จอมสลัดร้ายพ่ายเสน่หา
โทมัส มอลต้า ผู้ก่อตั้งรอยัลมอลตากรุ๊ป เจ้าของบริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่ในอเมริกาเหนือและละตินอเมริกาได้เข้าไปเทกร์โอเวอร์ บริษัทอดัม เทรเวล ซึ่งเป็นบริษัทของเดวิท อดัมเพื่อนของโทมัส ซึ่งขาดสภาพคล่องทางการเงินเมื่อหลายปีก่อน ในการบริหารงานของเดวิทในระยะแรกๆ ได้สร้างผลกำไรให้บริษัทเป็นที่น่าพอใจ แต่มาระยะหลังๆ ผลประกอบการเริ่มแย่ลงและมีการทุจริตเกิดขึ้น โทมัสจึงให้อลัน บอดีการ์ดคนสนิทของ เวลสัน มอลต้าบุตรชายไปว่าจ้างแอนดูร์เข้าไปตรวจสอบบัญชีของอดัมเทรเวล และขณะนั้นโทมัสได้วางมือจากงานและได้ถ่ายโอนอำนาจบริหารของรอยัลมอลต้าทั้งหมดให้กับเวลสันบุตรชายขึ้นบริหารแทน ส่วนตัวเขายังคงนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาเท่านั้น
เมื่อแอนดูร์เข้าไปตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของอดัมเทรเวล โดยมีเนตรนารีซึ่งเป็นน้องสาวภรรยา ที่เพิ่งจบการศึกษาด้านบัญชีจากเมืองไทยเป็นผู้ช่วย ได้พบหลักฐานการทุจริตโครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกในคิวบาเป็นจำนวนเงินเกือบร้อยเจ็ดสิบล้านบาท ทำให้คนที่อยู่เบื้องกลัวความผิด จึงคิดฆ่าปิดปากแอนดูร์และครอบครัว
เมื่อรู้ว่ามีคนปองร้ายแอนดูร์ จึงให้หลักฐานทั้งหมดกับเนตรนารีนำไปให้กับโทมัส มอลต้า เนตรนารีออกจากบ้านไม่นานแอนดูร์และจิตตาภาพี่สาวของเธอก็ถูกฆ่าตาย และบ้านถูกเผาเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด จากนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังได้ส่งคนตามล่าตัวเนตรนารีเพื่อทำลายหลักฐานและฆ่าปิดปากเธอด้วยเช่นกัน
เนตรนารีหนีไปอยู่กับมิเชลล์และวลัยที่คอนโด ก็ถูกกลุ่มมือปืนตามไปทำร้ายดีว่าผู้กองบารอนเจ้าของคดีและอลันตามไปช่วยไว้ทัน บารอนจึงส่งตำรวจนอกเครื่องแบบไปคุ้มกันพยานตลอดยี่สิบชั่วโมง ทันทีที่อลันพบเนตรนารีเวลสันสั่งให้พาเธอไปพบเขาทันที แต่ก็ไม่ทันเพราะหญิงสาวได้ออกจากคอนโด ไปอยู่ที่บ้านเกิดบิดาแถบชานเมือง เพราะไม่อยากให้เพื่อนรักได้รับอันตรายไปด้วย
เมื่อรับรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เนตรนารีได้ส่งหลักฐานให้กับโทมัสทางอีเมลโดยไม่เปิดเผยตัวแต่ใช้นามปากกา กุญแจปริศนาแทนเพื่อความปลอดภัย โทมัสจึงได้ให้เวลสันจัดการเรื่องนี้แทน เมื่อเวลสันได้รับข้อมูลจึงให้อลันหากุญแจปริศนาดอกนี้ทันที
