รักใจร้าย
คียุล ซูเปอร์สตาร์ต้องรักษาภาพลักษณ์ดุจเจ้าชาย แตกต่างจากตัวตนที่แท้จริง ซ้ำร้ายยังต้องแสดงตัวเป็นคู่จิ้นวายตามใจแฟนคลับ ท่ามกลางความแก่งแย่งชิงดีในวงการบันเทิงเกาหลี เขาได้พบกับนัชชา สาวสวยบริสุทธิ์ผู้ต้องตกเป้าหมายการฆาตกรรม...
Tags: ดารา, เกาหลี
ตอน: เจ้าชายแสงดาว
1.
เสียงดนตรีไพเราะในท่วงทำนองคุ้นเคยที่ดังมาจากโทรทัศน์เรียกให้นัชชาเงยหน้าขึ้นจ้องมองภาพที่ถ่ายทอดสดมาจากงานเปิดตัวนาฬิกาแบรนด์หรูอย่างหลงใหล
จะไม่ให้เธอต้องมนต์สะกดได้อย่างไร ในเมื่อชายหนุ่มทั้งสี่ที่ก้าวย่างอย่างสง่างามอยู่บนพรมแดงท่ามกลางแสงสปอตไลต์สว่างเจิดจ้านั้นคือ “สตาร์ปริ้นส์” สุดยอดบอยแบนด์แห่งวงการเคป๊อป ที่ร้องเพลงไพเราะ เต้นเก่ง แถมยังหล่อราวกับรูปสลักในชุดทักซิโด้ เป็นทั้งดวงดาวและเจ้าชายในสายตาของนัชชาและสาวๆ อีกนับล้านคนทั่วเอเชีย หรืออาจจะทั่วโลกด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คียุล นักร้องนำของวงเจ้าของเสียงทุ้มหวานที่แสนนุ่มนวลจนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แค่เขาเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนก็ต้องเหลียวมอง ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นราวกับมีสปอตไลท์ฉายจับตลอดเวลา กล้องซูมเข้าไปจับที่ใบหน้าคมคาย ไล่ตั้งแต่นัยน์ตาคมสวย ฉายแววใสอย่างคนมีความสุขในชีวิต จมูกโด่งเป็นสันบาง ปลายแหลมนิดๆ น่ารัก รูปหน้าค่อนข้างเรียวแต่กรามแกร่งอย่างผู้ชาย ในขณะที่ริมฝีปากหยักสวยสีชมพูอ่อนราวกับผู้หญิง เมื่อประกอบเข้ากับทรงผมซอยไล่ปลายระต้นคอ ก็ดูทั้งหวาน ทั้งเข้ม สีหน้าอ่อนเศร้าและเสียงทุ้มนุ่มนวลเข้ากับเพลงรักก็ยิ่งทำให้น่าเข้าไปกอดปลอบใจ
เสียงกรี๊ดจากเหล่าแฟนคลับที่เรียงแถวแออัดกันอยู่หลังเชือกกั้นสองข้างพรมแดงยิ่งดังมากขึ้น เมื่อคียุลโน้มร่างสูงสง่าลงกระซิบข้างหูของซองเจ เพื่อนร่วมวงที่หุ่นเล็กบางจนเกือบจะอ้อนแอ้น แถมหน้ายังหวานราวกับผู้หญิง จนแฟนคลับที่เป็นสาววายพากันจับคู่อย่างที่เรียกกันด้วยศัพท์เฉพาะวงการว่า “คู่จิ้น” ตามจินตนาการ
นัชชาเองก็พลอยยิ้มไปด้วย เธอเป็นหนึ่งใน “สาววาย” ยาโออิที่ชอบให้ผู้ชายหล่อน่ารักจับคู่กันเอง ไม่ว่าจะในการ์ตูน นวนิยาย หรือว่าบนเวทีคอนเสิร์ต อาจเพราะความรุนแรงต่อสตรีในโลกแห่งความจริงผลักดันให้พวกเธอเหล่านี้หนีไปชอบชายหนุ่มแนวหวานก็ได้
ภาพในจอตัดเข้าโฆษณา หญิงสาวจึงไม่มีโอกาสเห็นสีหน้าและแววตาแปลกๆ ของซองเจที่มองคียุลเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก้มลงก่อนที่อีกฝ่ายจะล่วงรู้ความในใจ ที่หวั่นไหวไปกับทุกสัมผัส...ทุกเสียงกระซิบ จนอยากจะกระชากคนตัวสูงกว่าให้ก้มลงมาจูบ ประกาศความเป็นเจ้าของต่อหน้าแฟนคลับนับพัน!
