สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 12


ผมกับน้ำฝนแทบไม่คุยกันเลยนับตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงตอนที่นั่งบนรถ เราต่างเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้กันให้มากที่สุด เว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุการณ์บังคับ อย่างเช่น พี่นาถปรึกษาหารือเรื่องงานหรือช่วงใช้ให้เราไปทำงานด้วยกัน

ดอยภูคาไม่ได้มีเส้นทางขาขึ้นที่สูงและมากไปด้วยโค้งอย่างเดียวเท่านั้น ขาลงจากดอยอันเป็นเส้นทางที่เรากำลังเดินทางมุ่งหน้าไปทำงานก็เดินทางยากพอกัน ที่หมายต่อไปหลังจากแวะทำงานกันมาแล้วหลายที่คือหมู่บ้านที่มีบ่อเกลือภูเขา ชื่อว่าหมู่บ้านบ่อเกลือ
ที่นั่นเป็นชุมขนเล็กๆ แสนจะเงียบสงบ ที่นั่นไม่มีใครนอกจากพวกเรา เราเลยใช้เวลาถ่ายทำงานสุดท้ายบนดอยภูคาได้เต็มที่และไม่มีใครมารบกวน งานก็คือสัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่ที่รู้เรื่องราวความเป็นมาของชุมชน งานนี้พี่นาถรับหน้าที่สัมภาษณ์เองโดยมีน้ำฝนกับเหมียวนั่งดูงานและช่วยบันทึกข้อมูล พี่ขวัญเป็นคนถ่ายภาพกับภู ผมกับคนอื่นๆเลยได้พัก พี่ฝางคนขับรถของพวกเราถือโอกาสพักรถแล้วเดินเตร่ชมนกชมไม้หลังเช็ครถเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมเองเริ่มเหนื่อยกับการถ่ายภาพ รู้สึกสมองตื้อตันจนไม่อยากทำอะไร พอเลี่ยงได้ ผมก็เก็บกล้องใส่กระเป๋าสะพาย เดินออกไปจากบริเวณที่ทุกคนกำลังทำงาน แน่ล่ะ มันเป็นทิศทางตรงข้ามกับพี่ฝางเตร็ดเตร่อยู่ด้วย
“ชอบเรางั้นเรอะ” ผมกำลังถามตัวเอง สมองตื้อตันกำลังจะระเบิดออกด้วยคำพูดของน้ำฝนเมื่อคืนนี้ เอาจริงๆ ผมเองไม่แน่ใจว่าจะตอบเธอว่าอย่างไรดีโดยไม่ทำให้ทุกอย่าง ทั้งงาน ทั้งมิตรภาพของคำว่าเพื่อนร่วมงานมันพังทลายลง และผมเองไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องนี้จริงๆในเวลาที่แม้แต่ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ แล้วนี่ดันมีเรื่องความรู้สึกของคนอื่นมาเกี่ยวพันด้วย ความรู้สึกที่ผมเองไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก และมันยังมาจากคนสุดท้ายในโลกที่ผมจะนึกถึงสำหรับไอ้เรื่องที่กำลังปั่นหัวสมองผมอยู่ตอนนี้
“ทำไมไม่ปฏิเสธเธอไปซะ”ความคิดและคำพูดนี้ผุดออกมาจากข้างในตัวผม “มันง่ายมากเลยที่จะทำแบบนั้น ไม่ใช่รึ!!!”

ผมเหมือนคนมึนๆที่เดินไปในดินแดนที่เราเองไม่รู้จัก กำลังหลงทางที่ไหนสักที่ สมองและหัวใจผมก็เช่นกัน มันกำลังหลงทาง
“หรือเราเองก็ชอบเธอ”
ผมอยากจะตบหัวตัวเองแล้วลากคอตัวเองไปใกล้รั้วแถวนั้น เอาหัวตัวเองโขกกับรั้วปูนสักทีหนึ่งให้หายบ้า อะไรนะที่ดลใจให้ผมพูดแบบนั้น ไม่ล่ะ ผมจะไม่พูดมันจนกว่าผมจะแน่ใจจริงๆและผมต้องการเวลาเพื่อจะพิสูจน์มัน ตอนนี้ผมต้องการแค่คำพูดที่เหมาะที่ควรสำหรับตอบคำถามเธอในเร็วๆนี้(หากมันมีขึ้นมาจริงๆ)