เมื่อรู้ที่อยู่ของกุญแจปริศนาเวลสันกับอลันก็ตามไป เพื่อจะเอาหลักฐานทั้งหมด แต่คนร้ายก็รู้เช่นเดียวกันจึงตามไปจับตัวหญิงสาวไป แต่เวลสันและอลันช่วยไว้ทันและพาเธอไปอยู่ที่เกาะโกซูเมล ซึ่งเป็นเกาะส่วนตัวของเวลสัน และที่นั่นเวลสันคือโจรสลัดเวลคลาส ที่คอยปล้นเรือบรรทุกสินค้าผิดกฎหมาย จนได้ฉายาจอมสลัดร้ายแห่งคาริบเบียน แต่จุดประสงค์หลักของเวลสันก็เพื่อควบคุมเส้นทางเดินเรือของรอยัลมอนต้ากรุ๊ปด้วยตัวเอง และเขาชอบออกทะเลมากกว่าที่จะนั่งบริหารอยู่บนโต๊ะ ดังนั้นหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในรอยัลมอนต้ากรุ๊ปจึงตกอยู่ที่อลันทั้งหมด เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นก็เข้าใจผิด คิดว่าเวลสันเป็นพวกเดียวกับคนที่ตามฆ่าเธอจึงพยายามหาทางหนีอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งโทมัสเดินทางมาที่เกาะ เนตรนารีถึงได้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วเวลคลาสคือเวลสัน มอลต้าผู้บริหารคนปัจจุบันของรอยัลมอลต้ากรุ๊ปและยังเป็นบุตรชายคนเดียวของโทมัสอีกด้วย โทมัสได้กล่าวแสดงความเสียใจและขอบคุณเธอ ที่คอยส่งข้อมูลการทุจริตให้เขาในนามของกุญแจปริศนา
เมื่อรู้ความจริงเกี่ยวกับเวลสัน เนตรนารีจึงยื่นข้อเสนอให้เขาปล่อยเธอไป โดยแลกกับข้อมูลการทุจริตที่เหลือ เวลสันตอบตกลงแต่มีข้อแม้ว่าเธอจะไปได้ก็ต่อเมื่อเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ทำให้เนตรนารีไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่สาเหตุสำคัญที่เวลสันไม่ยอมปล่อยเธอไปเพราะเขาห่วงและรักเธอเข้าให้แล้ว จึงพยายามรั้งตัวเธอเอาไว้
วันหนึ่งเวลสันได้ทราบข่าวว่า เรือของอดัมเทรเวลมีของผิดกฎหมายอยู่บนเรือ เวลสันในนามของจอมสลัดเวลคลาส จึงพาลูกเรือออกปล้นและได้พบอาวุธสงครามจำนวนมาก ปะปนกับสินค้าที่จะไปส่งที่ท่าเรือในคิวบา เวลสันจึงลากเรือของอดัมเทรเวทกลับไปให้บารอนจัดการเรื่องต่อ คนที่เป็นเจ้าของอย่างเดวิทอดัมก็ออกมาปฏิเสธและโยนความผิดให้กับแอนดูร์และเนตรนารี โดยกล่าวหาว่าแอนดูร์พบหลักฐานการทุจริตบางอย่างและใช้มันข่มขู่เขา จนต้องยอมขนอาวุธพวกนี้ไปส่งให้แอนดูร์ที่คิวบา และเดวิทพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการฆาตกรรมแอนดูร์ เป็นเรื่องของการหักหลังกันเองในกลุ่ม ทำให้บารอนต้องอายัดเรือของอดัมเทรเวลไว้จนกว่าคดีจะจบ เดวิทจึงให้โจรสลัดฮามานดาล ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าและมีความแค้นเป็นการส่วนตัวกับบารอน พาลูกเรือไปลักลอบขนอาวุธออกมา
จากข้อมูลที่ได้มาจากเนตรนารีและอาวุธสงครามที่พบในเรือของอดัมเทรเวล เวลสันพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวจนกระทั่งรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือ เดวิท อดัมเพื่อนพ่อบิดา โดยยักยอกเงินไปซื้ออาวุธสงครามไปต้านต่อรัฐบาลในบ้านเกิดที่ลิเบีย