“เก้าหมื่นห้าพันห้าร้อยวอนค่ะ” แคชเชียร์ต้องบอกถึงสองหน นัชชาจึงตื่นจากภวังค์ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยก็ยังไม่วายแลเลยไปที่โทรทัศน์อย่างอาวรณ์ก่อนจะเดินออกไปจากซูเปอร์มาร์เก็ต
นี่ถ้าไม่ต้องรีบเข้างาน เธอคงยืนดูต่อจนจบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากทิ้งมากลางคัน ทั้งที่คียุล และเหล่าสตาร์ปริ้นส์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ สักหน่อย
หญิงสาวถอนใจก่อนจะขยับถุงหนักอึ้งในมือ นึกโมโหแม่ครัวที่ลืมสั่งเครื่องปรุงหลายอย่าง ทำให้เธอต้องลำบากขึ้นรถเมล์มาซื้อ แถมต้องรีบกลับไปให้ทันก่อนร้านหมูย่างเปิดอีกด้วย
ชีวิตนักเรียนที่เกาหลี ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดไว้สักนิด!
เมื่อตอนเพื่อนๆ ชวนกันมาเรียนภาษาและฝึกเป็นสไตลิสต์ที่เกาหลี ทุกคนก็ดูจะเห็นพ้องว่าเป็นแผนการที่ดีอยู่ หลังจากเรียนหนักกันมาสี่ปี นัชชากับเพื่อนๆ คิดว่าคงไม่เสียหายอะไรที่จะนำเงินเก็บจากการสอนพิเศษมาใช้ทำสิ่งที่ใจต้องการ
ทุกคนยืนยันกับผู้ปกครองว่า ดาราเกาหลีไม่ใช่สาเหตุหลักที่พวกเธอต้องการจะเดินทางมา แต่เป็นเพราะธุรกิจเกาหลีที่กำลังเติบโต และหลายบริษัทก็มีสาขา มีลู่ทางให้กลับไปทำงานที่เมืองไทยได้ต่างหาก ส่วนการตามหาหัวใจนั้น ถือเป็นประเด็นรอง
แต่พอถึงเวลาสมัครเรียนและต้องเดินทางมาจริง เพื่อนๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน มีแต่นัชชาคนเดียวที่เดินหน้าตามแผน
ถึงตอนนี้ เธอเริ่มตระหนักแล้วว่า เพื่อนทั้งหลายคงจะมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า รู้ว่ามาอยู่เกาหลีไม่ได้ง่ายหรือสบายอย่างที่คิด ก็เลยพากันถอยเสียตั้งแต่ต้น
แม้การเรียนภาษาจะสนุกและก้าวหน้าไปได้เร็ว แล้วยังได้เรียนแต่งหน้า และการทำสไตล์เสื้อผ้าสำหรับโอกาสต่างๆ แต่ชีวิตก็ไม่ได้ราบรื่น เพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินคาด ทั้งที่เธอไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟือย ที่อยู่ก็เป็นหอพักนักศึกษาแถวมหาวิทยาลัย แถมกินอาหารในร้านสะดวกซื้อเป็นประจำ ก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง จนจะร้องไห้กลับบ้านเสียหลายครั้ง โชคดีที่ญาติของนัชชารู้จักเจ้าของร้านหมูย่างที่อับกูจอง เลยฝากให้มาทำงานเสิร์ฟโต๊ะที่นี่ ซึ่งก็นับว่าเงินดีไม่น้อย เพราะเป็นย่านหรูของโซล เต็มไปด้วยบริษัทบันเทิง ดาราและปาปารัซซี่ แต่งานก็หนักตามไปด้วย นอกจากลูกค้าจะมากมายและต้องอยู่ดึกดื่น บางทีออนนี่เจ้าของร้านยังใช้งานอื่นอีกจิปาถะ อย่างเช่นให้ไปซื้อเครื่องปรุงเพิ่มเติมในวันนี้
