อคนข้างหน้าถือไม้พายในท่าเตรียมพร้อมจะหันมาเอาคืน
"อย่านะ ถ้าตกน้ำเปียกทั้งคู่ ผมล็อกตัวคุณค้างที่นี่จริงๆ ด้วย"
คำเตือนข่มขู่นั้นได้ผลชะงัด ลิปดาได้แต่เม้มปากก่อนหันกลับไปจ้วงพายด้วยแรงอารมณ์ จนน้ำกระเซ็นใส่คนข้างหลังที่นั่งนิ่งเป็นตัวถ่วง เสียงหัวเราะกังวานบาดหูบาดใจเจ้าหล่อนยิ่งนัก
ทนนั่งให้เธอพายไม่ไปไหนได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็จ้วงพายแต่เพียงผิวน้ำจนเรือแล่นฉิวไปตามระลอกคลื่นลมอีกครั้งหนึ่ง
"คิดไว้หรือยังว่าพรุ่งนี้เราจะไปไหนกัน" เขาถามเสียงอ่อนลง ไม่มีวี่แววยียวนอีก
"คุณตื่นเช้ากว่าวันนี้สักหน่อยได้ไหมคะ ฉันตั้งใจไว้ว่าเราจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่ 'วอเตอร์ฟอล เรสเตอรองต์' แล้วก็ดูการแสดงที่ 'วิลล่า เอสคูเดโร' "
"ไม่มีปัญหา"
"งั้นกลับไปเย็นนี้ฉันจะลองติดต่อโรงแรมของคุณดูค่ะ ส่วนมากแล้วจะมีรถตู้ไปรับไปส่งนักท่องเที่ยวที่นั่นทุกวัน เราอาจโชคดีไม่ต้องนั่งรถทัวร์แบบวันนี้ก็ได้"
"แต่ถ้าไม่มีเราก็ไปกันเองแบบนี้ได้ ผมโอเคนะ"
ลิปดาไม่ได้โต้ตอบมาอีก เธอปล่อยมือราน้ำขณะเรือพายไหลไปเรื่อย เขารู้ว่าเธอได้ยินจึงไม่เซ้าซี้ ต่างฝ่ายต่างดื่มด่ำกับธรรมชาติที่โอบล้อมพวกตน
...................................
"ลิปดา" เสียงเรียกชื่อดังขึ้นทันทีที่ร่างระหงก้าวลงจากบันไดหน้าโรงแรม
"มาร์ค มาได้ไง" เธอถามอย่างแปลกใจ
หญิงสาวก้าวเร็วรี่ไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่ข้างกระถางต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้เขามาดักรอตนนานหรือยัง เพราะทันทีที่กลับมาถึงลิปดาก็รีบติดต่อเจ้าหน้าที่โรงแรมที่นายจ้างหนุ่มพักเพื่อจองที่นั่งสำหรับเดินทางไปเที่ยวพรุ่งนี้ ไม่ทันสังเกตเลยว่าเพื่อนมาถึงตั้งแต่เมื่อไร
"เชอริลให้ฉันมาดูเธอ โทรหาเธอก็ไม่ได้ เราเป็นห่วงเธอมาก"
ลิปดารีบค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายตนก็เห็นหน้าจอมันดับอยู่ ครั้นกดเปิดเครื่องก็ไม่ติด
"ขอโทษจริงๆ เถอะมาร์ค มือถือฉันแบตฯ หมด มันเกเรกับฉันมาตั้งนานแล้ว คงต้องเปลี่ยนแบตฯ เสียที" เธอเอ่ยพลางเก็บมันใส่กระเป๋าเซ็งๆ "ว่าแต่เชอริลอยู่ไหน"
"รอเธอที่ห้อง เรามีเรื่องงานมะรืนนี้จะพูดกับเธอน่ะ"
"งั้นไปกันเถอะ"
หนุ่มสาวออกเดินไปยังช่องจอดรถจักรยานยนต์ยังลานหน้าโรงแรมด้วยกัน โดยที่ทั้งสองหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนที่เพิ่งแยกจากรอมองส่งหญิงสาวมาจากระเบียงห้องพักชั้นแปด
รัญชน์แน่ใจว่าสตรีในเสื้อยืดสีขาวที่เห็นไกลๆ นั้นเป็นมัคคุเทศก์ส่วนตัวของเขาไม่ผิดแน่ แต่ท่าทางตวัดขาขึ้นซ้อนรถจักรยานยนต์และเกาะไหล่ชายหนุ่มที่ขับขี่ออกไปนั้นทำให้เขานึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก
เสน่ห์แรงจริงนะแม่คุณ... เขาผิดเองที่สั่งห้ามเธอรับงานซ้อน แต่ลืมสั่งห้ามเธอรับนัดใครซ้อนอีกเรื่องหนึ่ง
.....................................................