เนตรนารีรู้เรื่องคดีจึงขอไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ด้วยการออดอ้อนเวลสันจนเขายอมใจอ่อนและเธอก็ได้ตกเป็นของเขาไปด้วย เวลสันยกตำแหน่งประธานบริหารอดัมเทรเวลให้กับเนตรนารี เพื่อให้เธอหาหลักฐานเอาผิดคนชั่วภายใต้การดูแลของเขาและการ์ดมอลต้า แต่สุดท้ายเนตรนารี มิเชลล์และวลัยถูกจับตัวไป เวลสัน บารอนและอลันตามไปช่วยและจัดการกับเดวิทและผู้ร่วมขบวนการได้สำเร็จ
แต่เรื่องยังไม่จบเท่านั้น เมื่อเวลสันยังไม่หายโกรธเนตรนารี ที่ทำอะไรไม่บอกจนถูกจับตัวไป ชายหนุ่มจึงทำทีหมางเมินกับเธอหลังเกิดเรื่อง เนตรนารีน้อยใจหนีออกจากบ้านมอลต้าไปอยู่กับวลัย ทำให้เวลสันทนคิดถึงไม่ได้จึงตามไปง้องอน เรื่องราวในจะสนุกแค่ไหนติดตามชมกันในแต่ละตอนได้ค่ะ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: หนี

เอี๊ยด!!!!!
เสียงล้อรถบดเบียดผิวถนนดังสนั่น ในขณะที่คนขับแตะเบรก หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในบ้านอย่างรีบร้อน พอรถจอดสนิทแอนดูร์ มาคลอส นักตรวจบัญชีกลางของบริษัทเดินเรือยักษ์ใหญ่อย่างรอยัล มอลต้ากรุ๊ปก็เปิดประตูลงมาด้วยท่าทีร้อนรน ดวงตาภายใต้แว่นสายตาหนา หันกลับไปมองประตูใหญ่หน้าบ้านอย่างหวาดหวั่น ทำให้จิตราภาภรรยากับเนตรนารีน้องสาวต้องหันไปมอง พอเห็นท่าทางร้อนรนของสามีจิตราภาก็รีบเดินไปหา
“ทำไมกลับเร็วละคะแอนดูร์...” แอนดูร์คว้ามือภรรยาเดินเข้าไปในบ้าน ใบหน้าอูมขาวชุ่มไปด้วยเหงื่อมองหน้าประตูเป็นระยะ เนตรนารีมองตามสายตาพี่เขยไปอย่างแปลกใจ
“เราต้องรีบไปจากที่นี่...” แอนดูร์บอกขณะวางกระเป๋าเอกสารบนโซฟา เสียงร้อนรนของพี่เขยทำให้เนตรนารีลุกขึ้นยืน ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้รู้ว่าครอบครัวเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย
“เกิดอะไรขึ้นคะ...” จิตราภายึดแขนสามีไว้อย่างหวั่นๆ
“ผมเจอหลักฐานสำคัญบางอย่างในอดัมเทลเวล พวกมันกำลังตามมาเอาคืนนะสิ คุณกับเนตรรีบหนีไป ผมจะอยู่รับหน้าพวกมันเอง เร็วเนตรพาจิตรหนีไป…” แอนดูร์เร่ง หันไปหาเนตรนารีซึ่งยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอทำงานช่วยพี่เขยมาหลายวันก็พอจะรู้เรื่องราวอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะรู้ตัวเร็วขนาดนี้ พอได้สติเนตรนารีรีบดึงมือพี่สาวออกไป แต่จิตราภาขืนตัวไว้ไม่ยอมไปตามแรงฉุด
“ไม่ค่ะ จิตรจะอยู่กับคุณ เนตรรีบหนีไปให้ไกลที่สุดเลยนะไม่ต้องห่วงพี่...” จิตราภาจับมือน้องสาวบีบแรงๆ เนตรนารีมองพี่สาวและพี่เขยอย่างหวั่นๆ กลัวว่าทั้งสองจะได้รับอันตราย
“ทำไมเราไม่แจ้งตำรวจคะพี่แอนดูร์...”