ใบไม้บนพื้นทำเสียงดังกรอบแกรบแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบของดอยภูคา สายลมพัดผ่านตัวผมที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ผมไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร รู้แต่ว่ามันใหญ่ดีแท้และน่าน่าเอาไว้ทำบ้านต้นไม้ข้างบน คงน่าอยู่ดีในความคิดผม ยอดของมันไหวเอนตามกระแสลมอ่อนๆ กลิ่นหญ้าแห้งจากไร่แถวนั้นโชยเข้าจมูก มันไม่ใช่กลิ่นที่ผมคุ้นเคยนัก นานๆครั้งผมถึงจะมีโอกาสได้สัมผัสกลิ่นของมัน และน่าแปลกด มันเป็นกลิ่นที่หอมอย่างประหลาดสำหรับผม(มันหอมจริงๆนะครับคุณ)

“ยุ....”
“ครับ!!!”ผมขานรับ พร้อมกับหันไปหาคนเรียก พี่ฝางยืนสูบบุหรี่อยู่ไม่ห่างนัก พอพ่นควันออกมาเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว พี่แกจึงทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น ขยี้ดับด้วยส้นรองเท้าผ้าใบ
“แกดูแปลกไปนะ”
“ตรงไหนเหรอพี่ฝาง”
“ไม่รู้ดิ แต่ฉันรู้สึกว่ามันแปลก แกมีอะไรเครียดๆหรือเปล่า บอกได้นะโว้ย”
“เปล่าพี่...เปล่า”ผมกลบเกลื่อน
พี่ชายของน้ำฝนหัวเราะ พี่แกดูสบายๆ ผิดกับตอนที่อยู่ในสนามด้วยกัน ในสนามล่ะอย่าเข้าใกล้พี่เค้าเชียว พี่แกถือเป็นหนึ่งในขาโหดของสนามเลยทีเดียว
“วันนี้ลงจากดอยแล้ว เราไปหาเบียร์กินกันสักหน่อยเป็นไง เผื่อไอ้เรื่องที่ที่อยู่ในหัวแกจะได้ระบายออกมาบ้าง ฉันเองก็จะได้ช่วย”พี่แกยังพยายามช่วย(หรือเปล่านะ)
ผมตอบรับ มันดีกว่าปฏิเสธพี่แกอยู่แล้ว บางทีพี่ฝางแกอาจจะรู้อะไรมากกว่าที่ผมรู้ก็ได้ และผมอาจจะได้คำตอบให้ตัวเองเร็วขึ้น

ผมกับพี่ฝางเตร่อยู่แถวนั้นอีกพักใหญ่ พูดเรื่องสัพเพเหระที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันตั้งแต่เมื่อวาน พูดเรื่องฟุตบอลฤดูกาลใหม่ที่กำลังเข้มข้น การแข่งขันฟุตบอลของพวกเราและเรื่องงานในร้านหนังสือที่พี่ฝางดูแลอยู่ นอกจากนั้น พี่ฝางเป็นพวกเซียนเพลงทั้งไทยและเพลงสากลอีกด้วย พี่ฝางเคยไปอยู่อังกฤษมา 6 เดือน เพื่อดูงานร้านหนังสือของครอบครัวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจร้านหนังสือทั้งหมดของครอบครัว แกเคยไปดูวงโอเอซิสเล่นที่แมนเชสเตอร์ แม้แกจะเป็นแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพันธุ์แท้เหมือนผม แต่พี่แกก็ยังไปดูวงร็อกชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษที่เป็นแฟนซิตี้ ทีมคู่ปรับร่วมเมืองของปีศาจแดงทั้งวง
“ดนตรีมันไร้พรมแดน ไม่มีสี ไม่มีแบ่งกั้น “ผมยังจำคำของพี่แกในวันที่เล่าให้ผมฟังได้
ผมไม่ค่อยโปรดวงนี้สักเท่าไหร่นักหรอก ผมรู้ตัวดี ผมชอบเพลงของคีนน์หรือเพลงฟังสบายของจอห์น เมเยอร์มากกว่า นานๆที ผมจะฟังร็อกปี 80 อย่าง เรด ฮอท ชิลลี่ เพพเพอร์บ้าง ซึ่งก็แล้วแต่อารมณ์อีกที พอเราคุยกัน พี่ฝางมักจะมีวงใหม่ๆมาแนะนำเสมอเวลาคุยกันเรื่องดนตรี