ที่สำคัญ มาอยู่เกาหลีเป็นเดือนแล้ว นัชชายังไม่ได้เจอสตาร์ปริ้นส์เลยสักคน ร้านที่เธอทำงานอยู่ในอับกูจองซึ่งเป็นย่านดาราก็จริง แต่ร้านนี้เล็กมากและอยู่ในซอกซอยแยกจากถนนใหญ่ ลูกค้าโดยมากก็เป็นคนธรรมดาขาประจำทั้งนั้น
คิดมาถึงตรงนี้ รถเมล์ก็จอดป้าย แต่ร้านหมูย่างอยู่ในซอกมุมแยกจากถนนใหญ่ นัชชาเลยต้องหิ้วแกมลากถุงหนักอึ้งนั่นเดินขึ้นเนินต่อไปอีก
เธอใช้หลังดันประตูกระจกเข้าไปในตึกสามชั้นสีเทาหม่นแล้วตรงไปที่ครัว วางของยังไม่ทันหายเหนื่อย ก็ต้องรีบไปแต่งตัวที่ห้องล็อคเกอร์ด้านหลัง เปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงยีนส์กับแจ็คเก็ตตัวนุ่มสำหรับช่วงเริ่มหนาวมาเป็นเชิ้ตขาวกางเกงดำ ทับด้วยเอี๊ยมกันเปื้อนสีเข้ม ก่อนจะรวบผมยาวสีน้ำตาลช็อกโกแลตขึ้นให้เรียบร้อย ยิ้มให้รูปของสตาร์ปริ้นส์ที่ประตูล็อคเกอร์ แล้วนัชชาก็พร้อมที่จะทำงาน
“กินอะไรมาหรือยัง นัช” เจ้าของร้านที่นัชชาเรียกว่าออนนี่เอ่ยถาม หล่อนเป็นสาวใหญ่วัยกลางคนที่ยังสวยแม้จะเจ้าเนื้อเล็กน้อย แต่ก็ดูแลตัวเองดีด้วยการแต่งหน้าพองาม ผมดัดลอนเซ็ตเรียบร้อย สวมเสื้อถักกับกางเกงและเครื่องประดับพอสมตัว หล่อนอาจจะใช้งานลูกน้องมากไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่แม่มดใจร้าย ยังมีน้ำใจคอยดูแลทุกข์สุขของคนในร้านอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัชชา ที่พลัดบ้านเมืองมาไกล
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” นัชชาหันไปยิ้มหวาน นัยน์ตาใสที่มองตอบนั้นทำให้ออนนี่คิดขึ้นมาอีกครั้งว่า ถ้านัชหัดสนใจผู้ชายใกล้ตัวเสียบาง แทนที่จะมัวแต่คลั่งไคล้สตาร์ปริ้นส์และคียุล เธอก็คงจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตนไปนานแล้ว เพราะนัชชาเป็นผู้หญิงนิสัยดี อ่อนหวาน และถึงจะอยู่ในเครื่องแบบเรียบๆ ก็ยังดูสวย ด้วยใบหน้ารูปไข่ ผิวอ่อนใสราวกับเด็กและผมยาวสลวย แก้มอมชมพู กับนัยน์ตาโตหวาน จมูกที่รั้นไปหน่อยนั้นยิ่งทำให้ดูน่ารัก แถมรูปร่างก็เล็กกะทัดรัด เพรียวบางแต่มีเนื้อมีหนังน่ากอด ขนาดเห็นกันจนชินตา ออนนี่ก็ยังรู้สึกว่านัชสวย ไม่แปลกหรอกที่จะมีหนุ่มๆ แถวนี้แวะเวียนมาชวนไปดื่มกาแฟหรือเดินเล่นที่ทงแดมุนหลังเลิกงาน แต่เจ้าหล่อนก็ไม่เห็นจะเคยรับเดทกับใคร ยังคงรอคอยแต่คียุลเท่านั้น