“ไม่มีประโยชน์หรอกเนตร พวกมันมีพรรคพวกเยอะมาก อีกอย่างคุณโทมัสก็ไม่อยู่ด้วย พี่ไม่อยากฝากหลักฐานสำคัญไว้กับคนอื่น…” แอนดูร์บอกพลางมองออกไปนอกตัวบ้าน แสงอาทิตย์อัสดงกำลังเลือนหายจากขอบฟ้า แสงดำทะมึนของราตรีเริ่มโรยตัวเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ
แอนดูร์รีบเปิดกระเป๋าหยิบเอกสารและอุปกรณ์บางอย่าง ยัดใส่มือเนตรนารีและดันร่างบางออกทางประตูหลัง “หลักฐานสำคัญอยู่ในนี้นะเนตร หาทางเอาไปให้คุณโทมัสให้ได้ ต้องเป็นคุณโทมัสคนเดียวเท่านั้นนะ...” แอนดูร์ย้ำชื่อประมุขตระกูลมอลต้าและดันแผ่นหลังบางให้รีบไป เนตรนารียืนกอดเอกสารแนบอกอย่างลังเล “รีบไป...” แอนดูร์เร่งอีกครั้ง หญิงสาวมองหน้าพี่สาวกับพี่เขยผ่านม่านน้ำตาอย่างอาวรณ์ ก่อนจะยกมือปาดออกจากแก้ม …หากคนทั้งสองเป็นอะไรไป ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเช่นกัน…เธอบอกตัวเองอย่างมาดมั่น และวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพระเจ้าคุ้มครองครอบครัวเธอให้ปลอดภัยด้วยเถิด…
“พี่จิตร…” เนตรนารีเรียกชื่อพี่สาวเสียงเครือ คล้ายจะบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย น้ำใสๆก็ยังคงรินไหลออกมาไม่หยุด
“ดูแลตัวเองดีๆนะเนตร...” จิตราภาบอกทั้งน้ำตา เนตรนารีวิ่งกลับไปกอดพี่สาว รู้สึกใจหายบอกไม่ถูก
“เราสามคนหนีไปด้วยกันนะคะพี่จิตร พี่แอนดูร์...” เธอคลายอ้อมแขนออก จิตราตาภายกมือประคองสองแก้มที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของน้องสาว
“เราหนีพวกเขาไม่พ้นหรอกเนตร อิทธิพลของคนพวกนี้มากเหลือเกิน ถ้าพี่เป็นอะไรไป เนตรต้องไปขอความช่วยเหลือจากคุณโทมัสนะ มีเพียงตระกูลมอลต้าเท่านั้นที่จะทำให้เนตรรอดพ้นจากคนชั่วพวกนั้นได้…” เนตรนารีพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อเรียกความกล้าหาญให้กับตัวเอง ก่อนจะบีบมือพี่สาวแน่น
“จำไว้นะเนตรต้องเอาหลักฐานพวกนี้ไปให้คุณโทมัสให้ได้...” เนตรนารีวิ่งเข้าไปกอดพี่เขยเพื่อบอกลาแล้ววิ่งออกประตูหลังไป โดยมีสายตาสองคู่มองตามอย่างห่วงกังวลไม่แพ้กัน ไม่นานแสงสุดท้ายของวันค่อนๆ เลือนลางเพื่อคืบคลานสู่รัตติกาลอันหนาวเหน็บ

ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆดำปกคลุมไปทั่วพื้นฟ้า แสงดวงดาวที่เคยสุกสกาวอับแสง ทุกสรรพสิ่งนิ่งสงบสยบความมืดมิดแห่งราตรี ตอกย้ำให้คืนเดือนดับน่ากลัวมากขึ้นเป็นเท่าทวี ส่งให้พลังแห่งความชั่วร้ายพร้อมจะทำลายล้างความดีให้สลายไป
แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น รถยนต์คันหนึ่งแล่นไปตามถนนนอกเมืองด้วยความเร็วสูงสุด จนกระทั่งเข้าไปจอดข้างกำแพงบ้านสองชั้นสีขาว พอเครื่องดับสนิทประตูรถกระบะสีดำคันดังกล่าวก็เปิดออกช้าๆ ตามด้วยชายชุดดำสี่คนก้าวลงไปยืนข้างรถ ใบหน้าแต่ละคนเย็นชา แววตาโหดเหี้ยมและดุดัน อาวุธประจำกายที่ติดตัวมาก็ทรงประสิทธิภาพ ภายในบรรจุกระสุนเต็มพิกัด หมายจะจัดการเป้าหมายตามใบสั่งให้ดับดิ้นสิ้นชื่อ รังสีอำมหิตและกลิ่นคาวเลือดแผ่กระจายรอบบริเวณ จนทุกสรรพสิ่งรอบกายหยุดการเคลื่อนไหว ใบไม้ข้างรั้วยังไม่กล้าขยับเพราะหวาดหวั่นสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้
เมื่อได้เวลาจู่โจม สายตาเหี้ยมโหดทั้งสี่คู่ก็มองเข้าไปในบ้าน หมวกไหมพรมสีดำบนศีรษะถูกดึงลงมาปิดใบหน้า จากนั้นผู้มาพร้อมกับความมืดแห่งราตรี ก็อาศัยเงาของต้นไม้ใหญ่ข้างกำแพง ปีนป่ายเข้าไปบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน แล้ววิ่งไปยืนข้างประตูด้วยฝีเท้าเงียบกริบสมกับเป็นนักฆ่ามืออาชีพ หนึ่งในสี่ใช้วิชามารงัดประตูแย้มออกแล้วแทรกตัวผ่านเข้าไป สองคนขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง คนที่เหลือช่วยกันค้นหาสิ่งที่ต้องการตามห้องต่างๆ อย่างขะมักเขม้น
แอนดูร์กับจิตราภาหลบอยู่ในห้องนอนมือกำปืนแน่น พอประตูแง้มออกแอนดูร์ก็ยิงผู้บุกรุกทันที…ปังๆๆๆ…ชายชุดดำหลบข้างประตูแล้วยิงสวนกลับเข้าไป จิตราภาช่วยสามียิงต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่ถูกกระสุนคนร้ายล้มลง
“จิตร..” แอนดูร์ตกใจเข้าไปกอดภรรยาแน่น จิตราภาตาเบิกกว้างเมื่อเห็นจุดสีแดงเล็กๆ ปรากฏอยู่บนศีรษะของสามี
“อย่า...ทำ...เขา...” จิตราภาขอร้องเสียงขาดๆหายๆ ดวงตาพร่าเบลอมองพวกมันด้วยสายตาวิงวอน และร่างชุ่มเลือดก็รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย พยุงตัวขึ้นเพื่อใช้ร่างกายปกป้องสามีจากคมกระสุน จิตราภาโอบกอดสามีน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างน่าสงสาร คนร้ายเดินเข้าไปหาช้าๆ ปลายกระบอกปืนยังคงเล็งไปที่ร่างของแอนดูร์อย่างไร้ความปรานี
“ได้โปรด อย่าทำร้ายเธอ เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...” แอนดูร์บอกพลางกอดร่างจิตรภาแน่น มือปืนผู้ไม่เคยปรานีให้ศัตรู มองความตายของคนตรงหน้าอย่างเย็นชา แอนดูร์อาศัยจังหวะที่คนร้ายเข้ามาใกล้ตวัดปืนในมือยิงใส่ แต่ถูกด้ามปืนในมือคนร้าย ฟาดลงบนใบหน้าเลือดไหลออกมา
“โอ้ย…” แอนดูร์ร้องด้วยความเจ็บแต่ไม่ยอมปล่อยมือจากร่างภรรยา จิตราภาลมหายในรวยรินลงไปทุกขณะแต่ก็กอดรัดสามีอย่างเป็นห่วง