“ไอ้ไท รุ่นน้องพี่เชี่ยวกว่านี้”พี่ฝางบอกขณะเดินกลับมาที่รถ
“คนที่มาช่วยงานแฟชั่นโชว์พี่นาถน่ะเหรอพี่”
“ใช่ ไอ้คนนั้นแหละ เห็นว่าถ้าจบมา จะไปหาเงินมาเปิดบาร์ที่เปิดเพลงสากลมั้ง”
“ที่ไหนเหรอพี่”
“บ้านเรานี่แหละ” พี่ฝางขยี้จมูกตัวเองด้วยหลังมือ ดูเหมือนแกจะคัดจมูกมาสักพักใหญ่แล้ว ส่วนผมเองกำลังนึกหน้าคนที่พี่แกพูดถึง
“ยากอยู่นะพี่ บ้านเราคนฟังเพลงสากลน้อย”
“ใช่ แต่มันอยากทำ ไอ้นี่พออยากทำอะไร จะทำให้ได้”
ผมเออออ “ก็น่าลอง” ผมอยากให้มีแบบนี้ที่บ้านเกิดตัวเองบ้างเหมือนกัน

แดดบ่ายเริ่มอ่อนลง กลุ่มเมฆเคลื่อนหนาตากว่าชั่วโมงที่แล้ว ที่รถของเรามีคนรออยู๋ก่อนแล้วคือแมนกับเจ๋ง เพื่อนรุ่นน้องของพี่ขวัญนั่นเอง
“ใกล้เสร็จยัง”พี่ฝางถามแมนที่นั่งสูบบุหรี่อยู่แถวที่จอดรถ มือเอื้อมไปเปิดประตู หยิบขวดน้ำดื่มออกมาจากใต้เบาะแล้วยกดื่ม ผมหยิบของตัวเองมาจากเบาะหลังเหมือนกัน น้ำข้างในคงอุ่นน่าดูหลังจากถูกทิ้งไว้ในรถนานเกือบ2ชั่วโมง
“เดี๋ยวคงออกมา”แมนตอบ ดับบุหรี่กับพื้น
ผมเดินเข้าไปสะกิดไหล่พี่ฝาง “นู่น มากันแล้ว”
พี่นาถเดินนำคนอื่นๆออกมาจากร้านขายของชำ ห่างจากลานจอดรถไปไม่มาก ที่นั่นเป็นเหมือนศูนย์กลางของชุมชนในยามบ่ายๆ จากสีหน้า ทุกคนดูพอใจกับงานที่พึ่งเสร็จสิ้น พี่นาถกำลังคุยกับภูและพี่ขวัญด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำฝนกับเหมียวกำลังแลกกันดูสมุดหรือบันทึกอะไรสักอย่าง
“เป็นไงบ้างนาถ ต้องแวะที่ไหนอีกไหม”
พี่นาถพยักหน้า “เหลือไปแวะดูวัดกับตลาดตอนค่ำในตัวจังหวัด แล้วเราจะหาที่พักกับข้าวเย็นกินในตัวเมืองเลย”
“งั้นก็ไปเลย เดี๋ยวมันจะค่ำเกินไป”พี่ขวัญผู้อาวุโสที่สุดแนะ พี่ฝางพยักหน้าเห็นด้วย

รถ2คันแล่นออกมาจากหมู่บ้านบ่อเกลือ ย้อนกลับไปทางที่ทำการอุทยานก่อนจะย้อนลงทางเดิมเมื่อวานนี้เพื่อเข้าตัวจังหวัด