หน้าที่ของนัชชาไม่ใช่แค่เสิร์ฟ แต่ในร้านเล็กๆ อย่างนี้ เธอต้องช่วยทำทุกอย่าง หลังจากหอบเครื่องปรุงเข้ามา ก็หั่นผัก ทำน้ำจิ้ม ช่วยแม่ครัวปรุงแกงกิมจิ แล้วก็แช่แก้วเบียร์ ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ยังไม่ทันนั่ง เสียงออนนี่ก็สั่งขึ้นมาอีกว่า “วันนี้ลูกค้าเยอะมาก นัชขึ้นไปช่วยข้างบนหน่อยนะ”
ร้านนี้มีสองชั้น ข้างบน แบ่งซอยเป็นห้องพิเศษ สำหรับแขกที่อยากมีความเป็นส่วนตัว จัดเลี้ยงและนั่งดื่มเหล้ากันนานๆ
“เอาเครื่องเคียงขึ้นไปเติมห้องหนึ่งหน่อย กินกันจุแล้วก็ดื่มหนักจริงๆ เดี๋ยวก็คงเรียกเหล้าอีก” ออนนี่ยิ้มชอบใจในขณะที่นัชชากับเพื่อนสาวเสิร์ฟร่างอ้วนกลมที่ชื่ออึนฮวาต้องรีบแบกถาดขึ้นไป
โต๊ะตัวยาวที่ตั้งอยู่กลางห้องเป็นไม้หนา เจาะช่องกลมไว้สองช่อง หุ้มด้วยแผ่นอลูมิเนียมสำหรับวางเตาแล้วซ้อนด้วยตะแกรงย่าง เครื่องเคียงที่นัชชากับอึนฮวาวางเรียงไว้รอบเตานี้ นอกเหนือจากกิมจิที่ขาดไม่ได้ ก็ยังต้องมีใบงา ใบผักกาดสีเขียวสด สำหรับห่อหมู แนมด้วยกระเทียม ใส่น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว ซอสพริกแบบเกาหลีสีแดง กับอาหารอื่นๆ พวกซุปและแกงกิมจิชิเกะใส่เต้าหู้ด้วย
นัชชาวางเครื่องเคียงยังไม่ทันเสร็จ ลูกค้าก็สั่งเหล้าโซจูเพิ่ม เธอโค้งรับคำสั่ง แต่ก่อนจะหันกลับออกไป เธอสะดุดใจเล็กน้อยกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดดำคอวีกับกางเกงยีนส์ขาดที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด และยิ่งดูแปลกที่เขาใส่หมวกแก๊ปหลุบหน้าทั้งที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว ถึงกระนั้น เธอก็ยังสังเกตเห็นจมูกโด่งได้รูปสวย ริมฝีปากหยักโค้ง และเมื่อเขาเหลือบตาขึ้นมอง นัชชาก็ถึงกับตัวแข็งขยับไม่ได้
คียุล!
“นัช นัช” อึนฮวาเรียกและนัชชาก็ก้าวตามแบบอัตโนมัติ ใจสั่นระรัวไปหมดด้วยความตื่นเต้น ไม่น่าเชื่อว่าไอด้อลที่เธอหลงใหลจะมารับประทานอาหารในร้านเล็กๆ อย่างนี้ นี่เธอจะทำตัวอย่างไรดีนะ ความคิดสับสนวุ่นวายไปหมด แน่นอนว่าเธอไม่มีทางได้ถ่ายรูปหรือขอลายเซ็น แต่อย่างน้อยก็คงได้มองเขาจนเต็มอิ่ม
นัชชาแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อออนนี่เรียกให้ช่วยเสิร์ฟที่ชั้นล่าง อีกพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะกลับไปแอบมองคียุลได้
เธอฉวยเหยือกน้ำมาถือเป็นข้ออ้างแล้วก้าวขึ้นบันได เสียงคนเมาอ้อแอ้เอะอะนี่มาจากห้องไหนกันนะ...คุณคียุลจะรำคาญหรือเปล่า...แย่จริงเลย...ถ้าเขารู้สึกว่าร้านนี้มีแต่คนเสียงดังเกะกะเขาอาจจะไม่ยอมมาเป็นลูกค้าอีกก็ได้...นัชชากังวลไปหมดก่อนจะเคาะประตูเบาๆ ผลักบานเลื่อนเปิด แล้วก็แทบผงะ
เสียงที่เธอได้ยินมาจากห้องนี้นี่เอง!