“หลักฐานอยู่ที่ไหน…” หนึ่งในสองถามเสียงต่ำ ดวงตาดุดันมองเลือดและความเจ็บปวดของศัตรูเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“หลักฐานอะไรฉันไม่รู้เรื่อง…” แอนดูร์ตอบใบหน้าชุ่มไปด้วยเลือดและเหงื่อ ริมฝีปากหนายกยิ้มปลายกระบอกปืนเล็งไปที่ศีรษะแอนดูร์ จิตราภาตาโตโถมตัวเข้ากอดคอสามีจนล้มลงบนพื้นไปด้วยกัน เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกสองนัดซ้อน กระสุนเจาะตัดขั้วหัวใจอย่างแม่นยำ จิตราภาเบิกตาค้างเลือดไหลออกจากปาก สิ้นใจในอ้อมกอดของสามีอย่างน่าเวทนา
“จิตร จิตร...” แอนดูร์ร้องเรียกกอดร่างภรรยาแน่นอย่างเสียใจ มือปืนอีกสองคนที่รื้นค้นอยู่ข้างล่างขึ้นมาสมทบ มันคนหนึ่งส่ายหน้าไปมาเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่พบสิ่งที่ต้องการ ชายร่างใหญ่เดินเข้าไปจิกผมแอนดูร์กระชากไปข้างหลังจนหน้าหงาย ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
“หลักฐานที่แกได้มาอยู่ที่ไหน...” แอนดูร์เอียงหน้ามองก่อนจะหัวเราะหึหึในลำคอ และไม่ยอมตอบคำถามใดๆ เพราะไม่กี่อึดใจลมหายใจของเขาคงหมดลงเช่นกัน …ตอนนี้ชีวิตจะอยู่หรือตายเขาไม่กลัว ขอเพียงพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองเนตรนารีให้ปลอดภัยก็พอ…
“อยากตายมากรึไงห๊า...หลักฐานอยู่ไหน...” คนร้ายอีกคนกระแทกหมัดเข้าที่ท้องแอนดูร์จนตัวงอ
“ฉัน…ไม่…รู้…หลักฐานอะไรกัน…” แอนดูร์บอกเสียงต่ำด้วยความเจ็บ มันออกแรงกระชากผมเขาไปด้านหลัง แอนดูร์จับมือคนที่จิกผมเหนือศีรษะไว้
“หลักฐานที่แกได้มาวันนี้ไง…มันอยู่ไหน…”มันถามเสียงลอดไรฟันอย่างดุดัน แต่แอนดูร์ก็ไม่ยอมบอกความจริงใดๆ ชายอีกคนก็สวนหมัดเข้าที่ท้องหนาเต็มแรง แอนดูร์ถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือดอย่างน่าสงสาร
“พวกแกเป็นใคร รู้เรื่องนี้ได้ยังไง...”
“พวกฉันก็เป็นนักตรวจสอบบัญชีเหมือนกับแกนั่นแหล่ะ แต่เป็นบัญชีตาย...” ประโยคท้ายมันบอกเสียงต่ำ สายตาดุดันมองใบหน้าขาวอูมอย่างเหยียดหยัน ยังไม่ทันทีที่แอนดูร์จะตอบคำถามพวกมัน เสียงหวอรถตำรวจก็ดังแว่วมาแต่ไกล คนร้ายจึงลากตัวแอนดูร์ลงไปชั้นล่าง
ขณะเดินผ่านห้องนั่งเล่น แอนดูร์ดิ้นหนีและสะบัดตัวเต็มแรง พอหลุดจากการจับกุมก็วิ่งตรงไปที่ประตูทางออกเพื่อหนีมัจจุราชสีดำ แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน พวกมันกระหน่ำยิงเข้าใส่ไม่ยั้งจนร่างท้วมล้มลง เลือดไหลนองเต็มพื้น หนึ่งในสี่คนร้ายเดินไปดูผลงาน เพื่อให้แน่ใจว่าจัดการเป้าหมายได้สำเร็จตามใบสั่ง จากนั้นพวกมันก็รีบจุดไฟเผาทั้งบ้านทั้งคนก่อนจะหลบหายไปในความมืด ปล่อยให้กองเพลิงเผาผลาญหลักฐานอยู่เบื้องหลังโดยไม่สนใจหันกลับไปมอง