มาร์คต้องเป็นกรรมการห้ามศึกซักฟอดที่แฟนสาวตั้งท่าจะสอบสวนเพื่อนสนิทตลอดคืน ด้วยการเอ่ยเตือนเชอริลให้นึกถึงเรื่องสำคัญกว่านี้มากนัก อันเป็นจุดประสงค์แรกที่พวกเขาตั้งใจพูดกับเธอ
"ก็ได้ พักเรื่องที่เธอตะลอนไปกับหมอนั่นไว้ก่อนก็ได้" เจ้าหล่อนตัดบทก่อนเริ่มธุระจริงจัง "คืออย่างนี้นะลิปดา เรื่องสถานที่ที่เราจะไปรณรงค์กันวันมะรืนนี้มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย สรุปเราจะรณรงค์กันที่เกซอนนี่แหละ"
"ก็ดีน่ะสิ" ลิปดาหันไปยิ้มกับเพื่อนที่นั่งอยู่บนเตียง ขณะเธอยืนแกะเปียอยู่ข้างๆ
เชอริลลอบสบตาคนรักนิดหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจเอ่ยต่อจนจบ
"ก็ดี งานนี้คงมีเพื่อนๆ มาช่วยกันเยอะขึ้น ฉันเลยคิดว่าถ้าเธอไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรน่ะ"
"หมายความว่าเธอขีดชื่อฉันออกไปแล้วเหรอ" หญิงสาวถามด้วยสีหน้าผิดหวัง
"เปล่าหรอกลิปดา" มาร์คเป็นฝ่ายตอบแทน "เราแค่คิดว่าเธออาจไม่อยากกลับไปแถวบ้านตอนนี้ เรื่องเจนิสยังใหม่เกินไป และพวกเราก็ไม่อยากให้การรณรงค์อย่างบริสุทธิ์ใจนี้เป็นเสมือนการยั่วยุแม่เลี้ยงของเธอ"
ลิปดาพอเข้าใจเหตุผลของเพื่อน เพราะสถานที่ที่จะไปรณรงค์โครงการนี้อยู่ใกล้บ้านเธอ เธอจึงไม่ควรไปเพื่อลดแรงเสียดทานน่ะหรือ แล้วถ้านางจูลี่รู้เรื่องโครงการนี้แล้วรวบรวมพลสมัครพรรคพวกมาต่อต้านล่ะ นางจูลี่ขึ้นชื่อว่ากว้างขวางในชุมชน แน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีเรื่อง
"มาร์ค เธอบอกเองนี่นาว่าเราบริสุทธิ์ใจ แล้วจะต้องกลัวถูกมองไม่ดีทำไม แล้วตลอดมาเราก็สู้กับความคิดของผู้คนที่มองเราติดลบมาตลอดไม่ใช่หรือ"
"ลิปดา เราแค่ไม่อยากให้เธอกับนางจูลี่ต้องแตกกันมากไปกว่านี้" เชอริลเอ่ยตามความรู้สึก "อาจารย์มาเรียรู้เรื่องเจนิสแล้ว ท่านห่วงเธอมากนะ"
หญิงสาวมองเพื่อนสนิททั้งสองสลับกัน แล้วทั้งคู่ก็เสหลบตา
"ทุกคนก็เลยจะลอยแพฉัน...อีกคนน่ะหรือ"
"เปล่านะลิปดา ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น" เพื่อนสาวปฏิเสธ
"เชอริล ฉันรู้ว่าเธอห่วงฉัน แต่เธอก็รู้จักฉันดีกว่าใครนี่นาว่างานนี้เป็นความหวัง เป็นความภูมิใจของฉัน แล้วทำไมฉันจะไม่อยากมีส่วนร่วมกับมันในชุมชนของฉันยิ่งกว่าที่ไหนๆ"
ลิปดาทรุดลงนั่งข้างๆ เพื่อนรัก กุมมือบนตักเพื่อนไว้อย่างให้ความมั่นใจว่าเธอพร้อมยอมรับผลที่จะตามมาจริงๆ
"เราเข้าใจเธอแล้วลิปดา" มาร์คเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
เชอริลสบตาคนรัก ก่อนหันมามองเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมรอยยิ้มที่ค่อยคลี่แย้มออกมา
"ทุกอย่างจะเหมือนเดิม" เจ้าหล่อนว่าพร้อมกับโอบไหล่เพื่อนซี้เข้ามา "ว่าแต่เมื่อกี้เล่าเรื่องของเธอกับนายรูปหล่อนั่นถึงไหนแล้วนะ"
"โธ่..."
ลิปดาหัวเราะอ่อนใจ แล้วกลับเป็นฝ่ายผลักไหล่เพื่อนออกเสียเอง
.........................
กลับจากเมืองตะเกย์เตย์แล้ว คราวหน้าไปวอเตอร์ฟอล เรสเตอรองต์กันนะคะ
เป็นร้านอาหารที่มีน้ำตกไหลผ่านใต้โต๊ะเราเลยจ้า
ฝากติดตามด้วยนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ย. 2556, 12:25:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ย. 2556, 12:25:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 1204
<< บทที่ ๖/๑ |

ปริยาธร 3 พ.ย. 2556, 17:39:24 น.
คุณรัญชน์หึงแล้ววววววววววววววว เย้
อย่างนี้ต้องให้มาร์คโผล่มาแจมบ่อยๆ อิ อิ
คุณรัญชน์หึงแล้ววววววววววววววว เย้
อย่างนี้ต้องให้มาร์คโผล่มาแจมบ่อยๆ อิ อิ

ภาพิมล_พิมลภา 3 พ.ย. 2556, 20:21:55 น.
พี่นุ้ย - อันนี้แค่น้ำจิ้มค่ะ หุๆ เดี๋ยวรักมากก็ผิดหวังมากนะคะ
พี่นุ้ย - อันนี้แค่น้ำจิ้มค่ะ หุๆ เดี๋ยวรักมากก็ผิดหวังมากนะคะ