และคนที่ตะโกนร้องเพลงดังที่สุด ก็คือคุณคียุลของเธอเสียด้วย!
นัชชาตัวชาไปหมด ภาพงดงามของไอด้อลสุดหล่อแสนเท่ที่เธอหลงรักถูกทำลายลงจนหมดสิ้น ผู้ชายที่เมาแอ๋หมดสภาพนี่นะหรือคือคียุล หญิงสาวสะบัดหน้า พยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นฝันร้าย แต่หลับตาแล้วลืมใหม่คนพวกนั้นก็ยังร้องตะโกนเริงร่า รินเหล้าคีบหมูส่งให้กันเป็นปกติ
“พริ้นเซสเป็นไงกันบ้าง มีแจ่มๆ มาแนะนำให้เพื่อนสักคนสองคนไหม” หนึ่งในกลุ่มชวนคียุลคุยแฟนคลับของเขา ที่เรียกกันว่า พริ้นเซส
“ขอทีเหอะอย่าพูดเรื่องนี้เลย คุยเรื่องอื่นดีกว่า” คียุลตัดบท แล้วหันมาเห็นนัชชาที่ยืนถือเหยือกน้ำอยู่พอดี “น้องสาว เอาน้ำมาไม” เขาถามเสียงอ้อแอ้ “ม่ายอาวนะ”
“อย่าไปแซวน้องเขาซี” อีกคนทำท่าเป็นสุภาพบุรุษ “โซจูมาอีกสามขวดเลยน้อง อ้อๆ คาลบิอีกสองจาน แล้วเอาถ่านมาเติมด้วยนะ คืนนี้อีกยาว นานๆ จะได้กินเหล้ากับเพื่อนสมัยมัธยมสักครั้ง”
“ช่าย...อีกยาว” คียุลที่ซบอยู่กับโต๊ะพยักเพยิดแล้วยื่นหน้ามาหรี่ตาอันแดงก่ำจ้องหน้าหญิงสาว “น่ารักแฮะ แทกุก?...คนไทยใช่ไหมนี่” เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะชูแก้วเหล้าให้
พอขยับตัวได้ นัชชาก็แทบวิ่งลงบันได นัยน์ตาพร่าพรายด้วยหยาดน้ำ จนอึนฮวาต้องเข้ามาจับแขนไว้ “เป็นอะไร นัช ไม่สบายหรือ”
อาการของนัชชานั้นควรเรียกว่าช็อคมากกว่าไม่สบาย เพราะร่างสั่นเทาและมือก็เย็นเฉียบ แข้งขาอ่อนแรงไปหมด...คียุล...เจ้าชายของฉัน...ไหนว่ารักพริ้นเซสหนักหนา ลับหลังก็พูดเหมือนรำคาญ ทั้งคำพูดและกิริยาท่าทางอย่างคนเมาทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าเพชรแสนสวยที่เธอเฝ้าเก็บรักษาด้วยความหลงใหลนั้น แท้จริงเป็นเพียงลูกปัดพลาสติก
“นัช...” อึนฮวาเขย่าแขนแล้วเรียกซ้ำ ทำให้นัชชาต้องรีบสูดหายใจลึกๆ รวบรวมสติแล้วกะพริบตาไม่ให้เพื่อนเห็นว่ากำลังจะร้องไห้
“ปละ..เปล่า...ไม่เป็นไร...ห้องข้างบนสั่งอาหารเพิ่ม” เธอบอกรายการยาวเหยียดนั้น
“ยกคนเดียวไม่ไหวหรอก” อึนฮวาหันมาบอก “แล้วก็ไปช่วยกันตัดหมูด้วยซี”