บนเส้นทางเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คนแถบชานเมืองลาครูซ เนตรนารีเดินแกมวิ่งมุ่งหน้าไปยังโบสถ์เล็กๆ ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เธอรู้จัก สายตาหวาดหวั่นมองซอกตึกแคบๆ ก่อนจะเดินผ่านไปด้วยหัวใจเต้นระทึก สีสเปร์ยหลากสีสันบรรจงวาดลวดลายอย่างร้อนแรงบนผนัง ทำให้บริเวณนั้นน่ากลัวยิ่งขึ้น มือบางกอดกระเป๋าเป้แนบอก ในขณะที่เท้าก็ก้าวเร็วขึ้นเพื่อผ่านซอกคับแคบของชุมชนแออัด ไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุด
อากาศยามค่ำคืนหนาวเย็น แต่ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าช้าลงเรื่อยๆ ร่างโปร่งระหงของเนตรนารี ยืนหอบหายใจแรงเร็วเพื่อดึงอากาศเข้าไปในปอด ดวงตาคมโตมองแสงไฟในโบสถ์ที่ยังคงส่องสว่างอยู่ข้างในอย่างมีความหวัง
เนตนารีรีบวิ่งเข้าไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า สองมือประสานกันระหว่างอก ตามองภาพพระเยซูเจ้าเหนือแท่นบูชาแบบออโธด๊อกซ์ ที่วางอยู่ด้านหน้าด้วยแววตาหวาดหวั่น
“ขอให้พระองค์คุ้มครองพี่จิตรและพี่แอนดูร์ด้วยนะคะ…” เนตรนารีอธิฐานทั้งน้ำตา เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ ทำให้เธอหันไปมองอย่างระวังตัว
“เนตรนารี…”
“แม่ชีมาเชลล์...” แม่ชีมาเชลล์วัยหกสิบ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาอย่างตกใจระคนสงสัย เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวมาปรากฏตัวในยามวิกาลเช่นนี้ เนตรนารีโผเข้าไปกอดแม่ชีชราอย่างต้องการที่พึ่ง มืออบอุ่นของสาวกพระผู้เป็นเจ้าโอบกอดอย่างปลอบโยน
“เกิดอะไรขึ้นเนตรนารี...” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามอย่างสงบเยือกเย็น ในขณะที่มือยับย่นลูบไล้แผ่นหลังอยู่นานจนกระทั่งเสียสะอื้นนั้นเบาลง
“มีคนตามล่าเนตรค่ะคุณแม่...” แม่ชีมาเชลล์ถึงกับตกใจ เพราะการตามล่าเอาชีวิตไม่ใช่เรื่องเล็ก ร่างท้วมคลายอ้อมแขนออกแล้วรีบไปปิดประตูโบสถ์ด้วยสีหน้ากังวล พอมั่นใจว่าประตูหน้าต่างทุกบานปิดสนิท แม่ชีมาเชลล์ก็คว้ามือบางพาเดินเข้าไปนั่งในห้องเก็บของด้านหลัง
“ใครตามล่าใคร…” แม่ชีมาเชลล์ถามอย่างร้อนใจ แต่เนตรนารียังไม่ทันได้บอกเล่าเรื่องราวใดๆ ประตูโบสถ์ก็ถูกเคาะจากผู้มาเยือนในยามวิกาล หญิงสาวถึงกับหน้าถอดสีมองลอดช่องประตูออกไปด้านนอก “ไม่ต้องกลัวเนตรนารีพระเจ้าจะคุ้มครองคนดีให้พ้นจากอันตรายทั้งมวล ขอให้เชื่อมั่นในพระองค์แล้วท่านจะคุ้มครองลูก...” เสียงปลอบโยนนุ่มนวลของแม่ชีชรา ไม่อาจดับความหวาดกลัวในใจของเธอได้ มือบางบีบมือยับย่นซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายอย่างกลัวๆ “ตั้งสติและใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเนตรนารี แล้วลูกจะพบทางออก…”