ผมหลับตลอดทางนับตั้งแต่แวะเข้าห้องน้ำที่ที่ทำการอุทยานเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกเลย ผมเพียงอยากแกล้งหลับเพื่อจะได้ไม่ต้องคุยกับใครเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าสุดท้าย แอร์เย็นฉ่ำก็ทำให้ผมหลับไปเสียดื้อๆ ผมมาตื่นอีกทีเมื่อเราลงจากดอยภูคาเรียบร้อยแล้วและกำลังมุ่งหน้าไปยังตัวจังหวัด
“เออ ตื่นมาก็ดีแล้ว”พี่ฝางเหลือบมามองผมแวบหนึ่ง ผมขยี้ตาก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วกลับมามองเบาะหลัง
“พวกนั้นหลับไปสักชั่วโมงนึงได้แล้วล่ะมั้ง แกตื่นมาก็ดี ไม่มีเพื่อนคุย”
“ผมหลับไปนานเหมือนกันนะเนี่ย”
พี่ฝางหัวเราะหึหึ “ก็นานอยู่”
“ใกล้ถึงหรือยังพี่”
“อีกสักพักแหละ พวกไอ้ภูล่วงหน้าไปก่อนแล้ว นาถบอกให้ไปหาที่พักมั้ง พอดีไม่ได้จองไว้ก่อน”
ผมบิดตัวไล่ความเมื่อย คว้าขวดน้ำที่เหลือน้ำไม่ถึงครึ่งมาดื่ม ตามองไกลออกไปยังทุ่งนาสีเหลืองยาวสุดลูกหูลูกตา ดอยสูงต่ำสลับกันเลยออกไปยังคงถูกหมอกควันสีขาวจางๆปกคลุม สักพักทุ่งนาก็เริ่มมีบ้านคนเข้ามาแทรกตามรายทาง หลายบ้านมีรถไถ เกือบทุกบ้านมีฉางเก็บข้าวและเครื่องมือเหมือนที่ผมเคยเห็นตอนไปทำสารคดีที่บ้านอาจารย์ฉกรรจ์ นานๆทีจะมีรถอีแต๋นขับย้อนศรมาช้าๆ ถ้าเป็นในตัวเมือง คุณลุงที่ขับอีแต๋นคงโดนด่าเปิงเป็นแน่ อยู่บ้านนอกมันก็ดีอย่างนี้เอง ไม่วุ่นวาย ไม่มีใครด่าตอนขับรถขับรา บางทีชีวิตเรามันก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก ชีวิตสมถะมันก็มีความสุขดี ผมไม่แปลกใจเลยที่ดารานักแสดง นักร้องหันหน้าหนีจากเมืองวุ่นวาย ซื้อที่ไปทำสวนทำไร่ แถวเชียงรายบ้านผมนี่เยอะแยะเลยล่ะ บางคนกำลังมีความสุขกับความเจริญ บางคนมีความสุขกับชีวิตที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใบไม้และผู้คนเพียงไม่กี่คน
จริงอยู่ว่าผมเป็นแค่เด็กอายุ19ที่เกิดในตัวเมืองเชียงราย แต่ใช่ว่าผมจะไม่เคยสัมผัสชีวิตแบบนี้ พื้นเพเดิมของทั้งพ่อทั้งแม่ผมเป็นคนที่เติบใหญ่มาในอำเภอห่างไกลตัวเมือง ผมเองก็ใช้ชีวิตวัยเด็กที่นั่นมากพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าการปั่นจักรยานไปดอยหลังบ้านมีความรู้สึกแบบไหน มีอะไรให้เล่นสนุกในทุ่งนา จับปลาในคลองทำอย่างไร ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่สนุกสนานพอๆกับเกมคอมพิวเตอร์ที่ผมกับเพื่อนเล่นกันอยู่ทุกวันนี้ ในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพวันคืนเก่าๆกำลังรีรันเหมือนหนังแฟนตาซีที่ฉายในเคเบิลทีวี
ทุ่งนาเริ่มถูกบดบังโดยบ้านคนและสิ่งก่อสร้างเมื่อเราเริ่มเข้าใกล้ตัวจังหวัดมากขึ้น มีการสร้างตึกแถว สร้างบ้านหลังใหญ่ สร้างห้างร้าน โกดัง ผมดึงความสนใจตัวเองกลับมา เรื่องราววันเก่าๆและกลิ่นอายชนบทกำลังจางไป

“ยุ หาเพลงในเก๊ะมาเปิดทีซิ”เสียงพี่ฝางเรียกผมกลับมาจากภวังค์ ผมเองพึ่งรู้ว่าแพลงที่เปิดอยู่จบไปได้พักหนึ่งแล้ว เพลงสุดท้ายคือเพลงอะไร จบตอนไหน ผมไม่รู้เรื่องเลย
ผมหยิบตลับซีดีเพลงมาวางบนตัก หลังจากคัดเพลงร็อกออกแล้ว ในมือผมเหลือเพลงสากลฟังสบายๆทั้งเก่าใหม่อยู่3-4ตลับ ผมจับมันพลิกทีละตลับ อ่านรายชื่อเพลงกับชื่อนักร้อง
“พี่จะฟังอะไร”
“อะไรก็เปิดมาเหอะ”
ผมชั่งใจอยู่นาน จนพี่แกย้ำมาอีก เลยเลือกมาแผ่นหนึ่ง “เจมส์ บลันท์ นี่โอเคไหมพี่”
“คนโปรดพี่เลยล่ะ เพลงมันให้ความรู้สึกแย่ๆนะ แต่เพราะดี”
ผมแทบไม่ต้องคิดเลยหลังจากนั้น “งั้นเอานี่แหละ”ผมตอบ ใส่แผ่นเข้าไปในเครื่องเล่น ประเดี๋ยวเดียว ดนตรีก็เริ่มบรรเลง เสียงแหลมสูงเกือบเหมือนเสียงผู้หญิงแต่เพราะอย่างประหลาดเริ่มขับกล่อมเราพร้อมเสียงดนตรีที่ไม่หนักมาก ผมชักเริ่มชอบแล้วซิ



สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ย. 2556, 20:17:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ย. 2556, 20:17:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 914





<< สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 11   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account