พอย่างหมูได้ที่แล้ว พนักงานเสิร์ฟจะใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้น คีบใส่จานให้ลูกค้าและนี่ก็เป็นหน้าที่ของนัชชาอีกเช่นกัน
เธอไม่อยากเข้าใกล้คียุลเลยสักนิด แต่ก็เลี่ยงไม่ได้
ความรู้สึกในใจทำให้เงอะงะเก้งก้างกว่าที่เคย จังหวะที่เธอคีบหมูใส่จานให้คียุล เขาก็เกิดขยับลุกขึ้นแล้วเซลงมาเหมือนจะแกล้ง นัชชาเบี่ยงตัวหลบก่อนจะเสียหลัก แขนสะบัดไปโดนตะแกรงร้อนๆ บนเตา
นัชชากรีดร้องด้วยความตกใจ พร้อมกับที่คียุลและเพื่อนร่วมโต๊ะอุทานออกมา เขาประคองเธอเป็นคนแรก แต่หญิงสาวสะบัดตัวออก ปวดแสบปวดร้อนจนน้ำตาไหล
“ขอผมดูมือหน่อย” คียุลแทบหายเมา “เราต้องเอาน้ำเย็นรดเร็วๆ”
“พาไปหาหมอดีกว่า” เสียงแนะนำเซ็งแซ่จนออนนี่วิ่งขึ้นมา
“ทานกันต่อเถอะค่ะ ฉันจะพานัชไปทายาเอง อึนฮวา มาดูแขกที” เจ้าของร้านสั่งรวดเร็ว แต่คียุลแทรกขึ้นมาว่า “ไม่ได้ครับ พาไปโรงพยาบาลดีกว่า แผลไม่ใช่น้อยเลย”
“ให้ฉันพาไปไหม” เพื่อนร่วมโต๊ะคนหนึ่งเสนอ “เดี๋ยวแฟนคลับหรือนักข่าวเห็นเข้า ก็เป็นเรื่อง”
“ไม่เป็น” คียุลดึงแขนแทบลากนัชชาลงบันได “ใครเห็นก็ไม่สนใจ ฉันผิดเอง ฉันต้องรับผิดชอบ!”
อึนฮวาวิ่งตามมาแทบไม่ทัน “เรียกแท็กซี่นะ” ความตื่นเต้นที่ได้เจอดาราหายไปหมดแล้ว อึนฮวารีบโบกเรียกรถ เจรจาสั้นๆ ก่อนจะผลักนัชชาที่ยืนน้ำตานองหน้าเข้าไป แล้วคียุลก็กระโดดขึ้นตาม โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองเงาตะคุ่มของเด็กสาวสองสามคนที่ยืนอยู่ตรงมุมหน้าร้าน
เด็กกลุ่มนี้คือ”พริ้นเซส” ตัวแม่ ที่ตามคียุลไปทุกหนทุกแห่ง ผลัดเวรกันตลอดวันและคืน บางทีก็แอบถ่ายรูป แต่พวกหล่อนก็รู้ดีว่าข่าวไหนเผยแพร่ได้ และเรื่องอะไรที่ควรเก็บไว้แค่ซุบซิบกัน ทุกคนทราบว่าถ้าล้ำเส้น คียุลจะมีมาตรการชาเย็นใส่ และอาจถึงขั้นฟ้องผู้จัดการ สั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้เขาอีกเลยตลอดชีวิตก็ได้
คียุลจึงกล้าดึงคนเจ็บขึ้นรถแท็กซี่ โดยไม่สนใจใครทั้งนั้น...
ไอลี่
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ย. 2556, 20:24:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2556, 19:44:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 884
ความรับผิดชอบ >> |