“มีใครอยู่ข้างในบ้างพวกเราขอเข้าไปได้ไหม..” เสียงเรียกดังไม่ขาดระยะ จนกระทั่งประตูบานใหญ่เปิดออก แม่ชีมาเชลล์มองชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สามคนด้วยท่าทีสำรวม
“ถ้าจะมาสารภาพบาป ขอให้มาช่วงเช้าจะดีกว่านะคะ…”
“พวกเราไม่ได้มาสารภาพบาปแต่มาหาคน...” ชายคนหนึ่งบอกพลางกวาดสายตาไปทั่วห้องโถง พอไม่เห็นใครก็หันไปหาแม่ชีมาเชลล์ “แม่ชีเห็นผู้หญิงผมยาวอายุประมาณยี่สิบห้ามาที่นี่บ้างไหม…”
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากแม่...” แต่ผู้บุกรุกดูจะไม่เชื่อ ก้าวเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทีคุกคามแต่แม่ชีชราก็ไม่ยอมหลีกทาง “อย่าบุกรุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะบาปจะติดตัวลูกไปตลอดชีวิต…” แม่ชีมาเชลล์บอกอย่างใจเย็นเพื่อใช้ความสงบสยบแรงแค้นที่โหมเข้ามา
“พวกเราขอเข้าไปดูให้แน่ใจเท่านั้น ถ้าไม่เจอก็จะไป...” พูดจบทั้งสามก็ก้าวเข้าไปราวพายุจนแม่ชีชราจำต้องยอมหลีกทางให้ ดวงตายับย่นมองประตูห้องเก็บของอย่างกังวล ชายสามคนแยกย้ายกันตรวจตราทุกตารางนิ้วภายในโบสถ์อย่างละเอียด จนกระทั่งมาถึงห้องเก็บของด้านหลัง แม่ชีมาเชลล์ก็รีบเข้าไปขวาง
“ข้างในสกปรกและกลิ่นเหม็นมาก...” ชายร่างยักษ์แสยะยิ้มใช้สายตาบังคับให้หลีกทาง แม่ชีมาเชลล์กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เลี่ยงไปยืนข้างประตูอย่างสงบ แต่ในใจกำลังสวดขอพระเจ้าคุ้มครองคนที่อยู่ข้างในให้รอดปลอดภัย
ครั้นมือหยาบกร้านของชายร่างยักษ์ผลักบานประตูเข้าไป กลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนก็ฟุ้งออกมาจนพวกมันยกมือปิดจมูก แม่ชีมาเชลล์เดินตามเข้าไปกวาดสายตามองหาแต่ก็ไร้แม้เงาของคนที่อยู่ข้างใน ทั้งสามคนรื้นค้นทุกซอกมุมแล้วรีบออกมาจากห้อง เพราะทนความเหม็นไม่ไหว
แม่ชีมาเชลล์ผ่อนลมหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเดินตามชายแปลกหน้าไปที่หน้าโบสถ์ แต่รถคันเก๋งสีดำก็พาความชั่วร้าย ทะยานผ่านประตูใหญ่ไปเสียก่อน สายตายับย่นมองไฟท้ายรถไปจนลับตา รู้สึกห่วงกังวลคนที่ถูกตามล่า แม่ชีชราเดินตรงไปโทรศัพท์หาวลัยเด็กสาวที่เคยอุปการะอย่างร้อนใจ
“เนตรนารีมาหาแม่แล้วหายไป วลัยรีบตามไปช่วยเนตรนารีด้วยนะ...” พูดจบแม่ชีก็วางหูโทรศัพท์ลงบนแท่นวาง แล้วเดินไปสวดขอพรต่อพระเยซูเจ้าให้คุ้มครองเนตรนารี



อิงทราย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ย. 2556, 15:58:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ย. 2556, 15:59:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1005





   ความจริงที่ต้องเผชิญ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account